ยามเมื่อสายลมกรีดร้อง!

-

เขียนโดย GCodename

วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2561 เวลา 20.29 น.

  16 บท
  5 วิจารณ์
  14.51K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 11 เมษายน พ.ศ. 2561 15.25 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

9) บทที่8 หมู่บ้านต้องสาป

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บท8  หมู่บ้านที่ต้องสาป

 

 

 

 

              ชินกรขับรถมาตามทางโดยใช้Google Mapsช่วยนำทาง  ระหว่างนั้นเขาถือโอกาสเข้าเช็คอีเมล์กับข้อความในสมาร์ทโฟนเนื่องจากในตัวเมืองมีสัญญาณโทรศัพท์มือถือกับเน็ตไม่เหมือนที่บ้านวังสา      อีเมล์กับข้อความส่วนใหญ่ก็มาจากออฟฟิคสำนักงานกฏหมายเรื่องของานที่สุมกองรอเมื่อเขากลับไปและข้อความของหัวหน้าที่ถามซ้ำว่าเมื่อไรจะกลับ?ชินกรเลื่อนดูไปเรื่อยจนมาเจอข้อความหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกแปลกใจ        เพราะมันมาจากอานนท์ เพื่อนสนิทที่ตัดความสัมพันธ์กับเขาไปแล้วนั่นเอง!

              ฉันได้ข่าวว่าแกเกิดอุบัติเหตุ  แกเป็นยังไงบ้าง? ฉันไม่ได้ห่วงแกแค่ฉันถามในฐานะคนเคยรู้จักเท่านั้น!!

              ชินกรรีบกดสมาร์ทโฟนโทรไปหาอานนท์แทบจะทันที  เขาใจเต้นตึกตักระหว่างที่ขึ้นเพลงรอสายเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกลับมาเนื่องจากความสัมพันธ์ครั้งสุดท้ายจบลงไม่ค่อยสวยเท่าไร           ชินกรรอจนสัญญาณโทรศัพท์ตัดไป    เขามีสีหน้าผิดหวังคิดว่าอานนท์ยังคงไม่ให้อภัยเขาเป็นแน่แต่ไม่ถึงนาทีปลายสายก็โทรกลับมาชินกรจึงรีบกดรับสาย

              “.....ฉันเห็นแกโทรหาฉัน  มีอะไร?”

              อานนท์ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ  ชินกรรู้สึกประหม่าเพราะชัดเจนว่าความสัมพันธ์ของเขากับเพื่อนคนนี้ยังไม่เหมือนเดิม

              “ฉันเห็นแกส่งข้อความหาฉันๆเลยโทรกลับ  คิดว่าแกคงอภัยให้ฉันแล้ว”

              “ก็อย่างที่บอกว่าถามแค่เป็นคนรู้จัก  ฉันเป็นมนุษย์แล้วคำว่ามนุษย์ก็ต้องมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีกับมารยาทที่ทำให้เราต่างสัตว์ทั่วไป  ฉันถามแกเพราะเป็นมารยาทและความเป็นมนุษย์ที่อยู่ในตัวฉันเท่านั้น!”

              เหมือนโดนต่อยเข้าที่ปลายคางอย่างจังกับคำพูดเหยียดพร้อมกับด่าทออย่างผู้ดีของอานนท์ที่มอบให้กับเขา  ชินกรไม่อาจจะเถียงได้เลยกับสิ่งที่ทำไป

              “ฉันขอโทษ  แล้วรู้ว่าแกไม่รับฟังด้วย”

              “ใช่  ฉันไม่รับฟังแล้วก็ขี้เกียจจะรื้อฟื้นขึ้นมาแล้วด้วย  น้องสาวฉันก็ตายไปแล้ว ส่วนฆาตกรก็ลอยนวลพ้นมือของกฎหมายไป  ที่ทำได้แค่รอให้กฎแห่งกรรมสะสางเองเท่านั้น”

              น้ำเสียงที่พูดผ่านสายของอานนท์แม้จะราบเรียบ  แต่แฝงไว้ซึ่งความเจ็บปวด

              “กฎแห่งกรรมเหรอ?  คงใช่เพราะตอนนี้ฉันก็กำลังชดใช้มันอยู่”

              “ฉันได้ข่าวว่าแกถึงกับเสียความทรงจำ  แต่น่าแปลกที่แกยังจำฉันได้”

              “ฉันจำแกได้  จำสิ่งที่เรียนมาหรืองานได้  แต่สิ่งที่หายไปคือเรื่องส่วนตัวของฉันทั้งหมดตั้งแต่หนึ่งปีก่อนขึ้นไป”

              อานนท์เงียบไปชั่วครู่  การคุยผ่านโทรศัพท์แบบไม่เห็นสีหน้าแววตาทำให้ชินกรเดาไม่ถูกจริงๆว่าอานนท์รู้สึกเช่นไร?

              “แกเคยบอกกับฉันเมื่อหลายปีมาแล้วว่าแม่ของแกเสียชีวิต  แกไร้ญาติคนอื่นถ้าจำเรื่องส่วนตัวไม่ได้ก็คงไม่มีผลอะไรมั้ง  เพราะตอนนี้แกก็ไม่เหลือใครอยู่แล้วนี่”

              ชินกรอึ้งไปเมื่อได้ยินประโยคของอานนท์ที่ว่า แม่ของแกเสียชีวิต  เขามือไม้เริ่มสั่นรีบจอดรถเก๋งที่เช่ามาเข้าข้างทางทันที

              “แกบอกว่าแม่ฉันตายไปแล้ว  ฉันบอกแกตอนไหนจำได้ไหม?”

              “จำได้ว่าหลายปีมาแล้ว  ตั้งแต่เรียนจบก่อนสอบเป็นทนายเสียอีก  มีอะไรน้ำเสียงแกดูตื่นๆนะ?”

              ชินกรกำลังวิเคราะห์สมมติฐานที่ตอนนี้มันสับสนมั่วซั้วสิ้นดี   แม่เขาจะตายไปได้อย่างไรในเมื่อเขาเจอ สัมผัส และนอนกับแม่ทุกวันอย่างนั้น  ชายหนุ่มตั้งสติแล้วถามอานนท์เพื่อรวบรวมข้อมูล

              “ตั้งแต่จบเป็นทนายความมาฉันเคยกลับบ้านของแม่บ้างไหม?”

              “ไม่เคยนะ  อย่างที่บอกว่าแกไม่มีญาติที่ไหนนอกจากแม่ของแก”

              “แล้วตอนที่ฉันกลับมาบ้านแม่ครั้งสุดท้าย  ฉันเคยเล่าอะไรนอกจากที่บอกว่าแม่ฉันตายแล้วกับแกบ้างไหม?”

              “ไม่มีนะ อ้อ ถ้าจะมีคืออาการของแกมากกว่าที่น่าแปลกใจ”

              “น่าแปลกยังไง?”

              “แกดูหวาดกลัวอะไรสักอย่าง?  แกขอให้ฉันเลิกพูดหรือถามเรื่องที่บ้านเลยด้วยซ้ำ”

              “นอกจากนั้นฉันยังมีอะไรผิดปกติอีกไหม?”

              “ก็ไม่นะ  แกก็ตั้งหน้าตั้งตาสอบเข้าเป็นทนายแล้วก็ไม่คุยอะไรถึงบ้านแกอีก  แกมีอะไรหรือเปล่า?”

              “ไม่มีอะไร  ฉันขอบใจแกมากนะ  ฉันทำผิดกับแกใหญ่หลวงแล้วในตอนนี้ไม่ว่าแกจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามแต่ฉันสำนึกผิดจริงๆเรื่องน้องสาวแก”

              “......ไม่รู้สิ  จนถึงตอนนี้ฉันก็ไม่เชื่อว่าแกจะสำนึกผิดจริงๆอย่างที่แกพูดชินกร”

              ชินกรกดวางสายลงเพราะรู้ดีว่าต่อให้คุยนานกว่านี้จะมีแต่ความอึดอัดใจทั้งสองฝ่ายเปล่าๆ  สิ่งที่เขาอยากจะพูดก็พูดไปแล้วเหลือเพียงปริศนาใหม่ที่เข้ามาโดยหวังว่าที่ๆเขากำลังไปอยู่นั้นจะให้คำตอบกับเขาได้

 

 

              ชินกรขับรถออกนอกตัวเมืองมาตามเส้นทางที่Google Mapsได้บอกเอาไว้      สองข้างทางเป็นทุ่งนาสลับกับป่าข้างทางเป็นระยะจนในที่สุดเขาก็เริ่มเห็นสถานที่ที่เขาตั้งใจมาไกลๆ  ที่บนเชิงเขาด้านหน้ามีพระอุโบสถหลังหนึ่งตั้งตระหง่านพร้อมกับที่แอปพลิเคชั่นนำทางก็ร้องเตือนว่าที่นั่นคือจุดหมายของเขา

              ขณะนี้ถึงวัดนาดุมแล้ว”

              ชินกรเลี้ยวรถเก๋งขึ้นถนนทางเข้าวัดนาดุมที่เป็นเนินไล่ความชันขึ้นไปจนถึงภายในตัววัดที่เป็นที่โล่งมีพระอุโบสถตั้งอยู่ตรงกลางลานกว้างนั้น        ชายหนุ่มเอารถไปจอดตรงใต้ต้นไม้ใหญ่แล้วลงมาจากรถโดยกวาดสายตามองไปรอบบริเวณเห็นว่าวัดนาดุมแห่งนี้เป็นวัดที่เพิ่งจะสร้างใหม่มาไม่กี่ปี      เนื่องจากพระอุโบสถดูใหม่กว่าศาลาวัดที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ เยื้องไปด้านขวามองเห็นอาคารไม้ที่สร้างแบ่งห้องไว้ราวสิบห้องซึ่งน่าจะเป็นกุฏิพระภิกษุที่จำวัดอยู่     มีห้องน้ำวัดที่สร้างจากปูนอยู่ใกล้กุฏิ  ไม่มีเมรุตามประสาวัดที่ยังสร้างไม่เสร็จดี 

              ชายหนุ่มเหลียวมองเพื่อจะหาใครสักคนที่พอจะสอบถามหาใครบางคนที่เขาต้องการเจอ  ก็เห็นวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งนั่งเล่นหมากฮอตตรงโต๊ะม้าหินอ่อนไม่ไกลจากเขา  ชินกรจึงเดินเข้าไปถาม

              “ขอโทษนะครับ  ผมขอถามหาคนหน่อย”

              วัยรุ่นที่นั่งหันหลังมามองชินกรเป็นสายตาเดียว  สีหน้าแต่ละคนเอาเรื่องตามแบบนักเลงภูธรโดยเฉพาะไอ้ฉัตรผู้ที่เป็นหัวหน้ากลุ่มมองดูชายผู้มาใหม่ด้วยสายตาที่ขวาง

              “มีอะไรพี่ชาย?”

              “คืออยากจะถามหาคนที่อยู่วัดนี้ที่ชื่อสัปเหร่อขาม  ไม่ทราบว่าอยู่หรือเปล่า?”

              วัยรุ่นทั้งหมดหันมองตาซึ่งกันและกันอย่างมีนัยยะโดยเฉพาะลูกพี่ใหญ่อย่างไอ้ฉัตรมองสำรวจชินกรตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าเลยทีเดียว

              “พี่ชายมีอะไรกับอาจารย์ของฉันกันล่ะ?”

              ไอ้ฉัตรถามขึ้นด้วยน้ำเสียงห้าว  ชินกรมองไปที่นักเลงภูธรคนนี้อย่างชั่งใจชั่วครู่ว่าจะบอกเหตุผลที่มาดีหรือไม่

              “ผมมีธุระส่วนตัวกับสัปเหร่อขาม  ผมได้รับคำแนะนำมาจากตาแสงแห่งบ้านวังสา”

              “นี่พี่ชายมาจากบ้านวังสาเหรอ?”

              ไอ้ฉัตรถามอย่างสนใจสีหน้าแววตาที่มองดูชินกรนั้นพรั่นพรึงไม่น้อย  ขณะที่ลูกสมุนก็เริ่มถอยไปอยู่ด้านหลัง

              “ใช่  มีอะไรเหรอ?”

              ไอ้ฉัตรไม่ตอบในทันที  มันหันหลังไปทางลูกสมุนแล้วสุมหัวพูดคุยกันด้วยที่ได้ยินกันแค่นั้นเหมือนปรึกษาอะไรกันบางอย่าง  ไม่นานมันก็หันมาทางชินกรที่ดูท่าทีอยู่เงียบๆ

              “พี่ชายมีธุระอะไรกับอาจารย์ล่ะ?”

              “ผมบอกแล้วไงว่ามีธุระส่วนตัวที่ตาแสงฝากมา  กับคนอื่นผมขอไม่บอกนะ”

              ไอ้ฉัตรมองดูชินกรอย่างพินิจ  เหมือนมันกำลังชั่งใจบางอย่างจนในที่สุดมันก็พยักหน้า

              “อาจารย์ขามแกติดพิธีเผาศพอยู่ท้ายวัดนู่น  เดี๋ยวฉันจะพาพี่ชายไปหาอาจารย์เอง”

 

 

              ไอ้ฉัตรเดินนำชินกรโดยมันสั่งลูกสมุนไม่ต้องตามมา  ชินกรเดินตามพร้อมสังเกตว่าวัยรุ่นที่เดินนำเขามาทางป่าโปร่งที่อยู่ตรงด้านหลังวัดนาดุม  เมื่อเดินเข้ามาบริเวณป่าโปร่งนั้นชินกรได้กลิ่นไหม้สายตาเหลือบไปเห็นตรงไม่ไกลมีกองเพลิงขนาดใหญ่ลุกโชติอยู่ที่ลานกว้างของป่าโปร่งนั้น  ไอ้ฉัตรชี้มือไปทางกองเพลิงนั่น

              “นั่นไงอาจารย์ขาม  แกกำลังทำพิธีเผาศพอยู่”

              ชินกรมองตามนิ้วชี้ของไอ้ฉัตรเห็นด้านข้างกองเพลิงมีชายวัยกลางคนยืนอยู่คนเดียวที่นั่น   รูปร่างไม่สูงแต่ดูแข็งแรงปราดเปรียว  ที่เด่นคือผมสีดอกเลารับเข้ากับใบหน้าผอมซูบดูเกรงขาม  ไอ้ฉัตรเร่งฝีเท้าเข้าไปหาพร้อมกับตะโกนลั่นป่าโปร่ง

              “อาจารย์ขาม  ฉันพาพี่ชายคนนี้มาหาอาจารย์เพราะเขามีธุระกับอาจารย์ขามครับ”

              เสียงที่นอบน้อมของไอ้ฉัตรทำให้สัปเหร่อขามหันมามองด้วยแววตาที่คมและดุ

              “ใครมันจะมาหาข้าวะตอนนี้?  บอกไปว่าข้าไม่รับแขกข้ากำลังทำงานของข้าอยู่”

              ทั้งไอ้ฉัตรกับชินกรชะงักไปเพราะน้ำเสียงที่ไม่ต้อนรับของแก  โดยเฉพาะไอ้ฉัตรที่มีท่าทีลนลานเมื่อสัปเหร่อขามตะโกนกลับมา

              “อีกอย่างไอ้ฉัตร   ข้ายังไม่ได้รับเอ็งเป็นลูกศิษย์ฉะนั้นอย่างพูดพล่อยๆให้ข้าได้ยินอีก   ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะหาว่าข้าไม่เตือน!”

              ไอ้ฉัตรหน้าถอดสีเพราะรู้นิสัยคนจริงของคนที่มันอ้างว่าเป็นอาจารย์ดี  มันรีบหลังพร้อมกับจะจูงมือชินกรให้กลับไปกับมันแต่ชินกรกลับตะโกนไปหาสัปเหร่อขาม

              “ผมชื่อชินกรมาจากบ้านวังสา  ผมได้รับคำแนะนำมาจากตาแสงที่อยู่หมู่บ้านว่าให้มาหาสัปเหร่อขาม  ผมบอกไว้เลยว่าผมจะไม่ไปไหนจนกว่าจะได้คุยกับคุณ”

              สัปเหร่อขามหันมองดูชายหนุ่มที่เพิ่งตะโกนกลับมาอย่างสนใจ  เขาชี้มาที่ชินกรพร้อมกับทำท่าเรียกเข้ามาหา

              “ไอ้หนุ่มเอ็งเข้ามาหาข้า  ส่วนเอ็งไอ้ฉัตรถอยไปรอกับกลุ่มเอ็งเลยข้ามีเรื่องจะพูดคุยกับไอ้หนุ่มนี่   มันเป็นคนที่ข้ารอมาตั้งนานแล้ว”

 

 

              ไอ้ฉัตรวิ่งหายไปจนลับตาส่วนชินกรเดินเข้าไปหาสัปเหร่อขามที่ยืนจ้องเขาอย่างพินิจด้วยแววตาที่คมของแก  ชินกรเหลือบไปมองกองไฟที่ลุกอยู่เห็นแท่งปูนสองแท่งที่ก่อขึ้นใกล้กันด้านบนมีโลงศพไม้ที่ไหม้ไฟจากกองฟืนที่อยู่ด้านล่าง ซึ่งนี่เป็นการเผาศพแบบกองฟอนหรือเผาศพแบบเชิงตะกอนในกรณีย์ที่ไม่มีเมรุ  ชินกรยังสังเกตเห็นศพที่เผยออกมาเห็นร่างเนื้อด้านบนกองฟอนว่าต่อให้ไฟลุกมากแค่ไหนแต่ศพก็ไม่ไหม้ไปกับไฟของกองฟอนเลยสักนิด!

              “มันชื่อนังนา ตายทั้งกลมเมื่อไม่กี่วันก่อน  นี่ข้าเผามันมาจะสามชั่วโมงแล้วศพมันยังไม่ไหม้ไฟเลย  ท่าทางนังนามันจะเฮี๊ยนจริงๆ”

              สัปเหร่อขามพูดพร้อมกับเอาไม้สำหรับเขี่ยกองฟืนชี้ไปที่ศพ  ชินกรหันมามองดูแกอย่างสนใจ

              “แล้วปกติอย่างนี้สัปเหร่อขามจะแก้ไขได้ยังไงล่ะครับ?”

              “ก็ถ้าเป็นตามปกติก็ต้องไปเรียกพระคุณเจ้าให้มาสวดอีกรอบ  แต่จะไปเรียกทำไมเพราะการเผาศพให้ไหม้มันเป็นหน้าที่สัปเหร่ออย่างข้า  ไอ้หนุ่มหวังว่าเอ็งยังไม่ได้กินอะไรมานะ”

              สัปเหร่อขามหันหน้ามายิ้มเยาะใส่ชินกรเพราะแกรู้จากประโยคของไอ้หนุ่มที่มาใหม่ว่าอยากลองภูมิแก  สัปเหร่อขามหยิบมีดหมอออกมาจากย่ามพระที่แกสะพายอยู่พร้อมกับยกมือไหว้บริกรรมคาถา     ก่อนที่แกจะเดินเข้าไปใกล้กองฟอนที่ไฟลุกอยู่ราวกับไม่เกรงกลัวกับความร้อนของพระเพลิง    ชินกรมองดูเห็นว่าชายวัยกลางคนกำลังใช้มีดหมอเฉือนเนื้อของศพที่ชื่อนามาชิ้นเล็กๆจนติดมีดแล้วแกก็ถอยออกมาจากกองฟอนทันที

              “ถ้าเอ็งสงสัยว่าข้าจะจัคการยังไง?  ข้าก็จะทำอย่างนี้ไงล่ะ”

              พูดจบสัปเหร่อขามเอาเนื้อจากศพที่เฉือนมาหยิบมาใส่ปากพร้อมกับเคี้ยวต่อหน้าชินกร  ชายหนุ่มเกือบจะอาเจียนกับภาพที่เห็นเพราะไม่คิดว่าในชีวิตนี้จะมีใครมากินศพที่กำลังเผาไฟให้ดูต่อหน้า!  สัปเหร่อกลืนเนื้อจากศพลงคอแกใช้ไม้ชี้ไปที่ศพอีกครั้ง

              “คอยดูให้ดีไอ้หนุ่ม  เดี๋ยวศพนังนามันจะเริ่มไหม้เพราะอำนาจความอาฆาตแลความทุกข์ของผีตายทั้งกลมโดนข้าข่มไปแล้ว”

              จริงอย่างที่แกพูด  ไม่กี่นาทีจากนั้นจากศพที่ไม่ไหม้ไฟกลับค่อยๆแปรสภาพอย่างชัดเจน  ชินกรมองดูด้วยความทึ่งกับภาพที่เห็นตรงหน้ารวมไปถึงวิธีการพิสดารของชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้า

              “เอ็งจะมาคุยกับข้าเรื่องหมู่บ้านเอ็งใช่ไหม?  มาสิ  เดี๋ยวเราไปคุยกันตรงโน้นละกัน  ปล่อยให้อำนาจของพระเพลิงทำหน้าที่ตรงนี้ไป”

 

 

              สัปเหร่อขามพาชินกรมานั่งตรงม้าหินอ่อนที่ไม่ไกลจากกองฟอนเท่าไร  โดยที่ตัวแกยืนสูบบุหรี่มองชินกรอย่างสนใจ

              “ถ้าข้าฟังไม่ผิดเอ็งบอกว่าชื่อชินกรใช่ไหม?  ชินกรที่เป็นลูกชายของนังภาหรือเปล่า?”

              แม้จะไม่ชอบสรรพนามที่เรียกแม่ของเขาว่านัง  แต่ชินกรก็ต้องข้ามไปเพราะรู้ตัวว่ามาที่นี่ว่ามีจุดประสงค์อันใด

              “ใช่ครับ  ผมเป็นลูกของแม่ภา”

              “ลูกของนังภามีธุระอะไรกับสัปเหร่ออย่างข้าล่ะ?  แล้วเกี่ยวอะไรกับน้าแสงญาติของข้าด้วย?”

              ชินกรเล่าเรื่องราวให้สัปเหร่อขามฟังทั้งหมด  เขาเล่าตั้งแต่แรกที่ตนเองประสบอุบัติเหตุความจำเสื่อมรวมไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน   เรื่องราวประหลาดต่างๆที่ได้พบเจอซ้ำยังเล่าให้ฟังว่าตาแสงได้กระซิบบอกกับเขาว่าถ้าอยากรู้เรื่องที่เกิดในหมู่บ้านให้มาหาสัปเหร่อขามที่อยู่วัดนาดุมเท่านั้น  สัปเหร่อขามฟังเรื่องราวที่ชินกรเล่าให้ฟังพร้อมพ่นควันบุหรี่เป็นระยะ  เมื่อชินกรเล่าจบชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้าก็หัวเราะขึ้นมาจนชินกรรู้สึกเคืองไม่น้อย

              “สัปเหร่อขามหัวเราะอะไรกับเรื่องเล่าของผมหรือครับ?”

              “ที่ข้าหัวเราะเพราะข้ารู้สึกว่ากรรมมันทำงานของมันได้ดีจริงๆ”

              “หมายความว่ายังไง?”

              “ข้าจะย้อนถามเอ็งนะไอ้หนุ่ม  ว่าเอ็งมาหาข้าเพราะเอ็งเจอเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นเต็มไปหมดที่บ้านวังสา  หนำซ้ำเอ็งเจอกับอสุรกายตนหนึ่ง  ตั้งแต่วันแรกที่เอ็งกลับบ้านแล้วก็เจอมันออกมาฆ่าไอ้ชมที่บนเขา   รวมไปถึงดวงไฟสีเขียวไม่มีที่มา  แล้วที่สำคัญเอ็งอยากรู้เหลือเกินว่าทำไมชาวบ้านที่อยู่ที่นั่นไม่มีใครเป็นมิตรกับเอ็งเลยใช่ไหม?”

              ชินกรพยักหน้ารับ  การจะค้นหาความทรงจำและตัวตนที่หายไปเขาจำเป็นจะต้องรู้รวมไปถึงการเตรียมใจที่จะเจอกับเรื่องแย่ๆที่เขาเคยทำมาในอดีต  สัปเหร่อขามมองมาที่ชินกรแล้วนั่งลงข้างๆ

              “เอ็งเชื่อเรื่องปอบไหมไอ้หนุ่ม?”

              เป็นคำถามที่พิลึกพิลั่นที่สุดตั้งแต่เขามาอยู่ที่นี่  ชินกรส่ายหน้า

              “ถ้าโดยปกติผมคงไม่เชื่อ  สัปเหร่อขามมีอะไรเหรอครับ?”

              “ถ้าจะให้เอ็งเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด  ข้าต้องเล่าตำนานบางอย่างให้เอ็งฟังเพื่อที่สุดท้ายเอ็งจะเข้าใจในคำตอบที่เอ็งต้องการที่สุด”

              สัปเหร่อขามสูดเอาควันบุหรี่เข้าปอดก่อนจะโยนลงพื้นดินพร้อมกับเอาเท้าเหยียบ    เริ่มต้นเล่าเรื่องราว

              “ที่ข้าถามเอ็งว่าเชื่อเรื่องปอบไหม?  เพราะมันสำคัญกับเรื่องที่ข้าจะเล่าต่อไปนี้     ปอบแท้จริงนั้นต้นสายจริงๆเป็นผีสายยักษ์    ว่ากันว่าเป็นเป็นสาวกของท้าวเวสสุวัณ  ปอบจึงเป็นอสุรการที่กินแต่ของคาวและเครื่องใน     ก่อนที่กาลเวลาต่อมาจะแบ่งสายออกเป็นหลายประเภท  มีเรื่องเล่าอยู่เรื่องหนึ่งเล่าถึงหมอธรรมที่มีชื่อเสียงแล้วสืบเชื้อสายการเป็นหมอธรรมมาหลายชั่วอายุคน    ชาวบ้านต่างนับถือเพราะหมอธรรมตระกูลนี้มีทั้งความรู้ด้านการรักษาด้วยสมุนไพรและไสยเวทโดยไม่มีใครล่วงรู้เลยว่าแท้จริงหมอธรรมตระกูลนี้เป็นผีปอบเชื้อ    เป็นผีปอบที่สืบเชื้อสายมาหลายชั่วอายุคน  หนำซ้ำปอบที่คนในตระกูลนี้เลี้ยงไว้นั้นยังเป็นปอบสายยักษ์ตัวเป็นๆแล้วบูชาราวผีบรรพบุรุษเลยทีเดียว     ทีนี้ปัญหามันเกิดตรงที่ว่าไม่มีใครหรือชาวบ้านคนใดรู้เรื่องนี้หรือระแคะระคายมาก่อน   บวกกับคนในตระกูลหมอธรรมก็ไม่เคยมีปัญหาในการสืบทอดทายาทการเป็นปอบเชื้อ   จนกระทั่งถึงรุ่นของชายคนหนึ่งซึ่งเป็นลูกโทนโดยชายคนนี้เป็นหัวแก้วหัวแหวนของผู้เป็นแม่  แม่ที่รักลูกตามใจหมดทุกอย่างแล้วเพราะความรักนี่แหละ  แม่คนนั้นจึงได้ทำสิ่งที่เลวร้ายขึ้นมา....”

              สัปเหร่อขามถอนหายใจเฮือกใหญ่  มองมาที่ชินกรที่ตั้งใจฟังอย่างระทึก

              “คืนหนึ่งที่ต้องทำพิธีสืบทอดทายาทของปอบเชื้อ  ชายหนุ่มไม่ยอมรับพร้อมกับหนีไปกลางดึก  เพราะเจ้าตัวหัวดีและฉลาดเกินกว่าจะมาใช้ชีวิตในบ้านนอกอย่างนี้  รวมถึงการต้องยอมเป็นปอบเชื้อคนต่อไป  เมื่อลูกชายหัวแก้วหัวแหวนหนีไป  คนเป็นแม่เสียใจมากจึงได้ทำสิ่งที่เลวร้ายด้วยการปล่อยปอบที่เลี้ยงไว้ทั้งหมดออกมาเข้าสิงชาวบ้านในหมู่บ้าน  แค่คืนเดียวแม่ผู้แสนดีกลับมอบฝันร้ายให้กับชาวบ้านทุกคนเพียงเพื่อระบายความผิดหวังที่ลูกชายตนเองหนีไป  ชาวบ้านในหมู่บ้านเริ่มแรกก็ไม่รู้ตัวจนกระทั่งวิถีชีวิตที่โหยหาแต่ของดิบคาว   บ้างป่วยเป็นไข้หนักหรือไหลตาย  จนกระทั่งในที่สุดชาวบ้านก็รู้ว่าตนเองได้ถูกปอบสิงสู่โดยมีสาเหตุมาจากหมอธรรมของหมู่บ้าน”

              ลมเย็นพัดโบกแต่ใบหน้าของชินกรกลับมีเม็ดเหงื่อผุดเต็มใบหน้า  เขาฉลาดมีไหวพริบมากพอที่จะรู้ว่าเรื่องเล่าที่สัปเหร่อขามเล่ามามีนัยยะอะไร  ชายหนุ่มพยายามจะถามต่อแต่ปากของเขากลับหนักเสียดื้อๆราวกับไม่อยากจะรู้อะไรเพิ่มเติมไปมากกว่านี้อีกแล้ว  สัปเหร่อขามจุดบุหรี่พร้อมกับยื่นมาให้เขาชินกรรีบรับมาอย่างไวพูดกับดูดควันพิษเข้าไปเต็มปอดจนสำลักออกมา

              “ยังอยากให้เล่าอยู่ไหมไอ้หนุ่ม?”

              “อยากครับ  ถ้ามันเป็นความจริงผมต้องยอมรับให้ได้”

              ชินกรตอบอย่างแววตามุ่งมั่น  สัปเหร่อขามจึงเล่าต่อ

              “หลังจากรู้ความจริงชาวบ้านจึงรวมกลุ่มกันนำโดยผู้ใหญ่บ้านคนเก่าในเวลานั้น    ที่ติดต่อหมอธรรมมีชื่อจากหมู่บ้านอื่นเพื่อไปจัคการกับคนที่ปล่อยปอบออกมา  ทั้งหมดไปที่บ้านของหญิงคนนั้น  แต่ก็พ่ายแพ้ราบคาบเพราะอำนาจของปอบที่เป็นบรรพบุรุษนั้นแข็งแกร่งจนทำให้หมอธรรมเสียชีวิตในทันที     ผู้ใหญ่บ้านกับชาวบ้านที่รวมตัวต่อต้านก็พากันแตกกระเจิง   คืนนั้นผู้ใหญ่บ้านกับเมียตายอย่างอนาถรวมไปถึงชาวบ้านที่ไปร่วมขับไล่ก็ตายเช่นเดียวกัน  ชาวบ้านที่เหลือพากันหวาดกลัวหมอธรรมประจำหมู่บ้านของตน  หลายครอบครัวย้ายออกจากหมู่บ้านในขณะที่หลายครอบครัวที่ยังอยู่เพราะไม่มีที่ทางจะไปไหน  ก็ต้องก้มหัวให้กับหมอธรรมประจำหมู่บ้านโดยที่หญิงคนนั้นจะคอยให้สมุนไพรที่ทำมาจากว่านผีปอบให้กับชาวบ้านเพื่อรักษาและจะไม่ได้โดนปอบที่สิงอยู่นั้นทำร้ายหรือกินเครื่องในของตนเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน”

              ฟังจบชินกรรู้สึกว่ามือของตนเองเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง  สัปเหร่อขามมองดูชินกรพร้อมกับลุกขึ้นจุดบุหรี่ขึ้นมาสูบอีกมวน

              “หมอธรรมหญิงที่ว่าคือแม่ของผมใช่ไหมครับ?”

              เป็นคำถามที่ยากเย็นที่สุดกว่าจะหลุดออกมาจากปากของชินกร  สัปเหร่อขามพยักหน้า

              “ใช่  แล้วเอ็งก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้บ้านวังสาทั้งหมู่บ้านไม่ต่างอะไรจากขุมนรกทั้งเป็น  ข้าเรียกเหตุการณ์นั้นว่าคืนปอบลง”

              ชินกรพยายามคิดทบทวนเหตุการณ์แปลกประหลาดที่เจอตั้งแต่มาที่หมู่บ้าน  ความคิดทั้งหลายตีกันในหัวจนสับสน   ทั้งเรื่องปอบที่ได้รับรู้   เพิ่งรู้ว่าแม่ของตนเป็นปอบเชื้อ  อสุรกายที่เห็นและท่าทางของชาวบ้านโดยเฉพาะสายตาที่มองเขามันประจวบเข้ากับเรื่องเล่าที่ดูไม่น่าเชื่อจากสัปเหร่อขามได้  เขาดูดบุหรี่ที่เหลืออยู่อัดเข้าไปจนหมดมวน

              “ที่สัปเหร่อขามเล่ามาเป็นเรื่องจริงใช่ไหม?”

              ชินกรถามขึ้นมองไปที่แววตาของชายวัยกลางคนหวังจะจับผิดตามทักษะที่มีของทนาย  แต่สัปเหร่อขามก็ตอบกลับมาด้วยแววตาแน่วแน่จริงจังเกินกว่าที่จะมองเป็นเรื่องโกหกได้

              “เรื่องที่ข้าเล่ามาคือเรื่องจริงทั้งหมด  เพราะหมอธรรมที่ผู้ใหญ่บ้านคนเก่าเรียกไปไล่ปอบคืออาจารย์ของข้าเอง!”

              ชินกรนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่เหมือนกำลังพยายามอย่างหนักที่จะยอมรับความจริงที่ได้รับรู้  สัปเหร่อขามเดินไปดูที่กองฟอนพร้อมกับเติมฟืนเข้าไป  เมื่อเดินกลับมาก็เห็นชินกรพร้อมที่จะคุยอีกครั้ง

              “ถ้าเกิดว่าเป็นอย่างที่สัปเหร่อขามเล่าให้ฟัง  อสุรกายที่ผมเห็นก็คือปอบที่เป็นบรรพบุรุษของตระกูลผม  แล้วดวงไฟสีเขียวที่ผมเห็นนั้นล่ะมันคืออะไร?”

              “ดวงไฟสีเขียวที่เอ็งเห็นมันก็เป็นผีปอบที่บ้านเอ็งเลี้ยงไว้นั่นแหละ  ปอบที่เข้าสิงชาวบ้านพอตอนกลางคืนมันก็ออกมาหากินของมัน”

              “เมื่อกี้นี้ตอนผมนั่งคิดทบทวนผู้ใหญ่บ้านคนเก่าที่เล่าให้ฟังนี่ใช่พ่อของไอ้ชมหรือเปล่า?”

              “ใช่  พ่อของไอ้ชมนั่นแหละ”

              “มิน่า  มันถึงได้แค้นผมนักแถมยังบอกอีกว่าผมเป็นคนที่ทำให้พ่อกับแม่มันตาย  แต่น่าแปลกก่อนหน้านี้ผมถามกับลุงคำผู้ใหญ่บ้านคนปัจจุบันเขาบอกกับผมว่า  พ่อของไอ้ชมเป็นโรคไหลตายเพียงแค่นั้น”

              “ไอ้คำมันตอแหลเอ็งน่ะสิ” เสียงสัปเหร่อขามคำรามอย่างเดือดดาล “ตอนที่มีชีวิตอยู่มันเป็นลูกไล่พ่อของไอ้ชม แถมตัวมันยังคลั่งไคล้กับไสยเวทมนต์ดำ  พ่อแม่ไอ้ชมโดนปอบฆ่าตายอย่างอนาถข้าเป็นคนเผาศพมันเอง  หลังจากนั้นมันก็กลายเป็นผู้ใหญ่บ้านต่อเพราะได้รับการสนับสนุนจากแม่เอ็ง    ถ้าจะมีใครสักคนที่ไม่เดือดร้อนและมีผลประโยชน์ที่สุดจากเหตุการณ์ผีปอบลงหมู่บ้านก็มีเพียงไอ้คำคนเดียวเท่านั้นแหละ”

              ชินกรมาคิดย้อนดูก็จริงอย่างว่าที่มีเพียงลุงคำเพียงคนเดียวที่ห่วงใยเขา  เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะมีผลประโยชน์จากการตายของผู้ใหญ่บ้านคนเก่ากับเมียมาเกี่ยวข้องด้วย 

              “แต่ถ้าเป็นอย่างที่สัปเหร่อขามว่ามา  ทำไมถึงไม่มีใครสักคนที่จะทำร้ายผมนอกจากไอ้ชม?  และไม่มีใครที่จะบอกความจริงที่เกิดขึ้นกับผมเลย”

              “ไอ้ชมมันไม่มีที่ไปรวมไปถึงมันก็ไม่มีอะไรจะเสียเหมือนกัน  ที่มันอยู่กับไอ้เขียวไอ้ดำเพราะพ่อแม่ไอ้สองคนนั้นก็โดนปอบกินตาย    พอมันเจอเอ็งมันเลยคิดจะชำระความกับเอ็งอย่างเดียวเพราะตัวมันไม่มีปัญญาไปทำอะไรแม่เอ็งได้  ส่วนที่เอ็งถามว่าทำไมไม่มีใครบอกความจริงกับเอ็งก็ไม่แปลก    ไม่มีใครกล้าไปเสี่ยงกับแม่เอ็งหรอกเอ็งยังไม่รู้ว่าแม่เอ็งน่ากลัวขนาดไหน?  ตลอดเวลาหลายปีที่เอ็งจากไปมีหมอธรรมและคนอีกมากมายพยายามจะกำราบผีปอบในบ้านวังสาแต่ก็ไม่มีใครทำได้สำเร็จ   หนำซ้ำเอาชีวิตไปทิ้งที่หมู่บ้านเอ็งกันทุกคน   พูดตรงๆขนาดพระยังไม่กล้าไปบิณฑบาตเลย”

              ชินกรลุกขึ้นยืนพร้อมยกมือไหว้สัปเหร่อขาม

              “ขอบคุณสัปเหร่อขามมากนะครับที่เล่าให้ผมฟัง  มันสอดคล้องกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็จริงแต่ผมก็ต้องยอมรับว่ายังไม่สามารถเชื่อเรื่องนี้ได้สนิทใจ”

              ชายหนุ่มยอมรับไปตรงๆ  แม้ว่าทุกอย่างที่สัปเหร่อขามเล่ามาจะมีเหตุผลในตัวของมันและรองรับกับเหตุการณ์ประหลาดต่างๆที่เขาได้เจอ  แต่ด้วยความที่คนรุ่นใหม่บวกกับโลกแห่งเทคโนโลยีที่ก้าวไปไกลเกินกว่าจะเชื่อเรื่องราวแบบนี้ได้อย่างสนิทใจจริงๆ  ซึ่งปฏิกิริยาของสัปเหร่อขามย่อมจะไม่พอใจกับคำพูดของชินกร

              “นี่เอ็งหาว่าข้าโกหกอย่างนั้นเหรอไอ้หนุ่ม?”

              “ไม่ใช่ครับ  แต่ผมรู้สึกที่จะเชื่อเรื่องแบบนี้ได้ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์แค่นั้นเอง  สัปเหร่อขามพอจะมีอะไรที่จะให้ผมพิสูจน์ในเรื่องที่เล่าบ้างไหม?”

              ระหว่างที่ทั้งสองคนโต้เถียงกัน  จู่ๆเสียงของไอ้ฉัตรก็ดังมาแต่ไกลเมื่อหันไปมองก็เห็นไอ้ฉัตรเดินนำหน้า  โดยมีลูกน้องเป็นกลุ่มเดินตามมาด้านหลังเหมือนหิ้วปีกใครสักคนมาด้วย

              “อาจารย์ขาม!  ฉันพบคนน่าสงสัยมาแอบสะกดรอยตามไอ้พี่ชายที่มาจากบ้านวังสามาน่ะจ๊ะ”

              ไอ้ฉัตรพูดพร้อมยิงฟันขาวแบบซื่อๆ มันใช้มือของมันกระชากคอเสื้อคนที่น่าสงสัยออกมาด้านหน้า  ชินกรมองดูแม้จะเห็นไกลๆแต่เขาก็จำได้ทันทีว่าคนที่ถูกเจ้านักเลงภูธรคุมตัวมาคือสรนั่นเอง!

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา