สยบรักเมียบำเรอ

7.2

เขียนโดย Phaky

วันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2561 เวลา 15.23 น.

  41 ตอน
  3 วิจารณ์
  35.80K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 10 มกราคม พ.ศ. 2561 13.12 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

25) จะดีหรือร้าย เลือกซักอย่างไหม

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

เว็บขีดเขียน

 

เว็บขีดเขียน

 

 

“ไปตามอัญชันมานี่”

เสียงทุ้มห้าวที่คุ้นหูสั่งอยู่ด้านหลังทำให้บัวที่กำลังใช้ไม้ขนไก่ปัดฝุ่นหน้าทีวีในห้องนั่งเล่นหันขวับไปมองอย่างรวดเร็ว แล้วก็ไม่ผิดไปจากที่คิดว่าคนที่ยืนอยู่จะต้องเป็นอาชาวินแน่นอน แต่ที่ทำให้บัวต้องยืนเขม้นตามองให้แน่ชัดนั่นคือถุงกระดาษสิบกว่าใบที่ถูกหอบหิ้วด้วยสองมือใหญ่ของเจ้านายหนุ่มมากกว่า ดวงตามองถุงสลับกับมองหน้าอาชาวินที่ยืนทำหน้าเรียบเฉยพรางคิดอย่างแปลกใจว่าทำไมวันนี้นายน้อยมาแปลก เพราะนอกจากจะถือถุงช็อปปิ้งพะรุงพะรังอย่างที่ไม่ค่อยเห็นสักเท่าไรแล้ว ถ้าหูไม่ได้ฝาด บัวค่อนข้างมั่นใจว่าน้ำเสียงของอาชาวินยามเรียกชื่อนายหญิงน้อยนั้นลดความแข็งกระด้างลงไปกว่าครึ่ง

“ยืนทื่ออยู่ได้ ไม่ได้ยินรึไง”

เพราะมัวแต่ยืนมองจนเหม่อ บัวจึงถูกอาชาวินทำเสียงดุๆใส่ สาวใช้สะดุ้งเล็กน้อย ก่อนรีบรับคำแล้ววางอุปกรณ์ทำความสะอาดในมือ จากนั้นจึงวิ่งเร็วๆทิศทางอยู่ที่โรงอาหารเพื่อไปตามคนที่อาชาวินอยากพบ ไม่นานสองสาววัยไล่เลี่ยกันก็เดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นที่มีอาชาวินนั่งไขว่ห้างทำหน้าหล่อราวนายแบบรออยู่ตรงโซฟา

“มาแล้วค่ะนาย…”

“อาชาขา กลับมาตั้งแต่เมื่อไรคะ อุ๊ย! เสื้อผ้าพวกนี้ ของใครคะ สวยๆทั้งนั้นเลย”

ในจังหวะที่บัวจูงมือช่ออัญชันเข้ามาในห้องรับแขกเพราะเกรงว่าหากไม่จูงแล้วนายหญิงน้อยจะเดินชนนั่นชนนี่ไปเสียก่อนเนื่องด้วยช่ออัญชันเอาแต่ก้มหน้ามองพื้นตั้งแต่เหยียบย่างเข้าสู่ธรณีห้องนั่งเล่น ส่วนเรนุกาที่เพิ่งจะตื่นนอนในเวลาใกล้เที่ยงก็เดินลงบันไดมาพอดี แม้จะยังเดินมาไม่ถึง แต่น้ำเสียงหวานแหลมอย่างที่ป้าเนียมเคยนึกค่อนขอดในใจว่า‘ดัดจริต’ ก็ดังขึ้นมาเสียก่อนที่บัวจะรายงานจบ

และเพียงแค่ดวงตายาวรีของคนเพิ่งตื่นเห็นถุงช็อปปิ้งสกรีนชื่อร้านดังมากมาย หญิงสาวก็รีบปรี่เข้าไปนั่งเคียงข้างอาชาวินทันที จากนั้นก็หยิบถุงกระดาษหลายใบขึ้นมาวางบนตักแล้วรื้อค้นของข้างในออกดูด้วยความตื่นเต้นโดยไม่ขออนุญาต เพราะในนั้นมีเสื้อผ้าของผู้หญิงอยู่หลายสิบชุด เรนุกาจึงมั่นใจมากว่าอาชาวินจะต้องซื้อมันมาให้ตัวเองแน่นอน คิดไปว่าชายหนุ่มคงต้องการง้องอนเรื่องที่เมื่อคืนเขาแอบหายออกมาจากงานวันเกิดของเพื่อนเธอไปพักใหญ่แล้วค่อยวนกลับมารับเธอในตอนหลัง

“ผม…”

“อาชา ซื้อมาให้โรสหรือเปล่าคะ”

เรนุกาวางชุดเดรสสีขาวทรงน่ารักที่รื้อได้จากถุงใบหนึ่งไว้บนตัก ก่อนเงยหน้าขึ้นมองอาชาวิน คิ้วเรียวเลิกขึ้นมองเหมือนไม่มั่นใจเมื่อเห็นท่าทางอ้ำอึ้งของคนซื้อ ยิ่งเมื่อหางตาเห็นว่ายายมอซอยืนใช้อากาศร่วมกันกับเธออยู่ในห้องนั่งเล่นนี้ด้วยอีกคน เรนุกาจึงหรี่ตาหันไปมองช่ออัญชันที่กำลังยืนก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเองไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวกับใครเลยว่าบรรยากาศในห้องกำลังมาคุด้วยสายตาเป็นอริ ก่อนวกใบหน้ากลับมาคาดคั้นอาชาวินอีกครั้ง

“หรือของแม่นี่?”

น้ำเสียงที่พยายามดัดให้อ่อนหวานห้วนขึ้นเล็กน้อยตามอารมณ์ คำถามของเรนุกานั้นธรรมดาแต่กลับเหมือนถ่านร้อนๆจี้ใจดำในความรู้สึกของอาชาวินยิ่งนัก ชายหนุ่มที่เคยมั่นใจกับทุกสิ่งที่ทำเม้มปากเข้าหากันแน่นแล้วลอบถอนหายใจ ก่อนปรายตาเข้มๆมองช่ออัญชันอย่างไม่ใคร่พอใจนัก จากนั้นจึงหันไปส่งยิ้มอ่อนโยนให้คนถามคลายกังวล

“ผมก็ต้องซื้อมาให้โรสอยู่แล้วล่ะครับ ชุดสวยๆมันก็ต้องเหมาะกับคนสวยๆสิ ให้พวกบ้านๆสะเหล่อๆใส่ก็เสียของกันพอดี” เพราะไม่อยากเสียหน้าอาชาวินจึงต้องเออออห่อหมกไปอย่างที่เรนุกาเข้าใจ

“ขอบคุณค่ะ อาชาของโรสน่ารักที่สุดเลย จุ๊บ จุ๊บ จุ๊บ”

เมื่อได้รับการยืนยันจากปากของอาชาวินเสียงดังฟังชัดเจน เรนุกาจึงยกแขนโอบรอบคอของคนใจดีพลางจุมพิตแก้มสากของชายหนุ่มเป็นรางวัลซ้ำๆทั้งสองข้าง ส่วนหนึ่งตั้งใจขอบคุณที่อาชาวินใจดีซื้อเสื้อผ้าสวยๆมาให้ แต่เหตุผลหลักเป็นเพราะเรนุกาต้องการหยามน้ำหน้าช่ออัญชันเสียมากกว่าที่เจ้าหล่อนเป็นเมียแท้ๆแต่ผัวกลับไม่สนใจ ทั้งที่ความเป็นจริงช่ออัญชันไม่เคยทำอะไรให้เธอไม่พอใจสักอย่าง จิกหัวใช้ทำอะไรก็ไม่ปริปากบ่น แต่ไม่รู้ทำไมเธอถึงชังน้ำหน้าผู้หญิงตากลมผิวขาวตัวเล็กๆคนนี้นัก เห็นทีไรเป็นต้องหงุดหงิดทุกที

“โรสขึ้นไปลองใส่ดูแล้วกันนะครับว่าพอดีหรือเปล่า เดี๋ยวผมขอกลับไปตรวจงานในไร่สักครู่”

“ได้ค่ะ อย่าทำงานหนักเกินไปนะคะ โรสเป็นห่วง จุ๊บ”

จูบแก้มสากหนักๆอีกครั้ง เรนุกาจึงถือชุดเดรสสีขาวบนตักวิ่งตื๋อขึ้นไปยังห้องพัก แต่ก่อนขึ้นไป หญิงสาวยังหันมาส่งสายตาจิกใช้ให้บัวขนถุงกระดาษใบใหญ่อีกนับสิบใบตามเธอขึ้นไปด้วย แม้จะไม่ชอบหน้าผู้หญิงคนนี้แต่บัวก็ไม่กล้าปฏิเสธจึงทำได้เพียงเดินเข้าไปใกล้อาชาวิน รวบจับหูถุงเหล่านั้นไว้ในมือแล้วรีบตามเรนุกาขึ้นไปด้านบนอีกคน ปล่อยทิ้งให้ช่ออัญชันยืนตัวเกร็งบีบมือเข้าหากันแน่นอย่างคนกำลังหวาดกลัวด้วยความเป็นห่วง และในใจของบัวกำลังขบคิดว่าอาชาวินให้เธอไปตามนายหญิงน้อยมาพบทำไม

“ชักช้า!”

ภายในห้องนั่งเล่นตกอยู่ในความเงียบวังเวงได้เพียงครู่ รอจนมั่นใจว่าเรนุกาขึ้นไปถึงด้านบนแล้วอาชาวินจึงตะคอกคนยืนก้มหน้าเสียงลั่นด้วยความหงุดหงิดจนช่ออัญชันสะดุ้งโหยง มือเล็กบีบเข้าหากันแน่นกว่าเดิม ก่อนหน้านี้ไม่เข้าใจจริงๆว่าอาชาวินสั่งให้พี่บัวไปตามเธอมาขัดจังหวะเขากับเรนุกาทำไม แต่ตอนนี้ช่ออัญชันมั่นใจแล้วว่าอาชาวินเรียกเธอมาเพื่อต้องการแสดงฉากรักหวานระหว่างเขากับสาวสวยคนนั้นให้เธอดู เขาคงต้องการตอกย้ำว่าผู้หญิงคนนั้นคือคนสำคัญของเขา ซึ่งจริงๆอาชาวินไม่ต้องเปลืองแรงทำอย่างนั้นก็ได้ เพราะเธอรู้ดีอยู่แล้ว

“ฮึ่ย!”

เรียวปากได้รูปสบถคำหยาบออกมาสองสามคำ แต่พอเห็นคนตัวบางยืนนิ่งเฉยไม่ยอมเงยหน้า อีกทั้งยังบีบมือเข้ากันแน่นๆ อาชาวินก็ได้แต่เม้มปากกัดฟันให้แน่นที่สุดพลางถอนหายใจหนักๆชกลมชกอากาศขับไล่ความหงุดหงิดออกจากร่างกาย ทั้งที่ใจอยากจับร่างบางมาเขย่าให้หัวสั่นหัวคลอนนักที่ทำอะไรเชื่องช้าไม่ได้ดั่งใจเขาเลย

‘ถ้ามาเร็วกว่านี้ก็ได้ของพวกนั้นไปแล้ว เด็กบ้า!’

ใจอยากบอกออกไปแบบนี้แต่ไม่รู้ว่าทำไมปากมันหนักอึ้งขึ้นมากะทันหัน จริงๆแล้วถุงเสื้อผ้าที่เขาหอบหิ้วมาเขาตั้งใจซื้อมาให้ช่ออัญชันทั้งสิ้น สืบเนื่องจากที่เมื่อคืนเขาบังเอิญได้ยินเจ้าหล่อนคุยกับป้าเนียมในห้องครัว ความรู้สึกผิดที่เขากีดกันไม่ให้ช่ออัญชันไปเที่ยวงานวัดบวกกับความรู้สึกเวทนาที่ได้รู้เรื่องราวชีวิตแสนรันทดในวัยเด็กของหญิงสาว ทำให้เช้านี้อาชาวินไม่มีอารมณ์เข้าไร่แต่กลับขับรถตรงดิ่งไปยังห้างสรรพสินค้าในตัวเมืองทันทีหลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ จากนั้นก็เดินเลือกซื้อเสื้อผ้าที่คิดว่าเหมาะกับยายตาใสมาหลายสิบชุด

พอกลับมาถึงบ้านจึงเร่งให้บัวรีบไปตามช่ออัญชันมาจากโรงครัว สารภาพอย่างไม่อายว่าเขาอยากให้ช่ออัญชันได้มาเห็นเสื้อผ้าที่เขาซื้อให้เร็วๆ อยากเห็นวินาทีที่เจ้าหล่อนฉีกยิ้มหวานจ๋อยจนดวงตากลมโตเป็นประกายลิงโลดดีใจแล้วหมุนตัวไปมาเหมือนเมื่อคืนอีกครั้ง แต่โชคไม่ดีเอาเสียเลยที่เรนุกาลงมาเจอพอดี จะให้เขาบอกไปตามความจริงว่าซื้อมาให้ยายตาใสก็ไม่ได้ รู้สึกเสียหน้าแปลกๆหากใครรู้เข้าว่าเขาทำเพื่อยายเด็กขาดสารอาหารที่เขาเคยตั้งแง่รังเกียจแบบนี้

“จะไปทำอะไรก็ไป ยืนเซ่ออยู่ได้ เกะกะ!”

พอเหตุการณ์ไม่เป็นอย่างที่ตั้งใจจึงทำให้อารมณ์ของอาชาวินขุ่นมัว มองอะไรก็พาลขวางหูขวางตาไปเสียหมด ขนาดช่ออัญชันอยู่เฉยๆไม่ส่งเสียงไม่ขยับตัวยืนนิ่งเหมือนท่อนไม้ยังถูกอาชาวินอาละวาดใส่ จากนั้นชายหนุ่มก็เดินย่ำเท้าหนักๆออกไปจากบ้านด้วยใบหน้าหงิกงอ  ปล่อยให้ช่ออัญชันยืนคอตกกับคำถามในใจว่านี่เธอทำอะไรผิดอีกแล้ว

………………………………………………………………………………………………………………………………………………

หลังจากถูกเรียกกลับไปบ้านใหญ่แบบงงๆว่าอาชาวินต้องการอะไรจากเธอ จากนั้นช่ออัญชันก็รีบวิ่งกลับมาที่โรงครัวเพราะใกล้ได้เวลาที่คนงานจะกลับมากินข้าวเที่ยง และรู้ดีว่าป้าๆแม่ครัวทั้งสามคงกำลังไม่พอใจมากที่เธอทิ้งงานไว้ให้พวกแกทำ แล้วก็จริงดังคาด เพราะเมื่อเธอกลับมาถึงโรงครัว เสียงด่าทอหยาบคายก็เข้าหู แต่ช่ออัญชันไม่คิดสนใจ หญิงสาวรีบเตรียมอุปกรณ์เอาถ้วยชามช้อนแก้วน้ำและอุปกรณ์อื่นๆที่คนงานต้องใช้ออกมาจัดวาง จากนั้นก็ยกหม้อข้าวสวยกับหม้อกับข้าวที่ปรุงเสร็จแล้วมาตั้งเตรียมความพร้อม ไม่นานคนงานก็ทยอยพากันมากินข้าวเหมือนเช่นทุกวัน

‘วันนี้เราจะได้กินข้าวเที่ยงแล้ว’

หลังจากตักอาหารเสร็จและคนงานกำลังกินข้าวกันอย่างเอร็ดอร่อย ช่ออัญชันจึงแอบปลีกตัวมานั่งคนเดียวที่ใต้ต้นมะม่วงซึ่งอยู่ห่างจากด้านหลังโรงครัวไม่มากนัก เนื่องจากช่วงนี้จะพอมีเวลาว่างเล็กน้อยก่อนที่จะต้องกลับไปเก็บล้างทำความสะอาดจานชามและเตรียมวัตถุดิบของวันถัดไป ช่ออัญชันจึงหยิบข้าวกล่องที่ขอมาจากป้าเนียมตอนไปบ้านใหญ่มาเปิดออก ใบหน้าซีดขาวชุ่มเม็ดเหงื่ออย่างคนเหนื่อยจัดมีรอยยิ้มสดใสเมื่อเห็นอาหารที่อยู่ในกล่อง แม้มันจะมีแค่ข้าวกับไข่เจียวธรรมดา แต่ก็ดีมากมายเหลือเกินหากเปรียบเทียบกับข้าวราดน้ำแกงเผ็ดๆที่ป้าๆแม่ครัวเตรียมไว้ให้เธอทุกวันนั่น เพราะแม้จะพยายามแค่ไหน แต่สุดท้ายเธอก็ไม่เคยกินมันได้เลยสักวัน มันเผ็ดมากจนรู้สึกแสบท้องแม้เธอจะฝืนกินไปแค่คำเดียว สุดท้ายก็เลยต้องอดทนต่อความหิวโหยจนแสบกระเพาะหิ้วท้องรอไปจนกว่าจะทำงานเสร็จแล้วกลับไปกินข้าวเย็นที่บ้านใหญ่

“กระแดะ!”

ยังไม่ทันที่ข้าวคำแรกจะถูกส่งเข้าปาก เสียงเข้มห้วนที่ฝากฝังความหวาดกลัวไว้ในจิตใต้สำนึกของเธอก็ดังอยู่ด้านหลังในระยะประชิด ช่ออัญชันหันหน้ากลับไปมองด้วยความตกใจทั้งที่ในมือยังมีช้อนข้าวถือค้างในอากาศ คาดไม่ถึงว่าอาชาวินจะอยู่ตรงนี้ เพราะปกติจะมีคนงานมาเอาข้าวกลางวันไปให้เขาที่ห้องทำงาน ทำให้เธอรอดพ้นจากการต้องประจันหน้ากับคนโหดร้ายไปได้อีกหนึ่งเวลา

“คนอื่นเขานั่งกินข้าวอยู่ในโรงอาหาร แล้วเธอกระแดะมานั่งตรงนี้คนเดียวทำไม ฮะ! กับข้าวก็ไม่เหมือนที่โรงครัว ทำไม! คิดว่ามีแด๊ดหนุนหลังแล้วจะทำตัวยังไงก็ได้งั้นเหรอ!”

ร่างสูงย่อตัวลงนั่งบนส้นเท้าตรงหน้าช่ออัญชัน วันนี้เขาถ่อมาโรงอาหารด้วยตัวเอง ตั้งใจมานั่งกินข้าวที่นี่ แต่พอมาถึงกลับไม่เจอคนที่เขาคิดว่าจะเจอ อาชาวินจึงเดินตามหา แล้วก็เห็นร่างเล็กนั่งอยู่ในร่มต้นมะม่วงจึงรีบเดินตามมา อยากรู้ว่าหญิงสาวมานั่งทำอะไร ใจแอบคิดอกุศลไปล่วงหน้าแล้วว่าคนตัวเล็กมานั่งรอผู้ชายคนไหนหรือเปล่า เมื่อสาวเท้าเข้ามาเรื่อยๆจนเห็นว่าช่ออัญชันนั่งอยู่คนเดียวพร้อมกล่องข้าวจึงค่อยเบาใจ แต่ที่ทำให้แปลกใจตอนนี้คือทำไมยายตัวเล็กถึงต้องแอบมานั่งกินข้าวคนเดียวตรงนี้ ทำเหมือนต้องการหลบหน้าใครอย่างนั้นแหละ

หรือว่า… ช่ออัญชันรู้ว่าเขามา เลยรีบหลบมาที่นี่

“ถาม! นั่งเงียบทำบ้าอะไร หรือไม่มีปาก ได้! ถ้าไม่มีปากงั้นเธอก็ต้องกินข้าวไม่ได้ด้วยสินะ”

อาการนั่งนิ่งไม่ยอมพูดยอมจา ไม่แม้จะเงยหน้ามองสบตากับเขา ทำเอาความขึ้งโกรธในใจของอาชาวินวิ่งพล่านไปทั่วร่างกาย ตอนนี้ชายหนุ่มเหมือนคนกำลังคลั่งจัดและต้องการระบายอารมณ์พังๆที่เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนอยู่ที่บ้านออกไปบ้างก่อนที่เส้นเลือดในสมองจะปริแตก และช่ออัญชันก็กลายเป็นที่ระบายไปโดยปริยายเมื่อท่าทีเงียบสงบของหญิงสาวนั้นไปสะกิดปุ่มน้ำอดน้ำทนของอาชาวินให้พังทลาย ทั้งที่ในความเป็นจริงหญิงสาวไม่ได้นั่งเงียบเพื่อก่อกวนโทสะของชายหนุ่มเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ช่ออัญชันไม่รู้ว่าจะต้องตอบคำถามของเขาอย่างไร จะบอกความจริงก็ไม่ได้ เพราะถ้าป้าๆรู้คงหาว่าเธอขี้ฟ้องแล้วหาเรื่องมาแกล้งเธอหนักกว่าเดิม

แต่จะให้โกหกก็ยิ่งทำไม่ได้ไปกันใหญ่ เพราะแม่เคยสอนไว้ว่าคนโกหกคือคนไม่ดี ตายไปปากจะเท่ารูเข็ม

ตุ๊บ!   

    

ระหว่างที่ยังคิดหาทางออกไม่เจอ อยู่ๆกล่องข้าวที่ถือไว้ในมือกลับถูกมือหนาดึงไปถือไว้ ดวงตาคมของอาชาวินมีรอยเยาะหยันสะใจแปลกๆ เพียงพริบตากล่องข้าวกล่องนั้นก็ชะตาขาด มันลอยคว้างอยู่ในอากาศด้วยแรงสะบัดจากมือหนา ก่อนตกลงมากระทบกับพื้นดินจนกับข้าวที่อยู่ในนั้นหกเรี่ยพื้นทั้งหมด

“กลับไปกินข้าวในโรงครัวเหมือนคนอื่น เธอมันก็แค่คนงานในไร่คนหนึ่งเท่านั้น อย่านึกว่าจดทะเบียนใช้นามสกุลฉันแล้วจะทำตัวเหนือแปลกแยกใครเขาได้ จำไว้!”

อาชาวินลุกขึ้นยืนกอดอกค้ำศีรษะจนทำให้ช่ออัญชันยิ่งดูตัวเล็กเตี้ยติดดินเพิ่มขึ้นไปอีก จากนั้นมือหนาจึงชี้หน้าเป็นคำสั่งให้ปฏิบัติตาม ดวงตาคู่คมวาวโรจน์อย่างหาเหตุผลไม่ได้ว่าเพราะอะไรเขาถึงไม่รู้สึกดีขึ้นเลยทั้งที่ได้ระบายอารมณ์ขุ่นมัวออกไปกับช่ออัญชัน

“ค่ะ”

คนที่ไม่เคยมีปากมีเสียงกับใครทำได้เพียงรับคำสั่งของอาชาวินสั้นๆ ก่อนลุกไปเก็บกล่องข้าวที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลเพื่อนำกลับไปล้างคืนให้ป้าเนียม สายตาหม่นหมองคลอเคล้าหยดน้ำตามองเม็ดข้าวที่หกอยู่บนพื้นตาปรอย อีกทั้งยังเสียดายไข่เจียวฝีมือป้าเนียมที่เธอไม่มีโอกาสได้กินมันเลยสักคำ จากนั้นจึงเดินถือกล่องข้าวกลับไปทางโรงครัวพลางคิดในใจอย่างปลงๆว่าต่อไปนี้เธอคงไม่มีโอกาสได้กินข้าวกลางวันเหมือนคนอื่นๆอีกแล้วกระมัง คงมีเพียงน้ำเปล่าที่พอจะช่วยเติมลงในกระเพาะเพื่อบรรเทาความหิวโหยจนกว่าจะได้กลับไปกินข้าวเย็นที่บ้านใหญ่

‘อัญหิวข้าวจังเลยจ้ะแม่จ๋า’

******************************

คุยกันนิดนะคะ...

คือตอนนี้ภัคไม่สบายใจมากเลยเกี่ยวกับนิยายเรื่องนี้ เพราะว่า E-book เปิดให้ดาวน์โหลดได้แล้ว ซึ่งความผิดพลาดนี้เป็นเพราะภัคคนเดียวเลย คือไม่คิดว่า E-book จะอนุมัติเร็ว จากตอนแรกตั้งใจว่าจะให้ E-book กับรูปเล่มออกมาใกล้เคียงกัน เลยกลายเป็นผิดแผนไปหมด

ซึ่งภัคนอยด์และรู้สึกผิดกับนักอ่านที่สั่งจองรูปเล่ม เพราะฉะนั้น ภัคเลยจะขอแจ้งว่า รูปเล่มจะเปิดให้จองและโอนเงินถึงวันที่ 5 กพ.61 นี้เท่านั้นนะคะ จะส่งพิมพ์เร็วขึ้น เพื่อให้หนังสือถึงมือนักอ่านเร็วขึ้น ดังนั้นใครที่สั่งจองรูปเล่มไว้หรือคิดที่กำลังจะจอง ภัครบกวนแจ้งการโอนเงินได้ที่แฟนเพจ 'พิจักขณา พิชามญชุ์' หรือ เฟสบุ๊ค 'พิจักขณา พิชามญชุ์ นักเขียน' ภายในวันที่ 5กพ.นะคะ

ขอโทษจริงๆค่ะกับความผิดพลาดสำคัญครั้งนี้

รักคนอ่านที่สุด

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา