อังซูเรย์ ยะรีกอ เขี้ยวเพชรฆาตรวิญญาณอสูร

10.0

เขียนโดย DANTE07

วันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 เวลา 19.51 น.

  8 ตอน
  0 วิจารณ์
  8,777 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 20.11 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) การปรากฎตัวของสมิง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

..........ทุกคนมาหยุดยืนบนเนิน หินก้อนใหญ่ที่ มะอีซา กับ โอบาจิ นอนหมอบอยู่เมื่อครู่ ต่างช่วยกันค้นหาร่อง รอย ของเสือใหญ่ที่นับว่าเป็นจุดมุ่งหมายของการเดินทางในครั้งนี้ ‘อังซูเรย์’ เป็นเสือ ลายพาดกลอน ขนาดมหึมา ที่ ได้ออกอาละวาดฆ่ากิน ชาวป่า ที่มาเก็บของป่าล่าสัตว์ รวมถึงสัตว์เลี้ยง ในแนวป่าละแวกใกล้เคียง ตั้งแต่ช่วงปลายปีก่อน จนมาถึง กลางปีนี้ นับได้ เวลาเกือบ เจ็ดเดือนพอดีที่มันลำพองเขี้ยวสังหารผู้คนจนชื่อเสียงโด่งดัง คดีล่าสุด อังซูเรย์ ได้ลงเขี้ยวเล็บสังหาร ชาวบ้านป่าในเขตทับกวางไป คืนเดียว สามศพ และบาดเจ็บอีกหลายราย ทราบจากรายงานว่า ชาวบ้านหนุ่มรุ่นกระทงกลุ่มนี้กำลังนั่งก๊งเหล่าป่า อยู่ริม แม่น้ำทีลอมา ‘อังซูเรย์’ ได้เข้าโจมตีและสังหารเหยื่ออย่างเลือดเย็นโดยไม่มีใครเคยคาดคิดว่าเสือร้ายจะมีเลห์เพทุบายและอาจหาญเข้ามาสังหารผู้คนถึงในเขตหมูบ้านเพียงนี้โดย หนึ่งในผู้ตายเป็นลูกชาย ของพะตี้เย ที่เป็นเพื่อนกับพะตี้ซูพรานนำ ทางของคณะ เดินป่าล่าสัตว์ชาวกรุงคณะหนึ่ง ที่ได้ตามกระทิงเจ็บมาพักที่หมู่บ้าน ทับกวางพอดี เมื่อทราบถึงเรื่องราว ของเสือกินคน ทางคณะเดินป่าชาวกรุงอันนำโดย พันโท พิทักษ์ อัครเศวตวงค์ ก็ได้ให้ความช่วยเหลือ จัดการทำแผลดูแลผู้บาดเจ็บ และทำศพให้กับชาวบ้านที่ตาย พร้อมทั้งอาสาที่จะติดตาม เสือร้ายให้สำเร็จ แม้จะมีเสียงคำวิจารณ์ต่างๆนาๆจากชาวบ้านถึงเรื่องสมิงร้ายตัวนั้น ที่ชาวบ้านขนานนามมันว่า ‘อังซูเรย์’ นั้นไม่ได้ทำให้คณะเดินทางชาวกรุงเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจแต่อย่างใดกลุ่มนักเดินทางล่าสัตว์ แบ่งเป็นสองกลุ่มทันที กลุ่มที่จะติดตามเสือร้าย มีพรานชาวกรุงเพียงสามคน คือ พันโทพิทักษ์ อัครเศวตวงค์ นายทหารนอกราชการ ผู้ที่เคยผ่านยุทธภูมิ มิดเวย์ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง พันตรีชำนาญ ไชยศุเรนศ์ธร นายทหารม้า แห่งกองทัพไทย คนสุดท้าย จอน แม๊ค แอลเจโล่ หรือ นายช่างณรงค์ ภูผาบดินทร์ ลูกครึ่งไทย อเมริกัน อดีตนักเรียน นายร้อย จากเวสพ้อย ผู้ผันตัวมาเป็นช่างสรรพาวุธพิเศษให้กับกองทัพ ทั้งสาม ตัดสินใจเด็ดขาด ว่าจะตามล่าเสือร้ายตัวนี้ให้ชาวบ้านเพราะ สงสารที่ต้องอยู่อย่างหล่นๆซ่อนๆหวาดกลัวต่อสัตว์ร้ายเดรัจฉาน เมื่อ พะตี้ซู พรานนำทางพื้นเมืองมือหนึ่งของคณะเดินทางจำต้องพา คณะเดินที่เหลือ ที่มีแหม่มสาว และพวกพรานสมัครเล่นทั้งไทยเทศเดินทางกลับ เพราะเป็นคำสั่งของ พิทักษ์ อันเนื่องมาจากทั้งคณะได้พักผ่อนกันนานพอสมควรแล้ว และการล่าเกมส์นี้มันก็อันตรายเกินไปที่เขาและพรานคุ้มกันจะให้ความคุ้มครองได้ พวกฝรั่งอยากออกล่าเสือกินคนด้วย แต่เมื่อเห็นรอยเท้าขนาดชามกะละมังก็ถึงกับตาเหลือก โบกมือลาทันที เมื่อพะตี้ซู จำต้องอารักขาคณะเดินทางกลับ พะตี้เย ผู้เป็นสหายจึงขออาสารับช่วงต่อเอง พะตี้เย และ พะตี้ซู รวมถึงพรานพื้นเมืองคนอื่นเคยตามรอยออกล่าอังซูเรย์เหมือนกัน แต่ไม่เป็นผลสำเร็จหลายคนกลับบาดเจ็บล้มตายลงด้วยคมเขี้ยวพยัคย์ร้าย เพราะเล่ห์เหลี่ยมไหวพริบและความด้อยอานุภาพของปืน เมื่อไฟแค้นมันสุ่มอก พะตี้เย จำต้อง สลัดความหวาดกลัวทิ้งและอาสาอย่างแข็งขันในการเป็นพรานนำทางไปในดงดำเพื่อพิชิตสมิงร้าย นับจำนวนคนเดินทางได้ เจ็ดคน พรานพื้นเมืองสี่ พรานกรุงสามคน พิทักษ์เลือกที่จะวาง .300 แม๊กนั่ม คู่มือที่เคยใช้เป็นคู่มือสังหารวัวแดงโทน ในการเดินทางช่วงต้น แล้วหยิบ 30-60 แทนเพราะให้เหตุผลว่า ศูนย์กล้องของมันไม่เหมาะจะลุยในป่าดิบ ส่วนปืนอื่นๆที่ไม่ได้นำเข้าป่าติดตัวไป ให้เอาใส่หีบ เก็บไว้ในเรือนของพะตี้เย เมื่อวันที่ต้องเดินทางจากกัน พะตี้ซู บีบมือเขาแน่น ขอบตาแดงกล่ำ สำลักพูดด้วยความรู้สึก ที่จุกในลำคอ “นาย นายจงระวังตัวเองให้หนัก อย่าเชื่อในสิ่งที่นายเห็น ผมขอให้นายปลอดภัย เมื่อพาพวกแหม่ม ถึง จุดส่งตัวแล้วผมจะรีบกลับมารับนาย” พิทักษ์ยิ้ม บีบมือตอบ อย่างหนักแน่น “ขอบใจพะตี้ซูมาก พะตี้เป็นพรานที่ฉันไว้ใจที่สุด ขอให้พาพวกนายจ้างไปถึงที่หมายอย่างปลอดภัย อ่อ อย่าลืม ส่งคนไปตามเจ้ากระทิงตัวนั้นด้วยหละ สงสารมันอย่าให้มันเจ็บเสียเปล่า ส่วนปืนกระบอกนี้ ฉันให้พะตี้เก็บไว้ใช้ ไม่ต้องคืนฉัน กระสุนมีในคลังก็แบ่งเอาไปตามสมควรเถิด” พะตี้ซูกล่าวขอบคุณ พิทักษ์ ขอบตาของพรานเฒ่า แดงก่ำ พลางลูบคลำ ซาโก้ .375 ในมือ ซึ้งพิทักษ์ได้ให้เขาไว้ตั้งแต่เริ่มเดินทาง พะตี้ซูนั้นก็ว่าเป็นคนเก่าแก่ของพ่อของเขาเมื่อตั้งแต่ท่านยังมีชีวิต จึงเป็นข้าเก่าเต่าเลี้ยงที่ไว้ใจได้เสมอ “เอาหละได้ ฤกษ์แล้วขอให้ทุกคนโชคดีแล้วพบกันอีกครั้งครับ” เขายิ้มกว้างและขยับปีกหมวกให้ทุกคน พวกแหม่มสาว กรากเข้ามากอดและ หอมแก้ม บุรุษหนุ่มทั้งสาม ทำเอาชำนาญถึงกับตาเหลือกตัวแข็ง “กูดลั๊ค เจนเตอร์เมนซี ยู ซูน”พวกหล่อนตะโกนมาก่อนจะลงเนินลับตาไป ..............................
ลมยามเช้าหอบกลิ่นมะลิป่า หอมชื่นใจรวยริน สามทหารเสือ ยืนสบตากัน ภายใต้ต้นตะแบกใหญ่ แสงแดดอ่อนสีทองส่องต้องยอดไม้เป็นประกาย
นายช่างณรงค์ สูดอากาศเข้าเต็มปอด ร่างสูงใหญ่ยืดขึ้นเต็มสัดส่วน ผิดขาว แบบฝรั่ง ข้างพ่อ มุมหน้าเข้มแต่อ่อนหวาน จมูกโด่งเป็นสัน ดวงตาสีฟ้าครามดุจน้ำทะเลลึกคู่นั้นแฝงแวว ทะเล้น ขี้เล่นเป็นประกาย หนวดเคราที่ผ่านการโกนขึ้นเป็นตอบางๆรับกับ มุมปากสวยที่ มักคาบบุหรี่อยู่เป็นประจำ
เช้านั้นเขาอยู่ในชุดเดินป่าแบบซาฟารี พับแขนสูงแบบทหาร กล้ามเป็นมัดๆเต่งตึงเมื่อเขาขยับแขนขึ้นลง พอเขาสวมหมวกปีกขึ้น ดูกรายๆละม้ายเหมือนกับ อินเดียน่าโจนส์ไม่มีผิด ต่างกับอีกคนที่อยู่เบื้องหน้า ผิวสีน้ำตาลอ่อน ดูเข้มแบบชายไทย วงหน้าคมคาย กรามเป็นสัน คิ้วดกเข้ม ขนตายาว ดวงตาสีน้ำตาลกลมโต แฝงแววเฉียบคมอยู่ในกรอบตาลึก ริมฝีปากบาง จมูกโด่ง ร่างสูงใหญ่ไล่เลี่ยกับ ณรงค์ เขาคือ พันโทพิทักษ์นั้นเอง เช้านี้เขาอยู่ในชุด เดินป่าซาฟารีเช่นกันแต่เป็นสีดำสนิทดูกลืนกันไปทั้งหมด และพับแขนขึ้นแค่ศอกส่วนอีกคนที่ตอนนี้กำลังก้มผูก เชือกรองเท้าอยู่ หน้าตาหล่อเข้มเหมือนดาราหนังสมัยก่อน ผิวขาวของเขาดูร้านแดดแบบฉบับลูกผู้ชายนักนิยมกีฬา
หนวดบางๆที่จัดตัดแต่งไว้ริมฝีปาก ดูเก๋ไม่น้อย เมื่อชายคนนี้ยิ้ม 
พันโท ชำนาญ ไชยศุเรนศ์ธร นายทหารม้าผู้อารมณ์ดี เช้านี้เขาอยู่ในชุดเดินป่าที่รัดกุม เมื่อทุกอย่างพร้อม คณะตามล่าเสือกินคน ทีมเฉพาะกิจก็ออกเดินทาง โดยนำสัมภาระที่จำเป็นติดตัวไปเท่านั้น จาก เขาต่อเขาจาก ยอดดอยต่อดอยดอย คณะของ พิทักษ์ บ่ายหน้าขึ้นเหนือตามรอยของ อังซูเรย์ไปเรื่อยๆ บางครั้งก็คลาดกันแต่มันไม่ได้ไปไหนไกล ยังคงวนเวียนอยู่ แต่ไม่ปรากฎว่ามันจะยอมโผล่หน้ามาให้เห็นเลย มีเพียงแต่ร้อยเท้าขนาดมหึมาเท่านั้นที่เป็นเครื่องยืนยันว่ามันยังอยู่ เวลาเกือบสองอาทิตย์ ล่วงผ่านไปกับการตามรอยอย่างทรหด สัมภาระบางอย่าง เริ่มขาดแคลน เบาะแสและร่องรอยของอังซูเรย์ก็ขาดหายไป ทางคณะได้ มาพักแรมตั้งแค้มป์อยู่ บริเวนตีนเขาลูกหนึ่งที่มี ลำห้วยเล็กๆไหลผ่านอยู่เบื้องล่างสถานที่นั้นดูจะมั่นคงปลอดภัย ความมืดเข้าปกคลุมอย่างรวดเร็วทุกคนต่างผล่อยหลับด้วยความอ่อนเพลีย เหลือไว้แค่คนนั่งยามเพียง เท่านั้น แล้วเหตุการณ์ก็มาประจบเข้ากันพอดีกับเรื่องวุ่นวาย ในคืนนี้คืนที่โขลงช้างบุกและสมิงร้ายอังซูเรย์ 
.......................................................................
พิทักษ์ สะดุ้งเบาๆเมื่อถูกสะกิด “นาย เป็นอะไรรึป่าวครับ” ลามู นั้นเองเป็นคนปลุกเขาให้ตื่นจากความคิดยุ่งเหยิง “ป่าวหรอก แค่เผลอคิดอะไรไปหน่อย ว่าไงมีใครได้เบาะแสอะไรเพิ่มเติมบ้างป่าว” เขาสะบัดหน้าแล้วถามกลับ พลางใช้ไฟฉายสาดกราดไปมา คณะเดินทางของเขา กระจายตัวค้นหาอยู่ไม่ห่างจากที่เขายืนนัก แสงไฟสาดกราดไปมาสลับกันดูสว่างไปหมด “ยังไม่เห็นใครว่าอย่างไรครับนาย แต่ นับช้างนี้ก็ตายร่วมแปดตัวครับ กองพะเนินเลย ช้างงา สาม ที่เหลือเป็นพังครับ งา งามอยู่ถ้าไม่นับตัวที่นายช่าง ยิงหัวทิ่มไป จนหักแตกหมดเสียดายเหลือเกินครับ”
“อืมห์. เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน เรื่องตามเสือนี้สำคัญกว่าในเมื่อมันหมายจะล่าเราแล้วเราก็ต้องระวังตัวกันให้ดี” ลามูพยักหน้ารับคำ พลันแสงไฟฉายสาดจ้าเป็นลำพุ่งมาที่เขายืนอยู่แล้วสะบัดขึ้นลง มันเป็นสัญญาณเรียกให้เข้าไปรวมพลเขาสาวท้าวก้าวเดินอยากรวดเร็ว มุ่งตรงไปยังที่มาของไฟฉาย ที่ระยะไม่เกิน สามสิบเมตรด้านหน้า ชำนาญ มะอีซา และโอบาจิ กำลังนั่งคุกเข่าสาดไฟจับอยู่ที่พื้นด้านหน้า ทันที่ที่พิทักษ์ ก้าวเท้ามาถึง ชำนาญก็ทักขึ้นก่อน “ได้ เรื่องแล้วครับ แม่เสือสาวของคุณแน่นอน รอยยังกับกะละมังถังแตก” พิทักษ์ ขมวดคิ้วคุกเข้าก้มตัวลงดู ก็มองเห็น รอยเท้าเสือขนาดมหึมา มีห้าเล็บ ที่ปรากฏรอย บนพื้นดินที่อ่อนนุ่ม มันใหม่และชัดที่สุด เขากางมือลงไปทาบ แล้วยิ้มเล็กๆแต่ไม่มีใครได้ทันสังเหต “ใครมาเจอเข้าละนี้” เขาถามขึ้นประโยคแรก
“เจอเกือบจะพร้อมกันนั้นแหละ พอดีเราสามคน สำรวจมาทางนี้ ก็มองเห็นกันจะๆนี้แหละ” ชำนาญเป็นคนตอบ
“มันขึ้นมาจากทางลำห้วยนาย ใต้โคนไม้ตรงโน้น มีรอยมันหมอบอยู่ มีรอยเท้าเปียกน้ำ ที่มันย่ำไว้ ดูเขลอะ ไปหมด”
มะอีซาเป็นผู้กล่าวสมทบ พลางฉายไฟไปยังโคนไม้ ที่มีกอเฟิร์น ขึ้นติดกับโคนไม้ระหว่างก้อนหินขนาดย่อมๆ “ใช่มันแน่ มันคงจะแอบซุ่มดูเรา นานทีเดียว” พิทักษ์ กล่าว พลางลูบไปยังรอยเท้าที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า ดวงตาสีเข้มของเขาส่อแววกังวล “โน้น ทางโน้นส่องไฟมานาย” ลามู พูด พลางกระดกกดไฟฉายขึ้นลงตอบเป็นสัญญาณว่ารู้แล้ว
“พวกนั้นคงจะเจออะไรอีกแน่ไปดูกันเถอะพวกเรา”
ทุกคนหยัดกายขึ้น เดินลิ่วตรงไปยังที่มาของแสงไฟที่กดลงกับพื้นเบื้องหน้า ระยะห่างประมาณ ห้าสิบ เมตร พลันแสงไฟในเบื้องหน้าก็ ตระหวัดขึ้นสาดไปตามแนวไม้อย่างเร็ว ตาม มาด้วยเสียงกัมปนาทของไรเฟิลนัดหนึ่งที่ดังขึ้นอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น ปลุกประสาททุกคนที่กำลังเดินมา ให้บังเกิดความตื่นตระหนกต่อเหตุการณ์ ไม่ทันจะรู้อะไรเป็นอะไร เสียงไรเฟิลนัดที่สองก็ดังขึ้น ตาม มาด้วยนัดที่สาม ติดๆกัน แน่นอนมันต้องเป็น ไรเฟิลเอ็ฟเอ็น ขนาด .375 ฮอลแลนด์ แอนด์ ฮอลแลนด์ ของ นายช่าง ณรงค์ แต่เพียงผู้เดียว ทุกคนที่วิ่งกันเข้ามาต่างร้องตะโกนถามกันไม่ได้ศัพท์ อีกเพียง 10 กว่าเมตร จะถึงที่ บุคคลทั้งสองปักหลังยิงอยู่ แสงไฟฉายก็ขาดวูบ ตามมาด้วยเสียง โฮกสนั่นป่า เสียงพยัคฆ์ร้ายคำราม ดั่งจะกลืนกินป่าทั้งป่า ตูมขึ้น อีกนัดเป็น การยิงอย่างสุ่มของกระสุนนัดสุดท้ายในแม๊กกาซีน .375 ระวัง เสียงใครบางคนตะโกนไล่มา แต่ไม่ทันเสียแล้ว ไม่มีใครจะคาดคิด วัตถุที่พุ่งปราดเข้ามาในลำไฟฉาย ของ ฝ่ายพิทักษ์ หาใช่ พะตี้เย กับ ณรงค์ไม่ แต่บังเกิดเป็น เงาขนาดใหญ่สีเหลืองสลับดำ มันกระโจนขึ้นพุ่งปราด ลงมาตรงหน้าเขาพอดี ทุกคนตกใจสุดขีดร้องเย้ว ออกมาคำเดียว พิทักษ์ กระโดดเบี่ยงตัวหลบกรงเล็บที่หมายตะปบมาที่กลางลำตัวเขา ไอ้ลายสะบัดตัวราวจักรผัน หมุนคว้างกลางวง มันก็ตกใจเหมือนกันที่ผละจากทางปืนด้านโน้น แล้วต้องมาประจันหน้ากับมือปืนฝ่ายนี้ 
ร่างสูงใหญ่ทะมึนของมัน คำรามโฮก สะบัดตัวตะบบไปยังบุคคลที่ใกล้ที่สุด เท่าที่มันจะไขว่คว้าได้ ลามู ผู้โชคร้าย ถูกตะปบเข้าที่ไหล่ขวาถึงกลางอก แต่ไม่ถนัดนัก เสื้อแสงฉีกขวากตามคมเล็บ ร่างสันทัดของเขากระเด็นตามแรง ปะทะนั้น ตกลงพื้นสลบเหมือดไป ทุกคนที่ตอนแรกล้มลุกคลุกคลานบัดนี้ตั้งตัวได้ติดแล้ว มีเสียงปืนเริ่มดังขึ้น หลายนัด จนพิทักษ์ ที่อยู่ใน ท่าหมอบต้องตระโกนสั่ง แข่งกับเสียงปืน และเสียงเสือ “ระวังยิงถูกกันเองโว้ย” แสงไฟจากในมือ มะอีซา สาดส่องสะกดดวงตาสีทับทิมคู่นั้นมันสะบัดหน้าหนี ชำนาญ จ่อยิงไปด้วย 10.75 เมาเซอร์ หมายเอาซอกขาที่หน้า บึ้ม!! กระสุนหน้าตัดขนาดใหญ่ ปะทะ ร่างนั้นอย่างจัง มันกระเด็นตามแรงปืนเหมือนช้างถีบมันคำรามอ่าววฮึ่ม!! อย่างเจ็บปวด มันหยัดกายจะลุกขึ้นอีก คราวนี้ ชำนาญ ไม่ปล่อยให้โอกาศหลุดมือเขาส่งกระสุนสังหารอีกนัดพุ่งหาเข้ากลางลำตัว มันไม่ร้องสักแอะ หมอบฟุบลงกับพื้น ทันที เสียง เฮ่!! ดังลั่นขึ้นพร้อม กับเสียงตะโกนคุยกันไม่ศัพท์ ร่างเสือใหญ่นอนยาวเหยียด อยู่ติดกองหนามต่ำๆ แต่ไม่มีใครให้ความสนใจกับมันมากนักแค่รู้ว่ามันสิ้นฤทธิ์เท่านั้นก็เป็นพอ พิทักษ์ รีบส่งมะอีซากับชำนาญไปดู ณรงค์ กับพะตี้เย ส่วนเขาและ โอบาจิ รีบตรงเข้าตรวจ อาการของลามู ที่นอนสลบอยู่ เมื่อรู้ว่ายังไม่ตาย เขาถอนหายใจ แล้วยิ้มได้ “โชคดีที่ถากๆไปไม่งั้นมีหวังได้ฝังกันตรงนี้แหละ แต่แผลลึกเอาการอยู่ คงต้อง เย็บกันหน่อยหละงานนี้” เขากล่าวกับโอบาจิ สีหน้าของโอบาจิพลันดีขึ้น เมื่อเพื่อนยังอยู่ดี
“โน้น พวกนั้นมากันแล้วนาย” พิทักษ์หันขวับไปมอง ก็เห็น ชำนาญ เดินคอนปืน ส่องไฟนำหน้ามา มะอีซา ณรงค์ หิ้วปีก พะตี้เยมากันคนละข้าง อ้าวไปโดนอะไรมาละนั้น เขาถามอย่างเป็นห่วง แล้วปราดเข้าไปดู “มันพุ่งสวนควันปืนมา เราหลบไม่ทัน มัน ชนเข้ากับตะตี้เยเข้าอย่างจัง เคราะห์ดีที่ไม่ได้ลงเขี้ยวเล็บ แต่นั้นก็ถึงกับสลบไปเพราะแรงปะทะ ตัวมันใหญ่เหลือเกิน” ณรงค์เป็นผู้ตอบ “ผมยิงแล้วแต่ไม่อยู่ รู้แน่ว่ากระสุนพวกนั้นโดนจังๆแต่มันไม่ล้ม ยิงจนหมดแม๊กกาซีน แดมท์!!” เขาสบท แล้วพูดต่อ “พอรู้จากชำนาญว่า เขายิงมันจนตายคาที่แล้วค่อย โล่งใจหน่อย นี้ถ้าหายไปอีกคงเป็นเดือนกว่าจะเจอกัน”
“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน รีบพาพะตี้เย กับ ลามู ไปพักก่อน ลามู อาการค่อนข้างหนักอยู่” พิทักษ์ตัดบท แคมป์พักชั่วคคราว ถูกย้ายมาตรงที่ คนเจ็บทั้งสองนอนอยู่ห่างจาก ซากของอังซูเรย์ หน่อยเพราะกลิ่นสางของมันค่อนข้างแรง เต็นผ้าใบ ถูกกางขึ้นคร่อมคนเจ็บ ตะเกียงสนาม ถูกแขวนเพื่อให้ความสว่าง ต่อการผ่าตัดทำแผลของ แพทย์สนาม ณรงค์ทำหน้าที่ของเขาอย่างเต็มประสิทธิภาพเท่าที่เครื่องมือแพทย์สนาม จะอำนวย โดยมี ชำนาญ และ โอบาจิเป็นลูกมือ มะอีซา และ พิทักษ์รับหน้าที่ เป็นยาม เฝ้ากองไฟ อยู่รอบนอก
เขานั่งนิ่งกองบนขอนไม้ริมกองไฟหน้าเต็นท์มาเล็กน้อย แสงไฟจากกอง สาดส่องโลมเลียใบหน้าคมเข้มนั้น ดูเป็นมันระยับเพราะกร้านแดด แววตาของนักสู้เป็นประกาย แต่มันแอบแฝงแววความเหนื่อยล้าเพราะ ร่างกายต้องตรากตรำ อยู่เสมอ เขาวางปืนคู่กายพาดตัก ลูบมันเบาๆแล้ว เกร็ดบุหรี่ขึ้นจุดสูบอัดควันแน่นลึก เสียงใครบางคนเดินออกจากเต็นท์ มาหยุดที่ด้านหลังเขา เขาไม่ได้หันกลับไปดู สายตาเขายังคงจ้องมองฝ่าความมืดออกไป พะตี้เย นั่งลงตรงข้าม กับเขา ก่อนจะเริ่มประโยคสนทณา “นาย นั่งอยู่ตรงนี้นานสักเท่าใดแล้วครับ”
พิทักษ์ ยิ้มตอบ “สักชั่วโมงกว่าเห็นจะได้ ว่าแต่พะตี้อาการดีขึ้นแล้วหรือ” พะตี้เย พยักหน้าลง ยิ้มจนเห็นฟันดำตอบเขา “ก็ดีขึ้นแล้วนาย แต่มันขัดๆปวดระบมไปหมด หัวก็ปูดโนเป็น ลูกมะนาวเลย สงสัยกระแทกลงกับก้อนหิน
ตอนนี้ก็ยังมึนๆอยู่” พะตี้เย พูดพลางนวดคลึงที่ต้นคอ 
“ดีแล้ว ที่ไม่เป็นอะไรมาก เหลือแต่ลามู ที่โดนมันตะปบเข้าให้ ถึงไม่จังแต่ก็ลึกอยู่ ฉันนั้นเป็นห่วงสวัสดิ์ภาพ ของพวกเรามากกว่าอะไร ต่อให้เราจบงานได้ แต่หากลูกทีมต้องมาตายแบบนี้มันก็ แทบจะไร้ความหมาย” พิทักษ์พูดต่ำๆแล้วอัดควันลึกแล้วเป่าเป็นทางยาว พะตี้เย ยกมือไหว้ขอบคุณในน้ำใจของคณะนายจ้างผู้ที่เขาเคารพนับถือแบบชนิดที่ว่ายอมตายแทนกันได้ เขาขอให้ พะตี้เย เล่าถึงตอนปะทะกับอังซูเรย์ในทีแรก ก่อนที่กลุ่มของพิทักษ์จะตามไปทัน จับใจความได้ว่า พะตี้เย กับณรงค์ แยกตัวมาทางเดินขึ้นแนวผาที่เป็นทางอ้อมวกลงไปทางลำห้วยได้ ก็บังเอิญเจอรอย เท้าของอังซูเรย์เหมือนกัน แต่มันเป็นรอยใหม่ แทบจะอุ่นๆเลย จึ่งรีบฉายไฟเรียกกลุ่มของพิทักษ์ที่นั่งล้อมวงอยู่ให้ตามมาสมทบ แม้จะรู้ดีว่า ทางนั้นก็เจอเบาะแสเช่นกัน ไม่ทันที่ จะได้สมทบกัน ดวงตาสีทับทิมคู่หนึ่งก็สะท้อนอยู่ในพุ่มไม้ คาดไม่ถึงว่ามันจะซุ้มอยู่ ณรงค์ ยิงทันที่ที่เห็นแต่ไม่เป็นผล มันวิ่งสลับไปมาในราวป่า เขายิงและยิง ภาพสุดท้ายที่พะตี้เห็นก่อนสติจะดับคือ มันกระโจนข้ามกอหนามเล็บเหยี่ยวกอเล็กๆสวนควันปืนพุ่งมา ณรงค์ กดจ่อเน้นๆ แต่ไม่ระคายผิวมัน พะตี้เยเห็นแต่หัวใหญ่ขนาดกระบุงพุ่งเข้ามา แล้วก็มาฟื้นอีกทีในเต็นท์แล้ว ส่วนเรื่องราวหลังจากนั้น ชำนาญและโอบาจิเป็นคนเล่าให้พะตี้เยฟังก่อนจะออกมา สีหน้าของพะตี้เยดูดีขึ้นเมื่อรู้แน่ว่า อังซูเรย์มันจบสิ้นลงแล้ว ความแค้น ความคิดมันหายไป เมื่อเวลาล่วงไปสักพักพะตี้เยก็เริ่มหาวมากขึ้นด้วย อำนาจยาแก้ปวด ที่ ณรงค์ให้ไว้ พิทักษ์ลอบสังเกตอาการเห็นพรานเฒ่าเหนื่อยเต็มที จึงส่งยิ้มแล้ว พูดเบาๆด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “พะตี้เย ถ้ายังไงก็ไปพักก่อนเถอะ เราจบภารกิจแล้ว ไม่ต้องกังวลใจ อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเช้าแล้ว ฉันและ มะอีซา จะเฝ้ายามเอง” พะตี้เย ส่ายหัวขยับจะเอ่ยอะไรออกมา แต่ถูกพิทักษ์ ดักคอทัน “นี้เป็นคำสั่ง นะพะตี้” ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเขา ส่งประกายอบอุ่นพะตี้เย ยิ้ม ก่อนจะ หันกลับไปซุกตัวลงในที่นอนที่ เขาได้ให้ มะอีซาจัด ไว้ในตอนแรก จากนั้นเขาเผลอหลับไปตอนไหนไม่ทราบ มารู้ตัวตื่นอีกที ก็มีเสียงเซ่งแซ่ อยู่รอบข้างใครบางคนเขย่าปลุกเขาอยู่ เขาหยีตาหลบแดดยามเช้า “มีอะไร เกิดอะไรขึ้น” เขาถามอย่างฉงนใจ แล้วมองไปรอบๆ เกือบทุกคนกำลังยืนหันรีหันขวางรอบตัวเขา ณรงค์ ทรุดตัวลงมานั่งข้างๆ พูดเบาแต่ดวงตาสีฟ้า นั้นปรากฏแววเคร่งเครียด “คุณต้องไม่เชื่อแน่” 
“อะไรหรือ” เขาขมวดคิ้วถาม 
“อังซูเรย์ มันยังไม่ตาย !!!!!”
พิทักษ์ตะลึงกับคำตอบ หัวใจเขาถูกบีบวูบเหมือนมันจะหยุดเต้น 
“มันหายไปแล้ว ไม่มีแม้แต่กองเลือด มะอีซาบอกว่ามันลุกเดิน ไปไม่ได้มีอะไรมาลากทั้งนั้น รอยมัน เดินไปจริงๆ” 
“พระเจ้า!!ทรงโปรด” เขาก้มหน้า บีบขมับตัวเอง ซุกหน้าลงกับฝ่ามือนั้น ความคิดต่างๆผุดขึ้นมาในหัวเขา พอเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าทุกคนจ้องมองเขาอยู่ก่อนแล้ว แม้แต่ลามู ที่ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่ามีผ้าผันแผลเฉียงคาดอกอยู่ “ทุกคนรอการตัดสินใจของคุณ” ณรงค์ย้ำมา พิทักษ์ลุกขึ้นยืนเต็มสัดส่วน สูดลมหายใจยาวรวบรวมสติ “พะตี้เยให้คนที่ว่าง จัดการหุงหาอาหาร ทำทุกอย่างให้เป็นปกติเหมือนเดิม” เขาออกคำสั่ง “ส่วนคนอื่นๆกลับไปจัดการธุระของตัวเองให้เรียบร้อย เราจะตามล่ามัน ให้มันรู้กันไปว่ามันจะเก่งแค่ไหน ขอเพียงทุกคนอย่าพึ่งหมดกำลังใจก็เท่านั้น แต่ขอให้ฉันได้คิดวางแผนกันก่อน เอาหละทุกคนแยกย้ายได้ มะอีซาไปด้วยกันฉันต้องการรู้ว่ามันหายไปได้ยังไง” “มันละว้อย งานนี้ คิดว่าจะได้กลับบ้านแล้วแท้ๆ เมื่อคืนยิ่งฝันเห็น สาวๆกับงานเลี้ยงอยู่เลย” เสียง ใสๆของชำนาญ โหวกเหวกขึ้น “มีแต่สมิงสาวจะเอาไหมละคุณ” ณรงค์เย้ามา “เอากับผีอะไรหละ แม๊ค เห็นอยู่ว่ายิงจนล้มคว่ำไปกับตา ตื่นเช้ามาเจ้าประคุณหายแว๊บไปซะงั้น ยังกะเล่นกล อดเป็น ชำนาญผู้พิชิตอังซูเรย์เลย” เขาครวญยิ้มๆ “มันยิงไม่เข้าแน่เลยนาย เสือสมิงร้ายๆมันมักจะเป็นแบบนี้ ลูกปืนธรรมดาทำอะไรมันไม่ได้ ต้องใช้ลูกปืนลงอาคม” โอบาจิผสมโรงมา “ชำนาญคว้าคอพรานหนุ่มไปกอด อย่างสนิท “ทำไมจะไม่ได้ เมื่อคืนก็เห็นฟุบลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่ อย่างน้อยถ้าไม่เข้าจริงก็คงจุดเสียดบ้างหละ หน่อยแน่เมื่อคืน มันคงจะแกล้งตายกระหยิ่มยิ้มในใจ ว่าหลอกพวกเราได้ ปัดโธ่เสียรู้ ไอ้วายร้ายนี้เสียแล้ว เจออีกที พ่อจะยิงกรอกปากเลย คอยดู” “มันจะได้ งับกะบาลก่อนเสียเท่านั้น เลิกไร้สาระได้แล้ว ไป มะอีซา เราไปตรวจ ที่มันหายไปหน่อย ฉันยังไม่อยากเชื่อนักว่ามันจะ เดินหนีไปได้จริงๆ” พิทักษ์ตัดบทแล้ว คว้าคอ พรานหนุ่มปลีกออกจากวงสนทนา เสียงของชำนาญ ที่ยังคุยเล่นกันกับ ณรงค์ยังดังมาเย้วๆ ภายนอกชำนาญกับณรงค์ดูเป็นเช่นนั้นเอง พยายามทำให้เรื่องแย่ๆดูไม่ซีเรียส ดูเป็นเรื่องขำแต่เขาหยั่งรู้โดยน้ำใจว่า สองบุรุษนั้นย่อมมีความกังวลต่อสถานการณ์เช่นกันกับเรื่อง เสือกิน คนที่ ยิงไม่ตาย .................................................................
ข้างกอพุ่มหนามที่มีรอย ราบเรียบของหญ้านั้น พันโทพิทักษ์ อัครเศวตวงค์ ใช้พานท้ายปืนยันพื้นลำกล้องชี้ขึ้นฟ้า คุกเข่าข้างหนึ่งลงสำรวจ รอยตามที่มะอีซา ชี้ให้ดู มีรอยไถลตามแรงปืน รอยฟุบหมอบจนหญ้าเล็กๆพับหักช้ำตามความใหญ่ของลำตัว มะอีซาชี้ให้ดู รอยมันยันกายขึ้น และรอยเดินของมันไปบน พื้นฝุ่น “อาการมันเป็นยังไงบ้าง” เขาถาม “มันก็ดูเจ็บหนักเอาการครับนาย แต่ไม่มีรอยเลือดเลย” “ดูต่อไปซิ” เขาว่า มะอีซาเริ่มสาวรอยจากต่ำแหน่งนั้น “ขาหน้าซ้ายมัน น่าจะช้ำหรือขัดก็ไม่ทราบครับนาย เพราะมันลงน้ำหนักข้างนี้ไม่เต็มที่ เหมือนมันโขยกไป” “ดี” เขาพูดสั้นๆเว้นจังหวะแล้วถามต่อ “มะอีซะคิดว่ามันจะไปได้ไกล สักแค่ไหน” 
พรานพื้นเมืองหรี่ตาลง ยอบตัวอ่านรอย เอ่ยตอบไม่เต็มเสียงนัก “ผมไม่แน่ใจครับนาย ถ้าเป็นเสือปกติ ลงได้ลากหางเดินแบบนี้ละตามตัวไม่ยาก แต่นี้ ...”
“ค่อนข้างจะประเมินยากสินะ” เขาพูดทับมา” ครับนาย อังซูเรย์มันไม่ใช่เสือธรรมดา” “ แต่ก็พิสูจน์แล้วว่ามันทนแรงปืนไม่ได้ คุณชำนาญยิงมันเสียจน ทรุดแต่เพราะพวกเราประมาทไม่ได้สังเกตดูให้แน่ใจเนื่องจากมัวห่วงคนเจ็บเลยเป็นช่องโหว่ให้มันหนีไปได้ คราวหน้าไม่พลาดแน่” “ใช่ครับนาย มันดูเหมือนตายไปแล้วจริงๆ เพราะเสือถ้าไม่ตายมันไม่นอนเหยีดแบบนั้น มันร้ายกาจเหลือเกิน” ใช่มันร้ายกาจ แล้ว มะอีซากลัวหรือไม่” เขาสบตาตรงยิงคำถาม
พรานหนุ่มแห่งขุนเขามะอีซายิ้มตอบตาลุกเป็นประกาย “มะอีซะเคยกลัวผี เคยกลัวเสือแต่ถ้าอยู่กับพวกนาย มะอีซาจะไม่กลัวสิ่งใดแม้มันจะเป็นเสือผีก็ตาม”
“ดีแล้วขอเพียงพวกเรากำลังใจดี ปัญหาทุกปัญหาเราต้องแก้ได้ เรากลับไปปรึกษากันก่อน ค่อยวางแผนทีหลังฉันคิดว่าฉันพอมีความคิดดีๆอยู่บ้าง”
....................................................

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา