จอมใจเหนือแผ่นดิน

-

เขียนโดย ลู่เสียน

วันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2561 เวลา 16.30 น.

  3 ตอน
  1 วิจารณ์
  4,345 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 21 มกราคม พ.ศ. 2561 16.40 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) จอมใจเหนือแผ่นดิน02

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

วันงานฉลองตรุษจีน

 

             “ขอฝ่าบาททรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่นหมื่นปี!!”

เสียงโห่ร้องของเหล่าขุนนางและทหารน้อยใหญ่ต่างพากันสรรเสริญทำเคารพต่อเบื้องพระพักต์ฮ่องเต้ผู้ทรงด้วยอำนาจและคุณธรรมที่ค่อยๆย่างกรายเข้ามาในงานฉลอง ด้วยท่าทางน่ายำเกรงพร้อมกับเหล่าสนมและนางกำนันมากมายตามขบวน ก่อนที่จะเอนพระวรกายลงบนบัลลังค์มังกรด้วยพระพักตร์ที่สดใส

            “วันนี้เป็นวันดี ขอให้เหล่าขุนนางทั้งหลายจงสำราญให้เต็มที่”

            “ขอบพระทัยฝ่าบาท!”

       เสียงดนตรีค่อยๆประโคมดังขึ้นพร้อมกับนางรำหลายนางที่กำลังเริงระบำอย่างงดงามสร้างความสุขแก่ผู้ที่ได้ชมยิ่งนัก หากแต่ว่า ใจของจอหงวนฝ่ายบู้ปีนี้กลับไม่ได้อยู่ที่งานฉลอง อาจจะเพราะเขาเป็นคนที่ไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้อยู่แล้วหรือเป็นเพราะในใจจริงๆแล้ว เขากำลังรอคอยอะไรอยู่ แม้ท่าทางของเว่ยอู๋จี้จะอยู่ในท่าทีสำรวมวางเฉย แต่แววตากลับว่างเปล่าอย่างเห็นได้ชัด

            “การสอบจอหงวนในปีนี้เป็นที่น่ายินดีกับท่านอัครเสนาบดีที่มีบุตรชายที่ฉลาดหลักแหลมเช่นเจ้า”

ฮ่องเต้ทรงยิ้มก่อนจะสั่งนางกำนันให้นำเหล้าหนึ่งจอกไปมอบให้แด่บุตรชายของอัครเสบดีที่ตอนนี้ได้แต่นั่งข้างผู้เป็นบิดา ที่วางท่าทางสุขุมและวางเฉยต่อสายตามากมายที่มองมายังเขา

           “ฝ่าบาททรงชมเกินไปแล้วพะยะค่ะ”เว่ยอู่จี้คำนับฮ่องเต้ที่อยู่เบื้องหน้าก่อนจะหยิบจอกเหล้าจากนางกำนันขึ้นมาดื่ม

           “ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่แล้วล่ะ”

           “ทูลฝ่าบาท ปีนี้กระหม่อมอายุ 20 ปีบริบูรณ์พะยะค่ะ”

           “รูปร่างหน้าตาเช่นเจ้า คงจะมีหญิงงามหมายปองเยอะไม่น้อย เจ้ามีชายาหรือล่ะ”

            “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมยังไม่มีพะยะค่ะ”

            “ดี! ดียิ่งนัก งั้นข้าจะประทานสมรสให้แก่เจ้าเพื่อเป็นรางวัลในการสอบของเจ้าดีหรือไม่”

          “สุดแล้วแต่ฝ่าบาทจะทรงเห็นควรพะยะค่ะ”

          “ฝ่าบาทเพคะ เว่ยอู๋จี้คนนี้ดูท่าทางฉลาดหลักแหลมแถมหน้าตายังหล่อเหลาสมชายชาตรี หากฝ่าบาททรงเลือกคู่ให้เขามั่วซั่ว เกรงว่าอาจจะมีคนตำหนิเราได้...ที่หม่อมฉันพูดแค่อยากเตือนฝ่าบาทนะเพคะ”พระสนมเอกหนิงเฟยกล่าวด้วยท่าทางขบขัน แต่แววตาและความคิดนั้นกลับแฝงไว้ด้วยความหมายหลายอย่าง

          “นั่นสินะ ข้าเองก็คงต้องคิดหนักเสียแล้ว”

          “หากฝ่าบาททรงตรัส มีหรือที่ใครจะกล้าตำหนิพระองค์ กระหม่อมน้อมรับทุกคำตัดสินของฝ่าบาทพะยะค่ะ”เว่ยอู๋จี้พูดพลางคำนับลงอย่างนอบน้อม แม้คำพูดของเขาจะดูเถรตรงไปเสียหน่อยแต่ก็ออกมาจากใจจริงของเขาทั้งสิ้น คำสั่งของฮ่องเต้คืออาญาสิทธิ์เหนือทุกสิ่งเป็นสิ่งที่ขัดขืนไม่ได้ นี่คือสิ่งที่เขายึดถือมาตลอด

          “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ดี!ไหนเจ้าลองบอกข้าซิ ว่าเจ้ามีหญิงงามคนใดอยู่ในสายตาหรือไม่”

         “ไม่มีพะยะค่ะ”

         “ถ้าเช่นนั้นข้าจะประทานสมรสให้เจ้ากับองค์หญิงของข้าดีหรือไม่”

สิ้นคำพูดของฮ่องเต้ ขุนนางทั้งหลายต่างซุบซิบกันหนาหู

         “ฝ่าบาท...จะทรงเลือกใครให้เป็นคู่สมรสแก่เว่ยอู่จี้คนนี้ดีล่ะเพคะ”

          “อืมม….”

     ฮ่องเต้ทรงใช้สายตามองเหล่าองค์หญิงทุกพระองค์ที่เข้ามาร่วมงานในวันนี้ ทุกคนต่างก็มีทีท่าว่าพร้อมยอมใจที่จะแต่งงานกับเว่ยอู๋จี้คนนี้อย่างแน่นอน หากผู้เป็นบิดายอมเอ่ยออกมา ทั้งหน้าตาอันหวานคม รูปร่างที่สมชายชาตรี ฐานะ และความฉลาดหลักแหลม พูดรวมๆได้เลยว่าไม่มีสิ่งไหนที่ขาดตกบกพร่องไปแม้แต่น้อย  ทางด้านของหนิงเยว่ องค์หญิงองค์โตเองก็หมายปองเว่ยอู๋จี้เอาไว้อยู่แล้วเช่นเดียวกัน

          “ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันคิดว่าในบรรดาองค์หญิงทั้งหมดนั้น คนที่สมควรจะแต่งงานได้แล้ว คือหนิงเยว่นะเพคะ”พระสนมเอกเอ่ยถึงลูกสาวคนเดียวของนาง ทันทีที่สนมเอกกล่าวหนิงเยว่ก็ยิ่้มอย่างเสียไม่ได้

         “นั่นสินะ หนิงเยว่เองก็ฉลาดและงดงาม...ว่าแต่ ซือเซียนยังไม่มาอีกหรือ”

         “เอ่อ...ยังเพคะ”

         “เจ้าลูกคนนี้นี่นะ ทำให้ข้าต้องเป็นกังวลอยู่เรื่อย....งั้นก็ให้ซือเซียนแต่งกับเว่ยอู๋จี้ละกัน”

         “ห..หืม..ฝ่าบาทเพคะ”สนมเอกหนิงเฟยถึงกลับเผลออุทานขึ้นมาเพราะนึกไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะทรงประทานสมรสให้กับซือเซียน เพราะเมื่อกี้ยังทรงทำท่าว่าจะยกหนิงเยว่ให้เว่ยอู๋จี้อยู่เลยแท้ๆ ทางด้านหนิงเยว่เองก็ถึงกับหน้าเสียอยู่พักนึงก่อนจะชักสีหน้ายิ้มหวานเหมือนเดิมเพื่อกลบสีหน้าที่ผิดหวังนั้น

          “ทำไม ซือเซียนไม่ดีตรงไหนความฉลาดหลักแหลมใช่ว่าจะด้อยกว่าหนิงเยว่แถมความงามก็หาใครเปรียบได้ แบบนี้สิเหมาะสม หรือเจ้ามีปัญหาอะไรหรือ”

          “ป..เปล่าเพคะ เพียงแต่ซือเซียนพึ่งจะอายุครบ 15 ปีหม่อมฉันเกรงว่านางจะไม่ยินยอมนะเพคะ”

          “คำสั่งฮ่องเต้มีหรือที่นางจะไม่ยอม ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าขอยกซือเซียนให้เป็นชายาของเว่ยอู๋จี้ และให้เว่ยอู๋จี้ดำรงตำแหน่งเป็นเสนาบดีกรมยุติธรรม”

          “ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น หมื่นปี”เว่ยอู่จี้ หลังจากที่มีพระราชโองการออกมาก็รีบน้อมรับอย่างเสียไม่ได้ ใบหน้าที่ปกตินั้น นิ่งสุขุมเย็นชาแต่ตอนนี้กลับมีรอยยิ้มที่มุมปากฉายขึ้นมาในดวงหน้าหวานคมนั่น ทางด้านฝ่ายขุนนางและผู้เป็นบิดาต่างก็ยิ้มยินดีกับเขา ทั้งชื่นชมและอิจฉาที่ได้หญิงงามอันดับหนึ่งมาเป็นชายา

      

       คืนวันแต่งงาน

เจ้าสาวที่อยู่ในชุดสีแดงที่ถูกคลุมหน้าไว้ สีหน้าที่อยู่ในผ้าคลุมนั้นเต็มไปด้วยความไม่พอใจและขัดเคืองเต็มอยู่ในอก ก็รู้ทั้งรู้ว่าต้องมีสักวันที่ผู้เป็นบิดาจะต้องประทานสมรสให้แก่นาง แต่ก็ไม่คิดว่าจะเร็วเสียขนาดนี้ แถมเจ้าบ่าว นางเองก็ไม่เคยประสบพบเจอมาก่อน จนกระทั้งวันเข้าพิธีนี่แหละ แม้หน้าตา ท่าทาง รูปร่าง จะกล่าวได้ว่างามสมชายชาตรีหรืองดงามเกินกว่าบุรุษทั่วไป แต่นางก็ไม่อาจหักห้ามใจที่จะขุ่นเคืองต่อเขาอย่างเสียไม่ได้

           ใจไร้รัก อยู่ไปจะมีความสุขได้อย่างไร

ซือเซียนได้แต่ตัดพ้อกับตัวเองอยู่ในในใจภายในห้องหอคนเดียว ในขณะที่เจ้าบ่าวออกไปต้อนรับแขกอยู่ที่ด้านนอก

          เอี๊ยดด…

เสียงประตูห้องค่อยๆเปิดออกพร้อมกับร่างสูงเปลี่ยวที่ก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามาอย่างมาดมั่น สีหน้าที่นิ่งขรึมอยู่เป็นปกติตอนนี้ก็ยังนิ่งขรึมอยู่อย่างนั้น ร่างสูงค่อยก้าวย่างเข้ามาใกล้ผู้เป็นชายาของตนก่อนจะนั่งลงบนเตียงข้างนางและใช้มือหนาของตนเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวออก ในนาทีนั้นแววตาของทั้งสองสบตากันนิ่ง ไม่รู้ว่าเพราะสบตากันครั้งแรกหรือเพราะเหตุผลอะไร ทำให้ทั้งสองต่างหยุดนิ่งอยู่อย่างนั้น เหมือนตกอยู่ในพวังความคิด ดวงหน้าขาวใสของซือเซียนเริ่มแดงขึ้นไปถึงใบหูจนเว่ยอู๋จี้สังเกตเห็นได้ คงเป็นเพราะนางไม่เคยอยู่ใกล้ชายขนาดนี้กระมัง จิตใจถึงได้ลอยละลิ่วไปไกลไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเช่นนี้ หรือนี่อาจจะเป็นอาการที่เขาเรียกกันว่า เขินอายกันนะ

             “ท..ท่านจะไม่พูดอะไรกับข้าหน่อยหรือ”ซือเซียนเอ่ยด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน เพราะบุคคลเบื้องหน้าเอาแต่จ้องมองนางอยู่อย่างงั้น

            “จะให้ข้าพูดอะไรดีล่ะ….เจ้างามมากอย่างนี้หรือ”

เว่ยอู๋จี้ว่าด้วยน้ำเสียงขบขันหากแต่แววตายังคงจ้องมองดวงหน้าหวานนั้นไม่แม้แต่กระพริบตา แววตาคมกำลังจ้องมองอย่างกรุ่มกริ่มเหมือนคิดอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา

          “ข..ข้าต้องบอกท่านให้รู้ก่อนล่วงหน้า ว่าข้าไม่ได้เต็มใจที่จะแต่งงานกับท่าน”ซือเซียนพูดด้วยท่าทางตีท่าขรึมจริงจัง จนทำให้เว่ยอู๋จี้เองก็เกือบหลุดขำท่าทางที่แสนจะไร้เดียงสาของนาง

           “ข้ารู้”

           “ข้าต้องบอกท่านล่วงหน้าอีกว่า ข้าไม่ได้มีใจเสน่หารักท่านเหมือนหญิงหลายๆนางในแคว้นนี้”

           “ข้ารู้”

           “ข้าต้องบอกท่านล่วงหน้าอีกว่า ข้าไม่ยินยอมนอนร่วมเรียงเคียงหมอนกับคนที่ข้าไม่ได้รัก”

           “ข้ารู้”

      ซือเซียนเอียงคอมองหน้าชายผู้อยู่เบื้องหน้าอย่างฉงน ในขณะที่เว่ยอู๋จี้เองก็เอาแต่มองดวงหน้าหวานนั้นนิ่ง

            “นี่ท่านพูดเป็นแต่คำว่า ข้ารู้ คำเดียวเองอย่างนั้นหรือ”ซือเซียนจ้องเขม็งด้วยอารมณ์ที่เริ่มจะขุ่นมัว

            “แล้วจะให้ข้าพูดอะไรดีล่ะ”

            “อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่คำว่า ข้ารู้แล้ว”

            “ถ้าเช่นนั้น ข้าก็คงจะพูดกับเจ้าถึงความในใจของข้าว่าเองก็ไม่ได้มีทางเลือกเช่นเดียวกับเจ้า แต่ข้าก็ต้องขอบคุณเจ้า ที่ยอมแต่งงานกับข้าโดยดีถึงแม้ว่าเจ้าจะไม่ได้รักข้าและข้าก็อาจจะไม่ได้รักเจ้า แต่เรื่องนอนร่วมกันเราสองคนไม่อาจเลือกได้เพราะแต่งกันมาแล้วจะไม่นอนด้วยกันก็กระไรอยู่ แต่ข้าสัญญา ว่าข้าจะไม่ทำอะไรเจ้า...หากเจ้าไม่ขอ”

             “นี่ท่าน!...”

ร่างบางถึงกับลมออกหูเมื่อเห็นท่าทียียวนและคำพูดกวนประสาทของเขา นางดูคนผิดไป คิดว่าชายที่นางแต่งด้วยจะเป็นคนไม่ต่อล้อต่อเถียง ไม่รู้จักการหยอกล้อหรือพูดยียวนกวนประสาท นางคิดผิดไปจริงๆ ร่างสูงในตอนนี้ได้แต่ยิ้มกรุ่มกริ่มอยู่อย่างนั้นก่อนที่จะเอื้อมมือไปคว้ามือเรียวบางของซือเซียนอย่างถือวิสาสะจนทำให้ร่างบางชักสีหน้าอย่างตกใจ

          “นี่ท่าน ไหนบอกว่าจะไม่ทำอะไรข้าไง”

          “ข้าบอกว่าจะไม่ทำอะไร แต่ตอนนี้ข้าแค่แตะต้องตัวเจ้าเท่านั้น”ว่าจบร่างสูงก็ถือวิสาสะช้อนร่างบางขึ้นด้วยท่าอุ้มเจ้าสาว ใบหน้าของทั้งสองใกล้กันเพียงคืบ ทำให้ซือเซียนตอนนี้มีความรู้สึกว่าหน้าของนางเองมีความร้อนมากเกินไป

       เว่ยอู๋จี้พาร่างบางที่อยู่ในอ้อมอกมาวางลงที่เตียงนอนอย่างเบามือ ร่างบางที่ตอนนี้ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกก็ได้แต่นอนนิ่งไม่ไหวติง เว่ยอู๋จี้ค่อยๆดึงผ้าห่มห่มให้ร่างบางที่นอนอยู่ข้างตนด้วยท่าทีที่แสนจะอ่อนโยน หากคนภายนอกได้เห็นภาพนี้ คงจะต้องอุทานเป็นแน่ว่า เว่ยอู๋จี้ที่ชีวิตที่เติบโตมา ไม่รู้จักการโอนอ่อนต่อหญิงใดมาก่อนกำลังห่มผ้าให้กับชายาผู้งดงามของตนอยู่

          “วันนี้เหนื่อยมากแล้ว เราควรที่จะนอนกันได้แล้ว ใช่หรือไม่ ฮูหยิน” ใบหน้าหวานคมคลี่ยิ้มออกมาก่อนที่จะโน้มใบหน้าที่แสนจะหล่อเหลานั้นเข้ามาใกล้ดวงหน้าหวานอย่างถือดี

           “...ที่ท่านพูดก็ถูก”ซือเซียนค่อยเอียงตัวหนีไปทางข้างเพื่อหลบใบหน้าที่ทำให้ใจนางต้องทำงานหนัก และเพื่อหลบสายตาที่ฉายแววกรุ่มกริ่มนั่น

           “หึๆ…”เว่ยอู๋จี้เองก็เห็นว่าร่างบางหลับตาพริ้มลงไปแล้วก็เอนร่างหนาของตนลงนอนข้างๆนางด้วยรอยยิ้มบางๆที่เปื้อนอยู่บนใบหน้าและหลับตาลงในที่สุด…


อ่านแล้วฝากคอมเมนต์ติชม เพื่อเป็นแนวทางในการเขียนนิยายด้วยนะครัชช

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา