ปาฏิหาริย์รักข้ามพิภพ

-

เขียนโดย Richa

วันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 เวลา 10.03 น.

  14 ตอน
  0 วิจารณ์
  12.14K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 10.09 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

8) เรื่องราวของนายใบ้

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

“ห้ามเหลียวหลังดู ถ้าเหลียวหลังดูมันจะตามมาอีก!!!” ประโยคนี้ยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาทของน้ำตลอดเวลาที่ลอยกระทงกาบกล้วยอันใหญ่ให้ไหลไปตามแม่น้ำโขง เธอไม่ควรจะหันกลับไปดู แต่มันเหมือนมีอะไรบางอย่างร้องเรียกให้เธอต้องหันกลับไป มันคือน้ำเสียงที่คุ้นเคยหรือบางทีมันอาจจะเป็นสิ่งที่เธอกำลังโหยหามาตลอดชีวิต ท้ายที่สุดแล้วหญิงสาวก็ไม่สามารถหักห้ามใจตัวเองเอาไว้ไม่ได้ เธอหันกลับไปมองกระทงกาบกล้วยอันนั้น และมันก็ส่งผลกระทบกับชีวิตของเธอ 

หญิงสาวกำลังนั่งเหยียดขาเรียวยาวของเธออยู่บนเก้าอี้ยาวตัวโปรดของพ่อที่ตั้งอยู่ท้ายรีสอร์ท เก้าอี้ตัวโปรดนี้ปลายข้างหนึ่งมีรูปพญานาคโผล่ศีรษะขึ้นมาสูงประมาณ 1 เมตร และคงจะเป็นพญานาคที่มีฐานะร่ำรวยมากเพราะมีเครื่องประดับเป็นสร้อยสังวาลสีทองขนาดใหญ่ประดับอยู่ช่วงบริเวณลำคอ 

พญานาคตนนี้กำลังอ้าปากกว้างจนเห็นเหงือกสีแดงเข้มกับเขี้ยวสีขาวงาช้าง 2 คู่ชัดเจน เขี้ยวคู่บนจะใหญ่กว่าเขี้ยวคู่ล่างเล็กน้อย ใต้ปากด้านล่างมีหนวดห้อยระย้าลงมาเหมือนกำลังปลิวไสวไปตามแรงลม ตรงกลางของเก้าอี้มีพนักพิงเป็นลำตัวของพญานาคกำลังขดล้อมรอบเก้าอี้อยู่หลายรอบและไปโผล่เป็นส่วนปลายของหางที่อีกฝั่งของปลายเก้าอี้และมันตั้งตระหง่านอย่างมั่นคงอยู่ที่ท้ายรีสอร์ทแห่งนี้มาเนิ่นนาน จากวิวตรงนี้สามารถมองลงไปด้านล่างเห็นแม่น้ำโขงไหลผ่านอย่างชัดเจน มันช่างกว้างใหญ่ เวิ้งว้าง และลึกลับซับซ้อนเหลือเกิน 

หญิงสาวจ้องมองลงไปที่ทางเดินลงสู่ริมหาดแม่น้ำโขงซึ่งเป็นทางลงเล็ก ๆ เป็นขั้นบันไดดินแบบธรรมชาติ มีก้อนหินวางหยาบ ๆ เรียงรายในแต่ละขั้นเพื่อกันลื่น มีราวบันไดที่ทำจากไม้ไผ่ยาวโค้งลงไปตลอดทาง บันไดนี้ น้ำเคยใช้มันเดินลงไปพบกับชายแปลกหน้า ชายหนุ่มรูปงามผู้แอบลักลอบมาจากประเทศเพื่อนบ้าน เขาคนนั้นคือใครกัน ทำไมเขาถึงได้เข้ามาอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของเธอ การเจอกันเพียงครั้งเดียวในครั้งนั้นมันยังตราตรึงอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของเธอจวบจนทุกวันนี้ เธอยังไม่ได้เจอเขาอีกเลย แม้เสียงของหัวใจของจะร้องเรียกมากมายสักเพียงใด ที่ตรงนั้นในตำแหน่งที่เขาเคยปรากฏกายอยู่มันก็ยังคงว่างเปล่าอยู่เช่นเดิม 

เปรี๊ยะ!!! เสียงเหยียบกิ่งไม้แห้งดังมาจากด้านหลังของหญิงสาว มันทำให้เธอสะดุ้งตื่นจากภวังค์ความคิดแล้วหันไปมองตามเสียงนั้น เงาของใครคนหนึ่งพุ่งตัวหลบอย่างรวดเร็วเข้าไปในกอไผ่ขนาดใหญ่ มันคือร่างค่อนข้างเล็กและผอมเกร็งของชายผิวสีเข้มที่กำลังขดตัวอยู่ในดงไผ่นั้น เสื้อผ้าเก่า ๆ ของเขาขาดติดอยู่กับต้นไผ่ต้นหนึ่ง หญิงสาวเดินเข้าไปใกล้และรู้ได้ทันทีว่าใครคือเจ้าของเสื้อตัวนั้น เธอส่ายศีรษะไปมาอย่างเวทนา 

“นายใบ้ ใครใช้ให้นายมาแอบตามดูน้ำ แล้วเข้าไปหลบในกอไผ่แบบนั้นจะออกมาได้รึเปล่า?” หญิงสาวตะะโกนถามออกไปอย่างไม่ถือสาหาความกับพฤติกรรมประหลาดของชายหนุ่มผู้น่าสงสาร 

นายใบ้เด็กหนุ่มผู้น่าสงสาร เขาไม่ได้เป็นใบ้ตั้งแต่กำเนิด เขาเพิ่งมีอาการเป็นใบ้ตอนที่โตแล้ว ชาวบ้านเขาลือกันว่านายใบ้กับพ่อได้เดินทางเข้าไปยังถ้ำแห่งหนึ่งที่ประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อเข้าไปขโมยของบางอย่างซึ่งไม่มีใครรู้ว่าของสิ่งนั้นคืออะไรและที่น่าตกใจที่สุด ทั้งคู่คงไปพบเห็นหรือเจอะเจอกับอะไรที่ลึกลับและต้องห้ามจนไม่สามารถนำสิ่งที่พบเจอกลับมาบอกเล่ากล่าวขานให้ใครได้รับรู้อีก 

ชาวบ้านเรียกสิ่งนั้นว่า “บางอย่างที่ไม่ควรจะเห็น” สองพ่อลูกพากันซมซานกลับมา พ่อของนายใบ้กลับมาด้วยอาการสติฟั่นเฟือน พูดจาไม่รู้เรื่อง จำอะไรไม่ได้ จำไม่ได้แม้กระทั่งชื่อของตัวเอง จากเดิมที่มีชื่อเรียกว่านายดำ เพราะมีผิวกายสีดำสนิทมาตั้งแต่กำเนิด ก็ได้ฉายาใหม่จากชาวบ้านว่านายบ้า 

ส่วนนายใบ้ เดิมที่มีชื่อเล่นว่าหน่อย หน่อยและน้ำเป็นเพื่อนเรียนชั้นเดียวกันแต่เรียนกันคนละห้อง หน่อยเป็นคนเรียนหนังสือไม่เก่ง กีฬาก็ไม่เก่ง แต่เก่งเรื่องหาของกินในป่า วันหยุดหน่อยจะชอบเข้าป่าดงพงไพรเพื่อไปหาของป่ากับพ่อซึ่งเป็นสิ่งที่หน่อยชอบและมีความสุข 

หน่อยมักจะถูกเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนกลั่นแกล้งบ่อยครั้ง หลายครั้งที่ไผ่และฝน ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือตอนหน่อยโดนกลั่นแกล้ง แต่แล้วทั้งคู่ก็ต้องปล่อยหน่อยให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวเพราะฟ้า เพื่อนสาวในกลุ่มไม่ชอบใจและมักมองหน่อยด้วยสายตารังเกียจเดียวฉันท์เสมอ

หน่อยอาศัยอยู่กับพ่อมาตั้งแต่ยังเด็ก ส่วนแม่ของหน่อยหนีออกไปอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านอื่นเพราะทนไม่ไหวที่ถูกสามีทุบตีบ่อยครั้ง ดึกดื่นคืนหนึ่งจึงได้แอบหนีไปเพียงลำพังทิ้งลูกน้อยไว้กับผู้เป็นพ่อให้เลี้ยงดูกันตามมีตามเกิด

จนกระทั่งเมื่อสองปีที่แล้ว หน่อยกับพ่อเข้าไปในถ้ำที่ชาวบ้านเล่าขาน ไม่มีใครรู้ว่าถ้ำแห่งนั้นอยู่ที่ใด พวกเขารู้เพียงว่าต้องนั่งเรือข้ามแม่น้ำไปยังดินแดนอีกฝั่งของแม่น้ำโขง ก่อนออกเดินทางพ่อของหน่อยก็ไม่ยอมปริปากบอกที่ตั้งของถ้ำนั้นกับใคร ด้วยเพราะกลัวชาวบ้านจะแอบตามไปและเสียส่วนแบ่งอันพึงได้ของเขา 

“จะไปถ้ำที่ฝั่งลาว จะไปเอาสมบัติที่บรรพบุรุษฝังไว้ให้ แล้วจะกลับรวยกว่าทุกคนในหมู่บ้าน” นี่คือคำพูดสุดท้ายของนายดำก่อนหายตัวออกจากหมู่บ้านไปพร้อมกับลูกชาย   

สามเดือนต่อมา สองพ่อลูกก็พากันซมซานกลับมา นายดำมีไม้คานหามอยู่บนบ่าด้านขวาและปลายทั้งสองข้างของไม้คานมีถุงกระสอบใบใหญ่อย่างละถุง ทุกวันนายดำจะเดินวนเวียนไปรอบหมู่บ้านพร้อมกับพูดจาเพ้อเจ้อและวกวน จนคนอื่นฟังไม่รู้เรื่อง ใครถามอะไรก็ตอบไม่ตรงคำถาม 

ในช่วงเวลาที่นายดำเผลอหลับสนิทไปด้วยความเหนื่อยล้าเพราะต้องแบกหามกระสอบใบใหญ่เดินวนเวียนไปทั่วทั้งหมู่บ้าน เคยมีคนพยายามเข้าไปรื้อดูถุงกระสอบที่นายดำแบกไปมาตลอดเวลา ปรากฏว่าในกระสอบนั้นไม่มีของมีค่าอะไรเลย มีเพียงก้อนหิน ก้อนกรวดและทรายอยู่คละกันไปทั้งสองถุง บ่อยครั้งผู้มีจิตเมตตาสงสารและเวทนาได้แอบนำไม้คานและกระสอบนั้นไปทิ้ง พอนายดำตื่นขึ้นมาไม่เจอกระสอบหิน กรวด ทรายก็ออกตามหา พลางก่นด่าและสาปแช่งผู้คนที่ขโมยของมีค่าของตนไปอย่างหยาบช้าด้วยถ้อยคำที่ระคายเคืองหูเกินกว่าที่ใครจะทนรับฟังได้ จนผู้คนทั้งหลายต่างเอือมระอา และเรียกชื่อใหม่ว่า “ไอ้บ้าแบกกระสอบทราย” 

ส่วนหน่อยนั้นเดินทางซมซานกลับมาพร้อมผู้เป็นพ่อด้วยสติสัมปชัญญะที่ไม่สมประกอบเท่าที่ควรและที่น่าเวทนาอย่างที่สุดคือไม่สามารถพูดจาออกเสียงได้อีกต่อไป ชาวบ้านผู้หวังดีเคยพาหน่อยไปพบแพทย์ แต่แพทย์ก็ไม่สามารถสรุปถึงสาเหตุได้ บอกได้เพียงว่า หน่อยคงกินหรือดื่มอะไรที่เป็นพิษต่อกระบอกเสียงเข้าไป จึงทำให้ไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้เหมือนคนปกติทั่วไป ชาวบ้านจึงได้พากันตั้งฉายาให้ใหม่ว่า “นายใบ้” หรือบางคนเรียก “ไอ้ใบ้” เมื่อมีคนพยายามสอบถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น นายใบ้ก็ทำได้เพียงแค่น้ำตาไหลพรากไม่ยอมปริปากพูดจาอะไรออก ได้แค่เพียงส่ายหัวไปมาอย่างทุกข์ทรมานแสนสาหัส พร้อมกับเอามือกุมคอตัวเองไว้อย่างด้วยอาการเจ็บปวด ทั้งสองพ่อลูกคือเรื่องราวเล่าขานอันลึกลับที่ชาวบ้านต่างเล่าลือกันไม่จบสิ้น 

เดิมทีนายบ้าและนายใบ้เคยมีบ้านไม้ยกพื้นสูงหลังเล็กอยู่ติดริมแม่น้ำโขง ชาวบ้านเคยเล่าลือกันว่าบ้านหลังนั้นมีอาถรรพ์ ใครอยู่ก็จะมีอันเป็นไป หลายสิบปีที่ผ่านมาบ้านนั้นไม่เคยสงบสุข มีแต่เสียงทะเลาะวิวาท จนกระทั่งนายบ้าและนายใบ้กลับมาด้วยอาการบ้าใบ้ บ้านนั้นก็ถูกทิ้งร้างไร้ผู้คนอยู่อาศัย กลายเป็นบ้านอาถรรพ์ในตำนานไปโดยปริยาย 

นับจากเหตุการณ์ลึกลับที่เกิดขึ้นนายใบ้ได้ไปอาศัยอยู่ที่วัดกับพระผู้มีจิตเมตตา แบ่งข้าววัดให้กินพอประทังชีวิตไปวัน ๆ ส่วนนายบ้าผู้เป็นพ่อ ได้แต่แบกกระสอบหิน กรวด ทราย เดินวนไปรอบหมู่บ้านทุกวัน เหนื่อยก็พัก ค่ำที่ไหนก็นอนที่นั่น ข้าวปลาอาหารก็หากินตามถังขยะหรือบางทีก็มีชาวบ้านสงสารแอบวางอาหารเอาไว้ให้ เพราะนายบ้าไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้กลัวว่าชาวบ้านที่อิจฉาริษยาจะแอบเข้ามาตีสนิทแล้วขโมยเพชรนิลจินดาที่เก็บไว้ในกระสอบทั้งสองไปอีก 

“นายใบ้ ไม่ต้องเข้าไปหลบ ออกมาเถอะ น้ำไม่ฟ้องหลวงพ่อหรอกนะ” น้ำพยายามเอ่ยเรียกนายใบ้ให้ออกมาจากการซ่อนตัวในกอไผ่ 

นายใบ้เคยโดนหลวงพ่อตำหนิบ่อยครั้ง เพราะชอบแอบย่องมาที่ท้ายรีสอร์ทแห่งนี้ ตั้งแต่วันที่พ่อและแม่ของน้ำเสียไปนายใบ้ก็มาด้อม ๆ มอง ๆ บ่อยครั้งขึ้น แต่ไม่ได้ขโมยหรือหยิบฉวยทรัพย์สินอะไรไปทั้งสิ้น เหมือนนายใบ้จะมาเพียงสังเกตการณ์อะไรบางอย่างและนายใบ้คือส่วนหนึ่งที่ทำให้ลูกค้าและแขกที่มาพักอยู่ในรีสอร์ทต้องตกใจกลัว หลายคนถึงกลับเช็คเอ๊าท์กลางดึก บางคนก็รีบเช็คเอ๊าท์ไปแต่เช้าตรู่ และโพสต์ข้อมูลต่าง ๆ ลงตามโซเซียลเน็ตเวิร์กว่ารีสอร์ทแห่งนี้คือรีสอร์ทผีสิง 

น้ามะปรางจึงไม่ค่อยชอบนายใบ้นักและมักให้คนงานขับไล่ออกไปอยู่บ่อยครั้ง แต่สำหรับน้ำเธอกลับสงสารและเห็นใจนายใบ้มากมาย เขาคงอ้างว้างและว้าเหว่มาก เธอมักจะพกขนมและอาหารติดตัวเสมอเพื่อมาแบ่งให้นายใบ้กิน ซึ่งนายใบก็จะยินดีที่จะกินอาหารที่เธอนำมาให้ทุกครั้ง เธอจึงเป็นเหมือนดั่งนางฟ้าสำหรับเขา 

นายใบ้มองไปที่หญิงสาวอย่างเขินอายพร้อมกับยิ้มยิงฟันจนมองเห็นฟันสีเหลืองคละกับสีดำสกปรกเหมือนคนที่ไม่ยอมแปรงฟันมาแล้วหลายปี แต่แล้วจู่ ๆ นายใบ้ก็ทำท่าทางร้องโหวกเหวกโวยวายแบบไม่มีเสียงขึ้น ท่าทางนั้นดูตกใจสุดชีวิต ชี้โบ๊ชี้เบ๊ไปยังริมแม่น้ำโขงพลางพยายามแทรกตัวหนีไปอีกฝั่งของกอไผ่โดยไม่สนใจความเจ็บปวดของร่างกายที่เกิดจากการเสียดสีกับกิ่งไผ่ สิ่งที่นายใบ้อยากทำมากกว่าสิ่งอื่นใดในเวลานี้คือหนีไปให้เร็วที่สุด 

หญิงสาวมองตามมือของนายใบ้ไปที่ริมแม่น้ำโขง เธอมองเห็นไอหมอกสีขาวลอยฟุ้งขึ้นมาจากผิวน้ำ เธอจำไอหมอกสีขาวนี้ได้ดี เธอตัดสินใจทิ้งนายใบ้ไว้ในกอไผ่นั้นอย่างไม่สนใจและเดินตรงไปที่ทางเดินบันไดดินลงสู่แม่น้ำโขง สายตาของหญิงสาวพยายามจับจ้องไปยังไอหมอกและแม่น้ำนั่นอย่างไม่ละสายตา เหมือนเธอกลัวกว่าถ้าเพียงแค่เธอกะพริบตาเท่านั้น ภาพเหล่านั้นจะเลือนรางหายไป 

มือขวาของหญิงสาวจับที่ราวไม้ไผ่ไล่ลงไปสู่ด้านล่างอย่างช้า ๆ เท้าทั้งสองข้างของเธอเดินสลับกันลงไปตามขั้นบันไดดินอย่างชำนาญทาง เรือลำเล็ก ๆ ค่อย ๆ โผล่พ้นไอหมอกสีขาวสะอาดตาออกมา ชายคนหนึ่งยืนนิ่งอยู่ในเรือลำนั้น หัวใจของหญิงสาวสั่นระรัวเหมือนกล้องแต้ก เขาคือคนที่เธอเฝ้าคอย 

ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งในเสื้อยืดสีขาว สวมเจ็คเกจสีเทาแบบไม่รูดซิปด้านนอกทับไปอีกทีกับกางเกงยีนสีน้ำเงินเข้ม เขาใส่หมวกสีดำแบบมีปีกด้านหน้า เรือลำน้อยลอยลำใกล้เข้ามาจนถึงฝั่ง เขากระโดดลงจากเรือ เสียงน้ำดัง จ๋อม!!! 

ชายหนุ่มนำเรือไปผูกไว้ที่ตอไม้อันหนึ่งที่โผล่พ้นเหนือผิวน้ำขึ้นมาเพียงเล็กน้อย หญิงสาวจ้องมองดูเขาจากด้านข้าง ภาพลักษณ์ของเขายังคงเป็นเหมือนนักท่องเที่ยวจากแดนไกลเหมือนเช่นวันแรกที่หญิงสาวพบเจอ เขายังคงสะพายเป้สีเทาดำคละด้วยสีแดงตามขอบลายเส้นของเป้และคอของเขาก็คล้องกล้องถ่ายรูปแบบ Mirrorless ใบหน้าของเขาก้มลงสู้พื้นน้ำอย่างขะมักเขม้นกับการผูกเรือ 

ชายหนุ่มาเริ่มเงยหน้าขึ้นมาจากตอไม้อย่างช้า ๆ และสังเกตเห็นว่ามีสายตาคู่หนึ่งจ้องมองเขาอยู่ก่อนแล้ว เขาจึงเดินตรงเข้ามาที่หญิงสาว เหยียบฝ่าเท้าอันเปลือยเปล่าลงบนพื้นดินที่เต็มไปด้วยกรวดและทรายปะปนกัน มือข้างหนึ่งถือรองเท้าผ้าใบยี่ห้อไนกี้ ส่วนมืออีกข้างนั้นว่างเปล่า ไอหมอกสีขาวลอยตามเท้าของเขาขึ้นมาจนถึงบนหาดริมแม่น้ำโขง สายตาของชายหญิงจ้องประสานกันอย่างต้องมนต์สะกด ใบหน้าของชายหนุ่มนั้นชัดเจนและคุ้นเคยในความรู้สึกของหญิงสาวเหมือนเธอเคยเจอกับใบหน้าหล่อเหลานี้มายาวนานนับพันปี 

“สวัสดีครับ สาวไทย ผู้โศกเศร้า” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นเบา ๆ แต่ชัดเจน 

สายตาทั้งสองยังคงจ้องประสานกันอย่างคุ้นเคย ชายหญิงทั้งสองยืนห่างกันเพียงแค่ระยะเอื้อมถึง ถ้าเพียงแต่มือของทั้งสองจะเอื้อมไปสัมผัสกันและกัน เขาคือชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่แข็งแรง ผู้มีใบหน้าดูอ่อนเยาว์อย่างไร้กาลเวลาเพียงแต่แววตาสีเขียวของเขามันดูมีประกายแกล้วกล้าเหมือนผ่านร้อนผ่านหนาวมายาวนาน 

เธอคือหญิงสาวรูปร่างสูงโปร่ง ส่วนสัดเหมือนนางงามมากว่าจะบอบบางเหมือนนางแบบ ผมสีดำสนิทเป็นเส้นตรงยาวลงมาถึงกลางหลัง ผิวกายสีน้ำผึ้งของเธอนั้นช่างดูผุดผ่องสมวัยผิวสาวแรกรุ่น จมูกโด่งเป็นสัน นัยน์ตากลมโต คมเข้มแต่ดูโศกเศร้า ริมฝีปากอวบอิ่มสีอมชมพูนั้นช่างมีเสน่ห์เย้ายวนใจชายหนุ่มอย่างยากเกินจะห้ามใจ 

“สวัสดีคนแปลกหน้า คุณพายเรือข้ามมาจริง ๆ ด้วย” หญิงสาวกล่าวคำทักทายกลับ โดยไม่ละสายตาจากนัยน์ตาสีเขียวคู่นั้น 

“ก็พายเรือมานะซิ ผมคงไม่ว่ายน้ำข้ามหรอกนะ” ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงหยอกเย้ายียวนเหมือนเช่นเดิม 

“แล้วพายเรือตอนมีหมอกแบบนี้ ไม่กลัวว่าจะชนตอไม้เอาเหรอ” หญิงสาวถามออกไปอย่างเป็นห่วงเป็นใย 

“ผมชำนาญแล้ว เวลาน้ำลดตอจะผุดขึ้นให้เห็น ก็จำเอาไว้ ว่าตรงไหนมีตอหรือโขดหิน ก็ไม่ต้องพายไปตรงนั้น แต่ช่วงนี้หน้าฝน น้ำขึ้น พายไปตรงไหนก็ไม่เจอตอหรือโขดหินหรอก” ชายหนุ่มอธิบายพร้อมกับยิ้มพรายอย่างมีความสุข 

“แต่หน้าฝน ฝนตกหนัก น้ำลึกแบบนี้ พายเรือข้ามมาอันตรายมากนะ” หญิงสาวยังคงมีท่าทีเป็นห่วงมิตรแปลกหน้าอย่างเห็นได้ชัด 

“ผมเกิดในน้ำ ผมว่ายน้ำเก่ง ผมไม่มีวันตายเพราะน้ำหรอก” ชายหนุ่มตอบพร้อมกับยิ้มอย่างอ่อนโยนมายังหญิงสาว 

“อย่าทำเป็นมั่นใจไปหน่อยเลย นักว่ายน้ำทีมชาติก็เคยจมน้ำตายมาแล้ว”  หญิงสาวแย้ง “วันนี้หมอกลงจัดด้วย เพราะเมื่อตอนกลางวันฝนตกหนัก คุณพายเรือมาแบบนี้อันตรายมาก มันจะมองไม่เห็นทางนะ” 

“ผมจำเป็นต้องมาตอนหมอกลงจัด เพราะไม่ต้องการให้มีคนเห็น” ชายหนุ่มตอบ 

“ลักลอบมาอีกแล้วล่ะซิ ตม. ก็อยู่ห่างจากที่นี่แค่ไม่กี่กิโล ทำไมถึงไม่ยอมไปแสตมป์ใบผ่านแดน ทำไมถึงชอบนักกับการลักลอบทำอะไรที่มันผิดกฎหมาย” หญิงสาวตำหนิ ชายหนุ่มไม่ตอบโต้ได้แต่ส่งยิ้มกลับมาอย่างขบขัน 

“นี่ล่ะตัวผม ชอบลักลอบทำอะไรที่มันผิดเสมอ คุณเองก็ชอบที่ผมเป็นแบบนี้” ชายหนุ่มยิ้มอย่างมีเลศนัย 

“อย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลย ฉันไม่เคยชอบพวกที่ลักลอบทำอะไรที่มันผิดกฎหมายหรอกนะ แล้วทำไมคุณต้องมาที่นี่ ที่นี่มีอะไรที่คุณชื่นชอบ จนทำให้คุณต้องยอมแอบหนีเข้ามาแบบลักลอบตลอด” หญิงสาวพยายามคาดคั้น 

“มีผู้หญิงสวย มีวัด มีพระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ มีแม่น้ำ มีภูเขา มีถ้ำ มีผู้คนมากมาย มีนักท่องเที่ยวเยอะแยะ บางทีผมอาจจะเจอญาติที่บินมาจากยุโรปก็เป็นไปได้นะ” ชายหนุ่มตอบอย่างฉะฉานด้วยภาษาไทยที่ชัดเจน สำเนียงไม่ผิดเพี้ยน 

“คุณชอบเที่ยวผู้หญิงเหรอ งั้นคุณคงมาผิดเมืองแล้วละ อำเภอนี้เน้นนักท่องเที่ยวสายธรรมชาติ รักน้ำ รักภูเขา รักไอหมอก” หญิงสาวพูดอย่างขุ่นเคือง 

“ผมไม่ได้หมายถึงเที่ยวผู้หญิงแบบนั้น” ชายหนุ่มแก้ตัวแบบไม่เขินอาย “ผมหมายถึงผู้หญิงที่หน้าตาสวยแบบคนไทย  ผู้หญิงสวยแบบธรรมชาติสรรค์สร้างมองแล้วสบายตา เห็นหน้าแล้วสบายใจ ผู้หญิง แบบคุณ”   

“นี่แอบชมเพราะคุณกลัวว่าฉันจะแจ้งตำรวจจับคุณเหรอ เสียใจนะฉันไม่ใช่คนหูเบาที่จะเชื่อคำพูดกะล่อนของใครง่าย ๆ" หญิงสาวสัพยอก 

“ตำรวจเหรอ ผมไม่เคยกลัวตำรวจไทย พวกนั้นชอบมาตอนจบและผมก็เป็นพระเอกที่ตายก่อนตำรวจจะมาถึงเสียด้วย” ชายหนุ่มสัพยกด้วยคำพูดยียวน หญิงสาวถึงกับอมยิ้มอย่างขบขัน 

“ทำเป็นพูดเล่นไป พวกต่างด้าวหนีเข้าเมืองกลัวตำรวจไทยจะแย่ คนงานที่รีสอร์ท พวกที่คุณพ่อยังไม่ได้รับรองนายจ้างให้ พอมีตำรวจมาทีวิ่งเข้าป่าไผ่เลย พอตำรวจไทยไปก็ออกมาไม่ได้ซะงั้น” หญิงสาวพูดพลางหัวเราะอย่างขบขัน 

“งั้นผมก็เป็นต่างด้าวที่ไม่กลัวตำรวจไทย ผมไม่เคยกลัวอะไรเลย นอกจาก ...” ชายหนุ่มหยุดนิ่งไป เขาจ้องมองไปที่ใบหน้าสวยเศร้าของหญิงสาวที่แม้จะเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้างแล้วแต่ร่องรอยของความเศร้าก็ยังคงอยู่ 

“นอกจากอะไรเหรอ” หญิงสาวถามอย่างสงสัย 

“นอกจากคุณ คุณคือคนเดียวที่ผมให้ผมกลัว” น้ำเสียงของเขานั้นเบาลง สีหน้าและแววตาของเขาก็สลดลงเช่นเดียวกัน 

“กลัวฉัน นี่ฉันน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ หรือว่าชาติที่แล้วฉันเคยทำร้ายคุณหรือฉันเคยแตะหมาของคุณหรือว่าตีก้นแมวของคุณ ฉันไม่ได้ดูน่ากลัวขนาดนั้นซะหน่อย” หญิงสาวเอ่ยถามอย่างสัพยอก 

“ไม่เคย คุณไม่เคยทำร้ายผมและผมก็ไม่เคยทำร้ายคุณ ชาตินั้นเราก็ไม่เคยมีหมาหรือแมวด้วย” ชายหนุ่มจ้องมองมาที่หญิงสาวด้วยสีหน้าจริงจังไม่มีวี่แววสัพยอกให้เห็นอีกต่อไป 

“คุณนี่แปลกคน บทจะกวนก็กวนประสาท บทจะซีเรียสก็เปลี่ยนไปดื้อ ๆ และพูดจาแปลก ๆ เหมือนเราเคยรู้จักกันมาตั้งแต่ชาติที่แล้วจริง ๆ” หญิงสาวยิ้มอย่างขบขัน 

“ใช่ เรารู้จักกันมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว และชาติก่อนหน้าอีกหลาย ๆ ชาติ” น้ำเสียงของชายหนุ่มยังหนักแน่นแต่แฝงไว้ซึ่งความอ่อนโยน 

“นี่คงเป็นมุกจีบสาวของคุณซินะ เสียใจด้วยนะ ใช้ไม่ได้ผลกับฉันหรอก” แววตากลมโตของหญิงสาวจ้องกลับไปอย่างรู้ทัน แต่แววตาสีเขียวเป็นประกายคู่นั้นยังคงดูจริงจังและมั่นคง 

หนุ่มลาวผู้นั้นถอนหายใจเฮือกใหญ่ กะพริบตาไปมา แล้วหันมาจ้องที่ใบหน้าของหญิงสาวอีกครั้ง หญิงสาวจ้องกลับอย่างไม่กะพริบตาเช่นกันแต่เธอก็ต้องสะบัดหน้าอย่างแรงเพราะมีเศษใบไม้ปลิวเข้ามากระทบกับใบหน้า หมวกที่เธอสวมใสอยู่ถูกแรงลมพัดปลิวออกไปจากศีรษะ ด้านหลังศีรษะของเธอซึ่งถูกปิดทับด้วยผ้าพันแผล อุบัติเหตุที่เธอและธารทะเลาะกันก็ปรากฏขึ้น หนุ่มลาวผู้นั้นจ้องมองไปที่บาดแผลนั้นอย่างเจ็บปวด มันเจ็บปวดเสียยิ่งกว่าบาดแผลในใจของเขาเสียอีก ใบหน้าของเขาแดงก่ำเหมือนถูกรนด้วยไฟแห่งความโกรธ แววตาสีเขียวคู่นั้นเป็นประกายเจิดจ้าจนเห็นได้ชัดเจนถึงอาการโกรธเคืองอย่างสุดฤทธิ์ 

“ไอ้น้องชายตัวแสบของคุณ มันผลักคุณตกบันไดใช่มั้ย” ชายหนุ่มตะโกนออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว 

“คุณรู้ได้ไง เรื่องนี้มีคนรู้เรื่องแค่ ธาร น้ามะปรางกับฉันเท่านั้นนะ แล้วทำไมแววตาของคุณถึงมีเปลวไฟ คุณเป็นตัวอะไรกันแน่” หญิงสาวจ้องมองไปที่ใบหน้าแดงก่ำนั้นอย่างตื่นตระหนก 

“ผมควรจะรู้ตั้งแต่นาทีแรกที่เราเจอกัน ถ้าเพียงแค่ผมอ่านใจและความคิดของคุณ แต่เพราะคุณคือคนเดียวที่ผมไม่ต้องการจะทำ คุณคือคนเดียวที่หยุดผมไว้จากทุกสิ่งทุกอย่าง” ชายหนุ่มตอบด้วยท่าทีขึงขัง 

“คุณพูดเรื่องอะไร คุณอ่านความคิดฉันได้เหรอ คุณพูดเหมือนคุณไม่ใช่คน”   

“มันอยู่ข้างบนโน้นใช่มั้ย” ชายหนุ่มผู้มีตาสีเขียวจ้องมองขึ้นไปด้านบนของรีสอร์ท แววตาคู่นั้นยังคงมีประกายไฟเจิดจ้า มันสว่างจนเป็นเปลวทะลุออกมาจากเบ้าตา 

“มันเป็นแค่อุบัติเหตุเท่านั้น” หญิงสาวทำใจดีสู้เสือและพยายามปกปิดความจริง แม้ภาพที่เธอเห็นมันควรทำให้เธอกลัวจนลนลานหนี แต่แปลกที่เธอกลับไม่รู้สึกกลัวเขาเลย แม้ ณ เวลานี้ เขาจะดูเหมือนเป็นผู้ร้ายก็ตามที 

มันต้องชดใช้!!!” หนุ่มลาวผู้มีตาสีเขียวพุ่งตัวขึ้นไปบนรีสอร์ท อย่างรวดเร็ว เขาเคลื่อนที่ไปได้รวดเร็วมาก มันเร็วเกินกว่าจะที่เรียกว่าเป็นการเคลื่อนไหวของมนุษย์ 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา