ณ ที่ที่รักพร่างกลางใจ

-

เขียนโดย จอมนางค์

วันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2561 เวลา 19.50 น.

  5 ตอน
  0 วิจารณ์
  6,040 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มกราคม พ.ศ. 2561 20.23 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) บทที่ 1

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

1

            เสียงบรรเลงเพลงปี่พาทย์ในงานยังดังก้อง โหยหวน เป็นทำนองโศก ฟ้าพร่างดาว รักษ์บดียังฟังว่าเพลงนั้นคล้ายจะแทนท่วงทำนองในใจของหล่อน ท่วงทำนองเศร้าสร้อยลึกล้ำอันบรรยายได้ยากยิ่ง

            หญิงสาวหมุนล้อเก้าอี้ในมือเบาๆ เพื่อให้เก้าอี้รถเข็นที่จำต้องนั่งชั่วคราวเบนหน้าเข้าหารูปภาพขาวดำของบุคคลผู้เป็นที่รักของหล่อนถึงสามคนด้วยกัน บิดาของหล่อนหิรัญ รักษ์บดี เจ้าบ้านตระกูลรักษ์บดีคนก่อน มารดาของหล่อนและน้องชายใบ้ผู้น่าสงสารที่ต้องลาโลกไปก่อนเวลามากนัก หลายครั้ง... หลายครั้งหล่อนคิด

            น่าจะเป็นเรา... เป็นเราเสียยังดีกว่า

            หาก ความคิดเช่นนั้นไม่อาจช่วยบรรเทาความโศกเศร้าในใจก็เพราะไม่อาจเป็นจริงได้

            ฟ้าพร่างดาวหลุดจากภวังค์เศร้า หล่อนไหวตัวเล็กน้อยเพราะรู้สึกว่ามีเสียงเรียกอย่างสุภาพดังมาจากทางด้านหลัง เมื่อเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริงในปัจจุบันแล้ว เสียงพูดคุยกันที่ดังประสานไปกับเสียงบรรเลงเพลงนั้นกลับดังเป็นคีย์ต่ำๆ น่าเวียนหัว เป็นเสียงของแขกเหรื่อในงานก็ทำให้หล่อนเหมือนจะครองสติไว้ไม่อยู่ หล่อนทราบว่า คนเหล่านั้นกำลังจ้องมองมาที่หล่อน พูดคุยกันถึงเรื่องของหล่อนอย่างสนุกปาก หล่อนทราบก็เพราะว่า ตลอดหลายวันมานี้หล่อนก็ได้ยินแบบนี้มาเข้าหูบ่อยๆ

            ‘น่าสงสาร... ตายกันหมดทั้งบ้าน เห็นเขาว่าคนน้องนั่นน่ะ ผ่าออกมาแล้ว ทั้งตัวมีแต่กระสุน นี่เหลือรอดมาได้คนเดียว ชาวบ้านไปลากออกมาจากกองเพลิง เกือบตายเหมือนกัน’ กับอีกบางประโยคที่บอกความฟอนเฟะในใจมนุษย์ ประโยคน่าคลื่นเหียนที่ลอยมาเข้าหูอยู่เรื่อยๆ ชวนให้หดหู่ใจเหลือจะบรรยาย

            ‘ต๊าย... เหลืออยู่คนเดียวอย่างนี้ก็เปรมน่ะซี สมบัติอื้อซ่า!’   

            คนประเภทไม่รู้จักเห็นใจคนอื่นก็ยังมีอยู่ทุกที่บนโลก ฟ้าพร่างดาวเกลียดคนแบบนั้นมากที่สุด...

            “คุณฟ้าพร่างดาว...” เสียงเรียกช้า ชัดถ้อยชัดคำบอกว่า ไม่คุ้นลิ้นนัก ชื่อของหล่อนนี้ หลายคนมักป้องปากนินทากันว่า ‘คนตั้งชื่อเขากลัวไม่สมเป็นชื่อคุณหนูบ้านเศรษฐี’ ทั้งๆ ความจริงแล้ว ชื่อฟ้าพร่างดาวของหล่อนนี้ มีที่มาที่เห็นควรให้เจ้าของชื่ออย่างหล่อนภาคภูมิใจเป็นที่สุด

            ‘หนูน่ะ คลอดก่อนกำหนดตั้งเกือบสามสัปดาห์’ เมื่อสมัยมารดายังมีชีวิตอยู่ หล่อนและน้องชายมักจะเข้าไปนอนอิงแอบซุกซบอยู่บนเตียงของท่าน มือนิ่ม เย็น คู่นั้นจะลูบศีรษะให้อย่างอ่อนโยน เล่าอะไรๆ ให้ฟัง ‘ตอนนั้นคุณพ่อยังอยู่ที่ภูเรือ จะไปซื้อที่ แม่ก็ติดสอยห้อยตามไปด้วย ไปปุบปับคลอดหนูที่นั่น ในสถานีอนามัย สมัยยี่สิบกว่าปีก่อนนั่นน่ะนะ ไฟฟ้า น้ำประปายังไม่มีบริบูรณ์เหมือนสมัยนี้ ไฟติดๆ ดับๆ อยู่ตลอด ดีแต่ว่าคืนนั้นมีดวงดาวเกลื่อนฟ้าไปหมด เวลาไฟดับก็ได้อาศัยแสงดาว สว่างอย่างกับตอนกลางวัน’

            ชื่อฟ้าพร่างดาวของหล่อนจึงเป็นที่ภาคภูมิใจเสมอมา ยกเว้นวันนี้... หล่อนไม่อยากได้ยิน

            หญิงสาวจำต้องหันกลับมาเผชิญหน้ากับผู้เรียกในที่สุด นายตำรวจสองคนยืนเคียงกัน คนนำหน้าสูงและผอมกับอีกคนรูปร่างท้วมแลดูว่าเป็นคนมีน้ำจิตน้ำใจดีแต่ขณะนี้วางสีหน้าเรียบเฉยน่าอัศจรรย์

            “จำเป็นต้องเป็นตอนนี้หรือคะ?” หล่อนชิงถามเสียก่อน

            “คุณนึกอะไรไม่ออกอีกเลยหรือครับ?” สิ่งที่ตอบกลับมาคือคำถามที่หล่อนไม่อยากตอบ เมื่อสองเดือนก่อนนี้เอง... ฟ้าพร่างดาวยังคิดว่าหล่อนมีความสุขที่สุดในโลก ก่อนจะถูกฉุดให้ร่วงลงสู่นรกทั้งเป็น!

 

            ตระกูลรักษ์บดีเป็นตระกูลคหบดีเก่า อำนาจทางการเงินและงานธุรกิจที่ดำเนินส่งต่อมาจากรุ่นสู่รุ่นคือความมั่งคั่งแท้จริง บิดาหล่อนหิรัญ รักษ์บดี เจ้าบ้านคนปัจจุบันนี้ก็เช่นกัน นอกจากจะครองอำนาจทางการเงินสูงสุดแล้ว ท่านก็ยังต้องแบกภาระทางการบริหารงานไว้เต็มบ่าอีกด้วย ไม่มีเวลาได้พัก ไม่มีความเป็นส่วนตัวใดๆ ยกเว้นโอกาสพิเศษที่ท่านเพิ่งจะมอบให้ครอบครัวหนนี้ ท่านยินดีจะวางภาระบนบ่าลงชั่วคราวโดยวานให้น้องชายร่วมสายเลือดเพียงคนเดียวคืออาของหล่อน หริต รักษ์บดีเป็นผู้ช่วยจัดการให้ชั่วคราว

            ท่านเดินทางไปพักผ่อนครั้งนี้ก็เพื่อหล่อนซึ่งเพิ่งจะสำเร็จการศึกษาจากต่างประเทศและเพิ่งได้บินกลับมาอยู่ร่วมกับครอบครัวไม่นาน มารดาหล่อนและน้องชายอายุสิบสองปีซึ่งมีความบกพร่องทางการพูดสื่อสารต่างก็ยินดี ฟ้าพร่างดาวยังจำรอยยิ้มและเสียงหัวเราะใสที่ดังคลอในบรรยากาศที่บ้านพักหัวหินในตอนนั้นได้ ก่อนที่ภาพเหล่านั้นจะลอยหาย... กลายเป็นผืนนรกในทะเลเพลิง

            ครอบครัวของหล่อนถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม!

            เสียงแรกในคืนสงัดสงบนั้นคือเสียงกรีดร้องบาดอารมณ์ของมารดาหล่อน ฟ้าพร่างดาวสะดุ้งตื่นทั้งยังขดตัวอยู่ในโปงผ้าห่ม ไขสันหลังเย็นเยียบขณะประสาทสัมผัสเขม็งเกรียว รับรู้ว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับมารดาของหล่อน เสียงร้องคร่ำครวญร่ำไห้ สะอึกสะอื้นราวจะขาดใจทำให้น้ำตาหล่อนปริ่มไปด้วยทั้งๆ ยังไม่ทันทราบว่าเกิดเหตุอะไร หญิงสาวสูดหายใจเข้า กอดน้องชายใบ้ที่ลุกนั่งด้วยสีหน้าตื่นตระหนกเอาไว้ข้างๆ กันขณะอีกมือสาละวนดึงผ้าห่มออกจากตัวน้อง พาเดินเข้าในห้องชั้นลึกเข้าไปอย่างเงียบกริบ หัวอกหัวใจเต้นระทึก หล่อนหวาดกลัว และน้องก็หวาดกลัว... ฟ้าพร่างดาวเป็นพี่ หล่อนอยากเป็นหลักยึดให้น้อง แต่จะทิ้งบิดามารดาเอาไว้ตามยถากรรมได้หรือ?

            ‘อยู่ในนี้’ หล่อนกระซิบ ทำภาษามือประกอบกันบอกน้อง ‘พี่จะไปดูพ่อกับแม่ อย่าไปไหนนะ’

            แรก... มือเล็กๆ นั้นเหนี่ยวเอาแขนเสื้อเอาไว้แน่นไม่ยอมบ่อยจนกระทั่งหล่อนจุมพิตที่หน้าผากชื้นเหงื่อนั้นเข้าอย่างปลอบขวัญทีหนึ่ง น้องชายจึงยอมปล่อย

            ฟ้าพร่างดาวค่อยคลานออกจากเงามืดทั้งๆ แข้งขาสั่น ได้แต่ภาวนาว่า บิดาและมารดาจะปลอดภัย

            หล่อนหวังว่า อะไรๆ คงไม่ร้ายเกินไปนัก มารดาอาจแค่ฝันร้าย หรืออาจมีใครคนหนึ่งล้มในห้องน้ำ เป็นเหตุทั่วไป หญิงสาวคิดว่า รอบคอบไว้ก่อน เอาตัวน้องไปซ่อน เผื่อมีอะไรร้ายแรงหรือใครบุกเข้ามายามวิกาล อย่างน้อยเด็กชายก็จะรอด

            เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของคุณวิภาดามารดาหล่อนเงียบกริบลงทั้งยังสะอื้นค้าง เสียงนั้นขาดหายไปราวกับปิดสวิตช์ ฟ้าพร่างดาวสับเท้าเร็วขึ้น ยังไม่กล้าร้องถาม  หล่อนยังไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น วิ่งไปดูให้ถึงที่จะดีกว่า

            หล่อนชะงักกึกตรงตีนบันได

            มีเงาคนเดินวนไปมารอบๆ ไม่คุ้นตาเอาเสียเลย

            เมื่อครู่นี้ มารดาของหล่อนร่ำไห้เรียกบิดาครั้งแล้วครั้งเล่ารวมกับเสียงสะอื้น ครั้นแล้วก็เงียบกริบลงไปด้วยกันพร้อมๆ กับเสียงคลื่นทะเล

            อะไร... เกิดอะไรขึ้น หล่อนงงงันเหมือนถูกทุบ ชะโงกศีรษะออกไปนิดหนึ่งเพื่อดูสถานการณ์ฟ้าพร่างดาวทรุดลงทั้งยืนระหว่างซอกบันได มองออกไปอย่างนี้ หล่อนเห็นมือเปื้อนเลือดบนพรมหนา มือนั้นสวมแหวนแต่งงานที่มารดาไม่เคยถอดเลยตลอดเท่าชีวิตของหล่อน

            หญิงสาวขดตัว เก็บขา ซุกหน้าลงระหว่างหัวเข่าตั้งชันและสั่นระริก ลาดไหล่บางสะท้านเพราะกลั้นสะอื้น หญิงสาวทราบว่า หล่อนได้เสียขวัญชีวิตทั้งสองของหล่อนไปแล้วแต่ภัยร้ายก็ยังอยู่ตรงหน้าจำเป็นต้องตั้งสติและหลบเลี่ยงภัยอีกต่อไปเพื่อน้องชายที่ยังเหลือรอดและซุกตัวอยู่ที่ชั้นบนสุดของบ้าน หล่อนได้แต่ปล่อยให้น้ำตาไหลเงียบๆ ความรู้สึกต่างๆ โถมเข้าในอกเหมือนคลื่นคลั่งเมื่อยามทะเลมรสุม บ้าคลั่ง สั่นไหว ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเป็นความหวาดกลัว เสียใจ หรือคลั่งแค้น หากในอกหล่อนเป็นเหมือนลูกโป่งก็คงจะระเบิดออกมาด้วยความรู้สึกที่อัดแน่นราวจะฉีกทึ้งทั้งร่างให้แหลกสลายลง

            หญิงสาวหลับตา กลืนก้อนสะอื้นลงในอกขณะมือทั้งสองควานไปทางด้านหลังอย่างช้าๆ ในความมืด พอคว้าเจอก้านเหล็กยาวๆ ก็จับเต็มมือ คิดว่าจะกระชากออกมาถือเอาไว้เป็นอาวุธ หล่อนคิดผิด!

            ฟ้าพร่างดาวไม่ทันออกแรงดึง หล่อนบิดข้อมือผิดรูปนิดเดียวเท่านั้น ปลายงอของก้านเหล็กแท่งนั้นก็เกี่ยวเอาแจกันเก่ากลิ้งหล่นลงมา เสียงแตกดังเปรื่องสะเทือนบรรยากาศ!

            เหตุการณ์ต่อจากนั้นคือความชุลมุน หล่อนพยายามจะดิ้นรนหนีชายสวมไอ้โม่งสองคนที่โดดเข้าหาพยายามจะจับตัวหล่อน ฟ้าพร่างดาวกลิ้งหลบ ท่อนเหล็กที่คิดจะเอามาเป็นอาวุธนั้น พอถึงตรงปลายงอแล้วก็คือตะขอแหลม หล่อนแทงออกไปทั้งตัวยังกลิ้งคลุกฝุ่นอยู่บนพรม หญิงสาวส่งเสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือแล้วตะขอแหลมก็ไปเกี่ยวโดนปลายแขนเสื้อเจ้าคนผอมสูงเข้าอย่างแรงจนมันร้องและสะบัดแขน หล่อนเห็นสีแดงฉานเป็นทางยาวบนพื้นผิวเนื้อที่เป็นรอยสัก แสงจันทร์ส่องให้แลเห็นร่องรอยบนแขนนั้นชัดเจน หล่อนจำได้ติดตา!

            ‘ห่า! ฤทธิ์มากนัก’ มันสบถขณะสะบัดแขนเร่า เลือดไหลเป็นทาง เสียงแหบทุ้มชวนขนลุกนั้นน่ารังเกียจจนฟ้าพร่างดาวต้องเบ้หน้า หล่อนมัวระวังตัวอยู่ทางด้านหน้า พอไม่ทันสังเกตเจ้าคนอ้วนด้านหลัง มันก็เล่นงานเอาด้วยท่อนไม้แข็งๆ กระหน่ำฟาดหล่อนลงมาไม่ยั้งแรงตรงบ่าและท้ายทอยของหล่อน ฟ้าพร่างดาวเจ็บจนจุก หล่อนร้องไม่ออก และมันก็ไม่เปิดโอกาสให้ร้อง ดูก็รู้ว่าคนที่มามีเจตนาฆ่ามากกว่าจะหวังในทรัพย์

            และก็จริง! พอหล่อนแน่นิ่งไปมันก็ยืนมองเฉย ไม่คิดจะแตะต้องเอาทรัพย์สินจากตัวหล่อน ไอ้คนผอมที่ถูกหล่อนใช้ตะขอเกี่ยวจนเลือดไหลโทรมปราดเข้ามายืนชิด กระทืบซ้ำเข้าที่หน้าท้องหล่อนอย่างโกรธจัด

            ‘พอแล้วลูกพี่’ ไอ้คนอ้วนร้องห้าม ‘ตายห่าจนไม่รู้จะไปเกิดใหม่ยังไงแล้วมั้ง ...คนใหญ่คนโตเสียด้วย ตำรวจจะเล่นเราไหมนี่?’ หล่อนฟังเสียงนั้นด้วยสติที่เลื่อนลอย เบลอเหมือนภาพเก่า เจ็บแค่ไหนก็ไม่มีแรงจะสะดุ้งสะเทือนให้เห็นอีกแล้ว กระดูกคงจะพังหมดทั้งตัว มันปวดจนคิดว่า ถ้าตายแล้ว คงจะพ้นทรมาน ถ้า... ถ้าหล่อนหลับตา ยอมตายไปเสีย...

            ‘นายบอกจะใช้เส้นปิดคดีให้เอง มึงอย่าปากมากไปนักเลย’

            สติสุดท้ายของหล่อนรับรู้เพียงสองร่างนั้นเดินควานหาปืนที่หล่นอยู่บนพื้น เสียงเดินขึ้นบันได้และสุดท้าย... กลิ่นควันไฟคลุ้งเข้าในปากในจมูก หล่อนนอนรอความตายกับเสียงที่แว่วเหมือนดังฝากมากับลม

            ‘พร่างอยู่นะลูก... อย่าตาย’

            ใครเล่าที่จะได้ผลประโยชน์สูงสุดจากการตายของครอบครัวหล่อน ใครเล่าถ้าไม่ใช่คนมีสายเลือดเดียวกัน!

           

            หล่อนลืมตาตื่นขึ้นมาเมื่อสัปดาห์ก่อนนี้เอง พร้อมๆ กับได้รับฟังว่า ตัวเองรอดมาได้อย่างไรขณะคนอื่นตายหมด แม้กระทั่งน้องน้อยที่หล่อนพาไปซ่อนไว้ พยายามป้องกันจากอันตรายเอาไว้ทุกทาง!

            ‘ชาวบ้านเขาไปลากพร่างออกมาจากกองเพลิง มันจุดไฟเผาบ้านหมด...’ หล่อนฟังที่อาเล่า จับความได้บ้างไม่ได้บ้าง กับที่พยาบาลหลุดปากพูด

            ‘คุณโคม่าอยู่เป็นนาน ปาฏิหาริย์แท้ๆ ที่ฟื้นขึ้นมาได้’

            ครอบครัวอบอุ่น แสนสุข บัดนี้เหลือเพียงเศษซาก นอกจากนั้น... ราวกับมอดไหม้ไปในทะเลเพลิง ที่ดีที่สุดคือคนเป็นอากระซิบบอกเสียงแหบ

            ‘อารอ... พร่างฟื้นเมื่อไร เราจะจัดงาน...’ คนพูดยั้งปากราวคำ... ศพ เป็นถ้อยคำหนักหนาเหลือเกินกว่าหัวใจจะรับได้ ‘จัดงานส่งพ่อกับแม่ และน้องชายของพร่าง ครอบครัวที่จากไปของเราสู่สวรรค์’

            ถ้อย... ลึกซึ้ง งดงามเพียงใด ไม่อาจเปลี่ยนความจริง

            จากไป... หมดแล้ว หล่อนไม่เหลือใคร!

            มีคนมากหน้าหลายตาเวียนมาเยี่ยม จะเป็นญาติหรือคู่ค้าของบริษัท ที่เป็นญาติ ให้ห่างกันแค่ไหนก็ยังอุตส่าห์มา ฟ้าพร่างดาวไม่รู้สึกรู้สม หล่อนจมอยู่กับความเศร้าลึกล้ำในอก หญิงสาวไม่รู้ว่าใครเข้ามาด้วยเจตนาอย่างไรบ้าง คำพูดที่ล้วนให้กำลังใจและบอกว่าเป็นห่วงเป็นใยเหลือเกินนั้น จริงใจต่อหล่อนแค่ไหน สำนึกที่คอยย้ำเตือนว่า หล่อนไว้ใจคนพวกนี้ไม่ได้คือสิ่งที่ฟ้าพร่างดาวฝังใจจำ คนร้ายที่มา นอกจากจะหวังในชีวิตแล้ว พวกมันไม่ได้แตะต้องอะไรอย่างอื่น คนที่จะได้รับผลประโยชน์อันนับเนื่องมาจากความตายของครอบครัวหล่อนคือใครบ้าง หญิงสาวพยายามคิด หล่อนไม่ได้คำตอบ แต่บอกตัวเองว่า ใครคนนั้นต้องรวมอยู่ในคนพวกนี้ล่ะ!

            คนหน้าเนื้อใจเสือ!         

 

            “ฉันจำได้เท่านั้น... เท่าที่ได้บอกไปเมื่อวานนี้” หล่อนพูดออกมาในที่สุด

            นายตำรวจมองหน้ากันแล้วถาม

            “จำได้แต่เสียงหรือ?”

            “พวกมันไม่ได้หวังทรัพย์สิน” หล่อนพูด รู้สึกว่าโมโห อาการเจ็บทางร่างกายและอารมณ์หลังเกิดเหตุร้ายแรงทำให้หล่อนกลายเป็นเจ้าอารมณ์ทั้งๆ เคยใจเย็น หล่อนได้ยินที่อาหล่อนและฐากรพี่ชายร่วมบ้านซึ่งเป็นลูกชายของอาคุยกับหมออย่างกังวลเรื่องอารมณ์ร้ายๆ ของหล่อนในระยะนี้

            ‘ถ้าดูแลดีๆ ให้กำลังใจกันอีกเดี๋ยวก็จะดีขึ้น’ แพทย์ยืนยัน ‘ผลข้างเคียงหลังจากประสบเหตุร้ายแรงมา ทำให้คนไข้อารมณ์ร้อนได้เหมือนกัน เตือนว่าระยะนี้ให้พักผ่อนมากๆ อย่างให้มีอะไรรุนแรงมากระทบใจนัก ไปวัดบ่อยๆ ก็จะดี’

            “ครับๆ” นายตำรวจพูด “ตรวจสอบที่เกิดเหตุแล้วทรัพย์สินอยู่ครบก็สันนิษฐานว่าอย่างนั้น แต่ได้ยินเสียงนี่ มันพิสูจน์ยาก”

            “รอยสักใบไม้” หล่อนถอนหายใจ พยายามระงับอารมณ์ “ฉันวาดรูปให้เมื่อวานนี้ ...เป็นใบโคลเวอร์”

            นายตำรวจยืนนิ่งขึงอย่างจนปัญญา กลุ่มคนมีรอยสักที่ว่าก็มีข้อมูลตรงกับกลุ่มค้ายาเสพติดและฟอกเงินรายใหญ่ ลำพังหาตัวจากประเด็นค้ายาว่ายากแล้ว การสืบหาว่า ใครคือคนในกลุ่มจริงๆ หรือใครแค่บังเอิญไปมีรอยสักเหมือนคนในกลุ่มค้ายานั้นยิ่งยากกว่า เกือบจะเรียกว่าจับมือใครดมไม่ได้ ไม่ใช่กรณีที่หาตัวผู้ต้องสงสัยไม่ได้ แต่ผู้ต้องสงสัยมีมากเกินไปจนจับไม่ถูก!

            แล้วอย่างนี้จะไปตามจับใครมาให้หล่อนฟังเสียง และ ...ต่อให้ฟังเสียงแล้วหล่อนยืนยันว่าใช่ การใช้ความจำเรื่องเสียงเป็นการยืนยันตัวคนร้ายในชั้นศาลมีน้ำหนักน้อยกว่าน้อย

            “ฉันใช้เหล็กข่วนรอยสักนั้นด้วย ต้องมีแผลเป็น” หล่อนยังอดทนบอก

            ฟ้าพร่างดาวระแวงตำรวจก็เพราะ สิ่งที่ได้ยินยังดัง... ติดแน่นอยู่ในหู

            ‘นายจะใช้เส้นปิดคดีให้เอง...’

            นี่เองทำให้เจ้าตัวคิดอยู่ตลอดเวลาว่า แม้แต่ตำรวจก็ยังเชื่อใจไม่ได้!

            หล่อนใจหายวาบ           

            แล้วอย่างนี้ ใครจะช่วยเราได้?

            ฉะนั้น นายตำรวจสองคนซึ่งดูออกว่าพยานมีอคติกับการทำงานของตนจึงได้จนใจ สิ่งที่หล่อนรู้ ‘ไม่ค่อยจะ’ เป็นประโยชน์ แต่ก็อีก ส่วนมากเช่นกัน เจ้าหน้าที่ต้องสืบหาจากคำให้การที่ไม่ค่อยเป็นประโยชน์เหล่านี้แหละ

            “จะพักไหมลูก?” คนเป็นอา พอเห็นหลานสาวเริ่มจะ ‘พาล’ จึงเดินเข้ามา ลูบหลังลูบไหล่ถาม ฟ้าพร่างดาวเคยเป็นคนอารมณ์เย็น ตอนนี้ หล่อนอยู่ในสถานะแค่ ‘เคย’ เท่านั้น ก่อนที่หล่อนจะแสดงกริยาไม่สมควร คนเป็นอาจึงยืนจ้อง คุมเชิงอยู่ตลอดเวลา ขณะนายตำรวจสองคนลงความเห็นในใจ

            ‘ตามใจเกินไป!’

            และเพียงแค่คนเป็นหลานพยักหน้า แสดงความจำนงว่าจะพักตามคำชี้ช่อง หริต รักษ์บดีจึงได้หันไปเจรจากับตำรวจ

            “ขอพักก่อน หลังพิธีศพเถอะ ค่อยมาใหม่ ถึงเวลานั้นคงสะดวกกว่านี้”  

            นายตำรวจทั้งสองพยักหน้าเพราะต่างคนต่างรู้ เมื่อคนประสบเหตุกับตัวบอกว่าไม่พร้อมเสียแล้ว ตำรวจจะรีดเร้นอย่างไรได้

            “...ครับ... ” นายตำรวจอ้วนผอมทำความเคารพครั้งหนึ่งก่อนเดินกลับออกจากงาน ฟ้าพร่างดาวเพิ่งจะลดมือลงจากที่กระพุ่มมือไหว้ด้วยสีหน้าไม่ยินดียินร้าย หูยังแว่วได้ยินเสียงสองนายตำรวจคุยกัน “อาทิตย์หน้า หมวดเตกลับใช่ไหม? คดีคงเปลี่ยนมือ ไปจัดการเอาเองก็แล้วกัน”

            หญิงสาวรับฟัง ถอนหายใจ หล่อนทราบดีว่าขณะนี้อารมณ์ตัวเองไม่ปกติ ที่เคยมองอะไรๆ ได้อย่างสดใส บัดนี้ทุกอย่างขุ่นมัว ขวางหูขวางตาไปหมดด้วยความหวาดระแวง ในการทำงานของตำรวจ การโอนย้ายคดีเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้เสมอ ‘หมวดเต’ คนนี้คงจะเป็นคนที่จะมารับคดีต่อ จะไว้ใจได้แค่ไหนก็ไม่ทราบ

            ฟ้าพร่างดาวกุมขมับ หล่อนรู้สึกว่า ในสมองกำลังเต้นเร่า รุนแรงเหมือนจะระเบิด!

 

            พิธีศพผ่านมาแล้วเกือบสองสัปดาห์แต่อารมณ์ของหญิงสาวก็ยังขุ่นมัว เศร้าหมองอยู่นั่นเอง บ้านรักษ์บดีภายหลังจากงานศพเงียบเหงามาก เดิมทีเจ้าบ้านก็คือนายหิรัญ รักษ์บดีบิดาของหล่อน เมื่อสิ้นบิดาหล่อนแล้ว ฟ้าพร่างดาวก็เป็นเจ้าบ้านอย่างสมบูรณ์ เป็นไปตามกฎของตระกูล ตำแหน่งเจ้าบ้านจะถ่ายทอดสู่ลูกคนแรกเสมอ

            บ้านหลังใหญ่ ทรัพย์ศฤงคารอันประเมินค่ามิได้ ใครๆ ก็ปรารถนาจะได้นัก ดูว่างเปล่า... เวิ้งว้าง ฟ้าพร่างดาวไม่เห็นค่า ไม่อยากจะได้

            ที่หล่อนต้องการมีเพียง...

            ถ้า... ถ้าความตายครั้งนี้จะปราณีเสียหน่อยก็คงดี ถ้าคนที่หล่อนรักได้จากไปอย่างสงบ ไม่ต้องทุกข์ทรมาน อนาถอย่างสภาพที่เห็น ฟ้าพร่างดาวคงทำใจได้บ้าง ไม่ทุกข์ร้อนถึงอย่างนี้

            ไฟที่มันจุดเผาบ้าน คร่าชีวิตพ่อแม่และน้องชายหล่อนเหมือนจะยังลุกโชนอยู่ แผดเผาใจของหล่อนให้ยิ่งร้อนรน ยิ่งได้ตระหนักว่า คนที่อยู่เบื้องหลังความตายอย่างทารุณในครั้งนี้คือคนใกล้... ฟ้าพร่างดาวยิ่งโศกเศร้า

            หญิงสาวรู้สึกว่าแข้งขาเปลี้ยไปหมดเมื่อทรุดนั่งลงบนเก้าอี้นวมตัวเล็กแบบปรับความสูงได้สำหรับใช้เล่นเปียโน นิ้วมือเรียวยาวดุจรำเทียนนั้นกดเบาๆ ลงบนสีขาวพร่างของคีย์สูงๆ ต่ำๆ

              แตร๊ง... แตร๊ง...

            น้องชายของหล่อนเคยใช้เปียโนหลังนี้... แม้พูดไม่ได้ แต่น้องชายผู้อาภัพก็เคยได้รับยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะ เพราะมีประสาทหูรับรู้ได้ไวรวมเข้ากับความบริสุทธิ์ไร้เดียงสา แนวทางดนตรีจึงแปลกและสดใส น้องชายหล่อนรู้ว่า เมื่อนิ้วมือกดลงไปบนคีย์เปียโน พ่อแม่ และหล่อนซึ่งเป็นพี่สาว จะยิ้ม และหัวเราะ แกจึงชอบ

            เปียโนสีขาวหลังนั้นยังตั้งอยู่ น้องน้อยเท่านั้นจากไปแสนไกล

            ดวงตาสวยซึ้ง... อมโศกจ้องมองโน้ตเพลง พรมนิ้วลงบนคีย์เบาๆ บรรเลงท่วงทำนองอ่อนหวาน เศร้าสร้อย อาลัยอาวรณ์ดุจจะตัดพ้อในโชคชะตา

            หล่อนหยุดเมื่อมีเสียงเคาะประตูเบาๆ ดังจากทางด้านหลัง

            “คุณตำรวจมาขอพบค่ะ เอ้เชิญไปที่ห้องรับรองปีกซ้าย...” คนเคาะโผล่เข้ามารายงาน

            “ไม่ต้อง... เชิญเขามาที่นี่แหละเอ้ ฉันจะคุยที่นี่” ที่นี่ ...คือห้องดนตรีสีขาว กว้างและกรุวัสดุสะท้อนเสียง ไม่มีที่นั่งสำหรับรับแขก คนที่เข้ามารายงานไม่เห็นว่า คุณพร่างจะรับแขกได้ที่ตรงไหน คนจะต้องรับแขกเท่านั้นรู้ ในใจตัวเองที่คิดอย่างพาลๆ ว่า

            ‘จะได้รู้ ว่าเราไม่ต้อนรับ!’

            ฟ้าพร่างดาวไปอยู่ต่างประเทศเสียนาน หล่อนมีเพื่อนน้อยกว่าน้อยแต่ก็ยังมีชยุตา เพื่อนสมัยเด็กให้พอได้อาศัย สองคนเป็นเพื่อนสนิทกันที่แม้ตอนนี้ก็ไม่เคยขาดการติดต่อกัน เมื่อสมัยเรียนอยู่ต่างประเทศ แม้จะเรียนอยู่ต่างเมือง ก็ยังหาโอกาสนั่งรถไปนอนคุยกันเสมอ แต่หล่อนมีชยุตาคนเดียวซึ่งก็... เหมือนหล่อนแหละใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศมากกว่าบ้านเกิดตัวเอง ชยุตาเสียอีกกลับมาทีหลังหล่อนคือเมื่อหล่อนประสบเหตุชยุตาก็รีบบินกลับมาอยู่ดูแล หากต่อมาเมื่อเหตุสงบลง คนเป็นเพื่อนก็ต้องรีบจับตั๋วเครื่องบิน บินกลับเสียโดยเร็วด้วยเหตุผลว่า

            ‘แม่ทำงานคนเดียว ล้มเสียแล้ว!’ เจ้าตัวจึงร้อนรนกลับไป และทั้งๆ ใจจริงฟ้าพร่างดาวอยากจะติดสอยห้อยตามกลับไปด้วยเพราะถึงอยู่ ก็เหมือนต้องอยู่คนเดียว แวดล้อมด้วยคนใกล้แต่ไม่คุ้นเคย ไม่รู้ใจกัน คนที่หล่อนหวาดระแวงใจไว้ทุกเมื่อว่า อาจจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุฆาตกรรมที่เกิดขึ้นกับครอบครัวหล่อน

            ชยุตานี่แหละที่บอกหล่อนว่า

            ‘จำไอ้หมวยได้ไหม? แล้วรู้ไหมทำไมมันขับรถชนคนถึงไม่ติดคุก!’ ชยุตากังวลนักก็เพราะเคยแซวกันเล่นๆ ว่า กฎหมายก็เหมือนบ้านผุ มีช่องโหว่ให้คนผิดรอดผ่านเยอะ ยิ่งคนมีเงิน จ้างคนมานั่งมองหาช่องโหว่เข้า ช่วยๆ กันหาช่องโหว่มาแก้ต่างได้มากสำนวนในคดีที่ส่งฟ้องก็จะยิ่งอ่อนลงๆ โทษที่ได้รับก็จะยิ่งเบาลงอย่างน่าใจหาย ‘ตอนชนนะ ไม่มีแมวอยู่สักตัว แต่พอคดีถึงตำรวจ พยานฝ่ายยัยหมวยแทบจะไม่มีที่ยืน!’

            เพราะอย่างนี้ ฟ้าพร่างดาวจึงเชื่อนักว่า หล่อนไม่มีทางจะพึ่งใครได้นอกจากตัวเอง!

            เจ้าตัวยังนั่งเหม่อลอยตอนที่รู้สึกว่า ใครคนหนึ่งเดินเข้ามาหยุดอยู่เบื้องหลังและกระแอมดังๆ แทนการบอกว่า ‘มาแล้วนะ’

            “ร้อยตำรวจโทเตมินทร์ ศิริอนันต์ครับ” หญิงสาวฟังเสียงทุ้มนั้นและคิดในใจว่า เสียงของเขามีกังวานน่าฟังจริง อย่างกับว่าเสียงนั้นก้องออกทางช่องท้องไม่ใช่เพียงเปล่งจากลำคอ นุ่มและทุ้ม เจือกระแสอ่อนโยน

            “ค่ะ...” เจ้าตัวตอบรับสั้น หากก็ยังไม่หันกลับไปมองอยู่นั่นเอง ดวงตาอมโศกทั้งคู่ยังคงมองเหม่อออกไปทางนอกหน้าต่าง ไกล... ราวกับไร้จุดสิ้นสุดกระนั้น

            เออ... ไม่ยักหันมาคุยกันดีๆ หรอก

            นายตำรวจผู้มาใหม่ชักฉุน

            “ผมมาถามเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้น ถ้าคุณพร้อมจะเล่า...” เสียงทุ้ม สุภาพนั้นคล้ายจะหยั่งเชิง

            “ค่ะ” หล่อนยังคงตอบรับสั้น

            “คุณให้การว่า คุณต่อสู้กับคนร้ายทั้งสองคน?”

            “ถ้าเรื่องนั้น ใบตรวจร่างกายของแพทย์คงยืนยันได้ดีมังคะ?” คนตอบไม่แยแสแม้จะพยายามระงับกระแสเสียงให้อ่อนเบา สุภาพตามมารยาท ในความทรงจำ ประดาญาติ ‘ห่างๆ’ กระซิบกระซาบกัน เสียงนั้นยังคล้ายจะดังอยู่ถึงตอนนี้

            ‘สู้จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้... รอดมาได้นี่ อาจจะแค่สร้างสถานการณ์ว่าบังเอิญรอด ที่แท้...’ เสียงกระซิบหยุดลงเพียงนั้น คนพูดและคนฟังต่างก็ ‘รู้กัน’ ว่า ‘ที่แท้...’ อะไร

            ไม่มีใครรู้เรื่องจริงสักคนแต่ก็ยังพูดกัน ถ้าไม่เชื่อที่หล่อนพูด จะเวียนมาถามกันทำไมนัก!

            วันนี้ เมื่อได้ยินคำถามซ้ำ เจ้าตัวจึงรู้สึกเหมือนถูกสะกิดแผลในใจ

            “ใบรับรองแพทย์ไม่ได้บอกนี่ครับว่าคุณใช้ตะขอเกี่ยวแขนคนร้ายท่าไหน ลึกหรือเปล่า... ชนิดที่ว่า อาจทำให้เกิดแผลเป็น” คราวนี้เสียงทุ้ม เบา ออกกระด้าง บอกอารมณ์ซึ่งเริ่มจะขุ่นมัว เตมินทร์รู้ชัด

            หล่อนมีอคติ ไม่ยอมให้ความร่วมมือเต็มที่!

            ฟ้าพร่างดาวชะงัก หล่อนสูดลมหายใจเข้าแล้วนิ่งอั้นอย่างระงับอกระงับใจ

            “ลึกค่ะ” หล่อนตอบ “ถ้าตำรวจที่ทำงานมาก่อนหน้าคุณจะใส่ใจบันทึกเอาไว้สักนิดก็จะรู้ว่า ดิฉันบอกไปแล้วเรื่องที่ดิฉันเกี่ยวข้อมือคนร้ายเป็นแผลลึก บอกด้วยว่าจะใช้เป็นเบาะแสได้ ก็ต้องหมายความว่าดิฉันคิดว่ามันจะต้องเป็นแผลเป็นใหญ่ทับอยู่บนรอยสักไม่ว่าจะรักษาดีแค่ไหน” หญิงสาวเสียงสะบัดอย่างถอนฉุน

            “เขาบันทึกไว้ตามที่ได้ยินครับ ตำรวจไม่มีสิทธิ์ตีความจากข้อมูลครึ่งๆ กลางๆ หรอก” คนพูดลอยหน้า เป็นกริยาที่เจ้าตัวเท่านั้นรู้ว่ากำลังรวนคนตรงหน้า “นี่นะคุณฟ้าพร่างดาว” ตอนที่ออกเสียง ‘พร่าง’ ตัวกล้ำ ร. ดูจะชัดเจนเกินจำเป็น ‘ไปหน่อย’ คนนั่งฟังที่หูหาเรื่องอยู่แล้วจึงเกิดอาการ ‘หนวดกระดิก’ ทั้งๆ เจ้าตัวก็ไม่มีหนวด

            “...”

            “ตามปกติแล้วนี่ คนที่รอดมาจากเหตุฆาตกรรมทำนองนี้และมีรายชื่อเป็นคนที่ได้รับผลประโยชน์สูงสุดจะตกเป็นผู้ต้องสงสัยลำดับต้นๆ เลยนะ คุณควรจะให้ความร่วมมือมากๆ หน่อยจะดีกว่า”  คนกำลังรวน ชักจะลืมๆ จรรยาบรรณไปเสียบ้างว่า ตำรวจต้องมีหน้าที่เป็นมิตร มีมนุษยสัมพันธ์อันดีและมีความสุภาพอ่อนโยนต่อประชาชน

            ตอนนี้ตำรวจ กำลังรวนประชาชน

            ผู้หญิง... ตัวเล็กนิดเดียว แต่เป็นคุณหนู คงจะถูกตามใจมามากถึงได้แลดูเอาแต่ใจนัก เจ้าตัวไม่คิดจะรักษาน้ำใจแขก ไม่เชิญนั่ง ไม่หันมามอง ไม่ยอมพูดดีๆ ด้วยซ้ำ อย่างนี้ ...มันน่าจะสุภาพอ่อนโยนด้วยไหมล่ะ?

            ‘ประชาชน’ ทำท่าจะสู้ตำรวจ เพราะพอเขาพูดประโยคนั้นจบ ร่างเล็ก แบบบางเสียยิ่งกว่าตุ๊กตาแก้วคล้ายจะหยัดกายตรง ลมหายใจอั้นอย่างระงับโทสะ ดวงหน้าที่มองเห็นจากด้านข้างว่าเรียว เล็ก เป็นรูปไข่เหมือนใบหน้าเด็กสาวมากกว่าผู้หญิงสาวที่เรียนได้ปริญญาจากต่างประเทศถึงสองใบแล้วกลับเชิดรั้นขึ้น คอแข็ง ตั้งบ่าตรงแลกระด้างได้อย่างน่าประหลาด เจ้าหล่อนหันขวับ กลับมามองเขาเป็นครั้งแรกนับแต่เจอกัน รวดเร็วและแรงเสียจนน่ากลัวว่าคอจะเคล็ด และ... เป็นครั้งแรกเช่นกัน เตมินทร์ได้มองเต็มตา

            ดวงหน้าพริ้มเพรา จิ้มลิ้ม ชวนพิศ เสียที่ติดจะงอง้ำ และคิ้วเรียวสวยขมวดมุ่น นัยน์ตาซึ้ง อมโศกลุกวาวราวกับประกายในหน้าตัดของนิลกาฬ ริมฝีปากสีระเรื่ออ่อนหยัดเม้มแน่นเข้ากระนั้นก็แลดูออกว่า ยามริมฝีปากนั้นคลี่คลาย แย้มเยื้อน คงจะราวกลีบกุหลาบผลิบาน ปลายจมูกโด่งเล็ก รั้น เชิดขึ้นอย่างถือทิฐิ เตมินทร์ได้แต่ยืนมองค้าง ลืมที่จะปรับสีหน้าให้เป็นมิตรขึ้น!

 

            กวนโมโห!

            ฟ้าพร่างดาวมองคนตรงหน้า หล่อนคิดว่า คงจะไม่ลืมใบหน้ากวนอารมณ์แบบนี้ไปอีกนานหรอก จะจำไว้!

            ‘เขา’ ที่ยืนตรงหน้า สูงใหญ่ ประเปรียวไหล่กว้างใหญ่และแผงอกตึงสอบเข้าหาสะโพกเพรียว ผิวคร้ามเข้มคงเพราะถูกแดดเผา ลำคอหนารับกับลูกคางตัดตรง ดวงหน้าเรียวออกเค้าคมสัน และทำให้แลดูกระด้างได้เหมือนกัน คิ้วตัดตรงพาดเฉียงรับกับตายาวใหญ่ ทรงอำนาจข้างหนึ่งยกขึ้นนิดๆ อีกข้างทำกระดิกๆ ยั่วอารมณ์ รอยยิ้มบนเรียวปากหนา กระด้าง คล้ายแสยะ ตรงเคราเขียวครึ้มและไรหนวดจางๆ ขึ้นอยู่เหนือริมฝีปากชวนให้เข้าใจว่าทำงานหนักจนไม่มีเวลาดูแล แต่ฟ้าพร่างดาวคิดอย่างคนไม่ชอบหน้ากันว่า อาจจะนอนเพลินเสียก็ได้ถึงตื่นมาไม่ทันโกน น่าจะเอาบังตอสับ!

            “คุณเข้าใจว่ายังไงล่ะคะ?” หล่อนถามสำเนียงประชด ที่ผ่านมาแม้จะเจ้าพยศ ฟ้าพร่างดาวไม่เคยแสดงกริยากับใครอื่น ฟ้าพร่างดาวในสังคมคือคุณหนูฟ้าพร่างดาว รักษ์บดีผู้บริสุทธิ์งดงาม ระเหิดระหงส์ ทระนงยิ่งเหนือกว่าบุรุษใด

            ‘พร่างเป็นลูกคุณพ่อนี่คะ จะมาทำเล่นๆ ให้คนอื่นเขาดูถูกได้ยังไง?’  

            วันนี้หล่อนแหกกฎของตัวเอง

            “ก็อีก” คนตรงหน้ายักไหล่ กระพริบตาปริบ “ผมเป็นตำรวจเหมือนกันนะคุณ จะไปคิดอะไรก่อนมีหลักฐานน่ะ ไม่ได้...” หางเสียงลากยาวตอนท้ายนั่นแหละที่ทำให้คุณหนูบ้านรักษ์บดีร่ำๆ จะทำผิดกฎหมายด้วยการทำร้ายเจ้าพนักงานเสียด้วย

 

            ว่ากันตามจริงแล้ว เรื่องการสอบปากคำอันเป็นเป้าหมายที่มาถึงบ้านรักษ์บดีในวันนี้ไม่ค่อยจะ ‘ได้เรื่อง’ สักเท่าไร เนื่องจากมัวไปตีฝีปากอยู่กับเจ้าบ้านคนใหม่อยู่ เตมินทร์ที่เพิ่งจะกลับจากไล่ล่าตัวคนร้ายที่ต่างจังหวัดจึงได้หงุดหงิดเป็นพิเศษ และเฉพาะวันที่หงุดหงิดเป็นพิเศษเท่านั้น ฝีปากนายตำรวจหนุ่มจะคมเป็นพิเศษเช่นกัน เมื่อเจ้าบ้านเดินออกมาส่งแขกที่หน้าบ้านแล้ว เตมินทร์ซึ่งกำลังจะนั่งรถกลับจึงถามออกไปอย่างใจคิด

            “สิ่งที่คุณได้ยินมานี่ นอกจากจะทำให้ระแวงญาติแล้ว ยังจะทำให้ระแวงตำรวจด้วยหรือเปล่า?” คราวนี้ คำถามทำให้คนถูกถามนิ่งอั้น

            “...”

            “ตัวอย่างประโยคก็เช่นว่า... มันซื้อตำรวจไว้แล้ว เส้นใหญ่มาก ไม่โดนจับหรอก” คนถามยังลอยหน้าพูด และพอเห็นกริยาหล่อนเพียงเท่านั้น ชายหนุ่มก็ทราบทันทีว่า สิ่งที่เขาลองหยั่งเชิงหล่อนไปนั้นคงจะมีส่วนถูก “คุณฟ้าพร่างดาว... เอาจริงๆ แล้วผมคงไม่กล้าพูดเต็มปากว่าตำรวจทุกคนเป็นคนดี เอาแค่ว่าผมเป็นคนดีบริสุทธิ์ เอ้า! นี่แค่พูดสมมติให้ฟังยังอายปากเลย คนเรามันมีส่วนดีส่วนไม่ดี องค์กรตำรวจก็เหมือนกัน แต่ลองไว้ใจผมสักคน ...รับรอง ผมไม่รับเงินที่ผมไม่ได้ลงแรงทำงานสุจริตแลกมา”

            “...” หญิงสาวไม่ทราบว่า หล่อนได้แสดงสีหน้าแบบใดออกไปกันแน่ แต่พอจะก้าวขึ้นรถ เขาก็ยิ้มให้ อย่างอ่อนโยนระคนเห็นใจและให้กำลังใจ

            เป็นครั้งแรกที่หัวใจหวาดระแวงไปด้วยความกลัว ความทุกข์ท้อระคนสิ้นหวังเหมือนได้รับการปลดปล่อย ช่องว่างจากวันที่เกิดเหตุร้ายจนวันนี้ราวกับถูกเติมเต็มด้วยประโยคอบอุ่น เรียบง่าย ประสาทของหล่อนคล้ายจะบิดเกลียว เขม็งเครียดมานับตั้งแต่วันนั้น เสียงกรีดร้องเรียกสามีที่รักราวจะขาดใจของมารดาหล่อน น้องน้อยที่ตัวสั่นเทาในอ้อมกอด ดวงตาไร้เดียงสามีแวววิงวอน ร้องขอให้หล่อนเป็นที่พึ่งสุดท้าย แต่หล่อนก็ทำอะไรไม่ได้เลย ทุกคนตายหมด หล่อนรอด คิดกี่ครั้ง... กี่หน หล่อนก็อยากจะตายตกตามกันไปให้หมดสิ้นเวรกรรมเสียที การต้องทนอยู่โดยลำพัง ไร้ซึ่งผู้คนอันเป็นที่รัก รายล้อมด้วยผู้คนซึ่งคอยแต่จะมองด้วยสายตาสมเพชเวทนา หวาดระแวง กล่าวหากันไม่จบไม่สิ้น...

            เจ็บปวดเหลือเกิน...

            กว่าที่จะทันรู้ตัว หล่อนก็ยุดข้อมือหนาของเขาเอาไว้แน่นเสียแล้วราวกับจะยึดเอาเขาเป็นที่พึ่งด้วย

            “...” ฟ้าพร่างดาวมองหน้าเขาสลับกับมือตัวเอง รู้สึกว่า ยังมึนงงเหมือนอยู่ในอุโมงค์ มองไม่เห็นทางจะเข้าใจได้ว่า หล่อนกำลังรู้สึกอย่างไรแน่ ความเต็มตื้อในอกขณะนี้คือความรู้สึกชนิดไหนกัน?

            “...” เขานิ่ง มองหล่อนและก็ยิ้ม รู้สึกเหมือนจะเข้าใจว่า หล่อนกำลังสับสน ชายหนุ่มยังไม่ทันพูดอะไรและหล่อนก็ยังนึกคำพูดไม่ออก นายตำรวจนอกเครื่องแบบอีกคนก็โผล่หน้าออกมาจากทางที่นั่งคนขับ ถามเสียงเฉย หน้าเฉยว่า

            “หมวดจะกลับหน่วยยังครับ?”

            ‘ผู้หมวด’ เส้นกระตุกนิดๆ ก่อนจะหันไปมองลูกน้อง “กลับจ่า ...กลับ ว่าแต่เมียจ่าจะคลอดละเรอะ?” ที่ถาม เพราะรู้สึกว่าจ่าจะรีบจัด เมียจ่าท้องป่องมาสี่ห้าปีแล้วตั้งแต่รู้จักกันมา อาจจะเกิดเจ็บท้องคลอดขึ้นมาตอนนี้ก็ได้!

            จะรีบทำไมนัก? คนถูกเร่งขมวดคิ้ว นึกหาเหตุแห่งความรีบ ครั้นแล้วก็ได้คำตอบ อ้อ... เจ้าตัวเพิ่งนึกได้ วันนี้วันหวยออก!

            “พรุ่งนี้ผมมาใหม่” ให้อย่างไร ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะหันไปบอกกล่าวกับ... สาวน้อย นัยน์ตาสวยอมโศก สายตาที่ทอดมองมาวิงวอนราวกับเด็กหลงทาง หลายครั้ง อาชีพของเขาทำให้ต้องคลุกคลีอยู่กับความเศร้าโศกชนิดที่ประเมินไม่ได้ อาชญากรรมรุนแรงเกิดขึ้นทุกวัน และ... น้อยกว่าน้อยที่หลังเหตุการณ์ร้ายผ่านไป ผู้ถูกกระทำจะมีสภาพจิตใจเป็นปกติได้ ฝันร้ายนั้นตามหลอกหลอนจนวันที่ใครต่อใครลืมแล้ว คนประสบเหตุยังจำ เป็นภาพย้ำ ติดตา!

            คงเพราะอย่างนี้ เราจึงรู้สึกอาทรต่อหล่อนนัก

            เตมินทร์บอกตัวเอง

            หล่อนดูเหมือนจะยังตั้งตัวไม่ถูกเมื่อเขาปลดมือเล็กที่เกาะกุมออก บีบเบาๆ อย่างสุภาพและให้กำลังใจ ตอนนั้นเอง เสียงตะโกนดังลั่น

            “ระวัง!” เตมินทร์หันกลับไปมอง ชายสองคนบนรถจักรยานยนต์คลุมหน้าคลุมตามิดชิด ในมือของคนซ้อนมีปืนสีฉาบปรอทเล็งตรงมา สัญชาติญาณสั่งให้ร่างกายขยับไปตามทางโรยกรวด ตรงที่ร่างน้อยนั้นยืนตกตะลึง ตัวแข็งค้าง โถมเข้าใส่หล่อนทั้งตัวและกดให้นอนคุดคู้อยู่ใต้ร่างเขาก่อนที่เสียงกรีดร้องของหล่อนจะดังกลบหู

            “กรี๊ด!”

            ตามด้วยเสียงระเบิดกระสุนจากรังเพลิงดังเปรื่อง เลื่อนลั่น สะเทือนในบรรยากาศ

            ปัง!

            ชั้นแรก เตมินทร์รู้สึกว่าประสาทสั่นเพราะความชา และเพียงอึดใจต่อมา ความเจ็บปวดถึงขีดสุดก็แล่นปราดเข้าจับไขสันหลัง ลามไปทั่วทั้งร่างกายทำให้ต้องทรุดฮวบลงกองบนร่างเล็กที่กำลังกระปรกกระเปลี้ยเพราะความหวาดกลัว เนื้อตัวของหล่อนสั่นอย่างรุนแรงและเหมือนกับจะช็อกไปคาที่เมื่อเห็นปริมาณเลือดที่ไหลราวกับน้ำ

            “คุณ... คุณ! ไม่นะ!” หล่อนผวาเข้าหาเขา สองแขนโอบกอดเขาและออกแรงดึงหวังจะฉุดให้ลุก

            “หมวด! หมวด!” คนในรถวิ่งออกมาอย่างชุลมุน กับอีกกลุ่มหนึ่งที่ไล่ตามคนร้ายซึ่งหนีไปทันที จากนั้น คนสวนที่วิ่งไปกระจายข่าว พาให้คนในบ้านวิ่งออกมาดูด้วยสีหน้าตื่นตระหนก มีเพียงคนเดียวที่วิ่งรั้งมาตามหลังแจ้งว่า

            “คุณหริตกำลังตามหมอให้ค่ะ ท่านสั่งให้ออกมาบอกว่าอย่าเคลื่อนย้ายคนเจ็บโดยไม่จำเป็น” ฟ้าพร่างดาวไม่ได้ฟัง หล่อนพยายามจะเรียกเขา

            “คุณ! คุณ! คุณรู้สึกตัวเอาไว้นะ มองฉัน!” หล่อนตะโกน ภาพร่างโชกเลือดของพ่อ แม่และน้องชายผู้อาภัพทับซ้อนเข้ามาในห้วงความคิด

            อีกคน... อีกคนหนึ่งแล้ว... นี่ยังจะต้องมีใครสังเวยอีก เมื่อไรมันจะจบเสียที!

            เตมินทร์ไม่ได้ยินอะไรเลย ในสติที่เลื่อนลอย เขาได้ยินเสียงร้องไห้ กรีดเสียงโฮๆ ราวกับเด็ก ใครก็ไม่ทราบ... ร้องเรียกให้ตื่น

            ไม่ต้องกลัวหรอกน่า... สัญญาแล้ว พรุ่งนี้จะมา!

***********************************************************

สวัสดีทั้งนักอ่านใหม่และเก่า รวมถึงคนที่ติดตามมาจากไอดีก่อนหน้าด้วยนะคะ ขิมเอง ยังไงฝากคอมเม้นติ-ชม พูดคุยเป็นกำลังใจกันได้ผ่านทางช่องคอมเม้นท์ด้านล่างค่ะ อย่าลืมแอด ขิม จอมนางค์ ในเฟสบุคหรือกดติดตามเพจ จอมนางค์ เพื่อติดตามข่าวสาร เม้ามอยกับขิมได้ ถ้าจะทวงนิยายให้ทวงเบาๆ ในอินบ็อกซ์ (อายเขา-///-)

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ จุ๊บเหม่งที^3^

ขิม (จอมนางค์/K-Tears)

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา