ยามเมื่อสายลมกรีดร้อง!

-

เขียนโดย GCodename

วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2561 เวลา 20.29 น.

  16 บท
  5 วิจารณ์
  14.52K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 11 เมษายน พ.ศ. 2561 15.25 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

12) บทที่11 แผนการที่เสี่ยงที่สุดของสัปเหร่อขาม

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บท11  แผนการที่เสี่ยงที่สุดของสัปเหร่อขาม

 

 

 

 

              คืนนั้นชินกรฝันประหลาดมันเป็นความฝันที่เริ่มจากตัวเขากำลังเดินในหมู่บ้านบ้านวังสาในยามค่ำคืน  ชินกรรู้สึกถึงพื้นดินที่แฉะไปด้วยน้ำบางอย่างจนดินแทบจะกลายเป็นโคลน     เสียงนกแสกร้องระงมที่เหนือหัวจนตัวเขารู้สึกไม่ดีกับบรรยากาศที่เผชิญอยู่     ทันใดนั้นที่ตรงด้านหน้าชินกรเห็นภาพคล้ายกับอะไรสักอย่างที่ถูกถมกองสูงขึ้นไปราวกับขยะที่ถูกทิ้งเป็นกองพะเนินดูไม่เป็นระเบียบ   เขาหยุดเดินตรงนั้นพร้อมกับความสงสัยทว่ากลับไม่สามารถมองเห็นได้ในค่ำคืนที่มืดมิดเช่นนี้

              “เธออยากเห็นไหมว่ามันคืออะไร?”

              เสียงที่คุ้นเคยของหวานดังขั้นที่ด้านหลังของชินกร  เขาหันหลังกลับไปดูเธอเห็นเงาที่ยืนอยู่โดยในมือยื่นไฟฉายให้กับเขา   ชินกรรับไฟฉายนั้นมาแล้วกดสวิตซ์เปิดไฟฉายขึ้นสิ่งที่เห็นทำให้เขาช็อค!    ภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือศพของคนในหมู่บ้านทั้งหมดที่ถูกโยนกองทับถมสูงขึ้นไปเหนือหัว  สภาพศพแต่ละคนดูอเนจอนาถบ้างหัวแหว่ง  บ้างแขนขาขาดทุกศพดูไม่สมประกอบทั้งสิ้น!

              ชินกรรู้สึกแขนขาอ่อนแรงจนทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้นดิน  ดินที่เฉอะแฉะติดมือและแขนขาเขาเมื่อชินกรมองไปเขาเห็นแต่เลือดที่ติดตัวเต็มไปหมด   ชินกรรีบฉายไฟฉายในมือส่องไปตามพื้นดินแล้วเขาก็พบว่าพื้นดินทั้งหมู่บ้านต่างเต็มไปด้วยเลือดของคนทั้งหมู่บ้าน!!

              ในที่สุดชินกรก็หลุดออกมาจากฝันร้ายที่เผชิญลืมตาตื่นขึ้นมาพบว่าตนเองนอนอยู่ในมุ้งกับนางภาแม่ของเขา  ชินกรลุกขึ้นมานั่งเหงื่อเต็มใบหน้าของเขาอีกแล้ว  ไม่ว่าจะใช้มือเช็ดเท่าไรแต่ก็ยังรู้สึกเหนียวเหนอะไม่สบายตัวจนสุดท้ายชินกรต้องลุกขึ้นเพื่อไปหาน้ำล้างหน้าตามเคย  

 

 

              การเดินลงมายังก๊อกน้ำที่อยู่ตรงหน้าบ้านในขณะที่ตัวชินกรไม่ได้ห้อยพระเครื่องมันทำให้ตัวเขารู้สึกโหวงเหวงไม่น้อย   แต่เขาต้องกลัวอะไรล่ะ? ในเมื่อเขาได้รู้แล้วว่าในหมู่บ้านแห่งนี้ไม่มีใครที่จะมีอำนาจได้เท่ากับนางภาแม่ของเขาที่หลับอยู่บนบ้าน   ชายหนุ่มเดินลงมาเปิดก๊อกน้ำแล้วล้างหน้าล้างเหงื่อของตนเมื่อเสร็จขณะกำลังจะหันหลังกลับขึ้นบ้าน  เขาก็พบว่าหวานนั่งมองเขาอยู่ที่ขั้นบันไดขึ้นบ้าน

              “ไง  หายหน้าหายตาไปหลายวันเลยนะ”

              ชินกรทักราวกับหวานเป็นคนๆหนึ่งทั้งที่ในความเป็นจริงเขารู้ดีว่าที่อยู่ตรงหน้านั่นคือผี!  แต่ชินกรก็หาได้สนใจเพราะสำหรับเขารู้สึกอุ่นใจทุกครั้งที่เขาได้พบเจอและพูดคุยกับหวาน

              “เธอคิดถึงฉันเหรอ?”

              “ก็มีบ้าง  อีกอย่างก็รู้สึกแปลกใจที่ไม่เห็นเธอเลยทั้งๆที่เวลาที่ฉันมีปัญหาหรืออันตรายเธอจะปรากฏตัวทุกครั้ง”

              “ฉันไม่ได้หายไปไหนหรอก  ฉันก็อยู่ข้างๆเธอแต่เธอไม่เห็นแค่นั้นเอง”

              “แล้ววันนี้ทำไมถึงออกมาให้ฉันเห็นได้ล่ะ?”

              “ฉันคิดถึงเธอไง”

              เป็นคำตอบที่ทำให้ชินกรรู้สึก ดีที่สุดในรอบสองวันที่ผ่านมาเลยทีเดียว  ชินกรเดินเข้าไปแล้วนั่งตรงขั้นบันไดไม่ห่างจากเธอ

              “เธอปวดหัวเหรอถึงได้ตื่นขึ้นมากลางดึกแบบนี้?”

              “ไม่หรอก  ความจริงตั้งแต่ฉันหาหมอมาแล้วกินยาตามที่หมอบอกฉันก็ไม่มีอาการปวดหัวเลยนะ”

              “แล้วทำไมถึงตื่นมากลางดึกล่ะ?”

              “ฉันฝันร้ายก็เลยตื่น”

              “ฝันร้ายเขาบอกว่าจะกลายเป็นดีนะ”

              “ก็ขอให้เป็นอย่างนั้นละกันนะ”

              “เธอดูเครียดๆนะ  เป็นอะไรหรือเปล่า?”

              “ฉันกำลังสับสนในการจะทำบางอย่าง”

              “บางอย่างนั้นคืออะไร?”

              “ฉันรู้แล้วนะว่าฉันเคยทำผิดมหันต์จนทำให้คนในหมู่บ้านต้องตกนรกทั้งเป็น  ฉันอยากไถ่บาป”

              “ในเมื่อเธอตั้งใจแน่วแน่  แล้วเธอสับสนอะไรล่ะ?”

              “สิ่งที่ฉันสับสนก็คือความไม่กระจ่างบางอย่าง  ไม่รู้สิ  ฉันรู้สึกว่ามันมีบางอย่างที่ไม่ถูกต้องแต่ฉันไม่รู้ว่ามันคืออะไร?  มันเป็นความรู้สึกที่ติดตัวฉันมาตั้งแต่กลับเข้ามาที่หมู่บ้านแห่งนี้”

              “แล้วเธอจะทำยังไงล่ะ?  ในเมื่อจะเดินหน้าก็ลังเลจะถอยหลังก็ไม่ได้อย่างนี้”

              “นั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้ฉันสับสนไง  แต่อย่างที่เธอว่าฉันจะถอยหลังไม่ได้ในเมื่อตัดสินใจแล้ว”

              หวานลุกขึ้นยืนแล้วเดินลงบันไดมาหยุดอยู่ตรงหน้าชินกร

              “ที่แน่ใจในสิ่งที่กำลังจะทำนะ?”

              “ไม่แน่ใจแต่ต้องทำ”

              ชินกรยืนยันหนักแน่น  หวานโน้มตัวลงมาจูบที่หน้าผากของชายหนุ่มอย่างอ่อนโยน

              “เธอคิดยังไงในสิ่งที่ฉันกำลังจะทำ?”

              “เธอตัดสินใจแล้วมาถามฉันเพื่ออะไรล่ะ?  ถ้าจะมีอะไรที่ฉันรู้สึกก็แค่แปลกใจบางเรื่อง”

              “เรื่องอะไร?”

              “เรื่องที่ว่า ‘การไถ่บาป’ มันง่ายดายขนาดนั้นเชียวเหรอ?”

              เป็นคำถามที่ชินกรตอบไม่ได้เหมือนกันว่าเหตุใดถึงได้รู้สึกจุกกับคำถามนี้ของหวาน  เมื่อเงยหน้าขึ้นหวานก็หายตัวไปแล้วปล่อยให้ชินกรยังคงครุ่นคิดสับสนอยู่ตรงนั้นต่อไป  สายลมเย็นยะเยือกโชยมากระทบจนชินกรเริ่มหนาวเย็นจึงจะหันหลังขึ้นบันไดไปบนบ้าน  แต่แล้วเขาก็เกิดอาการชะงักเมื่อสิ่งที่เห็นตรงหน้าของชายหนุ่มคืออสุรกายในร่างเงาดำสูงชะรูดที่เคยเจอมาแล้วสองครั้งยืนมองเขาใกล้กับบันไดทางขึ้น!   ชินกรกลืนน้ำลายด้วยความตกใจอาการก้าวขาไม่ออกเกิดขึ้นฉับพลัน  ขณะที่มันก็ไม่ขยับเหมือนกันยังคงยืนนิ่งจ้องมองชินกรอยู่อย่างนั้น

              “แก....ต้องการอะไร?”

              แม้ในขณะนี้จะกลัวจนปัสสาวะแทบราดแต่ชินกรก็มีสติและบ้าพอที่จะ ลองพูดคุยกับอสุรกายที่สัปเหร่อขามเรียกว่าปอบเจ้าดู  ชายหนุ่มเห็นมันขยับตัวเล็กน้อยโดยยื่นมือที่นิ้วเรียวยาวน่ากลัวมาทางเขาจนแตะเข้าที่หน้าผาก  ชินกรกรสัมผัสได้ถึงเล็บที่แหลมเรียวยาวจิกเข้าไปในเนื้อทันใดนั้นสติของชินกรก็ดับวูบไปทันที!

 

 

              สรตื่นขึ้นมาแต่เช้าซึ่งเป็นเป็นเรื่องปกติสำหรับวิถีชีวิตตามชนบท  หน้าที่ของสรในทุกเช้าคือต้องเตรียมอาหารเช้ากับยาให้ผู้ที่เป็นพ่อที่ล้มป่วยตั้งแต่เหตุการณ์ปอบลงหมู่บ้านเมื่อหลายปีก่อน  เดิมนั้นพ่อของสรก็สุขภาพไม่ค่อยดีอยู่แล้วยิ่งมาเจอกับอวิชชามนต์ดำอย่างนี้ยิ่งทรุดโทรมต้องดำรงชีพด้วยยาต้มที่รับมาจากน้าภาเท่านั้น    แต่เช้านี้สรพบว่ามีบางอย่างผิดปกติไปกว่าทุกวันเมื่อเขาปลุกพ่อของเขาเท่าไรก็ไม่ตื่น  พอลองเอามือจับชีพจรดูพบว่าพ่อของสรเสียชีวิตไปแล้ว!

              สรรีบวิ่งไปที่บ้านน้าภาทันทีน้ำตาของเขายังอาบทั้งสองแก้มทั้งเสียใจทั้งโกรธแค้นปนเป  เมื่อไปถึงสรกลับหน้าซีดตัวสั่นชะงักไป พร้อมกันนั้นใครบางคนก็ใช้ของแข็งทุบลงที่ท้ายทอยสรจนหมดสติไป!

 

 

              สัปเหร่อขามกำลังกวาดลานวัดกับพระภิกษุบวชใหม่อีกสองรูป  โดยมีไอ้ฉัตรกับลูกสมุนอีกสี่คนมาช่วยหลายวันมานี้ตั้งแต่ที่สัปเหร่อขามไล่ผีปอบยายสายแล้วช่วยชีวิตมันไว้  ไอ้ฉัตรก็สถาปนาตัวเองเป็นศิษย์ในบัดดลโดยที่สัปเหร่อขามยังไม่ยอมรับสักคำ  มันกับลูกสมุนก็ใช้ลูกตื้อคือมาอยู่ที่วัดนาดุมคอยช่วยงานของสัปเหร่อขามทุกอย่างรวมไปถึงการกวาดลานวัดเช้านี้  สัปเหร่อแยกตัวเองมากวาดตรงบริเวณที่เผาเชิงตะกอนแกสัมผัสได้ถึงสายลมเย็นวูบหนึ่งที่พัดผ่านรู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่ลมธรรมดาแกจึงเหลือบมองไปยังทิศทางของสายลมนั้นจนเห็นร่างหนึ่งยืนอยู่

              “น้าแสง”

              ร่างที่ยืนยิ้มให้แกคือตาแสงที่มีศักดิ์เป็นญาติผู้ใหญ่ของสัปเหร่อขามที่ผจญวิบากกรรมในหมู่บ้านต้องคำสาปปอบอย่างบ้านวังสา  สัปเหร่อขามเดินเข้าไปจะหาตาแสงแต่แกก็สังเกตเห็นบางอย่างที่ไม่สู้ดีในร่างของชายชราที่ดูโปร่งแสงที่สำคัญมีเงาดำทะมึนอันเป็นตัวแทนของทูตที่มารับวิญญาณยืนอยู่ไม่ไกลกันนัก!

              “น้าแสงนี่น้าตายแล้วเหรอ?!”

              ตาแสงในร่างวิญญาณพยักหน้าให้กับหลานชาย  สัปเหร่อขามตาแดงระเรื่อด้วยอาการเสียใจอย่างที่สุด

              “ใครมันฆ่าน้าแสงบอกข้ามา?”

              ตาแสงไม่พูดอะไรแต่สายตาที่มองไปยังสัปเหร่อขามก็สื่อได้ว่าบัดนี้ที่หมู่บ้านบ้านวังสาต้องเกิดเรื่องไม่ดีอะไรสักอย่างแน่นอนก่อนที่ร่างของตาแสงจะเลือนหายไปต่อหน้าต่อตา!  สัปเหร่อขามทิ้งไม้กวาดทางมะพร้าวไว้กับต้นไม้ใกล้ๆ แกรีบวิ่งไปยังกระท่อมหลังน้อยที่ปลูกติดกับป่าช้าของแกพร้อมกับหยิบย่ามพระออกมาสะพาย  แล้วเดินไปหาไอ้ฉัตรกับสมุนที่เพิ่งกวาดลานวัดเสร็จ

              “ไอ้ฉัตรเอ็งยังอยากเป็นลูกศิษย์ข้าอยู่หรือเปล่าวะ?”

              “อยากสิจ๊ะ  ฉันกับพวกอยากจะเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ขามอยู่แล้ว”

              “ดี  งั้นเอ็งกับสมุนเอ็งไปบ้านวังสากับข้า  ถ้ารอดกลับมาได้ข้าจะรับพวกเอ็งเป็นศิษย์ทุกคน!”

 

 

              แม้จะถูกข่มด้วยความตายและเรื่องของมนต์ดำคำสาปอย่างปอบแต่ไอ้ฉัตรก็ใจเพชรตามแบบฉบับนักเลงภูธรที่ต่อให้อันตรายอย่างไรมันก็ต้องมาส่ง(ว่าที่)อาจารย์ของมันอย่างสัปเหร่อขาม     โดยมันขับรถกระบะแต่งด้วยสีฉูดฉาดที่กระบะหลังมีลูกสมุนอีกสี่คนที่นั่งจับกลุ่มพูดคุยไปตลอดทางโดยก่อนจะออกมาแกได้แจกตะกรุดไว้ให้กับทุกคนไว้ป้องกันตัว   สัปเหร่อขามที่นั่งอยู่ด้านข้างคนขับมองท้องฟ้าที่มืดครึ้มสายลมแรงพัดโบกสะบัดตลอดเส้นทางที่กำลังมุ่งไปที่หมู่บ้านบ้านวังสาราวกับเป็นสัญญาณเตือนอันตรายที่บอกเป็นนัยกับผู้มีวิชาอาคมอย่างแกว่าไม่ใช่เรื่องดีรออยู่แน่!    ในที่สุดไอ้ฉัตรก็ขับพาสัปเหร่อขามมาที่บริเวณทางเข้าหมู่บ้านตัวของหัวหน้าอย่างมันถึงกับเหยียบเบรกทันทีโดยไม่มีใครสั่ง  อาจเป็นเพราะบัดนี้มันได้รับรู้ถึงความผิดปกติเมื่อเห็นเมฆครึ้มดำทมิฬลอยอยู่ด้านบนบริเวณหมู่บ้านจนดูเหมือนท้องฟ้าดินแดนมิคสัญญีอย่างไรอย่างนั้น!

              “อาจารย์ขามเอายังไง?”

              ไอ้ฉัตรถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นสายตามองดูเมฆสีอัปมงคลบนฟ้าตรงหน้าอย่างไม่ละสายตา  สัปเหร่อขามต้องใช้ฝ่ามือตบไปที่ท้ายทอยไอ้นักเลงภูธรคนนี้ดังตุบเพื่อเรียกสติ

              “เข้าไปสิวะไอ้ฉัตร!  ถ้าเอ็งกลัวเอ็งก็รออยู่ตรงนี้เดี๋ยวข้าขับรถเข้าไปเอง  แล้วถ้าข้ารอดมาได้เอ็งก็ไม่ใช่ลูกศิษย์ข้าก็แค่นั้น”

              สิ้นคำไอ้ฉัตรเหยียบคันเร่งจนลูกสมุนที่อยู่ด้านหลังต่างหัวทิ่มไปคนละทาง  ไหนๆมันก็ตัดสินใจแล้วที่จะมาขืนไปปล่อยให้คนที่มันเรียกว่าอาจารย์เข้าไปเผชิญอันตรายด้วยตัวคนเดียวนักเลงอย่างมันก็ไม่ต่างอะไรกับหมาตัวหนึ่ง     รถกระบะสีฉูดฉาดวิ่งไปตามทางลูกรังสองฝั่งเต็มไปด้วยป่าบรรยากาศรอบตัวราวกับตอนเย็นใกล้พลบค่ำ  จู่ๆสัปเหร่อขามก็หลุดปากออกมาอย่างฉงน

              “แปลก”

              “แปลกอะไรเหรออาจารย์ขาม?”

              “เราเข้ามาในหมู่บ้านพักใหญ่แล้วแต่ข้ายังไม่เห็นปอบสักตัวที่อยู่ตามรายทาง”

              “มันอาจไปอยู่ในหมู่บ้านก็ได้นะอาจารย์ขาม เออจริงสิแล้วพี่ชายที่รับปากจะช่วยอาจารย์ขามติดต่อไม่ได้เหรอ?”

              “ที่นี่ไม่มีสัญญาณมือถือ  วันนี้ก็ไม่เห็นไปหา  ข้าสังหรณ์ใจไม่ดีเลยโดยเฉพาะเรื่องที่มันเล่ามันมีอะไรไม่เข้าท่าอยู่”

              “ไม่เข้าท่ายังไงอาจารย์?”

              สิ่งที่ไอ้ฉัตรได้เป็นคำตอบคือสายตาดุของสัปเหร่อขามที่รู้สึก(ว่าที่)ลูกศิษย์จะถามเยอะเกินความจำเป็นซึ่งเจ้านักเลงภูธรก็รู้ตัวดีปิดปากตัวเองเงียบสนิท   ส่วนสัปเหร่อขามหวนไปคิดถึงเรื่องเล่าบางอย่างของชินกรที่ไม่ว่ายังไงแกก็ไม่อาจเข้าใจ

              รถกระบะของไอ้ฉัตรบึ่งมาจนเกือบจะถึงหมู่บ้านจู่ๆร่างของชินกรก็โผล่ขึ้นมาจากข้างทาง  สัปเหร่อขามรีบสะกิดให้ไอ้ฉัตรจอดรถโดยเร็ว  เมื่อลงจากรถสัปเหร่อขามเห็นชินกรในสภาพที่ดูเลอะฝุ่นไปทั้งตัวเดินเหมือนคนหมดเรี่ยวแรงสภาพดูไม่ต่างจากนักโทษที่หนีตายอย่างไรอย่างนั้น  เมื่อเห็นสัปเหร่อขามชินกรก็พุ่งมาหาด้วยความดีใจ

              “สัปเหร่อขาม....ดีใจจริงๆที่เจอ”

              “นี่มันเกิดอะไรขึ้นวะไอ้หนุ่มทำไมเอ็งถึงได้ดูแย่แบบนี้?”

              “ผมหนีออกมาจากบ้าน  ตอนนี้แม่ของผมกำลังจะทำพิธีสืบทอดปอบเชื้อให้กับผม  ผมเลยหนีออกมาก่อนที่สำคัญตอนนี้แม่ของผมรู้ตัวแล้วว่าผมออกมาหาสัปเหร่อขามรวมไปถึงไอ้สรกับครอบครัวก็โดนหางเลขไปด้วย  ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นตายร้ายดียังไงบ้าง?  สัปเหร่อขามกรุณาช่วยไอ้สรเพื่อนผมด้วย”

              ชินกรพูดออกมาด้วยสายตาที่จะร่ำไห้  สัปเหร่อขามสบถคำหยาบอย่างเสียอารมณ์เนื่องจากแผนการที่เตรียมไว้ดันมาถูกล่วงรู้ไปได้

              “มิน่า  น้าแสงข้าถึงได้ตายที่แท้นังปอบแม่เอ็งมันก็รู้ตัวแล้วนี่เอง!”

              สัปเหร่อขามล้วงเข้าไปในย่ามหยิบขวดน้ำพลาสติกสีขุ่นขึ้นมาสายตาที่แกมองมันเต็มไปด้วยความหวัง

              “เอ็งบอกว่าแม่เอ็งจะทำพิธีสืบทอดปอบเชื้อมาที่เอ็งใช่ไหม?”

              “ใช่  เมื่อคืนผมเจอกับปอบจ้าวก่อนที่จะสลบไปเมื่อฟื้นขึ้นมา  ผมเห็นแม่เตรียมบายศรีและของต่างๆโดยบอกว่าถึงเวลาที่ผมต้องรับเป็นทายาทคนต่อไปของตระกูลแล้ว  ผมอาศัยตอนที่แม่เผลอหนีออกมาจากบ้านลัดเลาะตามคันนาที่เคยหนีไอ้ชมมาก่อนแล้วมาโผล่เจอสัปเหร่อขามตรงนี้แหละ”

              “นี่ถือเป็นโอกาสสำคัญของเราแล้วไอ้หนุ่ม  เอ็งจำที่เคยรับปากข้าได้ไหม?  ว่าจะยอมช่วยคนทั้งหมู่บ้านหนทางนั้นคือน้ำมนต์ขวดนี้!”

              สัปเหร่อขามยื่นขวดน้ำมนต์ไปให้กับชินกรโดยชายหนุ่มรับไปพร้อมจ้องมองอย่างพินิจ

              “สิ่งที่ข้าต้องการให้เอ็งทำก็คือจะให้เอ็งทำยังไงก็ได้เพื่อให้แม่ของเอ็งกินน้ำมนต์ที่อยู่ในขวดนี้  เมื่อแม่เอ็งกินเข้าไปอาคมมนต์ดำต่างๆจะสลายหายไปจนข้าสามารถที่จะเข้าใกล้แม่เอ็งได้เพื่อถอนเชื้อปอบเจ้า”

              “สัปเหร่อขามต้องการจะให้แม่ผมกินน้ำมนต์นี้เข้าไปแค่นี้ใช่ไหม?”

              “ใช่  ขอแค่เอ็งให้แม่เอ็งกินน้ำนี้เท่านั้นทุกอย่างก็จะแก้ไขได้โดยง่าย”

              “แล้วแม่ของผมจะเป็นอะไรไหม?”

              “แค่มนต์ดำเสื่อมแค่นั้น  แม่เอ็งจะไม่เป็นอะไร”

              “ถ้าอย่างนั้นสัปเหร่อขามกับพรรคพวกตามผมมา  ถ้าเกิดว่าผมทำสำเร็จผมจะได้เรียกสัปเหร่อขามให้เข้ามาจัคการได้เลย  ตรงกันข้ามถ้าเกิดว่าผมทำไม่สำเร็จสัปเหร่อขามจะได้ช่วยเหลือผมได้ตกลงไหม?”

              “ได้น่ะมันได้  แต่ถ้าพวกข้าเข้าไปด้วยปอบในหมู่บ้านรู้ตัวอยู่ดี”

              “อย่าลืมว่าผมหนีออกมาจากไหนถึงรอดพ้นปอบของแม่ผมมาได้ถึงตรงนี้  ผมจะพาสัปเหร่อขามกับพรรคพวกไปตามทางหนีที่ผมออกมาโดยเลาะคันนาอ้อมไปที่บ้านของผม  สัปเหร่อขามรออยู่ตรงที่ใกล้ๆบ้านจะได้เห็นสัญญาณจากผมว่าภารกิจจะสำเร็จหรือไม่?  ยังไงก็ดีกว่าที่สัปเหร่อขามจะขับรถดุ่มๆเข้าไปในหมู่บ้านอยู่แล้วนี่”

              “เอ็งรู้ได้ยังไงไอ้หนุ่มว่าข้ากับไอ้พวกนี้กำลังจะขับรถเข้าไปในหมู่บ้าน?”

              “สัปเหร่อขามอย่าลืมสิว่าผมเป็นทนายผมหนีออกมาเจอสัปเหร่อขามกับพรรคพวกขับรถตรงเข้าไปในหมู่บ้าน  แถมยังสบถว่าตาแสงตายแล้วอีก  มันเดาไม่ยากหรอกนะว่าสัปเหร่อขามคิดที่จะขับรถเข้าไปเพื่อจัคการกับแม่ของผมใช่ไหม?”

              เป็นการคาดเดาที่แม่นยำราวจับวางจนไอ้ฉัตรที่ยืนอยู่ด้านข้างสะอึก  ขณะที่สัปเหร่อขามมองชินกรอย่างอย่างไม่ละสายตา

              “ตกลง  ไม่ว่าจะคิดไปทางไหนข้าก็ต้องพึ่งเอ็งจริงๆ  ไอ้ฉัตรเอ็งจอดรถแอบไว้แถวนี้เราจะต้องตามไอ้หนุ่มคนนี้ไปจะสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับมันคนเดียว!”

 

 

              สรลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างยากเย็นเขาถูกทุบจากด้านหลังของตน  เมื่อสายตาปรับสภาพความมืดที่เขาอยู่ในตอนนี้ได้สรพบว่าเขานั้นอยู่ภายในบ้านของเขาเองที่ถูกปิดประตูหน้าต่างจนมืดสนิท  สรเห็นแม่ของเขานางวันถูกมัดด้วยเชือกไม่ต่างจากตัวเขาเพียงแต่ยังหมดสติอยู่  โดยใกล้ๆเขายังเห็นศพของพ่อเขานอนอยู่บนที่นอนมีผ้าห่มคลุมอยู่เลย

              “แม่ๆๆ  ได้ยินฉันไหม?”

              สรพยายามส่งเสียงเรียกแต่ไม่เป็นผลนางวันยังคงหมดสติอยู่อย่างนั้น   ทันใดนั้นเองบานประตูบ้านก็พลันเปิดออกแสงสว่างจากภายนอนส่องร่างของเงาคนสองเงาเดินเข้ามาในบ้านเมื่อสรหันไปมองผู้มาเยือนก็พบว่าเป็นลุงคำกับน้าหำนั่นเอง

              “ไง  ตื่นแล้วเหรอวะไอ้คนทรยศ”

              ลุงคำพูดด้วยน้ำเสียงเหี้ยมใส่ครั้งสุดท้ายที่สรได้ยินน้ำเสียงแบบนี้หลุดออกมาจากแกก็น่าจะเป็นตอนที่พ่อไอ้ชมอริศัตรูของแกยังอยู่นั่นแหละ

              “ลุงคำนี่มันเรื่องอะไร?  แล้วลุงมาจับฉันกับแม่มัดไว้ทำไม?”

              “หึ  มึงยังทำไขสืออีกรึไอ้สร  ไอ้หำตบสั่งสอนเรียกความจำมันสักทีสองทีซิ!”

              ผู้ถูกสั่งมีสีหน้าไม่อยากปฏิบัตินักหนำซ้ำยังมองสรด้วยแววตาเห็นใจจนลุงคำตบศีรษะน้าหำอย่างแรงพร้อมกับตะคอกใส่

              “ถ้ามึงไม่ทำกูจะไปบอกแม่ภาว่ามึงก็ร่วมมือทรยศแบบมันเหมือนกันเอาไหม?”

              ดั่งคำประกาศิตน้าหำเดินปรี่เข้ามาหาสรพร้อมกับใช้ฝ่ามือตบใบหน้าสรอย่างแรงสองครั้ง  สรทั้งเจ็บทั้งมึนกับแรงปะทะของฝ่ามือเขาเห็นลุงคำยืนยิ้มอย่างสะใจอยู่ด้านหลัง

              “ดูท่ามึงจะยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับมึงสินะไอ้สร  ดูพ่อมึงเป็นตัวอย่างมึงคิดว่าที่แกตายไปเกิดจากอะไร?”

              “น้าภา....แต่มันเรื่องอะไรที่บอกว่าฉันทรยศ?”

              ลุงคำเดินเข้ามาด้วยสายตาที่น่ากลัวจ้องมองมาที่สรก่อนจะนั่งยองๆลงตรงหน้า

              “ก็เรื่องที่มึงไปร่วมมือกับไอ้สัปเหร่อขามเพื่อมาจัคการแม่ภาไง  รวมไปถึงเรื่องที่มึงสมคบคิดกับพวกไอ้ชมที่หลอกล่อให้เจ้ากรต้องอยู่คนเดียวที่ทางเข้าหมู่บ้าน  แล้วก็คราวที่เดินป่ามึงก็เป็นคนบอกข้อมูลกับไอ้ชมเช่นกัน!”

              สรหน้าซีดไปในทันทีที่ได้ยินสิ่งที่เขาเก็บเป็นความลับไว้อยู่ตลอด  ลุงคำหัวเราะเมื่อเห็นท่าทางของสร

              “หึๆๆ เป็นยังไง?  อึ้งเลยสิที่ความลับของมึงดันมีคนอื่นรู้ได้  เมื่อวานนี้ตาแสงก็ไปดีแล้วคนหนึ่งแล้ววันนี้ก็คงจะเป็นทีของมึงและครอบครัวมึงด้วยไอ้สร!  แม่ภาบอกให้ข้าจับตัวเอ็งกับแม่เอ็งไว้ก่อนเพื่อรอใครบางคนมาคิดบัญชีเอง”

              “ใครจะมาคิดบัญชีฉัน?”

              ลุงคำไม่ตอบมีเพียงรอยยิ้มเยาะต่อโชคชะตาที่ใกล้จะดับลงของสรและนางวันเต็มที!

              ชินกรพาสัปเหร่อขามกับไอ้ฉัตรและลูกน้องเดินลัดเลาะไปตามคันนาซึ่งเป็นเส้นทางเดียวกับที่เขาใช้หนีพวกไอ้ชมในคราวแรก  ระหว่างที่เดินนำอยู่นั้นสัปเหร่อขามสังเกตมองดูภูมิทัศน์รอบๆตัวอย่างระแวดระวังหลายครั้งหลายตอนก็สามารถมองเห็นภายในหมู่บ้านที่อยู่ในระยะไกลสายตาได้  ไอ้ฉัตรกับสมุนต่างพากันลูบแขนด้วยรู้สึกเย็นยะเยือกทั้งที่เวลานี้มันตอนกลางวันแท้ๆ

              “ยังกับหมู่บ้านร้างแน่ะ  ไม่เห็นใครออกมาทำอะไรที่ไหนเลย”

              หนึ่งในสมุนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นไม่เพียงแค่มันที่สังเกตถึงเรื่องนี้สัปเหร่อขามก็เห็นตามนั้นเพียงแต่ไม่ได้เอ่ยออกมาเท่านั้น 

              “อาจารย์ถ้าเกิดว่าปอบที่หมู่บ้านนี้มันเห็นเรามันจะออกมากินตับไตไส้พุงเราเหมือนในหนังไหม?”

              คราวนี้เป็นไอ้ฉัตรลูกพี่ถามขึ้นมาโดยเร่งฝีเท้ามาเดินอยู่ใกล้ๆสัปเหร่อขามซึ่งแกส่ายหน้า

              “ไม่หรอก  ถ้าเอ็งคิดว่าปอบจะเหมือนในหนังที่ไล่กินตับไตไส้พุงเอ็งคิดผิดถนัด  ความจริงปอบก็คือสัมภเวสีที่ออกไปในทางอสุรกายมากกว่า  มันเป็นดวงวิญญาณที่ต้องอาศัยร่างมนุษย์ในการกัดกินเครื่องในมนุษย์คนไหนไม่สามารถหาอะไรสดคาวประทังความหิวของมันได้มันก็กินเครื่องในของคนๆนั้น  ฉะนั้นคนที่ต้องห่วงจริงๆไม่ใช่ชาวบ้านอย่างเราแต่เป็นคนที่โดนปอบสิงต่างหาก  คนเหล่านี้เหมือนกับคนป่วยที่ต้องทรมานทนทุกข์กับการต้องกินของสดคาวและยังเสี่ยงต่อการโดนปอบกินเครื่องในของตนอีกต่างหาก  คนเหล่านี้น่าสงสารมากกว่าจะน่ากลัวนะไอ้ฉัตร”

              “แล้วปอบยายสายที่อาจารย์ขามไปปราบคราวก่อนทำไมดูน่ากลัวมากกว่าน่าสงสารล่ะ?”

              “ยายสายมันตายไปแล้วน่ะสิ!  ที่เอ็งเห็นคือปอบที่กินยายสายและยึดร่างกายเพื่อออกหากินแต่ไม่เหมือนกับคนในหมู่บ้านนี้ที่หลายคนเป็นปอบแต่ก็ยังมีชีวิตอยู่  เหมือนน้าแสงของข้าที่อยู่มาได้ตั้งหลายปีแต่ก็เป็นเหมือนสัตว์เลี้ยงที่ต้องอยู่ภายใต้อาณัติของมันเท่านั้น”

              สัปเหร่อขามพูดพร้อมกับมองไปยังชินกรที่เดินนำอยู่ข้างหน้าโดยมั่นใจว่าคำพูดแกทุกคำไอ้หนุ่มผู้เป็นต้นเหตุแห่งความฉิบหายของบ้านวังสาต้องได้ยินทุกคำแน่ 

              “มันเป็นความผิดของผมเอง” ชินกรเอ่ยขึ้นเบาๆโดยไม่หันหน้ามา “แต่สัปเหร่อขามดีใจเถอะทุกอย่างจะต้องจบลงในวันนี้!”

              ชินกรพาทั้งหมดเดินอ้อมคันนามาจนเห็นหลังคาบ้านของนางภาเขาชูมือส่งสัญญาณให้ทุกคนหยุดอยู่ตรงต้นยางนาที่ขึ้นสูงชะรูดมีพุ่มไม้ใหญ่ขึ้นรกหนาเหมาะสำหรับพรางตาได้ป็นอย่างดี

              “จากตรงนี้ไปผมมั่นใจว่าจะเป็นพื้นที่ที่จะเต็มไปด้วยปอบที่แม่ผมได้เลี้ยงไว้  ผมอยากให้ทุกคนรออยู่ตรงนี้ถ้าสำเร็จผมจะออกมาให้สัญญาณตรงทางออกคันนาตรงนั้น”

              ชินกรชี้มือไปที่ทางออกที่อยู่ด้านข้างบ้านของนางภาพร้อมกันนั้นเองสัปเหร่อขามยื่นขวดน้ำมนต์มาให้กับเขา 

              “เอ็งแน่ใจในสิ่งที่เอ็งกำลังทำอยู่ใช่ไหมไอ้หนุ่ม?”

              “ผมแน่ใจ!”

              ชินกรตอบมาด้วยแววตาหนักแน่นสัปเหร่อขามจึงปล่อยขวดใส่น้ำมนต์ให้กับเขา  ชายหนุ่มหยิบขึ้นมาพิจารณา

              “สัปเหร่อขามบอกว่าน้ำมนต์นี้ทำให้มนต์ดำเสื่อมแสดงว่าของขลังที่จะใช้ปราบปอบมีอีกอย่าง  สัปเหร่อขามจะใช้อะไร?”

              สัปเหร่อขามหยิบมีดหมอขึ้นมาจากย่ามชูขึ้น

              “ข้าจะใช้มีดอาคมนี้แทงไปที่ปอบเจ้า  ถ้าแทงได้มันก็จะตายลงในทันที”

              “รวมไปถึงจะช่วยขาวบ้านด้วยได้ใช่ไหม?  ผมเข้าใจละ”

              ชินกรเดินออกไปเพียงสามก้าวแล้วเขาก็หันหน้ามาทางสัปเหร่อขามและพรรคพวกอีกครั้ง  สัปเหร่อขามรู้สึกถึงความผิดปกติก่อนใครเมื่อเห็นรอยยิ้มที่มุมปากของชายหนุ่มที่เป้นความหวังต่อแผนการในครั้งนี้

              “ไอ้ฉัตรพวกเอ็งรีบไปแย่งขวดน้ำมนต์มาจากมันเร็ว!”

              ไอ้นักเลงภูธรกับลูกสมุนยังยืนงุนงงไม่เข้าใจสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น     จนเห็นชินกรเปิดฝาขวดน้ำมนต์พร้อมกับเทลงกับพื้นต่อหน้าจนหมดขวด!  ทันใดนั้นเองก่อนที่ใครในกลุ่มจะทันได้ขยับตัวปากกระบอกปืนลูกซองกับชาวบ้านกลุ่มหนึ่งที่แอบซุ่มอยู่ตรงพุ่มไม้ใหญ่ก็ออกมามีมีดดาบและอาวุธในมือพร้อมสรรพล้อมรอบสัปเหร่อขามกับพรรคพวกไว้จนหมดทางหนี

              “นี่มันเรื่องอะไรกันวะไอ้หนุ่ม?!”

              สัปเหร่อขามถามด้วยความเดือดดาลขณะที่ชินกรยิ้มเยาะกลับมาซึ่งเป็นรอยยิ้มที่แกไม่เคยเห็นจากเขามาก่อนหน้านี้  

              “ต้องขอโทษสัปเหร่อขามกับพวกจริงๆที่ผมยังไม่ได้บอกเรื่องสำคัญไป” ชินกรเดินเข้ามาใกล้ชายวัยกลางคนที่มีสีหน้าโกรธแค้นที่หลงกลจนได้ “เรื่องสำคัญที่ผมลืมบอกไปก็คือ  ตอนนี้ความจำผมได้กลับมาแล้ว! ที่สำคัญผมจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในคืนนั้นได้หมดทุกอย่าง”

       

  

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา