ยามเมื่อสายลมกรีดร้อง!

-

เขียนโดย GCodename

วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2561 เวลา 20.29 น.

  16 บท
  5 วิจารณ์
  14.50K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 11 เมษายน พ.ศ. 2561 15.25 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) บทที่2 อริที่ไม่ชอบหน้า

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บท2   อริเก่าที่ไม่ชอบหน้า

 

 

 

 

              คืนแรกผ่านไปอย่างสุขสงบ เนื่องจากบนบ้านของนางภาเป็นบ้านไม้ยกสูงมีหนึ่งห้องโถง  หนึ่งห้องครัวและหนึ่งห้องนอนเท่านั้น   ชินกรใช้เวลาคืนแรกนอนห้องเดียวกับแม่ของเขาในมุ้งทุกอย่างอบอุ่นเสมือนชายหนุ่มกลับมาบ้านที่แท้จริง  พอเช้าตรู่มาเยือน สร ก็มาหาเขาแต่เช้า

              “วันนี้ผมขอพาเจ้าเพื่อนเก่าคนนี้ไปเดินดูรอบๆหมู่บ้านนะครับ แล้วจะพาไปที่โรงเรียนเก่าด้วยเผื่อจะจำอะไรได้บ้าง”

              “โรงเรียนเก่า....แถวนี้มีโรงเรียนด้วยเหรอ?”

              “มีสิกร ลูกยังเรียนอยู่ตอนประถมกับเจ้าสรอยู่เลย แต่ตอนนี้กลายเป็นโรงเรียนร้างไปแล้ว”

              “ไปไม่ไกลหรอก อยู่ในบริเวณหมู่บ้านนี้เอง”

               สรรีบบอกอย่างกระตือรือร้น  ความจริงจุดหมายของชินกรนอกจากจะกลับมาหาแม่แล้วเขาก็อยากจะรู้ว่าตัวตนของตนเองในช่วงที่ความทรงจำหายไปเป็นอย่างไรเช่นกัน       ซึ่งการชวนของสรก็ตอบสนองความต้องการตรงนี้พอดีเว้นเพียงแต่เขามองเห็นสีหน้าของนางภาแม่ของเขาที่ดูจะไม่เต็มใจ

              “น่านะน้าภา ผมรับรองว่าจะดูแลลูกน้าภาอย่างดี”

              นางภามองดูลูกชายสลับกับสรก่อนที่เธอจะกวักมือเรียกสรไปซุบซิบได้ยินกันเพียงสองคน

              “ตกลง แม่จะให้กรไปกับเจ้าสรแต่แม่ขออย่างหนึ่ง อย่าได้ห่างจากเจ้าสรเด็ดขาดเพราะบ้านวังสาเราอยู่ท่ามกลางป่าเขา ถ้าไม่ชำนาญพื้นที่เกิดหลงป่าไปจะเป็นเรื่องใหญ่”

              ชินกรพยักหน้ารับคำ แม้จะรู้สึกตะขิดตะขวงใจกับการกระทำเช่นนั้นของแม่ตน

 

 

              “เมื่อกี้แม่ผมคุยอะไรกับคุณ?”

              ชินกรยิงคำถามใส่สรทันทีเมื่อออกมานอกตัวบ้าน  ขณะที่ทั้งสองตัดสินใจเดินเพื่อไปยังจุดหมายซึ่งเป็นโรงเรียนประถมเก่าที่อยู่ไกลไปอีกฟากของหมู่บ้าน  สรหันมายิ้มให้แต่ถึงกระนั้นชินกรก็ดูออกมาเขาเสแสร้ง

              “แม่แกแค่เป็นห่วงเท่านั้นล่ะเลยมาย้ำฉันให้ดูแลแกให้ดีๆ  เออนี่ ฉันขออะไรสักอย่างได้ไหม?”

              “ขออะไรกับผมเหรอ?”

              “ก็ไอ้คำพูดห่างเหินประเภทคุณๆผมๆที่พูดอยู่นี่แหละ ฉันไม่คุ้นอ่ะ  ยังไงถ้าไม่ลำบากเรียกฉันไอ้สรเหมือนเดิมก็ได้  หรือไม่เรียกฉันกับแกอย่างนี้ก็ยังโอเคกว่าคำในเมืองแบบนั้น”

              ชินกรคิดใคร่ครวญแล้วพยักหน้ารับคำ

              “ตกลง งั้นผม เอ่อ เป็นฉันกับแกละกัน”

              สรตบไหล่ชินกรอย่างอารมณ์ดี สำหรับสรคนนี้ตัวเขารู้สึกคุ้นเคยและด้วยจากการพูดคุยเรื่องราวระหว่างเขากับสรเมื่อวานสายตา  น้ำเสียงรวมไปถึงปฏิกิริยาทางร่างกายก็ดูไม่มีตรงไหนที่สรจะโกหก  ทว่าสิ่งเดียวที่ชินกรรู้สึกไม่วางใจเพื่อน(ที่อ้างว่า)สนิทคนนี้นักคือสรมีอะไรบางอย่างที่ซ่อนไว้ภายใต้หน้าตาที่เป็นมิตร อะไรบางอย่างที่เขายังไม่รู้ในตอนนี้

 

 

              สรพาชินกรเดินมาตามทางลูกรังที่รถกระบะได้พาเข้ามาทั้งสองคนผ่านไปตามบ้านแล้วบ้านเล่า  ชินกรสังเกตว่าบ้านส่วนใหญ่ร้างไร้ผู้คนปิดประตูเงียบ    แต่ก็มีหลายๆหลังที่ยังทำกิจวัตรประจำวันเช่นการทำสวนหรือเตรียมตัวออกไปที่นาระหว่างทางสรทักทายผู้คนที่พบเจออย่างคนคุ้นเคย    เมื่อเขาแนะนำชินกรพร้อมกับสำทับว่า “ไอ้กรลูกน้าภามันกลับมาแล้ว”ชินกรก็พบความผิดปกติกับชาวบ้านเหล่านั้น          บ้างยิ้มให้แต่ก็ดูเป็นรอยยิ้มแบบฝืนๆ  บ้างก็มีท่าทีหวาดกลัวพร้อมกับขอตัวแยกไปทันที และไม่น้อยที่ไม่รับไหว้ชินกรพร้อมส่งสายตาไม่เป็นมิตรมายังเขา

              “แกจากไปหลายปี  อีกอย่างฉันขอพูดในฐานะที่เป็นเพื่อนแกนะว่าเมื่อก่อนแกนิสัย....แบบค่อนข้างแย่ฉะนั้นจะมีใครไม่ชอบแกบ้างก็ไม่แปลกหรอกนะ”

              “ใครเหล่านั้นมีแกด้วยหรือเปล่าล่ะสร?”

              เหมือนจี้ใจดำสรชะงักไปช่วงเสี้ยววินาทีแต่ก็ยากที่จำพ้นสายตาทนายความอย่างเขาไปได้

              “ฉันน่ะเหรอไม่ชอบแก   เราสนิทกันจะตายไม่อย่างนั้นน้าภาไม่วางใจให้แกไปไหนมาไหนกับฉันหรอก”

              ก็จริง แม่ของเขาที่ห่วงเขาขนาดนั้นคงไม่มีทางปล่อยให้ลูกชายตัวเองไปไหนมาไหนกับคนที่เกลียดหรอก แต่ถึงยังไงด้วยนิสัยที่ไม่ไว้วางใจอะไรง่ายๆอย่างเขา ย่อมไม่คิดจะประมาทโดยเฉพาะสรที่ดูมีลับลมคมนัยบางอย่างที่ชินกรต้องรู้ให้ได้เพียงแค่ตอนนี้เขายังต้องพึ่งพาเพื่อนที่น่าเคลือบแคลงคนนี้ไปก่อนเท่านั้นเอง

              สรพาเดินมายังทางแยกของหมู่บ้านที่เลี้ยวไปด้านขวาที่เขาเห็นเมื่อวานนี้พร้อมกับพาเดินเข้าไปก็จะเห็นเป็นทางลูกรังมีบ้านปลูกไว้สองข้างทางแต่ว่าบ้านแต่ละหลังกลับกว้างและอยู่ห่างกัน    มีหลายพื้นที่ที่ไม่มีบ้านปลูกก็จะเป็นแอ่งน้ำขังหรือไม่ก็ดงกล้วยไข่ขึ้นอยู่    ชินกรเดินมาหลายสิบนาทีเขาเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติที่พอจะนึกขึ้นได้

              “ที่หมู่บ้านไม่มีใครเลี้ยงหมาเลยเหรอ?”

              “ไม่มีหรอก มันเห่าน่ารำคาญเลยไม่มีใครเลี้ยง”

              “เหรอ  แปลกดีเพราะที่ฉันลองสังเกตดู  ฉันก็ไม่เห็นชาวบ้านเลี้ยงสัตว์พวกไก่เป็ดอะไรพวกนี้เลย”

              “นี่ไอ้คุณกร  คุณกรไปอยู่ในเมืองมาหลายปีจนคิดว่าบ้านตามชนบทต้องเป็นแบบในละครใช่ไหม?   ถึงต้องติดว่าบ้านนอกต้องเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ แกลองสังเกตดูว่าบ้านแต่ละหลังมีคนอยู่มากน้อยแค่ไหนแล้วฉันบอกเลยนะว่าที่นี่เขาทำแต่นากับไร่สวน เลี้ยงสัตว์มันใช้ทุนเยอะไม่มีใครเขาทำหรอก”

              ชินกรพยักหน้าบางทีเขาอาจจะยึดติดบ้านตามชนบทเกินไปอย่างที่สรบอกก็ได้    ทั้งสองคนเดินตรงไปตามทางลูกรังสองข้างทางเริ่มเป็นป่าหญ้าคาที่สูงเกือบเท่าคน      จู่ๆสรยื่นมือออกมากันตรงหน้าชินกรเป็นสัญญาณที่บอกให้เขาหยุดพร้อมกับจ้องตาเขม็งไปข้างหน้า เมื่อชินกรมองตามเห็นกลุ่มชายฉกรรจ์สามคนกำลังเดินมา

              “โอ๊ะโอ ดูซิว่าใครกลับมาที่บ้านของเรา”

              คนที่ตัวเล็กที่สุดที่อยู่ซ้ายสุดในกลุ่มส่งเสียงถากถางพร้อมจ้องสายตามาที่ชินกร    ขณะที่คนที่รูปร่างไม่ต่างกันที่ยืนอยู่ด้านขวาก็ส่งเสียงรับเหมือนฝูงสุนัขที่เห่าหอนต่อกัน

              “จะใครเสียอีกก็ตัวซวยไงล่ะวะ!”

              “มึงว่าใครพูดให้มันดีๆไอ้ดำ”

              สรออกตัวมากั้นกลางระหว่างชินกรกับชายฉกรรจ์ทั้งสามคน   ลำพังคนขนาบซ้ายขวาคงคว่ำสรยากเพราะขนาดตัวของสรที่สูงล่ำตามแบบคนสู้ชีวิต แต่ตรงข้ามกับคนที่อยู่ตรงกลางที่ดูเป็นลูกพี่ใหญ่ในกลุ่มที่รูปร่างสูงใหญ่กว่าสรเสียอีกที่สำคัญตั้งแต่ตอนที่ชินกรเห็นชายคนนี้ก็จ้องมองเขม็งมายังเขาด้วยสาตาที่อาฆาต!

              “มึงนี่มันหมาผู้ซื่อสัตย์ดีนะไอ้สร” เจ้าตัวใหญ่ตรงกลางเดินมาประจันหน้าแต่แววตาที่จ้องจะกินเลือดกินเนื้อชินกรอยู่ “มึงลืมไปแล้วหรือไงว่ามันทำระยำกับมึงบ้าง?”

              “นั่นมันเรื่องในอดีต ตอนนี้ฉันได้รับหน้าที่ให้ดูแลเจ้ากรมันฉะนั้นไม่ว่าใครหน้าไหนอย่าได้คิดทำร้ายเจ้ากรเด็ดขาด”

              เจ้าลูกน้องสองคนดูกล้าๆกลัวสรที่จ้องมองราวกับจะเอาเรื่องยกเว้นลูกพี่ใหญ่ตรงกลางที่ยังคงมองชินกรอย่างเคียดแค้น   แต่ก่อนที่เรื่องราวจะลุกลามไปใหญ่โตเสียงดังของใครบางคนที่โผล่เข้ามาก็หยุดการกระทำทั้งหมดของทุกคนโดยเฉพาะชายฉกรรจ์สามคนนั่น

              “หยุดนะพวกมึงโดยเฉพาะมึงไอ้ชม! แหม เก่งจังกับคนไม่มีทางสู้นี่”

              ชินกรหันไปมองตามทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์เห็นชายแก่รูปร่างล่ำสูงพอๆกับเจ้าตัวใหญ่ที่มาหาเรื่อง โดยใบหน้าชายผู้นั้นไว้หนวดรุงรังคาบยาเส้นไว้ที่มุมปากผิวสีดำแดงเดินถือปืนลูกกรดสะพายบ่าตรงมายังที่ทั้งหมดยืนอยู่

              “ไอ้พวกหมาหมู่ แน่จริงก็ตัวต่อตัวกันสิวะ”

              “ได้เลยลุงคำ งั้นฉันขอตัวต่อตัวกับไอ้กรนี่แหละ!”

              เจ้าคนตัวใหญ่พูดพร้อมกับเดินปรี่เข้าหาชินกรแต่ก้าวได้เพียงสองก้าวปืนลูกกรดของชายแก่ก็ขวางไว้จนมันชะงัก

              “มึงกล้ากับมันแล้วมึงกล้ามีเรื่องกับนังภาแม่มันหรือเปล่าล่ะไอ้ชม? หืม  ถ้าไม่อยากให้นังภามันเอาเรื่องก็ไสหัวไปทั้งหมดนี่แหละ!”

              คนชื่อชมหยุดในทันทีที่ได้ยินชื่อนางภา   ก่อนที่ตัวมันกับลูกสมุนทั้งสองจะยอมถอยหลังแล้วเดินผ่านสรกับชินกรไปโดยชินกรยังเห็นสาตาอาฆาตมาจากชายร่างใหญ่ที่ชื่อชม    เมื่ออันธพาลทั้งสามคนผ่านไปแล้วทั้งสรและชินกรก็ยกมือไหว้ชายแก่ที่เข้ามาช่วยได้ทันท่วงทีก่อนที่จะมีเรื่องกันจนเลือดตกยางออก    ชายแก่เดินมาหยุดตรงหน้าชินกรพร้อมกับยิ้มอย่างเป็นมิตร

              “ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปีหลานชาย เป็นยังไงมายังไงล่ะถึงได้กลับมาที่นี่”

              ชินกรพยายามจะเรียบเรียงที่มาให้กระชับที่สุดแต่สรก็แย่งเขาอธิบายเรื่องราวทั้งประสบอุบัติเหตุความจำเสื่อมบางส่วนทั้งเหตุผลที่ต้องกลับมาที่บ้าน    ชายแก่ฟังอย่างตั้งใจเมื่อฟังจบเขาก็มองชินกรด้วยสายตาที่ห่วง

              “โถ เคราะห์ซ้ำกรรมซัดแท้ๆเลยเจ้ากร แม่เอ็งคงเป็นห่วงแย่    เอ็งคงจำลุงไม่ได้สินะ ลุงชื่อคำ ลุงเป็นผู้ใหญ่บ้านของที่นี่ถ้าเอ็งมีเรื่องอะไรก็ไปหาลุงได้นะ   บ้านลุงอยู่หลังสุดท้ายของทางนี้”

              ชินกรพยักหน้าพร้อมกับยกมือไหว้อีกครั้งเพื่อขอบคุณ      ลุงคำคุยกับชินกรและสรอีกสักพักก็ขอแยกตัวออกมา ทั้งคู่จึงเริ่มเดินไปตามทางเพื่อจะไปโรงเรียนประถมเก่าจุดหมายเดิมที่ตั้งใจแต่แรก        เมื่อเดินมาสักพักชินกรไม่ปล่อยโอกาสที่จะถามสรถึงเรื่องราวที่เจ้าชมนักเลงโตมันพูดไว้ สรมีท่าทีอึดอัดอย่างชัดเจน

              “ถ้าฉันเล่าแกอย่าบอกน้าภานะว่ารู้จากฉัน”

              ชินกรพยักหน้ารับปาก สรสูดลมหายใจแล้วก็เล่าให้ชินกรฟัง

              “นั่นมันชื่อไอ้ชมส่วนอีกสองตัวก็ไอ้ดำและไอ้เขียว  ไอ้สามคนนี้มันเป็นนักเลงโตอยู่แถบนี้มานานแล้ว ที่สำคัญมันไม่ถูกกับแกมาตั้งแต่เด็กเพราะแกเรียนเก่งกว่า ฉลาดกว่ามันที่สำคัญก่อนแกจะไปเรียนต่อที่กรุงเทพ      แก.....ทำคนที่มันรักท้อง”

              “ฉันทำผู้หญิงท้อง ใคร?”

              “ชื่อหวาน  พอแกทำหวานมันท้องแกก็หนีไปเรียนที่กรุงเทพหวานมันก็เลยเคว้งเพราะคิดว่าถูกแกฟันแล้วทิ้งหวานก็เลย....ผูกคอตาย”

              ชินกรสีหน้าถอดสีจนซีด   เขาเริ่มคลับคล้ายเรื่องที่สรเล่าขณะเดียวกันก็รู้สึกรังเกียจตัวเองที่ทำเรื่องชั่วช้าแบบนั้นได้

              “มิน่าคนชื่อชมถึงได้ดูแค้นฉันขนาดนั้น  แต่เมื่อกี้เขาก็พูดถึงแกเหมือนกันนี่ ว่าฉันก็ทำอะไรแย่ๆกับแกเหมือนกัน”

              สรถอนหายใจดังเฮือกสีหน้าอึดอัด พรางมองมาที่ชินกร

              “ช่างมันเถอะ เรื่องมันหลายปีมาแล้ว”

              “ช่างไม่ได้สิ  เพราะฉันก็อยากจะรู้ตัวตนของฉันเหมือนกันที่สำคัญฉันอยากจะรู้จากปากของแกสร ถ้าแกยืนยันว่าแกยังเป็นเพื่อนฉันอยู่จริงๆแกต้องบอกฉันมา  ไม่อย่างนั้นฉันจะเดินกลับบ้านของฉันทันที”

              สรมีท่าทีอึดอัดใจแต่แล้วในที่สุดก็ยอมพูดตามที่ชินกรต้องการ

              “ฉันก็รักหวานเหมือนกัน  พอใจไหม?”

              “แกรักหวาน คนที่ท้องกับฉัน”

              “ใช่ ฉันแอบรักแล้วแกก็....ช่างเถอะ เพราะฉันรู้ว่าแกก็เสียใจแล้วไม่คิดว่าหวานจะคิดสั้น”

              “แกรู้ได้ยังไงว่าฉันในตอนนั้นเสียใจ?”

              “ก็แกยังกลับมาที่บ้านร่วมงานศพของหวาน มาร้องห่มร้องไห้ขนาดพ่อของหวานเอาไม้ไล่ฟาดแกไอ้ชมทำร้ายแก แกก็ยังยืนยันจะอยู่สวดศพจนคนต้องลากแกออกไป”

              “นี่ฉันทำขนาดนั้นเลยเหรอ?”

              “ใช่  ฉันถึงได้รู้ว่าแกไม่ได้ตั้งใจจะหลอกหวาน  แล้วฉันก็ไม่อยากให้แกคิดมากเรื่องนี้เพราะมันผ่านมาหลายปีแล้ว”

              “แล้วหวานผูกคอที่ไหน? ที่บ้านของหวานเหรอ?”

              สรส่ายหน้า “หวานผูกคอตายที่โรงเรียนประถมร้างที่เรากำลังจะไปนี่แหละ”

              ชินกรเริ่มรู้สึกลังเลที่จะไปโรงเรียนร้างชั่วขณะ เขาเริ่มที่จะกลัวอดีตตัวเองมาเสียเฉยๆ แต่ความคิดนั้นมันก็ชั่วขณะจริงๆเพราะชายหนุ่มได้ตัดสินใจโดยหันไปบอกกับสร

              “เอาสิ ไปโรงเรียนร้างแล้วช่วยพาไปยังจุดที่หวานแขวนคอตัวเองด้วย ฉันอยากไปขอขมาเธอ”

 

 

              สรพาชินกรเดินมาตามทางลูกรังบ้านคนเริ่มหายไปแทนที่ด้วยสวนกล้วยและสวนผักสวนครัวของพวกชาวบ้าน  เมื่อเดินมาผ่านบ้านไม้ยกสูงหลังหนึ่งสรชี้ไปที่บ้านหลังนั้นพร้อมกับบอกว่า “นี่ไงบ้านลุงคำ แกทำนาและก็ล่าสัตว์ไปด้วย”

              ชินกรมองเข้าไปภายในบ้านเห็นตรงใต้ถุนที่ยกสูงมีซากของสัตว์จำพวกแย้ห้อยแขวนอยู่    มิน่าตอนที่พบเจอเมื่อสักครู่เขาถึงได้เห็นลุงคำถือปืนแก๊ปไว้   ระหว่างทางสรได้เล่าเรื่องในวัยเด็กระหว่างเขากับชินกรให้ฟังเพื่อรำลึกอดีตให้กับชายหนุ่มพร้อมกันนั้นก็พามาจุดที่สองฝั่งเต็มไปด้วยกอไผ่ก่อนที่มัคคุเทศก์สรจะชี้ไปที่เนินดินที่จะขึ้นไปยังลานกว้าง

              “นั่นไง ขึ้นเนินนั่นก็ถึงโรงเรียนเก่าเราแล้ว”

              สรเดินนำหน้าขึ้นเนินดินขณะที่ชินกรก็เดินตาม   เมื่อขึ้นไปภาพที่คุ้นเคยสายตาและโสตสมองในความทรงจำก็ปรากฏขึ้นมา

              บนลานกว้างนั้นชินกรมองเห็นอาคารไม้สองชั้นเก่าซอมซ่อตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลางของลานกว้าง ด้านหน้ามีเสาธงชาติยืนสูงเด่นทว่าผืนธงชาติที่เก่าแลซีดได้ขาดยุ่ยหมด      ไม่ไกลจากอาคารไม้สองชั้นเป็นที่โล่งที่มีเศษซากของเครื่องเล่นอย่างชิงช้าและไม้กระดานลื่นที่ยังพอเห็นทรงแม้ว่าส่วนใหญ่จะผุพังกลายเป็นเศษเหล็กไปแล้วก็ตาม   ชายหนุ่มกวาดตามองไปอีกด้านของอดีตสนามเด็กเล่นเห็นโครงสร้างของศาลาไม้ที่สร้างเป็นแนวยาว     แม้ปัจจุบันนี้หลังคาที่มุงจะหลุดไปกึ่งหนึ่งแล้วแต่ชินกรก็เดาได้ไม่ยากว่านี่คือส่วนของโรงอาหารที่ใช้รับประทานอาหารในช่วงกลางวัน    สรปล่อยให้ชินกรมองสำรวจโรงเรียนประถมร้างอยู่อย่างเงียบๆ จนชินกรเอ่ยถามขึ้นมาซึ่งทำให้เขาเริ่มมีความหวัง

              “ห้องน้ำอยู่ด้านหลังอาคารไม้ใช่ไหม?”

              “นี่แกจำโรงเรียนได้เหรอวะกร? อย่างนี้น้าภาต้องดีใจแน่ที่แกเริ่มจำอะไรได้”

              ใช่ ชินกรจำได้ตอนนี้เหตุการณ์วัยเด็กเริ่มชัดเจน เขาเริ่มจำความสัมพันธ์ระหว่างเขากับสร รวมไปถึงหวานแล้วก็พวกของชมด้วย  แต่แล้วแทนที่ความทรงจำที่จู่ๆไหลกลับเข้ามาจะปรากฏชัดเจนทั้งหมดแต่ชินกรก็ถูกขัดจังหวะด้วยอาการปวดหัวอย่างฉับพลันจนต้องเอามือกุมศีรษะ สรที่อยู่ไม่ห่างเห็นเพื่อนอาการไม่สู้ดีจึงเข้ามาประคอง

              “แกเป็นอะไรวะไอ้กร?”

              “ฉันปวดหัว จู่ๆก็เป็น”

              “แกไหวไหม? กลับบ้านเลยหรือเปล่าเดี๋ยวฉันพากลับ?”

              “ไม่ต้อง” ชินกรส่ายหน้า “พาฉันไปนั่งที่ใต้ต้นไทรตรงนั้นครู่หนึ่ง อาการคงจะดีขึ้น”

              ชินกรชี้ไปที่ต้นไทรต้นใหญ่ที่ขึ้นอยู่อีกด้านของอาคารไม้ซึ่งสรก็รีบประคองไปทันที  สรประคองชินกรมานั่งตรงม้านั่งเก่าที่อยู่ใต้ต้นไทรโดยชายหนุ่มนั่งพักอยู่ชั่วครู่ก็รู้สึกดีขึ้นมา

              “เป็นยังไงบ้างวะไอ้กร?”

              “ดีขึ้น  ตอนนี้ รู้สึกเหมือนกับมีคนมานวดที่ขมับฉันเลย”

              ชินกรเห็นสรลุกขึ้นแทบจะทันทีพร้อมกับมองเขาด้วยแววตาประหลาด   ทันใดนั้นลมที่ไม่รู้มาจากไหนพัดโบกสะพัดรุนแรงจนฝุ่นรอบด้านฟุ้งกระจายก่อนที่ไม่กี่อึดใจทุกอย่างก็สงบลงเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น     ชินกรมองไปรอบด้านอย่างงุนงงที่จู่ๆบรรยากาศรอบด้านก็แปรปรวนแบบผิดวิสัยขณะที่กรที่ยืนอยู่ข้างๆก็มองไปรอบๆอย่างหวั่นๆ 

              “แกรู้สึกว่ามีใครมานวดที่ขมับแกเหรอ?”

              สรถามขึ้นซึ่งชินกรก็พยักหน้า

              “ใช่ ฉันรู้สึกแบบนั้นจริงๆจากเมื่อกี้ฉันปวดหัวอยู่  แต่ก็รู้สึกคลายไปเพราะรู้สึกเหมือนมีคนมานวดที่ขมับสองข้าง”

              “แกถามฉันก่อนที่จะมาถึงใช่ไหมว่าหวานแขวนคอตายที่ไหน?”

              ชินกรมีไหวพริบพอที่จะเดาได้ว่าสรกำลังจะพูดอะไร เขานิ่งเงียบไปแล้วเงยหน้าไปมองที่กิ่งต้นไทรที่แผ่ขยายกิ่งก้านจนดูน่าเกรงขามเหมือนสรรู้ทันเขาจึงชี้ไปที่กิ่งด้านหน้าที่อยู่บนศีรษะของชินกร

              “กิ่งนั้น  ที่บนหัวของแก!”

              ชินกรแหงนหน้าขึ้นไปจนสุด ทันใดนั้นใบหน้าสีเขียวช้ำเลือดช้ำหนองของผู้หญิงคนหนึ่งก็ปรากฏจ่อตรงหน้าเสมือนเธอก้มมองชินกรอยู่ก่อนแล้วชายหนุ่มแหงนขึ้นไปเจอทันที!   ชินกรสะบัดมือพร้อมกับหงายหลังร้องโวยวายเสียงดังสรรีบเข้าไปหาเพื่อนพร้อมกับเขย่าตัว

              “ช่วยด้วย ฉันเห็นๆๆ”

              “ใจเย็นไอ้กร แกเห็นอะไร? ไม่มีอะไรเลยนะ”

              ชินกรกำลังจะชี้ไปที่จุดที่เขาเห็นหน้าตาที่น่าสะพรึงของใครสักคน แต่แล้วที่ม้านั่งก็พบเพียงแต่ความว่างเปล่าเพียงเท่านั้น    ชายหนุ่มค่อยๆลุกขึ้นยืนโดยมีสรคอยประคองเขาเริ่มปะติปะต่อเรื่องที่เกิดขึ้น

              “ฉันเข้าใจแล้ว เมื่อกี้ว่าฉันเห็นหวานว่ะ”

              “แกเห็นหวานอย่างนั้นเหรอ?”

              “ฉันคิดว่าอย่างนั้น”

              พูดจบ ชินกรก็พนมมือไหว้พร้อมกับตั้งจิตขอขมาแด่หวานหญิงสาวที่เขานั้นเคยทำร้ายความรู้สึกจนต้องผูกคอตายตรงต้นไทรนี้    เมื่อตั้งจิตอธิษฐานเสร็จชินกรมองไปรอบๆโรงเรียนประถมที่เขาเคยเรียนเมื่อสมัยเด็กเผื่อจะมีความทรงจำอื่นๆเข้ามาอีกบ้าง  แต่ก็ไร้ประโยชน์เพราะเขายังนึกอะไรเพิ่มไม่ได้เลยสุดท้ายเขาก็ชวนสรเดินกลับบ้านซึ่งสรก็ตกลงระหว่างกำลังจะเดินออกพ้นเงาต้นไทรสรได้ยินเสียงดังมาจากทางด้านหลัง

              ตุ๊บ!

              เมื่อสรหันไปมองเห็นร่างที่เปล่าเปลือยของผู้หญิงคนหนึ่งที่เขียวอืดไปทั่วทั้งตัวโดยที่คอของเธอมีเชือกมัดอยู่รอบคอยาวลงมาจรดพื้น!   ชินกรหันมาถามเมื่อเห็นสรมองอะไรบางอย่างแต่สรก็รีบบ่ายเบี่ยง

              “ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่ดูว่าเราลืมอะไรหรือเปล่า เรากลับบ้านกันเถอะ”

              ชินกรพยักหน้าเดินออกไปจากโรงเรียนร้างโดยมีสรเดินอยู่ข้างๆ แต่สิ่งที่ชินกรไม่รู้เลยคือบัดนี้มีผู้หญิงที่ราวกับศพขึ้นอืดเขียวช้ำน่ากลัวกำลังเดินตามเขากลับไปด้วย.....

            

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา