ยามเมื่อสายลมกรีดร้อง!

-

เขียนโดย GCodename

วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2561 เวลา 20.29 น.

  16 บท
  5 วิจารณ์
  14.50K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 11 เมษายน พ.ศ. 2561 15.25 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) บทที่4 ตาแสง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บท4  ตาแสง

 

 

 

 

              ชินกรไม่อาจจะปิดบังเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้กับนางภาได้เมื่อแม่ของเขาสอบถามเรื่องที่หายไปวันนี้ทั้งวัน ชายหนุ่มจึงเล่าให้ฟังเรื่องที่เกินขึ้นทั้งหมด นางภามีสีหน้าโกรธไอ้ชมกับลูกสมุนทั้งสองคนมาก

              “มันบังอาจคิดทำร้ายลูกของแม่เชียวหรือ? พวกมันวอนหาเรื่องเสียแล้ว”

              “พวกมันยังไม่ทันได้ทำร้ายผมครับแม่   ถ้ามันทำผมจะเอาเรื่องมันตามกฎหมายให้ถึงที่สุด”

              “พวกมันจะไม่โอกาสนั้นหรอกลูกกรของแม่”

              “แม่หมายความว่ายังไงครับ?”

              ชินกรถามด้วยสีหน้าหวาดหวั่นเพราะแววตาของแม่เขาตอนนี้ช่างน่ากลัวอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

              “แม่จะไปบอกกับลุงคำว่ามันคิดจะทำอะไรกร   ให้ลุงคำกำราบพวกมันก่อนที่มันจะทำร้ายลูกแม่”

              ชินกรรู้สึกเบาใจที่ได้ยินคำตอบเช่นนี้ เมื่อแม่ของเขาเอ่ยชื่อลุงคำจู่ๆชินกรก็นึกเรื่องของสรขึ้นมาได้

              “ลุงคำกลับมาแล้วเจ้าสรล่ะแม่มันเป็นยังไงบ้าง? ตำรวจคุมขังเจ้าสรไหม?”

              “ไม่ได้โดนขังอะไรหรอก ตำรวจแค่เอาไปสอบปากคำและตรวจดูรอยแผลของรถกระบะเจ้าสรมันแล้วพบว่าเป็นคนละคันกับที่ชนมอเตอร์ไซค์คนที่ตาย   ตอนนี้ตำรวจเขาก็ปล่อยมันมาละ    ก่อนที่กรจะกลับมาเจ้าสรมันยังมาหาเราอยู่เลยแถมพอรู้ว่าเรายังไม่กลับก็เห็นทำหน้าตาห่วงเราอยู่ กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเราซึ่งมันก็เกิดขึ้นจริงๆ”

              นางภาบ่นด้วยความเป็นห่วงลูกชายเธอเข้ามาสวมกอดพร้อมกับลูบศีรษะอย่างทะนุถนอม

              “ทีนี้รู้หรือยังว่าทำไมแม่ถึงไม่อยากให้เราออกไปไกลจากบ้าน”

              “ผมรู้ครับว่าแม่ห่วงผม แต่ผมก็ยังดูแลตัวเองดีอยู่ ผมโตแล้วนะครับแม่”

              นางภาสวมกอดลูกชายด้วยความรักและห่วงใย  ชินกรรู้สึกผิดเหมือนกันที่ทำให้มารดาต้องห่วงเขาถึงขนาดนี้พร้อมกับไม่เข้าใจตนเองจริงๆว่าเหตุใดเมื่อหลายปีก่อนเขาจึงได้ตัดสินใจหนีออกจากบ้านไปทั้งๆที่เขาก็มีแม่ที่รักและห่วงใยเขาขนาดนี้   ยังไม่รวมกับเรื่องคาใจกับสาวปริศนาที่ช่วยเขาไว้ได้พูดทิ้งให้คิดไม่ตกอีก

              “เธอทำเรื่องที่เลวร้ายกว่านั้นมาก!”

              เรื่องเลวร้ายนอกจากทิ้งหวานที่กำลังท้องจนต้องฆ่าตัวตายยังมีเรื่องอะไรอีก? ระหว่างที่ชินกรพยายามคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่? เขาไม่ได้สังเกตถึงแววตาสีแดงเลือดของมารดาที่เรืองขึ้นมาในเงามืดราวกับเสือที่กำลังหมายปองเหยื่อ!

 

 

              คืนนี้อากาศหนาวที่บ้านของไอ้เขียวนอนหลับอยู่ด้านข้างมีขวดเหล้าและซากไก่ที่แทะเหลือแต่กระดูก   ข้างๆกันนั้นไอ้ดำก็กำลังกระดกเหล้าเข้าปากพร้อมด้วยอาการมึนเมา        ทั้งสองคนดวดเหล้ากับลูกพี่คือไอ้ชมมาตั้งแต่หัวค่ำหลังจากได้รู้ว่าชินกรกลับไปถึงบ้านโดยรอดสายตาของพวกมันได้   ไอ้ชมจึงมากินเหล้าย้อมใจด้วยหวังโอกาสครั้งใหม่ที่จะคิดบัญชีแค้นกับชินกรให้ได้    หลังจากดวดเหล้าไปพักใหญ่ไอ้ชมก็อาสาขับรถกระบะของตนไปซื้อเหล้ามาเพิ่มเพราะเห็นสภาพลูกสมุนตัวเองแล้วคงไม่มีปัญญาขับรถไปแน่ปล่อยให้ไอ้เขียวกับไอ้ดำนั่งนอนรอลูกพี่มันอย่างหมดสภาพ   ไอ้ดำที่ถึงจะเมาแต่ยังมีสติอยู่บ้างได้ยินเสียงเปิดประตูรั้วบ้านที่ทำมาจากไผ่มันจึงหันไปมองเห็นเป็นเงาดำของใครบางคนเดินเข้ามา  มันหรี่ตามองเพื่อจะมองให้ชัดๆพร้อมป้องปากถามออกไป

              “ใครวะ? พี่ชมหรือเปล่าพี่?  ทำไมกลับมาเร็วจัง?”

              ไม่มีเสียงตอบจากอาคันตุกะยามวิกาลเงาดำร่างนั้นยังคงก้าวเดินมา  อากาศรอบตัวของมันรับรู้ได้ถึงความเย็นยะเยือกแบบไม่ธรรมดาที่หนาวเย็นขึ้นจนขนหัวตั้ง     ไอ้ดำเริ่มรู้ตัวถึงความไม่ปกติของเงาดำผู้มาเยือนนั้นมันค่อยๆถอยหลังขณะที่บัดนี้เงาดำนั้นขึ้นบันไดมาบนชานบ้านที่มันสองคนนั่งดวดเหล้าแล้ว!

              ไอ้ดำเห็นลักษณะของเงาดำนั้นเป็นลักษณะผู้หญิงร่างสูงชะรูดผมมีลักษณะกระเซอะกระเซิงราวกับคนบ้า  แขนขายาวเรียวเกินกว่าจะเป็นมนุษย์และที่ทำให้อันธพาลอย่างไอ้ดำต้องถึงกับฉี่ราดในเวลานี้คือดวงตาที่แดงเลือด  สีเลือดยิ่งกว่าตาเรืองแสงของไอ้ดำเสียอีกมันดูราวหลุดมาจากขุมนรกอย่างไรอย่างนั้น!

              แผล่บ!     แผล่บ!     แผล่บ!

              ไอ้ดำได้ยินเสียงเลียลิ้นอย่างตะกละตะกลามออกมาจากเงาดำชวนสยองนั่น   มันรีบถอยรูดไปจนชนประตูบ้านโดยปล่อยให้ไอ้เขียวเพื่อนสนิทนอนขวางทางเดินเงาดำตนนั้น  ไอ้ดำเห็นสายตาที่แดงของมันเหลือบมองไปที่ไอ้เขียวไม่ถึงอึดใจก่อนจะทันได้คิดอะไร  มือที่เรียวยาวของเงาดำก็จับไปที่ศีรษะของไอ้เขียวพร้องกับกระชากขึ้น     ก่อนที่มืออีกข้างจะกะซวกทะลุท้องของไอ้เขียว

              สวบ!

              เสียงดังที่สั้นแต่กระตุกขวัญของไอ้ดำที่เห็นภาพตรงหน้าจนแหลกไม่มีชิ้นดีเพราะมันเห็นเงาดำที่บัดนี้เสมือนมัจจุราชกำลังดึงตับไตไส้พุงของไอ้เขียวออกมากองอยู่ตรงหน้ามัน   กลิ่นเลือดคละคลุ้งไปทั่วชานบ้านเลือดไหลนองไปบนไม้กระดาน    ทันใดนั้นเองไอ้ชมขับรถกระบะกลับมาพอดีพร้อมกับเลี้ยวเข้ามาในบ้าน   แสงไฟหน้ารถก็สาดไปเจอกับภาพชวนสยองนั้นด้วย

              “พี่ชม! พี่ชมช่วยฉันด้วย!”

              ไอ้เขียวแหกปากพร้อมกับใช้แรงฮึดของมันจะวิ่งฝ่าเงาดำตนนั้น   แต่อนิจจาเงาดำใช้แขนที่ยาวตวัดรัดมันก่อนจะถึงบันได

              แผล่บ!     แผล่บ!     แผล่บ!

              ไอ้เขียวได้ยินเสียงสยองในระยะที่ใกล้ความตายอย่างกระชั้นชิด เงาดำเอี้ยวศีรษะแล้วอ้าปากที่กว้างฟันแหลมเป็นซี่กัดเข้าไปที่ลำคอของไอ้ดำจนตัวมันไม่สามารถแหกปากได้อีก     ไอ้ชมที่อยู่บนรถกระบะเห็นภาพชวนสยองตรงหน้ามันทำได้เพียงนั่งมองน้ำตาไหลโดยในมือของมันกำหมัดแน่นที่ไม่สามารถช่วยอะไรลูกน้องตนเองได้  แววตาที่เรืองแสงเป็นสีเลือดของไอ้เขียวค่อยๆหรี่ลงตามพลังงานชีวิตของมันและดับลงทันทีที่เงาดำกระชากศีรษะของมันออกจากคอไอ้เขียวจนเลือดที่คอของมันพุ่งกระฉูดเต็มบันไดบ้าน!

              เอี๊ยดดดด  บรื้นนนนน

              ไอ้ชมรีบถอยรถกระบะสีดำของมันพร้อมกับเหยียบคันเร่งออกไปจากบ้านทันที มันไม่อยู่รอที่เงาดำมัจจุราชนั่นมาพรากเอาชีวิตมันไปอีกคน แต่ในคราวนี้มันไม่ลืมแน่กับความแค้นที่สองสมุนของมันต้องตายเพราะมันรู้ว่าเป็นฝีมือใคร?!

 

 

              ชินกรตื่นขึ้นมากลางดึกถ้าเขาไม่รู้สึกไปเองเขาได้ยินเสียงกรีดร้องของผู้ชายมาจากที่ไหนของหมู่บ้านสักแห่ง ขณะกำลังจะลุกขึ้นเขาเห็นแววตาเรืองแสงสีเลือดของแม่ในความมืดที่รู้สึกตัวตื่นด้วยเช่นกัน

              “มีอะไรเหรอกร? ตื่นขึ้นมาจะเข้าห้องน้ำหรือไง?”

              “ผมว่าผมได้ยินเสียงคนกรีดร้อง ไม่ไกลจากบ้านเราด้วย”

              นางภาลุกขึ้นมาเงี่ยหูฟังอยู่สักครู่ แล้วส่ายหน้า

              “แม่ไม่ได้ยินอะไรเลยนะ กรหูฝาดแล้วล่ะ”

              ชินกรเงี่ยหูฟังก็ไม่ได้ยินเสียงตามที่แม่ของเขาบอกเช่นกัน ชายหนุ่มจึงนอนลงโดยมีนางภาสวมกอดลูกชาย

              “แม่ว่ากรคงจะเหนื่อยมากกว่ากับเรื่องที่เจอวันนี้ กรนอนเถอะตราบใดที่แม่ยังอยู่ไม่มีใครทำอะไรลูกแม่ได้”

              ชินกรรู้สึกอบอุ่นเมื่อได้ฟังประโยคนี้จากแม่ของตน พร้อมกับจับมือแม่ที่สวมกอดเขาแล้วหลับไปอีกครั้ง

 

 

              เช้าวันรุ่งขึ้นหมู่บ้านบ้านวังสาก็กลับมาเงียบสงบดั่งเดิม ไม่มีวี่แววความรุนแรงและนองเลือดเมื่อคืน ไม่มีแม้แต่ศพของไอ้เขียวและไอ้ดำ ไม่มีใครรู้เรื่องที่เกิดขึ้นด้วยซ้ำเพราะไม่มีแม้แต่รอยเลือด!   บ้านของไอ้ชมกับลูกสมุนเหลือเพียงความว่างเปล่าเมื่อลุงคำไปถึง       จะมีเพียงเรื่องผิดปกติเรื่องเดียวคือประตูรั้วของบ้านไอ้ชมไม่ปิดราวกับรีบหนีบางสิ่งอย่างไรอย่างนั้น

              เช้าวันนี้ชินกรตั้งใจจะใส่บาตรทำบุญแต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อนางภาได้บอกกับเขาว่า “ที่หมู่บ้านไม่มีพระมาบิณทบาตรนานแล้ว”

              แต่ชินกรยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจเขาสอบถามมารดาว่ามีวัดไหนที่อยู่ใกล้ๆบ้างไหม?     ซึ่งคำตอบที่ได้คืออยู่ห่างจากปากทางเข้าหมู่บ้านไปร่วมสิบกิโลเมตร       เมื่อเป็นเช่นนั้นชินกรจึงต้องยอมแพ้เพราะเขาไม่มีรถที่จะสะดวกเดินทางเพื่อไปทำบุญ      ชายหนุ่มหลังจากทานมื้อเช้าเสร็จก็เตร็ดเตร่ไปหาสรเพื่อจะไปพูดคุยกับเรื่องราวเมื่อวานที่ถูกตำรวจคุมตัวไปเมื่อวาน ชายหนุ่มเดินไปมาตรงหน้าบ้านของสรเขาเห็นประตูรั้วปิดสนิทแถมในบ้านไม้ก็เงียบเชียบ   แถมรถกระบะของเจ้าตัวก็ไม่อยู่ชินกรจึงหันหลังจะเดินกลับบ้าน    แล้วเขาก็ได้ยินเสียงเปิดหน้าต่างเปิดออกพร้อมกับเสียงเจื้อยแจ้วซึ่งเขาจำได้ทันทีว่าเป็นเสียงของป้าวันแม่ของสร

              “สรไม่อยู่จ๊ะกร   มีอะไรจะฝากป้าไว้ไหม?”

              ป้าวันพูดด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มแต่ในสายตาทนายอย่างชินกรเขารู้ดีว่าเป็นรอยยิ้มที่เสแสร้ง  ชายหนุ่มถอนหายใจเล็กๆเขาเริ่มจะชินกับเบื่อหน่ายกับอากัปกิริยาของคนที่นี่ต่อเขาแล้ว

              “ไม่มีหรอกครับป้า ผมแค่เดินมาพูดคุยเฉยๆ ถ้าไม่อยู่ก็ไม่เป็นไรเดี๋ยวผมกลับบ้านก่อนแล้วกัน”

              ชินกรยกมือไหว้ป้าวันแล้วเดินจากมาทันที     เขาเริ่มจะเซ็งกับการที่ไม่มีอะไรทำนอกจากเดินไปมาเพื่อพูดคุยได้แค่กับแม่และสรเท่านั้น       ระหว่างทางที่เดินกลับมาที่บ้านชินกรสังเกตเห็นทางเล็กระหว่างรั้วบ้านที่มองไปจะเห็นคันนาทอดยาวที่นั่นเขาเห็นชายแก่คนหนึ่งรูปร่างเล็กแต่ดูแข็งแรงกำลังก้มๆเงยๆอยู่ตรงคันนานั้น   ด้วยความเซ็งที่ไม่รู้จะทำอะไรอยู่แล้วชินกรเดินเข้าไปตามทางเล็กนั่นก่อนจะทะลุไปตรงคันนาทีที่ทอดคั่นกลางนาข้าวเขียวชอุ่มหลายสิบไร่แล้วมาหยุดตรงที่ชายแก่

              “คุณตากำลังทำอะไรอยู่เหรอครับ?”

              ชายแก่เงยหน้ามองดูชินกรที่ยิ้มอย่างเป็นมิตร ชายแก่ยิ้มให้ตาม

              “กำลังเก็บเบ็ดที่ปักอยู่ลูกเอ๊ย”

              ชินกรมองดูที่มือของชายแก่เห็นคันเบ็ดที่ทำมาจากไม้ไผ่โดยเหลาเป็นเรียวเล็กขนาดพอประมาณ  ปลายไม้มีเส้นเอ็นยาวผูกไว้กับเบ็ดที่ใส่เหยื่อโดยชายหนุ่มเห็นมีปลาช่อนติดเบ็ดปักดิ้นรนอยู่ในมือ   ชายแก่ใช้ความชำนาญจัคการปลดเบ็ดที่เกี่ยวปากปลาช่อนก่อนจะเอาใส่ข้องใส่ปลาที่สะพายอยู่ที่ไหล่   ชินกรมองดูภาพตรงหน้าอย่างสนใจในขณะที่ชายแก่ก็หันมาพูดกับเขา

              “ลูกชายของแม่ภาใช่ไหม? ไม่ได้เห็นหน้าตั้งหลายปี”

              “ใช่ครับ ผมชินกรลูกแม่ภา ผมเอ่อ ประสบอุบัติเหตุมาจนเสียความทรงจำเลยกลับมารักษาตัวที่บ้าน”

              ชายแก่พยักหน้ารับฟังพร้อมกับยิ้มอย่างเป็นมิตร   ถ้าไม่นับสร,ลุงคำก็มีชายแก่คนนี้แหละที่ชินกรดูแล้วรู้สึกได้ว่าเป็นอีกคนที่ดูเป็นมิตรแล้วไม่เสแสร้ง

              “คุณตาจะไปไหนต่อครับ?”

              “ตาก็จะไปเก็บเบ็ดที่ปักไว้ตามที่ต่างๆนั่นแหละ ถามทำไมล่ะเรา? อยากไปด้วยเหรอ?”

              “ก็ประมาณนั้นครับ  ถ้าคุณตาไม่รังเกียจเพราะว่าวันนี้ผมก็ไม่รู้จะทำอะไรอยู่พอดี   ไปช่วยคุณตาเก็บเบ็ดน่าจะมีประโยชน์กว่านั่งๆนอนๆที่บ้าน”

              ชายแก่หัวเราะชอบใจพร้อมกับเดินมาตบไหล่ชินกร

              “เอาๆถ้าเบื่อก็มาช่วยตาแล้วกัน เดี๋ยวตาทำของเด็ดให้กิน”

             

 

              วันนั้นทั้งวันชินกรเดินตามชายแก่ไปเก็บเบ็ดปักตามคันนา เมื่อคุยไปได้สักพักชินกรถึงรู้ว่าชายแก่ที่เขาคุยอยู่นั้นคือตาแสง ชื่อที่เขาจำได้ว่าเป็นคนที่ป้าวันมาเอายาต้มที่แม่ของเขาในคืนก่อนชายหนุ่มจึงได้ถามเรื่องสุขภาพกับตาแสง

              “ตาเจ็บออดๆแอดๆมาเรื่อยๆแหละ ก็ได้ยาจากแม่เอ็งตาถึงยังมีชีวิตอยู่รอดจนถึงตอนนี้”

              “ยาต้มของแม่ผมดีขนาดนั้นเลยเหรอครับ? ผมไม่เคยรู้เลย”

              “ดีสิ เอ็งรู้ไหมไอ้หนุ่ม? ว่าหลายปีที่แล้วสุขภาพตาเรียกได้ว่าขี้โรค เพราะตอนหนุ่มกินเหล้าสูบยาเส้นค่อนข้างหนัก เรียกว่าตายได้ทุกเมื่อเชื่อวันเพราะแม่เอ็งที่ทำให้ตาดีขึ้น กินของบำรุงได้เยอะขึ้น”

              ตาแสงเล่าให้ฟังอย่างอารมณ์ดีขณะที่เก็บปลาดุกตัวใหญ่จากเบ็ดปักได้

              “เอาล่ะ เก็บครบหมดทุกตัวแล้ว กระท่อมตาอยู่ตรงใกล้ๆเดี๋ยวตาย่างปลาให้กิน”

 

 

              ตาแสงพาชินกรเดินไปที่กระท่อมปลายนาของตนที่อยู่ไม่ไกลโดยลักษณะกระท่อมของตาแสงที่ชินกรเห็น คือกระท่อมไม้ไผ่ยกสูงต้องเดินขึ้นบันไดไม้ไผ่ขึ้นไป   มีชานบ้านและก็หนึ่งห้องไว้สำหรับอยู่เท่านั้นโดยมีที่นอนและมุ้งเก่าสีซีดอยู่ด้านใน   หลังคาก็มุงด้วยฟางแบบง่ายๆส่วนห้องน้ำตาแสงก็สร้างแยกไว้ด้านล่างไม่ไกลจากกระท่อมของแก    ตาแสงเมื่อกลับมาถึงก็จัดแจงก่อกองไฟจากไม้ฝืนและก็ฟาง แล้วจัคการขอดเกล็ดปลาช่อนก่อนจะทาด้วยเกลือเสียบไม้ย่างข้างกองไฟ   โดยชินกรนั่งอยู่บนขอนไม้ใหญ่ใกล้กองไฟที่เปรียบเสมือนเฟอร์นิเจอร์สำหรับรับแขกของกระท่อมตาแสง  เวลาเริ่มเข้าบ่ายคล้อยปลาเผาของตาแสงเริ่มสุกกำลังดีส่งกลิ่นหอมไปทั่วจึงส่งมาให้กับชินกร

               “ขอบคุณมากครับตา”

              ชินกรรับมาพร้อมกับใช้มือฉีกหนังที่หมักเกลือไว้ออกจนเห็นเนื้อสีขาวฟูน่ารับประทาน  ชายหนุ่มชิมเนื้อปลาช่อนย่างเกลือไปหนึ่งคำ

              “โห  ตาแสงอร่อยมากครับ นี่ผมไม่ได้พูดเวอร์นะ แต่เอาเท่าทีผมยังจำได้ผมไม่เคยกินปลาช่อนเผาที่อร่อยขนาดนี้เลย”

              ตาแสงหัวเราะอย่างชอบใจ ขณะที่ชินกรหยิบเนื้อปลาช่อนเผามาทานอย่างต่อเนื่องอย่างเอร็ดอร่อยแล้วจู่ๆความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัว ชินกรเงยหน้ามองตาแสงที่ยิ้มอย่างเป็นมิตร

              “ตาแสงครับ ถ้าไม่รบกวนเกินไปผมขอถามอะไรตาได้ไหม?”

              ตาแสงทำสีหน้าฉงนเมื่อได้ยินคำขอของชายหนุ่มรุ่นหลาน แกไม่ว่าอะไรได้แค่ยิ้มแล้วพยักหน้า

              “ตาพอจะจำได้บ้างไหม? ว่าตอนที่ผมอาศัยอยู่กับแม่เมื่อก่อนนี้ผมเป็นคนยังไง?”

              ความเงียบเกิดขึ้นชั่วขณะ สายลมแห่งทุ่งพัดผ่านคนทั้งสองชินกรมองดูตาแสงด้วยแววตาแห่งความหวังเพราะตั้งแต่เขามาอยู่ที่นี่ซึ่งผ่านมาแล้วหลายวัน ชินกรยังไม่รู้จักตัวตนของเขาเมื่อครั้งยังอาศัยอยู่กับแม่เมื่อหลายปีก่อนเลย มีเพียงสรที่หลุดปากแค่เรื่องหวานเท่านั้น  นอกเหนือจากนั้นทั้งสายตาของชาวบ้านที่มองเขาอย่างไม่เป็นมิตรไม่เว้นแม้แต่ป้าวันแม่ของเจ้าสรเพื่อนสนิท เรื่องของไอ้ชมที่เกลียดเขาเข้ากระดูกดำทั้งหมดคือสิ่งที่คาใจชินกรในขณะนี้  ตาแสงเหม่อมองไปที่นาที่เขียวขจีแล้วจึงเอ่ยปากถามเขากลับ

              “แม่ภาเอ็งบอกว่าเอ็งเป็นคนยังไงล่ะ?”

              “แม่ไม่ได้บอกอะไรครับ  บอกเพียงแค่เรื่องมันเป็นอดีตไปแล้วเพียงแค่นั้น”

              “ในสายตาของคนเป็นแม่ เอ็งเป็นลูกชายเพียงคนเดียวไม่ว่าเอ็งจะทำอะไร  แม่ก็รักอยู่วันยังค่ำแต่ในสายตาของคนอื่น  เอ็งในสมัยก่อนก็ไม่ได้เป็นคนเลวร้าย เอ็งเป็นคนที่ฉลาดกว่าเด็กรุ่นเดียวกันจนเป็นที่รักของใครหลายคน”

              “แต่สายตาที่ชาวบ้านมองผมมันกลับไม่ใช่อย่างนั้นสิครับ ผมมองออกว่าชาวบ้านหลายคนไม่ชอบผม หลายคนแสดงให้เห็นเลยว่าเกลียดผมด้วยซ้ำไป  อย่างที่ผมบอกกับตาแสงว่าผมสูญเสียความทรงจำก่อนหน้านี้ไปจนเกือบหมดสิ้น  ผมถึงอยากจะกลับมารักษาตัวและก็จำให้ได้ว่าตัวตนที่แท้จริงของผมเป็นยังไงกันแน่?”

              ตาแสงมองไปที่ชินกรด้วยสายตาที่แน่นิ่ง  ก่อนจะหัวเราะเบาๆในลำคอ

              “ถ้าเป็นเอ็งสมัยก่อน เอ็งรู้ไหม? ว่าเอ็งไม่มีทางจะมานั่งกินปลาเผาหรือคุยกับตาแบบนี้แน่”

              “ทำไมครับ?”

              “เพราะเอ็งเกลียดที่นี่ไง เอ็งเกลียดท้องนา เกลียดความเป็นบ้านนอก เอ็งเป็นคนฉลาดวันๆเอ็งเอาแต่อ่านหนังสือเรียนให้ได้เกรดดีๆ เอ็งพูดอยู่เสมอว่าเอ็งจะเรียนให้สูงเพื่อไปจากที่นี่  ฉะนั้นลืมเรื่องแบบที่เอ็งทำตอนนี้ได้เลย”

              “ผมพูดแบบนั้นออกมาเลยเหรอครับ?”

              “พูดสิ พูดกับแม่เอ็งเกือบทุกวัน พูดกับไอ้สรเพื่อนรักเอ็ง พูดกับไอ้ชม กับคนอื่นๆจนเป็นเรื่องปกติ”

              เหมือนโดนตบหน้าจนชาชินกรนิ่งเงียบไป   ตอนนี้เขาพยายามนึกตามคำพูดของตาแสงซึ่งก็รู้สึกคุ้นและจำได้รางๆไม่ชัดเจน

              “ยังอยากจะฟังอยู่ต่อไหม? บางเรื่องถ้ารู้ไปแล้วเป็นทุกข์ตาว่าเอ็งจะหยุดก็ไม่ผิดนะ”

              “ไม่ครับผมยังอยากฟัง” ชินกรยืนยันแววตามุ่งมั่น “ก่อนหน้านี้เจ้าสรเคยพาผมไปที่โรงเรียนเก่าสมัยประถมที่ร้างไปแล้ว ที่นั่นทำให้ผมพอจะจำตัวเองในวัยเด็กได้แต่ในช่วงเวลาย่างเข้าสู่มัธยมขึ้นไปโดยเฉพาะช่วงเวลาวัยรุ่นที่อยู่ในหมู่บ้านนี้ผมจำไม่ได้เลย ผมอยากจะรู้จริงๆครับ”

              “โฮ่   ไอ้สรพาเอ็งไปที่โรงเรียงร้างเชียวหรือ? นอกจากมันพาไปมันได้บอกอะไรเอ็งอีกไหมล่ะ?”

              ชินกรลังเลที่จะบอกตาแสงเรื่องที่สรหลุดปากเรื่องหวานให้เขาฟัง

              “ไม่ครับ ไม่ได้บอกอะไรทั้งนั้น”

              ชินกรเลือกที่จะรักษาสัญญาที่จะไม่บอกใครว่าเขารู้เรื่องของหวานมาจากสร  ตาแสงขยับฟืนที่ลุกไหม้ก่อนจะส่งปลากดุกย่างเกลือให้กับชินกรไปอีกตัว

              “ผมเป็นคนเห็นแก่ตัวเหรออย่างนั้นเชียวหรือครับ?”

              ชายหนุ่มดึงตาแสงกลับมาคุยข้อสนทนาเดิมอีกครั้ง ตามนิสัยทนายที่ดีคือเมื่อเห็นหนทางหรือข้อเท็จจริงที่ต้องการย่อมจะกัดไม่ปล่อย

              “เห็นแก่ตัวเรื่องอะไรล่ะ?”

              “ก็เรื่องที่ผมเที่ยวบอกใครต่อใครเรื่องที่วันหนึ่งจะย้ายออกไปจากที่นี่”

              “ตาว่ามันเป็นสิทธิ์ของเอ็งนะที่จะไม่อยากอยู่ที่นี่  สำหรับตาเรื่องนั้นเอ็งไม่ใช่คนเห็นแก่ตัวเลย”

              “แล้วเรื่องอะไรล่ะครับที่ทำให้ชาวบ้านดูไม่ชอบผมเลย?”

              ตาแสงมองมาที่ชินกรซึ่งเขาสังเกตว่าบัดนี้รอยยิ้มที่เป็นมิตรของตาแสงได้หายไปแล้ว   เหลือแต่แววตาที่จ้องมองเขายากที่จะหยั่งถึงว่าตาแสงคิดอะไรอยู่

              “รู้อะไรไหม? ตาเคยติดบุญคุณแม่ภาของเอ็งที่ทำให้ตายังมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ ตาเลยไม่เคยเกลียดเอ็งแบบที่คนอื่นเป็น  แต่สำหรับคนอื่นสิ่งที่เอ็งทำมันทำให้เขาตกนรกทั้งเป็น”

              “ผมทำอะไรไปครับตาแสง?”

              ชินกรถามด้วยความร้อนรนเพราะคำพูดของตาแสงนั้นกระตุ้นความอยากรู้ของเขาถึงที่สุด   แต่ก่อนตาแสงจะได้เอื้อนเอ่ยอะไรต่อเสียงทักทายมาแต่ไกลก็ดังขึ้น เมื่อชายหนุ่มหันไปมองปรากฏว่าเป็นลุงคำผู้ใหญ่บ้านนั้นเองที่ถือปืนลูกกรดสะพายบ่าพร้อมกับคาบยาเส้นเดินตรงมาที่ทั้งสองคน

              “เฮ้อ ตาคงไม่ได้บอกเอ็งเสียแล้วล่ะลูกเอ๊ย มีคนมาขัดจังหวะเสียแล้ว”

              ตาแสงบ่นอิดออดสายตาเหนื่อยหน่ายใจฉายให้เห็นอย่างเด่นชัด

              “เอาเป็นว่าถ้าเอ็งอยากจะรู้จดจำคำพูดที่ตาบอกให้ฟังต่อไปนี้ให้ดี .......”

              ชินกรจดจำคำพูดของตาแสงที่บอกเขามา  ขณะที่ลุงคำเดินเข้ามาใกล้จนเกือบจะถึงทั้งสองคน

              “เอ็งจำไว้ว่าอย่าจดสิ่งที่ตาบอกในกระดาษเด็ดขาด ให้ท่องจำไว้อย่างเดียวเท่านั้นเพราะมีบางคนไม่อยากให้เอ็งจำอะไรได้  จำไว้ให้ดี”

              ตาแสงกำชับมั่นขณะที่ลุงคำก็เดินเข้ามาถึงที่ที่ทั้งสองคนนั่งอยู่พอดี ชินกรจับจ้องไปที่ลุงคำเห็นแกมองเขาด้วยรอยยิ้มแล้วก็เหลือบมองตาแสงอย่างคนจับผิดสังเกต

              “คุยอะไรกันล่ะกรดูน่าสนุกเชียว?”

              ปากถามเขาแต่สายตายังเหลือบมองตาแสงที่บัดนี้แกล้งเอาไม้เขี่ยถ่านที่อยู่ในกองไฟ

              “คือผมเบื่อๆครับ  แล้วเห็นตาแสงเก็บเบ็ดปักพอดีก็เลยอาสาช่วย  ตาเขาก็เลยย่างปลาให้กิน”

              ลุงคำมองไปที่กองไฟที่มีปลาช่อนกับปลาดุกย่างทิ้งไว้แล้วกวาดตาไปมองซากปลาที่ชินกรกิน มีรอยยิ้มน้อยๆที่มุมปาก

              “อ้อ  อย่างนั้นเองหรือ? ถ้าเบื่อๆบอกลุงก็ได้ลุงจะได้พาเอ็งไปล่าสัตว์ จะได้ไม่จับเจ่าอยู่ที่บ้าน”

              ชินกรพยักหน้ารับคำ “ว่าแต่ลุงคำเดินมาถึงที่นี่มีอะไรหรือเปล่าครับ? แล้วรู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ที่นี่?”

              “เออใช่!” ลุงคำทำท่าเหมือนเพิ่งนึกเรื่องสำคัญออก “ลุงมาตามเอ็งเพราะว่ามีเรื่องสำคัญที่จะคุยกับเอ็งเกี่ยวกับพวกไอ้ชม  ส่วนเรื่องที่รู้ว่าเอ็งอยู่ที่นี่ก็เพราะมีคนเห็นเอ็งคุยอยู่กับตาแสงลุงก็เลยเดินมาตามไง”

              “เรื่องของไอ้ชม  มีอะไรหรือครับ?”

              “เรื่องใหญ่เลยล่ะ  เดี๋ยวลุงพาเอ็งเดินกลับบ้านแล้วก็เล่าไปด้วยละกัน”

 

 

              ลุงคำพาชินกรเดินจากไปแล้วโดยตาแสงยังคงนั่งอยู่ที่เดิม    เหม่อมองหลังของทั้งสองคนเดินห่างจากกระท่อมปลายนาแกไปเรื่อยๆ    กองไฟที่ก่อไว้ลุกพรึบพรับเมื่อหันไปมองตาแสงเห็นปลาที่ย่างไว้ให้ชายหนุ่มติดไหม้ไฟก่อนที่แกจะใช้มือเปล่าๆหยิบปลาช่อนกับปลาดุกที่เสียบไม้โยนเข้าไปในกองไฟให้มอดไหม้   ส่วนตาแสงเอี้ยวตัวไปที่ด้านข้างหยิบข้องใส่ปลาเอามือล้วงหยิบปลาดุกนาที่ยังดิ้นอยู่ในมือ แล้วใช้ปากกัดเนื้อปลาดุกดิบกินอย่างตะกละตะกลาม!

 

 

              ระหว่างที่ชินกรเดินกลับบ้านไปกับลุงคำเขาได้รับรู้ข้อมูลที่ลุงคำได้นำมาบอกนั่นคือ  ตำรวจรู้ตัวคนที่ฆาตกรรมชายผู้โชคร้ายเมื่อวานนี้ซึ่งก็คือไอ้ชมนั่นเอง   เพราะตำรวจพบรถกระบะสีดำของไอ้ชมจอดทิ้งไว้อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านบ้านวังสาโดยไม่พบตัวเจ้าของรถ แต่ตำรวจพบหลักฐานนั่นคือแผลรอยชนจากหน้ารถกระบะสีดำที่ตรงกับสีรถมอเตอร์ไซค์ของผู้ตาย ตอนนี้ตำรวจจึงตั้งข้อหากับไอ้ชมและพรรคพวกพร้อมกับจัดทีมตามล่าตัวอยู่ในขณะนี้

              “ลุงรู้จากแม่ภาว่าพวกมันก็ปองร้ายกรอยู่  ลุงก็เลยเป็นห่วงเลยไปตามเราดู”

              “ขอบคุณลุงคำมากครับที่เป็นห่วงผม  ผมจะระวังตัวให้ดี”

              “อย่าดูถูกไอ้ชมมัน ไอ้นี่มันสันดานอันธพาลเหมือนพ่อมัน ทางที่ดีกรไปไหนควรอยู่ใกล้ๆเจ้าสรไว้ตลอดดีกว่า”

 

 

              ลุงคำพาชินกรมาส่งตรงใกล้บ้านนางภาพร้อมกับบอกว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้จะพาชายหนุ่มไปล่าสัตว์แก้เบื่อ โดยจะชวนสรไปด้วยอีกหนึ่งคน  หลังจากแยกกับลุงคำแล้วชินกรก็เดินกลับบ้านแล้วพบว่าสรนั่งรอเขาอยู่ที่บ้าน     โดยสรขอโทษเขาเป็นการใหญ่ที่ไม่ได้อยู่บ้านวันนี้เพราะต้องพาพ่อไปหาหมอที่อำเภอ

              “ช่างเถอะ แกมีธุระนี่แต่ตอนนี้ฉันมีเรื่องหนึ่งอยากให้แกช่วยหน่อย”

              “ช่วยเรื่องอะไร?”

              “ตอนนี้ฉันอยากได้รถเช่าสักคัน แกช่วยเป็นธุระหาให้ฉันหน่อย ฉันมีธุระที่อาจต้องออกนอกอำเภอ”

              

             

             

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา