ปาฏิหาริย์รักข้ามพิภพ

-

เขียนโดย Richa

วันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 เวลา 10.03 น.

  14 ตอน
  0 วิจารณ์
  12.19K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 10.09 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) สูญเสียความทรงจำ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

“น้ำ” หญิงสาวผู้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เธอลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตัวเธอเองนอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงคนไข้ของโรงพยาบาล ผมเปียของเธอที่ผู้เป็นแม่ถักไว้ให้ยังคงยุ่งเหยิงอยู่บนศีรษะแต่เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนสีเข้มที่เธอใส่ในวันเดินทางได้ถูกเปลี่ยนเป็นชุดสำหรับคนไข้ของโรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว

บริเวณแขนทั้งสองข้างของหญิงสาวมีลอยถลอกยาวเป็นทางหลายเซนติเมตร ลักษณะของบาดแผลคล้ายโดนกรงเล็บของสัตว์มีคมขีดข่วนแต่เธอกลับไม่ได้สนใจจะสำรวจร่างกายของตัวเองเลยแม้แต่น้อย เธอจ้องมองขึ้นไปบนเพดานด้านบนอย่างเหม่อลอยและพยายามจะนึกทบทวนถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น แต่สิ่งที่เธอค้นเจอมีเพียงแค่ความว่างเปล่าในความทรงจำ

“น้ำ” เสียงที่คุ้นเคยเอ่ยเรียกชื่อเธอ เธอตัดสินใจละสายตาจากเพดานเบื้องบนและชำเลืองมองไปยังเจ้าของเสียงเรียกนั้น ใบหน้าขาวซีดของน้ามะปรางก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าข้างเตียงคนไข้ของเธอ แต่สิ่งที่แตกต่างไปจากทุกวันคือวันนี้น้ามะปรางไม่ได้แต่งหน้าจัดเต็มเหมือนเช่นทุกวันและเสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ไม่ใช่สีสันสดใสแต่เป็นชุดสีดำ

“น้ามะปราง” น้ำเอ่ยเรียกชื่อน้าสาวออกไปอย่างแผ่วเบาในทันทีที่เธอจดจำใบหน้านั้นได้

“รถเกิดอุบัติเหตุ รถชนกับสัตว์หรือวัตถุอะไรบางอย่าง” น้ำพึมพำคล้ายกับว่าเธอกำลังพยายามจะคิดทบทวนถึงภาพเหตุการณ์ในอุบัติเหตุวันนั้น แต่ภาพเหตุการณ์เหล่านั้นมันก็ไม่ยอมปรากฏขึ้นมาในสมองของเธอเลยแม้แต่น้อย เธอจำได้เพียงว่า เธอมองเห็นมัน มันเคยชัดเจนแต่ทำไม? ตอนนี้ภาพแห่งความทรงจำนั้นมันถึงได้จางหายไปเหมือนกับหน่วยความจำส่วนนั้นถูกลบออกไปจากสมองของเธอ

“น้ำจำไม่ได้!!! ทำไมน้ำจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น!!” น้ำบ่นพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงตกใจ แม้เธอจะพยายามเรียกหาความทรงจำนั้นเท่าไหร่ มันก็ยังคงมีแต่ความว่างเปล่าอยู่เช่นเดิม

หญิงสาวกำลังติดกับอยู่ในความมืดมิดหรือมีใครบางคนมาสร้างกำแพงบางอย่างเพื่อปิดกั้นความทรงจำของเธอเอาไว้ มันยังคงก้ำกึ่งระหว่างไม่เคยเกิดขึ้นเลยหรือมันเกิดขึ้นแล้วแต่ถูกลืมเลือนไปแล้ว แต่ประเด็นสำคัญมันอยู่ที่ว่าเธอจดจำอะไรไม่ได้เลย ภาพสุดท้ายที่เธอพอจะจำได้คือแสงสีขาวสว่างเจิดจ้า แล้วแสงนั่นมันก็นำเธอดิ่งลงสู่ความมืดมิด

“น้ามะปราง พ่อกับแม่ของน้ำเป็นยังไงบ้าง? พ่อกับแม่ปลอดภัยใช่มั้ย? พ่อกับแม่พักรักษาตัวอยู่ห้องไหน?” หญิงสาวยิงคำถามเร็วรัว พร้อมกับหันไปมองโดยรอบแต่ก็มองไม่เห็นแม้แต่เงาของผู้ถูกเอ่ยถึง

ตอนนี้หญิงสาวนอนพักรักษาตัวอยู่ยังห้องพักพิเศษที่ทางโรงพยาบาลได้จัดเตรียมไว้สำหรับคนไข้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว ซึ่งในห้องนี้มีเพียงเธอคนเดียวเท่านั้นที่นอนเป็นคนไข้อยู่และมีน้ามะปรางที่ยังคงยืนหน้าซีดอยู่ตรงหน้าเธอพร้อมกับนายตำรวจหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งยืนอยู่เคียงข้าง

“ช่วยพาน้ำไปหาพ่อกับแม่ทีซิคะ น้ำเป็นห่วงพ่อกับแม่เหลือเกิน พ่อกับแม่ของน้ำอยู่ที่ไหนคะ?” น้ำพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนกับน้าสาว เธอไม่ได้สนใจว่านายตำรวจหนุ่มคนนั้นจะเป็นใคร เขาอาจจะเป็นชายที่เข้ามาพัวพันกับน้ามะปรางก็เป็นได้

“น้ำ!!!” น้ามะปรางเอ่ยเรียกชื่อของเธอออกมาอย่างยากลำบากและกล้ำกลืนที่สุดในชีวิต

“ทำใจดี ๆ ไว้นะ ตั้งใจฟังน้าให้ดีนะ” น้ามะปรางพูดออกมาอย่างช้า ๆ

เกิดอะไรขึ้นคะ? น้ามะปราง เกิดอะไรขึ้นกับพ่อและแม่ของน้ำ?” น้ำเอ่ยถามออกไปอย่างร้อนรน หัวใจของเธอเต้นระรัวรอคำตอบจากน้ามะปรางอย่างมีความหวังว่ามันจะไม่ใช่ข่าวร้าย

“พ่อกับแม่ของน้ำ” น้ามะปรางหยุดเว้นจังหวะไปเพียงหนึ่งอึดใจ “เสียชีวิตแล้ว” ในที่สุดน้ามะปรางก็พูดออกมาได้สำเร็จแม้จะตะกุกตะกักและเชื่องช้าพร้อมกับน้ำตาที่รินไหลลงมาอาบแก้มทั้งสองข้าง

“ไม่จริง!!!” หญิงสาวกรีดร้องออกมาสุดเสียงพลางสะอื้นไห้อย่างยอมรับความเป็นจริงไม่ได้

“น้ามะปรางโกหก!!! บอกซิ! น้ามะปรางโกหก!!!” หญิงสาวกุมมือน้ามะปรางของเธอเอาไว้พลางส่ายหน้าไปมาพร้อมกับส่งเสียงร้องและสะอื้นไห้ออกมาอย่างน่าเวทนา

แม้น้ามะปรางจะได้รับทราบข่าวร้ายมาก่อนหน้าและทำใจได้บ้างแล้วแต่จากสภาพตรงหน้าที่ต้องทนดูหลานสาวของเธอกำลังร่ำไห้อย่างน่าเวทนา น้ามะปรางก็สงสารจับใจ เธอโผล่เข้ากอดหลานรักพลางสะอื้นไห้ไปพร้อม ๆ กัน

“มันเกิดอะไรขึ้นกับพ่อและแม่ของน้ำ? น้ามะปรางบอกน้ำซิ? มันเกิดอะไรขึ้น?” น้ำสะอื้นถามขณะที่กำลังกอดคอน้าสาว น้ำตาไหลรินลงมารดต้นคอของน้าสาวจนเปียกแฉะ

“ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น” น้ามะปรางตอบพลางสะอื้นไห้ เธอใช้มือลูบไล้ไปตามศีรษะของหลานสาวอย่างเห็นอกเห็นใจ

“มีคนเห็นน้ำนอนหมดสนิทอยู่ริมแม่น้ำโขง” เสียงของนายตำรวจหนุ่มหน้าตาดีในชุดตำรวจเต็มยศยืนอยู่ถัดจากน้ามะปรางพูดแทรกขึ้นมา

“น้ำ นี่ผู้หมวดรุจน์” น้ามะปรางแนะนำ “ผู้หมวดรุจน์คอยดูแลคดีของน้ำและพ่อกับแม่ของน้ำ”

“มันไม่จริงใช่มั้ยคะ? ผู้หมวดรุจน์ น้ามะปรางโกหกใช่มั้ยคะ?” น้ำผละออกจากอ้อมกอดของน้าสาวขณะที่เธอหันไปถามนายตำรวจหนุ่มพร้อมกับรอตอบที่ขัดแย้งกัน

“มันคือเรื่องจริง พ่อและแม่ของน้ำได้เสียชีวิตแล้ว” คำยืนยันของผู้หมวดรุจน์ คือสายฟ้าที่ฟาดลงมากลางศีรษะของหญิงสาว เธอกำลังโดนฟ้าผ่าลงมายังกลางกบาลอย่างไม่ทันตั้งตัวและมันก็กำลังแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ

“ทางเราสันนิษฐานว่า รถพ่อของน้ำขับมาอย่างเร็วและคงเบรกกะทันหันจนทำให้รถเสียหลักและพุ่งลงสู่ด้านล่าง น้ำนั่งอยู่เบาะหลังและเปิดกระจกเอาไว้ บวกกับไม่ได้คาดเข็มนิรภัยจึงกระเด็นออกมานอกตัวรถ ส่วนพ่อและแม่ของน้ำยังติดอยู่ในตัวรถ จนกระทั่งรถพุ่งลงสู่แม่น้ำโขง” ผู้หมวดรุจน์อธิบาย

“ไม่จริง น้ำจำได้ว่าพ่อของน้ำขับรถช้า ๆ เรากำลังชมวิวเลียบริมโขงกันอยู่ จนกระทั่งสัตว์หรือวัตถุอะไรบางอย่างมันพุ่งเข้าชนรถของเรา แล้วรถก็เกิดอุบัติเหตุ” น้ำพยายามจะอธิบายพร้อมทำท่าทางประกอบ แต่คำพูดของเธอช่างดูไร้น้ำหนักเสียเหลือเกิน

ผู้หมวดรุจน์จ้องมองน้ำอย่างเวทนา แต่เขาต้องบอกความจริงกับเธอ จากสภาพแวดล้อมและพยานบุคคลที่เขาพอหามาตรวจสอบได้กับเรื่องราวในความทรงจำอันเลือนรางของน้ำมันช่างขัดกันอย่างชัดเจน เขาไม่สามารถกู้ซากรถขึ้นมาตรวจสอบได้และไม่สามารถลงไปตรวจสอบได้เช่นเดียวกัน รถจมดิ่งลงสู้ก้นแม่น้ำโขงในวังน้ำวนส่วนที่ลึกที่สุด เขาจึงทำได้เพียงแค่สันนิษฐานและมันมาจากสัญชาตญาณการเป็นตำรวจของเขาเท่านั้น

“พ่อกับแม่ของน้ำคงไม่เสียชีวิตในทันที คงพยายามตะเกียกตะกายออกมาจากตัวรถ แต่กระแสน้ำไหลเชียวมากและทั้งคู่คงอ่อนแรงเกินไปที่จะต้านทาน” ผู้หมวดรุจน์หยุดคำอธิบายด้วยน้ำเสียงเห็นอกเห็นใจ

“น้ำสลบไปนานถึง 3 วัน ตลอดสามวันที่ผ่านมาหน่วยกู้ภัยใช้เวลาค้นหาซากศพของพ่อและแม่ของน้ำ ศพถูกกระแสน้ำพัดลอยไปไกลถึง 5 กิโล มีชาวบ้านเขาไปตกปลาและเจอศพลอยขึ้นมา เลยแจ้งตำรวจ” น้ามะปรางเล่าพลางสะอื้นไห้

“ผู้หมวดรุจน์คนนี้ คอยดูแลคดีนี้อยู่จึงรีบรุดไปตรวจสอบแล้วก็มาแจ้งให้น้ารู้” น้ามะปรางพูดพลางหันไปสบตาผู้หมวดรุจน์ด้วยแววตาขอบคุณอย่างสุดซึ้งและผู้หมวดรุจน์ก็พยักหน้าตอบรับคำขอบคุณ

“อาจจะไม่ใช่ศพของพ่อกับแม่ก็ได้” น้ำพูดแย้งออกไปอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่เธอได้ยิน

“ศพทั้งคู่มีสภาพเปลี่ยนแปลงไปจนไม่เหลือสภาพเดิมเลย แต่แพทย์ได้ชันสูตรศพแล้วว่าใช่” น้ามะปรางยืนยัน

“ไม่จริง!!! ไม่จริง!!! กรี๊ด!!!” น้ำเสียใจกับข่าวที่ได้รับ เธอกรีดร้องออกมาอย่างคนไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ความเสียใจครั้งนี้มันคือความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ เสียงกรีดร้องครั้งสุดท้ายได้ลอยออกมาแล้วเธอก็สลบแน่นิ่งไป

เวลาได้หมุนผ่านเลยไปอย่างเชื่องช้า แต่มันรวดเร็วมากสำหรับน้ำ เธอต้องลืมตาขึ้นมาอีกครั้งอย่างยากลำบาก ข่าวร้ายที่เธอได้รับมันเป็นเหมือนฝันร้ายที่ยังคงวนเวียนอยู่ในสมองและจิตใต้สำนึกส่วนลึกของเธอ เธออยากให้มันเป็นเพียงแค่ฝันร้ายพอตื่นขึ้นมาภาพเหล่านี้ก็จางหายไป แต่ในความเป็นจริงคือเธอได้สูญเสียครอบครัวไปแล้ว

“น้ำ! น้ำฟื้นแล้ว” เสียงซุบซิบดังเข้ามากระทบโสตประสาทของหญิงสาว มันคือเสียงของฝน ไผ่และฟ้า เพื่อนสนิทที่คบกันมาตั้งแต่วัยเด็ก ทั้งสามคนมีท่าทีดีใจกับการฟื้นคืนสติของเพื่อนสาว

ข่าวการเสียชีวิตของพ่อและแม่ของน้ำถูกแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วยกเว้นข่าวการสูญเสียความทรงจำของเธอซึ่งมีคนรับรู้เพียงแค่ไม่กี่คน นั่นก็คือน้ามะปราง ผู้หมวดรุจน์ และเพื่อนสนิททั้งสามของเธอเท่านั้นเอง

“น้ำ นี่เราฝนนะ น้ำจำเราได้มั้ย” หญิงสาวร่างเล็ก ผิวสีเข้มจนคล้ำ ตัดผมสั้นแค่หู ยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้ ๆ ให้เห็นใบหน้าเล็ก ๆ นั้นอย่างชัดเจน

“จำได้” น้ำพยักหน้าตอบกลับไปอย่างไร้ซึ่งอารมณ์และความรู้สึกใด ๆ

“แล้วจำเราได้มั้ย ไผ่ไง” ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ผีสีเข้ม หุ่นนักกีฬาแทรกตัวเข้ามาบ้าง เจ้าของใบหน้ากว้างมีกรามเด่นชัดนั้นส่งยิ้มร่าให้หญิงสาวอย่างดีใจ น้ำหันไปมองแล้วพยักหน้ารับแทนคำพูดใด ๆ

“เราฟ้าคนสวยไง น้ำจำเราได้ใช่มั้ย” สาวน้อยรูปร่างสูงเพรียว ผิวหน้าขาวเนียน ใบหน้ากว้าง มีโหนกแก้มและกรามชัดเจน ผมยาวของเธอถูกดัดเป็นลอนสวยงามแทรกตัวเบียดเข้ามาอยู่ตรงหน้าของน้ำบ้าง

“จำได้ เราจำได้หมดทุกคน แต่ ...” หญิงสาวตอบอย่างไร้อารมณ์และหยุดนิ่งไป คราวนี้เธอไม่พยายามจะเรียกความทรงจำที่เคยสูญหายอีกแล้ว เธอรู้ดีว่ามันไม่มีประโยชน์ ยังไงเสียเธอก็เจอเพียงแค่ความว่างเปล่า

“เราจำเหตุการณ์วันนั้นไม่ได้เลย รถเกิดอุบัติเหตุแต่มันเกิดอะไรขึ้นกับพ่อและแม่ของเรา” น้ำสะอื้นไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด

“เพราะเราแท้ ๆ เพราะเราคนเดียว ถ้าพ่อกับแม่ไม่ไปส่งเราเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ถ้าพ่อไม่พาเราขับรถเลียบริมโขงเพื่อแวะเที่ยวฉลองวันเกิดให้เรา อุบัติเหตุก็คงไม่เกิดขึ้น ทั้งหมดเพราะเราคนเดียวแท้ ๆ” น้ำสะอื้นไห้อย่างเวทนาต่อหน้าเพื่อนรักทั้งสาม น้ำตาไหลรินลงมาไม่ขาดสายจากดวงตาทั้งสองข้างของเธอ

“น้ำ พวกเราเสียใจด้วยจริง ๆ นะเรื่องพ่อกับแม่ของน้ำ แต่มันเป็นอุบัติเหตุ อย่าโทษตัวเองเลยนะ” ฝนเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับโอบกอดเพื่อนรักไว้ในอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นของเธอ

“ใช่ ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นหรอกนะน้ำ” ไผ่พยายามปลอบโยน เขาไม่รู้จะสรรหาคำปลอบโยนใด ๆ มาพูดให้เพื่อนสาวที่เขาแอบหลงรักรู้สึกดีขึ้นมาได้ เขาทำได้เพียงแค่ยืนกุมมือตัวเอง ขยับขาไปมาอย่างอยู่ไม่สุข

“เราน่าจะตายไปพร้อมกับพ่อและแม่ของเรา ทำไมเราต้องเป็นคนเดียวที่รอดชีวิต เราไม่เหลือใครแล้ว” น้ำยังคงรำพึงรำพันและสะอื้นไห้อย่างทุกข์ทนขณะที่กอดคอเพื่อนรัก

“น้ำยังเหลือพวกเราไง ยังเหลือน้ามะปราง ยังเหลือธาร ถ้าน้ำตายไปพวกเราต้องเสียใจมากแน่ ๆ เรารู้ว่าน้ำเสียใจมาก พวกเราเองก็เสียใจกับข่าวนี้เหมือนกัน พวกเรายกเลิกการเดินทางทั้งหมดเพราะต้องการมาอยู่เป็นกำลังใจให้น้ำนะ” ฟ้าเดินเบียดตัวเข้ามาเพื่อโอบกอดเพื่อนรักอย่างปลอบประโลม

“ใช่ ๆ น้ำยังมีพวกเรานะ พวกเราจะไม่มีวันทิ้งน้ำไปไหนเด็ดขาด” เสียงหนักแน่นดังมาจากไผ่ เพื่อนชายคนเดียวในกลุ่ม เขาอยากจะเข้าไปโอบกอดเธออีกคน แต่เขาไม่กล้าพอจึงทำได้เพียงแค่ตบที่ไหล่เบา ๆ แทนความห่วงใยที่มีให้มากมาย

“น้ามะปรางไปไหน?” น้ำเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงยังคงสะอื้นอยู่เมื่อเธอมองโดยรอบแล้วไม่เห็นน้าสาว

“น้ามะปรางไปจัดงานศพ” ฝนตอบ

“แต่เดี๋ยวน้ามะปรางก็จะมาแล้วล่ะ” ฟ้าเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาบ้าง

“น้ามะปรางให้พวกเรามาอยู่เป็นเพื่อนน้ำไปก่อน กลัวว่าถ้าน้ำตื่นขึ้นมาไม่เจอใคร น้ำจะ ...” ไผ่ต้องหยุดพูดทันทีเมื่อฝ่ามืออรหันต์จากเพื่อนสาวร่างเล็กกระทบเข้าที่กลางหลังอย่างตักเตือน

“ศพพ่อกับแม่ของเรายังอยู่ที่บ้านใช่มั้ย?” น้ำเอ่ยถามเพื่อน ๆ อย่างแผ่วเบา

“ใช่ ศพพ่อกับแม่ของน้ำตั้งไว้ที่บ้าน ตะกี้พวกเราเพิ่งแวะไปกราบศพพวกท่านมา ที่บ้านของน้ำมีคนมากราบศพเยอะแยะเลย” ไผ่ตอบพลางซี๊ดปากอย่างเจ็บปวดจากฝ่ามืออรหันต์ของเพื่อนสาวคนสนิท

“เราอยากกลับบ้าน เราอยากจะไปอยู่กับพ่อและแม่ของเรา” น้ำพยายามจะขยับตัวลุกขึ้นแต่โดนเพื่อน ๆ พยายามจับตัวล็อกเอาไว้

“น้ำยังไม่กลับไม่ได้ หมอยังไม่อนุญาตให้กลับ” ไผ่ซึ่งมีร่างกายแข็งแรงสมชายชาตรีเข้ามาล็อกตัวน้ำพร้อมกับกดลงร่างของเธอลงไปกับเตียงเช่นเดิม น้ำพยายามจะขัดขืน แต่เพื่อน ๆ ที่เหลืออีก 2 คนก็โผล่เข้ามาช่วยกันจับล็อกตัวไว้

น้ำพยายามจะดิ้นรนขัดขืนและแล้วความเครียดก็โลดแล่นเข้าสู่แกนสมอง เตียงคนไข้ที่เธอถูกเพื่อน ๆ ล็อกตัวให้นอนอยู่ก็เกิดหมุนคว้างและลอยขึ้นไปกลางอากาศ ความพะอืดพะอมใกล้จะถูกปลดปล่อย

“ปล่อยเรา!!! เราอยากจะ ..” น้ำตะโกนออกไปด้วยเสียงอันดัง แต่เพื่อนรักทั้งสามคนก็ยังคงล็อกตัวเธอไว้แน่นบนเตียงคนไข้โดยมีไผ่ซึ่งแข็งแรงมากที่สุดเผชิญหน้ากับเธอตรง ๆ

และในที่สุด ก่อนที่เพื่อน ๆ ทั้งสามจะทันรู้ตัวหรือหลบหลีกได้ทัน ความพะอืดพะอมที่อดกลั้นเอาไว้ก็เปลี่ยนสภาพเป็นอาเจียนพุ่งออกมาจากปากของหญิงสาว และนี่คือการสลายตัวของเพื่อนทั้งสามอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างพากันกระโดดหนีไปคนละทางอย่างอลหม่าน

“ยี้!!!” ฟ้าร้องออกมาอย่างขยะแขยง เธอคือคนที่อยู่ใกล้ตัวของน้ำที่สุดรองลงมาจากไผ่ สภาพของเธอตอนนี้ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดใด ๆ ได้ เธอได้แต่หลับตาปี๋จ้องมองดูสภาพตัวเองที่ดูแทบไม่ได้

“น้ำ คุณหมอมาแล้ว” ใบหน้าแสนสวยของน้ามะปรางปรากฏขึ้นหลังจากที่ประตูห้องพักคนไข้ถูกเปิดออก น้ามะปรางเดินตรงเข้ามาพร้อมกับชายวัยกลางคนที่มีผิวขาวเนียนผุดผ่อง ใบหน้าคล้ายคนไทยเชื้อสายจีน เขาสวมเสื้อกาวน์สีขาวและถือแฟ้มเอกสารบางอย่างในมือ บนเสื้อของเขามีป้ายชื่อระบุติดอยู่ที่อกเสื้อว่าเขาคือนายแพทย์นพดล

“สวัสดีครับ ผมคือหมอนพดลนะ จะเรียกสั้น ๆ ว่าหมอนพก็ได้ เราเพิ่งเจอกันครั้งแรก วันนี้รู้สึกเป็นยังไงบ้าง?” คุณหมอวัยกลางคนหน้าใจตาดีกล่าวทักทาย เขาส่งยิ้มอย่างสดใสมาให้น้ำพลางถามขึ้น “มีอาการปวดหัว หรืออยากจะอาเจียนบ้างหรือเปล่า?”

“ปวดหัวรึเปล่าไม่รู้ รู้แต่ว่าอาเจียนออกมาแล้ว ยี้!!” เสียงของฟ้าบ่นอุบอิบขณะที่กำลังหยิบกระดาษชำระที่วางอยู่บนโต๊ะใกล้กับเตียงคนไข้เช็ดอาเจียนที่เลอะตามเสื้อผ้าสวย ๆ ของเธอต่อไป

“เต็มหน้าเราเลยล่ะ เราอยู่ใกล้สุด” ไผ่ก็บ่นอุบอิบเพียงแต่เขาไม่ได้รังเกียจสภาพของตัวเอง ใจของเขาจดจ่ออยู่ที่น้ำและคุณหมอที่กำลังตรวจสอบอาการ

“ดีนะ เราอยู่ไกลกว่าเพื่อนเลยหลบทัน” ฝนพูดพลางหัวเราะคิก ๆ อย่างอารมณ์ดี เธอเป็นคนร่างเล็กและกระฉับกระเฉง มีนิสัยร่าเริงและอารมณ์ดีเสมอ ฟ้าหันไปมองฝนที่ยังมีสภาพสมบูรณ์อย่างไม่พอใจพร้อมกับสะบัดหน้าหนีอย่างอิจฉาตาร้อน

“ไม่เป็นไรนะ คนไข้อาเจียนออกมาแล้วก็จะดีขึ้น” คุณหมอวัยกลางคนยังพูดอย่างอารมณ์ดีเมื่อมองเห็นสภาพของเพื่อน ๆ คนไข้

“ส่วนเพื่อนคนไข้ก็รีบกลับบ้านไปอาบน้ำล้างตัวกันซะนะ เบื้องต้นก็ล้างในห้องน้ำนี่ก่อนก็ได้ สงสารคนเดินสวนทาง” คุณหมอพูดแหย่อย่างมีอารมณ์ขันกับฟ้าและไผ่

“น้ำกลับบ้านได้หรือยังค่ะ” น้ำเอ่ยถามคุณหมอ เธอเริ่มรู้สึกดีขึ้นมาบ้างแล้ว เตียงคนไข้ไม่ได้หมุนคว้างเหมือนเช่นเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา

“หมอยังอนุญาตให้กลับไม่ได้ วันนี้คนไข้ต้องนอนพักก่อน คนไข้เพิ่งฟื้นจากอาการช็อกและหมดสติ รอดูอาการวันพรุ่งนี้อีกที หมอถึงจะบอกได้ว่าควรจะให้กลับบ้านได้รึเปล่า”

“แต่พ่อกับแม่ของน้ำเสียแล้ว น้ำต้องรีบไปงานศพ” น้ำอธิบายถึงเหตุผลที่เธอต้องรีบกลับ พร้อมกับพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ เธอคาดหวังว่าคุณหมอใจดีคนนี้จะเมตตาเธอบ้าง

“หมอเสียใจด้วยเรื่องพ่อกับแม่ของหนู” คุณหมอมีสีหน้าสลดลงเล็กน้อยพร้อมกับก้มลงไปจดบันทึกรายละเอียดลงบนแฟ้มกระดาษที่ถือติดมือมาด้วย

“ว่าแต่ศพยังตั้งไว้ที่บ้านอีกกี่วันละ คุณมะปราง?” คุณหมอหันไปถามน้ามะปราง

“อีก 4 วันค่ะ” น้ามะปรางตอบ

“โอเค งั้นรอดูอาการวันนี้ก่อนนะ ถ้าไม่มีผลข้างเคียงอะไร พรุ่งนี้หมอตรวจเสร็จจะให้กลับบ้านได้” คุณหมอตอบอย่างใจเย็น

“ว่าแต่ หนูจำชื่อเพื่อน ๆ ได้หมดใช่มั้ย” คุณหมอวัยกลางคนเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย

“จำได้ค่ะ”

“งั้น แนะนำให้หมอรู้จักกับเพื่อน ๆ หน่อยซิ”

“คนนี้ฝน ฟ้า และไผ่” น้ำชี้มือไปที่เพื่อน ๆ ทีละคนขณะที่เธอเอ่ยชื่อพวกเขา

คุณหมอวัยกลางคนซักถามประวัติส่วนตัวจากน้ำอย่างละเอียด เริ่มจากวัน เดือน ปี เกิด ชื่อพ่อและแม่ ชื่อคนที่เคยรู้จักและเหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งน้ำก็สามารถตอบได้อย่างครบถ้วนและถูกตรง ยกเว้น “เหตุการณ์ในอุบัติเหตุ” ที่เธอไม่สามารถตอบคำถามใด ๆ ได้เพราะเธอจดจำอะไรในเหตุการณ์ครั้งนั้นไม่ได้เลย

“คนไข้ได้สูญเสียความทรงจำระยะสั้นไป” คุณหมอสรุปสั้น ๆ ให้น้ามะปรางฟังในห้องพักส่วนตัวของคุณหมอ น้ามะปรางเป็นญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวของน้ำที่เธอเหลืออยู่เธอจึงถูกเชิญไปรับฟังอาการคนไข้

“อาจจะเกิดจากศีรษะถูกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงขณะเกิดอุบัติเหตุหรือเกิดจากการถูกกระทบกระเทือนทางจิตใจขั้นรุนแรงจนสมองสั่งปิดการทำงานลงเป็นการชั่วคราว ความทรงจำส่วนนั้นถึงได้สูญหายไป”

“หรืออาจจะเป็นไปได้ทั้งสองอย่าง” คุณหมอวัยกลางคนกล่าวเสริม

“แล้วน้ำจะรักษาหายมั้ยคะ” น้ามะปรางสอบถามอย่างเป็นห่วง

“อาจจะหายหรืออาจจะไม่หาย ความทรงจำส่วนนั้นอาจจะกลับคืนมาหรือไม่กลับมาเลย เวลาเท่านั้นที่จะพิสูจน์ได้ ตอนนี้ทางที่ดีที่สุด อย่าปล่อยให้คนไข้อยู่ตามลำพัง เดี๋ยวจะเกิดเป็นโรคซึมเศร้าจนถึงขั้นฆ่าตัวตายได้” คุณหมอสรุปให้น้ามะปรางฟัง

“น้ามะปราง คุณหมอบอกว่าน้ำเป็นอะไรคะ/ครับ” เสียงจากเพื่อน ๆ ของน้ำดังประสานขึ้นพร้อมกันทันทีที่น้ามะปรางเปิดประตูห้องเข้ามาหลังจากที่คุณหมอเรียกตัวไปพบตามลำพัง

น้ามะปรางถอนหายใจเฮือกใหญ่ จ้องมองมาที่ใบหน้าอันซีดเซียวของหลานสาวอย่างเวทนา ใบหน้าอันแสนงดงามนั้นตอนนี้มันหลงเหลือไว้เพียงแววตาของความเศร้าหมอง

“น้ำสูญเสียความทรงจำระยะสั้นไป” น้ามะปรางตอบอย่างแผ่วเบาให้ได้ยินเพียงแค่เธอและเพื่อนสนิททั้งสามของน้ำเท่านั้น

 

 

** หมายเหตุ ประเพณีท้องถิ่นในจังหวัดที่น้ำอาศัยอยู่ จะนำศพของผู้ตายเก็บไว้ที่บ้านโดยเชิญแขกและนิมนต์พระมาสวดที่บ้าน จนครบกำหนดจึงจะนำไปเผาที่วัด **

“น้ำ” หญิงสาวผู้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เธอลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตัวเธอเองนอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงคนไข้ของโรงพยาบาล ผมเปียของเธอที่ผู้เป็นแม่ถักไว้ให้ยังคงยุ่งเหยิงอยู่บนศีรษะแต่เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนสีเข้มที่เธอใส่ในวันเดินทางได้ถูกเปลี่ยนเป็นชุดสำหรับคนไข้ของโรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว

บริเวณแขนทั้งสองข้างของหญิงสาวมีลอยถลอกยาวเป็นทางหลายเซนติเมตร ลักษณะของบาดแผลคล้ายโดนกรงเล็บของสัตว์มีคมขีดข่วนแต่เธอกลับไม่ได้สนใจจะสำรวจร่างกายของตัวเองเลยแม้แต่น้อย เธอจ้องมองขึ้นไปบนเพดานด้านบนอย่างเหม่อลอยและพยายามจะนึกทบทวนถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น แต่สิ่งที่เธอค้นเจอมีเพียงแค่ความว่างเปล่าในความทรงจำ

“น้ำ” เสียงที่คุ้นเคยเอ่ยเรียกชื่อเธอ เธอตัดสินใจละสายตาจากเพดานเบื้องบนและชำเลืองมองไปยังเจ้าของเสียงเรียกนั้น ใบหน้าขาวซีดของน้ามะปรางก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าข้างเตียงคนไข้ของเธอ แต่สิ่งที่แตกต่างไปจากทุกวันคือวันนี้น้ามะปรางไม่ได้แต่งหน้าจัดเต็มเหมือนเช่นทุกวันและเสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ไม่ใช่สีสันสดใสแต่เป็นชุดสีดำ

“น้ามะปราง” น้ำเอ่ยเรียกชื่อน้าสาวออกไปอย่างแผ่วเบาในทันทีที่เธอจดจำใบหน้านั้นได้

“รถเกิดอุบัติเหตุ รถชนกับสัตว์หรือวัตถุอะไรบางอย่าง” น้ำพึมพำคล้ายกับว่าเธอกำลังพยายามจะคิดทบทวนถึงภาพเหตุการณ์ในอุบัติเหตุวันนั้น แต่ภาพเหตุการณ์เหล่านั้นมันก็ไม่ยอมปรากฏขึ้นมาในสมองของเธอเลยแม้แต่น้อย เธอจำได้เพียงว่า เธอมองเห็นมัน มันเคยชัดเจนแต่ทำไม? ตอนนี้ภาพแห่งความทรงจำนั้นมันถึงได้จางหายไปเหมือนกับหน่วยความจำส่วนนั้นถูกลบออกไปจากสมองของเธอ

“น้ำจำไม่ได้!!! ทำไมน้ำจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น!!” น้ำบ่นพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงตกใจ แม้เธอจะพยายามเรียกหาความทรงจำนั้นเท่าไหร่ มันก็ยังคงมีแต่ความว่างเปล่าอยู่เช่นเดิม

หญิงสาวกำลังติดกับอยู่ในความมืดมิดหรือมีใครบางคนมาสร้างกำแพงบางอย่างเพื่อปิดกั้นความทรงจำของเธอเอาไว้ มันยังคงก้ำกึ่งระหว่างไม่เคยเกิดขึ้นเลยหรือมันเกิดขึ้นแล้วแต่ถูกลืมเลือนไปแล้ว แต่ประเด็นสำคัญมันอยู่ที่ว่าเธอจดจำอะไรไม่ได้เลย ภาพสุดท้ายที่เธอพอจะจำได้คือแสงสีขาวสว่างเจิดจ้า แล้วแสงนั่นมันก็นำเธอดิ่งลงสู่ความมืดมิด

“น้ามะปราง พ่อกับแม่ของน้ำเป็นยังไงบ้าง? พ่อกับแม่ปลอดภัยใช่มั้ย? พ่อกับแม่พักรักษาตัวอยู่ห้องไหน?” หญิงสาวยิงคำถามเร็วรัว พร้อมกับหันไปมองโดยรอบแต่ก็มองไม่เห็นแม้แต่เงาของผู้ถูกเอ่ยถึง

ตอนนี้หญิงสาวนอนพักรักษาตัวอยู่ยังห้องพักพิเศษที่ทางโรงพยาบาลได้จัดเตรียมไว้สำหรับคนไข้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว ซึ่งในห้องนี้มีเพียงเธอคนเดียวเท่านั้นที่นอนเป็นคนไข้อยู่และมีน้ามะปรางที่ยังคงยืนหน้าซีดอยู่ตรงหน้าเธอพร้อมกับนายตำรวจหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งยืนอยู่เคียงข้าง

“ช่วยพาน้ำไปหาพ่อกับแม่ทีซิคะ น้ำเป็นห่วงพ่อกับแม่เหลือเกิน พ่อกับแม่ของน้ำอยู่ที่ไหนคะ?” น้ำพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนกับน้าสาว เธอไม่ได้สนใจว่านายตำรวจหนุ่มคนนั้นจะเป็นใคร เขาอาจจะเป็นชายที่เข้ามาพัวพันกับน้ามะปรางก็เป็นได้

“น้ำ!!!” น้ามะปรางเอ่ยเรียกชื่อของเธอออกมาอย่างยากลำบากและกล้ำกลืนที่สุดในชีวิต

“ทำใจดี ๆ ไว้นะ ตั้งใจฟังน้าให้ดีนะ” น้ามะปรางพูดออกมาอย่างช้า ๆ

เกิดอะไรขึ้นคะ? น้ามะปราง เกิดอะไรขึ้นกับพ่อและแม่ของน้ำ?” น้ำเอ่ยถามออกไปอย่างร้อนรน หัวใจของเธอเต้นระรัวรอคำตอบจากน้ามะปรางอย่างมีความหวังว่ามันจะไม่ใช่ข่าวร้าย

“พ่อกับแม่ของน้ำ” น้ามะปรางหยุดเว้นจังหวะไปเพียงหนึ่งอึดใจ “เสียชีวิตแล้ว” ในที่สุดน้ามะปรางก็พูดออกมาได้สำเร็จแม้จะตะกุกตะกักและเชื่องช้าพร้อมกับน้ำตาที่รินไหลลงมาอาบแก้มทั้งสองข้าง

“ไม่จริง!!!” หญิงสาวกรีดร้องออกมาสุดเสียงพลางสะอื้นไห้อย่างยอมรับความเป็นจริงไม่ได้

“น้ามะปรางโกหก!!! บอกซิ! น้ามะปรางโกหก!!!” หญิงสาวกุมมือน้ามะปรางของเธอเอาไว้พลางส่ายหน้าไปมาพร้อมกับส่งเสียงร้องและสะอื้นไห้ออกมาอย่างน่าเวทนา

แม้น้ามะปรางจะได้รับทราบข่าวร้ายมาก่อนหน้าและทำใจได้บ้างแล้วแต่จากสภาพตรงหน้าที่ต้องทนดูหลานสาวของเธอกำลังร่ำไห้อย่างน่าเวทนา น้ามะปรางก็สงสารจับใจ เธอโผล่เข้ากอดหลานรักพลางสะอื้นไห้ไปพร้อม ๆ กัน

“มันเกิดอะไรขึ้นกับพ่อและแม่ของน้ำ? น้ามะปรางบอกน้ำซิ? มันเกิดอะไรขึ้น?” น้ำสะอื้นถามขณะที่กำลังกอดคอน้าสาว น้ำตาไหลรินลงมารดต้นคอของน้าสาวจนเปียกแฉะ

“ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น” น้ามะปรางตอบพลางสะอื้นไห้ เธอใช้มือลูบไล้ไปตามศีรษะของหลานสาวอย่างเห็นอกเห็นใจ

“มีคนเห็นน้ำนอนหมดสนิทอยู่ริมแม่น้ำโขง” เสียงของนายตำรวจหนุ่มหน้าตาดีในชุดตำรวจเต็มยศยืนอยู่ถัดจากน้ามะปรางพูดแทรกขึ้นมา

“น้ำ นี่ผู้หมวดรุจน์” น้ามะปรางแนะนำ “ผู้หมวดรุจน์คอยดูแลคดีของน้ำและพ่อกับแม่ของน้ำ”

“มันไม่จริงใช่มั้ยคะ? ผู้หมวดรุจน์ น้ามะปรางโกหกใช่มั้ยคะ?” น้ำผละออกจากอ้อมกอดของน้าสาวขณะที่เธอหันไปถามนายตำรวจหนุ่มพร้อมกับรอตอบที่ขัดแย้งกัน

“มันคือเรื่องจริง พ่อและแม่ของน้ำได้เสียชีวิตแล้ว” คำยืนยันของผู้หมวดรุจน์ คือสายฟ้าที่ฟาดลงมากลางศีรษะของหญิงสาว เธอกำลังโดนฟ้าผ่าลงมายังกลางกบาลอย่างไม่ทันตั้งตัวและมันก็กำลังแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ

“ทางเราสันนิษฐานว่า รถพ่อของน้ำขับมาอย่างเร็วและคงเบรกกะทันหันจนทำให้รถเสียหลักและพุ่งลงสู่ด้านล่าง น้ำนั่งอยู่เบาะหลังและเปิดกระจกเอาไว้ บวกกับไม่ได้คาดเข็มนิรภัยจึงกระเด็นออกมานอกตัวรถ ส่วนพ่อและแม่ของน้ำยังติดอยู่ในตัวรถ จนกระทั่งรถพุ่งลงสู่แม่น้ำโขง” ผู้หมวดรุจน์อธิบาย

“ไม่จริง น้ำจำได้ว่าพ่อของน้ำขับรถช้า ๆ เรากำลังชมวิวเลียบริมโขงกันอยู่ จนกระทั่งสัตว์หรือวัตถุอะไรบางอย่างมันพุ่งเข้าชนรถของเรา แล้วรถก็เกิดอุบัติเหตุ” น้ำพยายามจะอธิบายพร้อมทำท่าทางประกอบ แต่คำพูดของเธอช่างดูไร้น้ำหนักเสียเหลือเกิน

ผู้หมวดรุจน์จ้องมองน้ำอย่างเวทนา แต่เขาต้องบอกความจริงกับเธอ จากสภาพแวดล้อมและพยานบุคคลที่เขาพอหามาตรวจสอบได้กับเรื่องราวในความทรงจำอันเลือนรางของน้ำมันช่างขัดกันอย่างชัดเจน เขาไม่สามารถกู้ซากรถขึ้นมาตรวจสอบได้และไม่สามารถลงไปตรวจสอบได้เช่นเดียวกัน รถจมดิ่งลงสู้ก้นแม่น้ำโขงในวังน้ำวนส่วนที่ลึกที่สุด เขาจึงทำได้เพียงแค่สันนิษฐานและมันมาจากสัญชาตญาณการเป็นตำรวจของเขาเท่านั้น

“พ่อกับแม่ของน้ำคงไม่เสียชีวิตในทันที คงพยายามตะเกียกตะกายออกมาจากตัวรถ แต่กระแสน้ำไหลเชียวมากและทั้งคู่คงอ่อนแรงเกินไปที่จะต้านทาน” ผู้หมวดรุจน์หยุดคำอธิบายด้วยน้ำเสียงเห็นอกเห็นใจ

“น้ำสลบไปนานถึง 3 วัน ตลอดสามวันที่ผ่านมาหน่วยกู้ภัยใช้เวลาค้นหาซากศพของพ่อและแม่ของน้ำ ศพถูกกระแสน้ำพัดลอยไปไกลถึง 5 กิโล มีชาวบ้านเขาไปตกปลาและเจอศพลอยขึ้นมา เลยแจ้งตำรวจ” น้ามะปรางเล่าพลางสะอื้นไห้

“ผู้หมวดรุจน์คนนี้ คอยดูแลคดีนี้อยู่จึงรีบรุดไปตรวจสอบแล้วก็มาแจ้งให้น้ารู้” น้ามะปรางพูดพลางหันไปสบตาผู้หมวดรุจน์ด้วยแววตาขอบคุณอย่างสุดซึ้งและผู้หมวดรุจน์ก็พยักหน้าตอบรับคำขอบคุณ

“อาจจะไม่ใช่ศพของพ่อกับแม่ก็ได้” น้ำพูดแย้งออกไปอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่เธอได้ยิน

“ศพทั้งคู่มีสภาพเปลี่ยนแปลงไปจนไม่เหลือสภาพเดิมเลย แต่แพทย์ได้ชันสูตรศพแล้วว่าใช่” น้ามะปรางยืนยัน

“ไม่จริง!!! ไม่จริง!!! กรี๊ด!!!” น้ำเสียใจกับข่าวที่ได้รับ เธอกรีดร้องออกมาอย่างคนไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ความเสียใจครั้งนี้มันคือความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ เสียงกรีดร้องครั้งสุดท้ายได้ลอยออกมาแล้วเธอก็สลบแน่นิ่งไป

เวลาได้หมุนผ่านเลยไปอย่างเชื่องช้า แต่มันรวดเร็วมากสำหรับน้ำ เธอต้องลืมตาขึ้นมาอีกครั้งอย่างยากลำบาก ข่าวร้ายที่เธอได้รับมันเป็นเหมือนฝันร้ายที่ยังคงวนเวียนอยู่ในสมองและจิตใต้สำนึกส่วนลึกของเธอ เธออยากให้มันเป็นเพียงแค่ฝันร้ายพอตื่นขึ้นมาภาพเหล่านี้ก็จางหายไป แต่ในความเป็นจริงคือเธอได้สูญเสียครอบครัวไปแล้ว

“น้ำ! น้ำฟื้นแล้ว” เสียงซุบซิบดังเข้ามากระทบโสตประสาทของหญิงสาว มันคือเสียงของฝน ไผ่และฟ้า เพื่อนสนิทที่คบกันมาตั้งแต่วัยเด็ก ทั้งสามคนมีท่าทีดีใจกับการฟื้นคืนสติของเพื่อนสาว

ข่าวการเสียชีวิตของพ่อและแม่ของน้ำถูกแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วยกเว้นข่าวการสูญเสียความทรงจำของเธอซึ่งมีคนรับรู้เพียงแค่ไม่กี่คน นั่นก็คือน้ามะปราง ผู้หมวดรุจน์ และเพื่อนสนิททั้งสามของเธอเท่านั้นเอง

“น้ำ นี่เราฝนนะ น้ำจำเราได้มั้ย” หญิงสาวร่างเล็ก ผิวสีเข้มจนคล้ำ ตัดผมสั้นแค่หู ยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้ ๆ ให้เห็นใบหน้าเล็ก ๆ นั้นอย่างชัดเจน

“จำได้” น้ำพยักหน้าตอบกลับไปอย่างไร้ซึ่งอารมณ์และความรู้สึกใด ๆ

“แล้วจำเราได้มั้ย ไผ่ไง” ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ผีสีเข้ม หุ่นนักกีฬาแทรกตัวเข้ามาบ้าง เจ้าของใบหน้ากว้างมีกรามเด่นชัดนั้นส่งยิ้มร่าให้หญิงสาวอย่างดีใจ น้ำหันไปมองแล้วพยักหน้ารับแทนคำพูดใด ๆ

“เราฟ้าคนสวยไง น้ำจำเราได้ใช่มั้ย” สาวน้อยรูปร่างสูงเพรียว ผิวหน้าขาวเนียน ใบหน้ากว้าง มีโหนกแก้มและกรามชัดเจน ผมยาวของเธอถูกดัดเป็นลอนสวยงามแทรกตัวเบียดเข้ามาอยู่ตรงหน้าของน้ำบ้าง

“จำได้ เราจำได้หมดทุกคน แต่ ...” หญิงสาวตอบอย่างไร้อารมณ์และหยุดนิ่งไป คราวนี้เธอไม่พยายามจะเรียกความทรงจำที่เคยสูญหายอีกแล้ว เธอรู้ดีว่ามันไม่มีประโยชน์ ยังไงเสียเธอก็เจอเพียงแค่ความว่างเปล่า

“เราจำเหตุการณ์วันนั้นไม่ได้เลย รถเกิดอุบัติเหตุแต่มันเกิดอะไรขึ้นกับพ่อและแม่ของเรา” น้ำสะอื้นไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด

“เพราะเราแท้ ๆ เพราะเราคนเดียว ถ้าพ่อกับแม่ไม่ไปส่งเราเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ถ้าพ่อไม่พาเราขับรถเลียบริมโขงเพื่อแวะเที่ยวฉลองวันเกิดให้เรา อุบัติเหตุก็คงไม่เกิดขึ้น ทั้งหมดเพราะเราคนเดียวแท้ ๆ” น้ำสะอื้นไห้อย่างเวทนาต่อหน้าเพื่อนรักทั้งสาม น้ำตาไหลรินลงมาไม่ขาดสายจากดวงตาทั้งสองข้างของเธอ

“น้ำ พวกเราเสียใจด้วยจริง ๆ นะเรื่องพ่อกับแม่ของน้ำ แต่มันเป็นอุบัติเหตุ อย่าโทษตัวเองเลยนะ” ฝนเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับโอบกอดเพื่อนรักไว้ในอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นของเธอ

“ใช่ ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นหรอกนะน้ำ” ไผ่พยายามปลอบโยน เขาไม่รู้จะสรรหาคำปลอบโยนใด ๆ มาพูดให้เพื่อนสาวที่เขาแอบหลงรักรู้สึกดีขึ้นมาได้ เขาทำได้เพียงแค่ยืนกุมมือตัวเอง ขยับขาไปมาอย่างอยู่ไม่สุข

“เราน่าจะตายไปพร้อมกับพ่อและแม่ของเรา ทำไมเราต้องเป็นคนเดียวที่รอดชีวิต เราไม่เหลือใครแล้ว” น้ำยังคงรำพึงรำพันและสะอื้นไห้อย่างทุกข์ทนขณะที่กอดคอเพื่อนรัก

“น้ำยังเหลือพวกเราไง ยังเหลือน้ามะปราง ยังเหลือธาร ถ้าน้ำตายไปพวกเราต้องเสียใจมากแน่ ๆ เรารู้ว่าน้ำเสียใจมาก พวกเราเองก็เสียใจกับข่าวนี้เหมือนกัน พวกเรายกเลิกการเดินทางทั้งหมดเพราะต้องการมาอยู่เป็นกำลังใจให้น้ำนะ” ฟ้าเดินเบียดตัวเข้ามาเพื่อโอบกอดเพื่อนรักอย่างปลอบประโลม

“ใช่ ๆ น้ำยังมีพวกเรานะ พวกเราจะไม่มีวันทิ้งน้ำไปไหนเด็ดขาด” เสียงหนักแน่นดังมาจากไผ่ เพื่อนชายคนเดียวในกลุ่ม เขาอยากจะเข้าไปโอบกอดเธออีกคน แต่เขาไม่กล้าพอจึงทำได้เพียงแค่ตบที่ไหล่เบา ๆ แทนความห่วงใยที่มีให้มากมาย

“น้ามะปรางไปไหน?” น้ำเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงยังคงสะอื้นอยู่เมื่อเธอมองโดยรอบแล้วไม่เห็นน้าสาว

“น้ามะปรางไปจัดงานศพ” ฝนตอบ

“แต่เดี๋ยวน้ามะปรางก็จะมาแล้วล่ะ” ฟ้าเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาบ้าง

“น้ามะปรางให้พวกเรามาอยู่เป็นเพื่อนน้ำไปก่อน กลัวว่าถ้าน้ำตื่นขึ้นมาไม่เจอใคร น้ำจะ ...” ไผ่ต้องหยุดพูดทันทีเมื่อฝ่ามืออรหันต์จากเพื่อนสาวร่างเล็กกระทบเข้าที่กลางหลังอย่างตักเตือน

“ศพพ่อกับแม่ของเรายังอยู่ที่บ้านใช่มั้ย?” น้ำเอ่ยถามเพื่อน ๆ อย่างแผ่วเบา

“ใช่ ศพพ่อกับแม่ของน้ำตั้งไว้ที่บ้าน ตะกี้พวกเราเพิ่งแวะไปกราบศพพวกท่านมา ที่บ้านของน้ำมีคนมากราบศพเยอะแยะเลย” ไผ่ตอบพลางซี๊ดปากอย่างเจ็บปวดจากฝ่ามืออรหันต์ของเพื่อนสาวคนสนิท

“เราอยากกลับบ้าน เราอยากจะไปอยู่กับพ่อและแม่ของเรา” น้ำพยายามจะขยับตัวลุกขึ้นแต่โดนเพื่อน ๆ พยายามจับตัวล็อกเอาไว้

“น้ำยังไม่กลับไม่ได้ หมอยังไม่อนุญาตให้กลับ” ไผ่ซึ่งมีร่างกายแข็งแรงสมชายชาตรีเข้ามาล็อกตัวน้ำพร้อมกับกดลงร่างของเธอลงไปกับเตียงเช่นเดิม น้ำพยายามจะขัดขืน แต่เพื่อน ๆ ที่เหลืออีก 2 คนก็โผล่เข้ามาช่วยกันจับล็อกตัวไว้

น้ำพยายามจะดิ้นรนขัดขืนและแล้วความเครียดก็โลดแล่นเข้าสู่แกนสมอง เตียงคนไข้ที่เธอถูกเพื่อน ๆ ล็อกตัวให้นอนอยู่ก็เกิดหมุนคว้างและลอยขึ้นไปกลางอากาศ ความพะอืดพะอมใกล้จะถูกปลดปล่อย

“ปล่อยเรา!!! เราอยากจะ ..” น้ำตะโกนออกไปด้วยเสียงอันดัง แต่เพื่อนรักทั้งสามคนก็ยังคงล็อกตัวเธอไว้แน่นบนเตียงคนไข้โดยมีไผ่ซึ่งแข็งแรงมากที่สุดเผชิญหน้ากับเธอตรง ๆ

และในที่สุด ก่อนที่เพื่อน ๆ ทั้งสามจะทันรู้ตัวหรือหลบหลีกได้ทัน ความพะอืดพะอมที่อดกลั้นเอาไว้ก็เปลี่ยนสภาพเป็นอาเจียนพุ่งออกมาจากปากของหญิงสาว และนี่คือการสลายตัวของเพื่อนทั้งสามอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างพากันกระโดดหนีไปคนละทางอย่างอลหม่าน

“ยี้!!!” ฟ้าร้องออกมาอย่างขยะแขยง เธอคือคนที่อยู่ใกล้ตัวของน้ำที่สุดรองลงมาจากไผ่ สภาพของเธอตอนนี้ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดใด ๆ ได้ เธอได้แต่หลับตาปี๋จ้องมองดูสภาพตัวเองที่ดูแทบไม่ได้

“น้ำ คุณหมอมาแล้ว” ใบหน้าแสนสวยของน้ามะปรางปรากฏขึ้นหลังจากที่ประตูห้องพักคนไข้ถูกเปิดออก น้ามะปรางเดินตรงเข้ามาพร้อมกับชายวัยกลางคนที่มีผิวขาวเนียนผุดผ่อง ใบหน้าคล้ายคนไทยเชื้อสายจีน เขาสวมเสื้อกาวน์สีขาวและถือแฟ้มเอกสารบางอย่างในมือ บนเสื้อของเขามีป้ายชื่อระบุติดอยู่ที่อกเสื้อว่าเขาคือนายแพทย์นพดล

“สวัสดีครับ ผมคือหมอนพดลนะ จะเรียกสั้น ๆ ว่าหมอนพก็ได้ เราเพิ่งเจอกันครั้งแรก วันนี้รู้สึกเป็นยังไงบ้าง?” คุณหมอวัยกลางคนหน้าใจตาดีกล่าวทักทาย เขาส่งยิ้มอย่างสดใสมาให้น้ำพลางถามขึ้น “มีอาการปวดหัว หรืออยากจะอาเจียนบ้างหรือเปล่า?”

“ปวดหัวรึเปล่าไม่รู้ รู้แต่ว่าอาเจียนออกมาแล้ว ยี้!!” เสียงของฟ้าบ่นอุบอิบขณะที่กำลังหยิบกระดาษชำระที่วางอยู่บนโต๊ะใกล้กับเตียงคนไข้เช็ดอาเจียนที่เลอะตามเสื้อผ้าสวย ๆ ของเธอต่อไป

“เต็มหน้าเราเลยล่ะ เราอยู่ใกล้สุด” ไผ่ก็บ่นอุบอิบเพียงแต่เขาไม่ได้รังเกียจสภาพของตัวเอง ใจของเขาจดจ่ออยู่ที่น้ำและคุณหมอที่กำลังตรวจสอบอาการ

“ดีนะ เราอยู่ไกลกว่าเพื่อนเลยหลบทัน” ฝนพูดพลางหัวเราะคิก ๆ อย่างอารมณ์ดี เธอเป็นคนร่างเล็กและกระฉับกระเฉง มีนิสัยร่าเริงและอารมณ์ดีเสมอ ฟ้าหันไปมองฝนที่ยังมีสภาพสมบูรณ์อย่างไม่พอใจพร้อมกับสะบัดหน้าหนีอย่างอิจฉาตาร้อน

“ไม่เป็นไรนะ คนไข้อาเจียนออกมาแล้วก็จะดีขึ้น” คุณหมอวัยกลางคนยังพูดอย่างอารมณ์ดีเมื่อมองเห็นสภาพของเพื่อน ๆ คนไข้

“ส่วนเพื่อนคนไข้ก็รีบกลับบ้านไปอาบน้ำล้างตัวกันซะนะ เบื้องต้นก็ล้างในห้องน้ำนี่ก่อนก็ได้ สงสารคนเดินสวนทาง” คุณหมอพูดแหย่อย่างมีอารมณ์ขันกับฟ้าและไผ่

“น้ำกลับบ้านได้หรือยังค่ะ” น้ำเอ่ยถามคุณหมอ เธอเริ่มรู้สึกดีขึ้นมาบ้างแล้ว เตียงคนไข้ไม่ได้หมุนคว้างเหมือนเช่นเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา

“หมอยังอนุญาตให้กลับไม่ได้ วันนี้คนไข้ต้องนอนพักก่อน คนไข้เพิ่งฟื้นจากอาการช็อกและหมดสติ รอดูอาการวันพรุ่งนี้อีกที หมอถึงจะบอกได้ว่าควรจะให้กลับบ้านได้รึเปล่า”

“แต่พ่อกับแม่ของน้ำเสียแล้ว น้ำต้องรีบไปงานศพ” น้ำอธิบายถึงเหตุผลที่เธอต้องรีบกลับ พร้อมกับพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ เธอคาดหวังว่าคุณหมอใจดีคนนี้จะเมตตาเธอบ้าง

“หมอเสียใจด้วยเรื่องพ่อกับแม่ของหนู” คุณหมอมีสีหน้าสลดลงเล็กน้อยพร้อมกับก้มลงไปจดบันทึกรายละเอียดลงบนแฟ้มกระดาษที่ถือติดมือมาด้วย

“ว่าแต่ศพยังตั้งไว้ที่บ้านอีกกี่วันละ คุณมะปราง?” คุณหมอหันไปถามน้ามะปราง

“อีก 4 วันค่ะ” น้ามะปรางตอบ

“โอเค งั้นรอดูอาการวันนี้ก่อนนะ ถ้าไม่มีผลข้างเคียงอะไร พรุ่งนี้หมอตรวจเสร็จจะให้กลับบ้านได้” คุณหมอตอบอย่างใจเย็น

“ว่าแต่ หนูจำชื่อเพื่อน ๆ ได้หมดใช่มั้ย” คุณหมอวัยกลางคนเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย

“จำได้ค่ะ”

“งั้น แนะนำให้หมอรู้จักกับเพื่อน ๆ หน่อยซิ”

“คนนี้ฝน ฟ้า และไผ่” น้ำชี้มือไปที่เพื่อน ๆ ทีละคนขณะที่เธอเอ่ยชื่อพวกเขา

คุณหมอวัยกลางคนซักถามประวัติส่วนตัวจากน้ำอย่างละเอียด เริ่มจากวัน เดือน ปี เกิด ชื่อพ่อและแม่ ชื่อคนที่เคยรู้จักและเหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งน้ำก็สามารถตอบได้อย่างครบถ้วนและถูกตรง ยกเว้น “เหตุการณ์ในอุบัติเหตุ” ที่เธอไม่สามารถตอบคำถามใด ๆ ได้เพราะเธอจดจำอะไรในเหตุการณ์ครั้งนั้นไม่ได้เลย

“คนไข้ได้สูญเสียความทรงจำระยะสั้นไป” คุณหมอสรุปสั้น ๆ ให้น้ามะปรางฟังในห้องพักส่วนตัวของคุณหมอ น้ามะปรางเป็นญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวของน้ำที่เธอเหลืออยู่เธอจึงถูกเชิญไปรับฟังอาการคนไข้

“อาจจะเกิดจากศีรษะถูกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงขณะเกิดอุบัติเหตุหรือเกิดจากการถูกกระทบกระเทือนทางจิตใจขั้นรุนแรงจนสมองสั่งปิดการทำงานลงเป็นการชั่วคราว ความทรงจำส่วนนั้นถึงได้สูญหายไป”

“หรืออาจจะเป็นไปได้ทั้งสองอย่าง” คุณหมอวัยกลางคนกล่าวเสริม

“แล้วน้ำจะรักษาหายมั้ยคะ” น้ามะปรางสอบถามอย่างเป็นห่วง

“อาจจะหายหรืออาจจะไม่หาย ความทรงจำส่วนนั้นอาจจะกลับคืนมาหรือไม่กลับมาเลย เวลาเท่านั้นที่จะพิสูจน์ได้ ตอนนี้ทางที่ดีที่สุด อย่าปล่อยให้คนไข้อยู่ตามลำพัง เดี๋ยวจะเกิดเป็นโรคซึมเศร้าจนถึงขั้นฆ่าตัวตายได้” คุณหมอสรุปให้น้ามะปรางฟัง

“น้ามะปราง คุณหมอบอกว่าน้ำเป็นอะไรคะ/ครับ” เสียงจากเพื่อน ๆ ของน้ำดังประสานขึ้นพร้อมกันทันทีที่น้ามะปรางเปิดประตูห้องเข้ามาหลังจากที่คุณหมอเรียกตัวไปพบตามลำพัง

น้ามะปรางถอนหายใจเฮือกใหญ่ จ้องมองมาที่ใบหน้าอันซีดเซียวของหลานสาวอย่างเวทนา ใบหน้าอันแสนงดงามนั้นตอนนี้มันหลงเหลือไว้เพียงแววตาของความเศร้าหมอง

“น้ำสูญเสียความทรงจำระยะสั้นไป” น้ามะปรางตอบอย่างแผ่วเบาให้ได้ยินเพียงแค่เธอและเพื่อนสนิททั้งสามของน้ำเท่านั้น

 

 

** หมายเหตุ ประเพณีท้องถิ่นในจังหวัดที่น้ำอาศัยอยู่ จะนำศพของผู้ตายเก็บไว้ที่บ้านโดยเชิญแขกและนิมนต์พระมาสวดที่บ้าน จนครบกำหนดจึงจะนำไปเผาที่วัด **

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา