ยามเมื่อสายลมกรีดร้อง!

-

เขียนโดย GCodename

วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2561 เวลา 20.29 น.

  16 บท
  5 วิจารณ์
  14.51K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 11 เมษายน พ.ศ. 2561 15.25 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) บทนำ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     

บทนำ 

 

 

 

 

              เสียงรถบีบแตรผสมกับความวุ่นวายในถนนสายด่วน  ชินกร ทนายหนุ่มไฟแรงอนาคตไกลนั่งฟังเพลงสากลคลอเบาๆภายในรถสปอร์ตยี่ห้อยุโรปคันหรูของเขา  สายตาเหลือบไปมองนาฬิกาข้อมือราคาเป็นแสนที่บ่งบอกเวลาว่าขณะนี้19.31 น. พรางปรับระดับสายตาโฟกัสไปที่ถนนที่มีรถจอดติดไฟแดงความจริงตัวเขาน่าจะคุ้นชินกับสถานการณ์เร่งด่วนในเมืองหลวงเพราะทางนี้เป็นเส้นทางหลักในการกลับไปที่คอนโดกลางใจกรุงของเขา  แต่ว่าวันนี้มันไม่เหมือนกับทุกวันเพราะอารมณ์ขุ่นมัวที่เกิดขึ้นในช่วงเย็นหลังจากการพิจารณาคดีที่เขารับบทเป็นทนายให้จำเลยคดีขับรถชนผู้บริสุทธิ์สามราย    แล้วด้วยอำนาจเงินของจำเลยบวกกับความสามารถในการว่าความของชินกรทำให้จำเลยรอดคุกไปได้อย่างสวยงามมีพียงคำตัดสินเพียงรอลงอาญากับชดใช้เงินบางส่วนให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิตเท่านั้น     ซึ่งนั่นควรจะเป็นอีกหนึ่งวันที่สวยงามสำหรับทนายฝั่งจำเลยอย่างชินกร หากเพียงทนายฝั่งโจทย์ไม่ใช่ อานนท์  เพื่อนสนิท ไม่สิ! ต้องใช้คำว่าอดีตเพื่อนสนิทที่เรียนนิติศาสตร์และสอบเป็นทนายด้วยกันมาหัวเสียกับวิธีการทำงานของชินกร เดินมาดักหน้าตัวเขาที่หน้าศาลอันศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับชี้หน้าด่าเขาอย่างโกรธแค้น!

              “แก! ไอ้ฆาตกร”

              “นี่นนท์ แก.....ใจเย็นก่อนสิวะ”

              ชินกรพยายามจะพูดเอาน้ำเย็นเข้าลูบอารมณ์โทสะแต่ดูจะไร้ผล

              “ไม่ยงไม่เย็นมันแล้ว ไอ้กร!  เสียดายที่ตลอดมาฉันชื่นชมแก  เพราะแกเป็นคนเก่ง  เป็นเพื่อนที่ดีของฉันตลอดมา แต่ฉันไม่คิดว่าแกจะเป็นคนที่ไร้ศีลธรรม  ไร้ยางอายได้ถึงขนาดนี้”

              “นี่นนท์ ฉันว่าแกด่าฉันเกินไปแล้วนะ ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดฉันเป็นทนายแล้วทำตามกฎหมายจนจำเลยหลุดคดีไปแค่นั้นเอง  แกจะอารมณ์ร้อนไปทำไมวะ? กับอีแค่แกว่าความให้โจทย์แล้วแพ้ฉันที่ไม่สามารถทำความต้องการของฝ่ายโจทย์ได้แค่นั้นเอง  นี่เราไม่ได้เจอกันตั้งนานเราอย่าเอางานมาทะเลาะกันแบบเด็กๆกันเลยดีกว่า  มาเดี๋ยวฉันเลี้ยงเหล้าแกตอบแทนเต็มที่เลยเอ้า”

              “กูไม่กินโว้ย!” อานนท์แผดเสียงลั่นสายตาแดงก่ำ “มึงรู้ไหมไอ้กร? ว่าทำไมกูถึงรับทำคดีนี้ทั้งที่มึงก็รู้ว่ากูถนัดคดีแพ่งมากกว่า  ถ้าไม่รู้กูจะบอกมึงให้........หนึ่งในเหยื่อที่จำเลยมึงชนนั่นคือน้องสาวต่างแม่ของกู!!”

              เหมือนโดนค้อนทุบกลางกบาลของชินกรเขานิ่งไปแล้วไม่รับรู้อะไรอีก ถ้าจำได้แค่ว่าอานนท์ยังคงด่าทอเขาอย่างรุนแรงซึ่งนั่นไม่ทำให้เขารู้สึกเจ็บไปกว่าการที่เขาเพิ่งรู้ตัวว่าบัดนี้เขาได้ใช้ความสามารถที่ชินกรภูมิใจนักหนามาทำร้ายคนในครอบครัวของคนรู้จักของเขาเอง!    เหตุการณ์หลังจากนั้นเขาจำได้เลือนรางว่ามียามบริเวณนั้นมาแยกอานนท์ออกไป เขามารู้สึกตัวอีกทีตอนนี้ขึ้นมาอยู่บนรถสปอร์ตของเขาแล้ว

 

 

              นั่นเป็นเหตุการณ์ที่ยังค้างคาและทำให้ชินกรหงุดหงิดไม่น้อยในตอนนี้   ยิ่งเขานึกถึงคำพูดและสีหน้าของอดีตเพื่อนนั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกผิดจนอยากที่จะให้อานนท์มาต่อยหน้าเขาหลายๆทีด้วยซ้ำ

              “โธ่เว้ย มันจะติดห่าอะไรนักหนาวะ?”

              ทนายหนุ่มสบถอย่างหงุดหงิดในอารมณ์ที่เห็นไฟแดงตรงหน้าขึ้นบอกเวลาร้อยกว่าวินาทีขณะที่ตอนไฟเขียวนั้นกลับไม่ถึงยี่สิบวินาทีเลยด้วยซ้ำ    ชินกรค่อยๆเหยียบคันเร่งขยับตามรถญี่ปุ่นคันหน้าพอไฟเขียวขึ้นมารถที่จอดด้านหน้าเขาก็ค่อยเคลื่อนตัวไป   ชินกรเห็นว่ารถคันหน้าเขาเคลื่อนตัวไปอย่างแช่มช้าไม่ทันใจขณะที่ไฟเขียวบอกเวลาใกล้หมดลงกำลังจะแทนที่ด้วยไฟสีส้มที่บอกให้ทุกคันเตรียมชะลอรถเพื่อจอดหยุดไฟแดง    ทันใดนั้นเองด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัวของทนายหนุ่มกับเรื่องราวเมื่อช่วงเย็นบวกกับความไม่ได้ดั่งใจบนท้องถนนกับรถญี่ปุ่นคันด้านหน้า ชินกรตัดสินใจแซงพรวดขึ้นมาหวังที่จะข้ามสี่แยกในทันที

              ตูมมมมมมม!

              เสียงรถชนดังสนั่นกลางสี่แยกไฟแดง ชินกรไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารถอะไรชนเข้าด้านข้างคนขับ  ความจริงเขาไม่รู้สึกตัวเลยหลังจากนั้นว่าเป็นยังไง....

 

 

              ชินกรมารู้สึกตัวตอนอยู่ที่โรงพยาบาล เขาควรจะรู้สึกโชคดีด้วยซ้ำที่ตัวเองรอดจากอุบัติเหตุคราวนั้นได้เพราะจากปากคำของแพทย์ที่แจ้งอาการของเขาว่าตัวชินกรซี่โครงหักหลายซี่โชคดีที่ไม่มีกระดูกไปทิ่มแทงอวัยวะภายใน    แล้วก็มีศีรษะกระทบกระเทือนซึ่งดูจากสีหน้าของแพทย์ที่รักษาบ่งบอกว่าน่าเป็นห่วง    ก่อนที่ไม่กี่วันถัดมาชินกรถึงได้รู้ตัวเองว่าเหตุการณ์ในชีวิตก่อนหน้าจะเกิดอุบัติเหตุครั้งนี้หลายส่วนโดยเฉพาะประสบการณ์ชีวิตส่วนตัวเขากลับจำอะไรไม่ได้เลย!

              แม้ตัวเขาจะยังจำสิ่งที่เรียนมาทั้งหมด แต่ในด้านชีวิต ครอบครัว ความสัมพันธ์ชินกรเหมือนคนโดดเดี่ยวที่จำอะไรไม่ได้   แพทย์ที่รักษาบอกได้เพียงมันเป็นผลกระทบจากอาการสมองได้รับความกระทบกระเทือนจึงได้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับเขา  เพียงแต่การที่ชินกรยังจำเหตุการณ์ได้และสิ่งที่เรียนมาก็เป็นสัญญาณที่ดีที่บอกว่าตัวเขาอาจจะความจำเสื่อมชั่วคราวเท่านั้น ถ้าได้ไปอยู่ในที่ๆคุ้นเคยอาจจะทำให้ตัวชินกรจดจำเรื่องราวก่อนหน้านี้ได้ทั้งหมด

              นั่นถือเป็นข่าวดีสำหรับเขาอยู่บ้าง ชินกรต้องพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลนับเดือนแต่เขาพบว่าไม่มีใครมาเยี่ยมเขาเลยสักคน  มีเพียงอดีตลูกค้าที่เคยว่าความส่งกระเช้ามาเป็นพิธีซึ่งในตอนนี้ชินกรไม่ต้องการ    เขาเพียงต้องการให้ใครสักคนมาเยี่ยมเยียนถามไถ่อาการบ้างก็เท่านั้น     สิ่งที่เขาพบตั้งแต่วันที่ฟื้นจนถึงตอนนี้คือความเงียบงัน ไม่มีใครสักคนมาหาเขา ไม่มีเพื่อน  ครอบครัว  มีเพียงพยาบาลที่ชินกรจ้างมาดูแลเท่านั้นเอง

 

 

              วันเวลาผ่านไปจนในที่สุดชินกรก็หายดีพอจะออกจากโรงพยาบาลกลับมารักษาตัวที่คอนโด  ชินกรต้องใช้แท็กซี่เดินทางกลับมายังคอนโดเพราะรถสปอร์ตของเขานั้นพังยับจนใช้การตอนนี้ไม่ได้    เมื่อกลับมายังคอนโดสิ่งแรกที่ชินกรทำคือการค้นหาเบอร์โทรศัพท์ทั้งเพื่อนและครอบครัว    เนื่องจากสมาร์ทโฟนของเขาเละพอๆกับซากรถสปอร์ตของเขาจนไม่สามารถหาเบอร์โทรอะไรได้    ชินกรค้นหาอยู่นานก็ไม่เห็นจะมีสมุดสักเล่มจดเบอร์โทรหรืออะไรไว้จนในที่สุดชินกรก็ยอมแพ้เลิกที่จะสนใจเสาะหาสิ่งที่หายไปทั้งความทรงจำเกี่ยวกับครอบครัวญาติพี่น้องและสิ่งที่ค้างคาใจที่สุดตลอดที่อยู่โรงพยาบาลนับเดือนคือ ทำไมถึงไม่มีใครมาเยี่ยมเขาสักคน?

              ชินกรใช้ชีวิตกับมื้อค่ำง่ายๆด้วยการซื้ออาหารกล่องมาอุ่นในไมโครเวฟ ความจริงตัวเขาอยากจะไปหาอานนท์แล้วขอโทษในสิ่งที่เขาทำผิดต่ออานนท์ไป    แต่สิ่งที่เกิดขึ้นที่โรงพยาบาลก็ตอบทุกอย่างหมดแล้ว ทั้งที่ข่าวอุบัติเหตุของชินกรร้ายแรงและเป็นข่าวใหญ่ลงหน้าหนังสือพิมพ์   แต่อานนท์ก็ไม่คิดจะโผล่มาเยี่ยมเขาในสักหนมีเหตุผลเดียวคืออานนท์ไม่มีวันจะให้อภัยในความผิดของชินกร   ขณะที่ชายหนุ่มกำลังทานอาหารกล่องในใจยังรู้สึกว้าเหว่จนน้ำตาบางส่วนเริ่มไหลจู่ๆโทรศัพท์บ้านที่คอนโดก็ดังขึ้น!

              กรี๊งงงงงง  เกร็ก

              ชินกรรีบลุกไปรับโทรศัพท์ด้วยหวังที่ว่าเป็นใครสักคนที่เขารู้จักทั้งครอบครัว เพื่อนสนิท โทรมาถามไถ่อาการของเขา 

              “ครับ ผมชินกร.....ใช่ครับ......ดีขึ้นแล้วครับ  ครับ....ใช่ครับผมยังไม่พร้อม ครับ ขอบคุณครับ”

              ชินกรวางสายด้วยสีหน้าซังกะตายเพราะปลายสายคือหัวหน้าของเขาที่ชายหนุ่มจำได้ว่าให้เลขาหิ้วกระเช้ามาให้ทุกสัปดาห์แต่ตัวเองไม่เคยโผล่หัวมาดูลูกน้องคนสำคัญสักครั้ง    แล้วทีนี้พอออกมาจากโรงพยาบาลได้ไม่ถึงวันก็โทรมาถามไถ่ว่ายังทำงานไหวไหมและพร้อมรับงานเลยหรือเปล่า?   ชินกรได้แต่ส่ายหน้าเขาเพิ่งรู้ตัวว่าตลอดมาเขาเป็นเพียงทนายทาสคนหนึ่งของบริษัทกฎหมายยักษ์ใหญ่ที่จะใช้ความสามารถของตนเองหาเงินเข้าบริษัทเท่านั้น    ชายหนุ่มเดินกลับมาที่กล่องข้าวที่ทานทิ้งไว้พร้อมกับหยิบมันทิ้งลงถังขยะ    คืนนี้ในเมื่อไม่มีท่าทีว่าจะมีใครมาหาหรือโทรมาเขาก็คงจะพักผ่อนเลยแล้วพรุ่งนี้เขาจะลองไปถามหาประวัติของตนเองที่บริษัทดู   ก่อนที่ชินกรจะก้าวพ้นจากห้องโถงเสียงโทรศัพท์บ้านก็ดังขึ้นอีกครั้ง   ชินกรหงุดหงิดใจคิดว่าหัวหน้าโทรมากล่อมให้เขารับงานอีกเมื่อยกหูชินกรเกือบจะตวาดไปด้วยซ้ำ แต่ทว่าเสียงปลายสายกลับเป็นเสียงหญิงท่าทางมีอายุน้ำเสียงอบอุ่นดูคุ้นเคย

              “กร นั่นกรใช่ไหมลูก? นี่แม่เองนะ...”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา