อังซูเรย์ ยะรีกอ เขี้ยวเพชรฆาตรวิญญาณอสูร

10.0

เขียนโดย DANTE07

วันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 เวลา 19.51 น.

  8 ตอน
  0 วิจารณ์
  8,786 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 20.11 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

8) สารจากนกอินทรีย์สีทอง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

พิทักษ์มาหยุดตรงหน้าร่างน้อยๆที่นั่งกอดเข่าอยู่ เขานั่งลงยื่นเนื้อย่างให้  “นี่ กินสักหน่อย จะได้มีแรง” เขาพูดเบาๆ ลีอา ส่ายหัวปฏิเสธ  “อย่าดื้อสิ” เขาทำหน้าเข้มแต่ดวงตาสีกาแฟเข้มส่อประกายอ่อนโยนและอบอุ่น “ฉันยังไม่หิวเลย” หล่อนตอบเบาๆน้ำเสียงที่ออกมาฟังดูเหนื่อยล้า หล่อนเอาคางเกยไว้กับหัวเข่า แล้วชำเลืองดูเขา พิทักษ์ถอนหายใจโคลงหัวดิก “นี้ ถ้าไม่กินอะไรเลยจะไม่มีแรงเอานะ และเรายังต้องรับศึกหนักอีก ถ้าคุณเป็นอะไรไปอีกคน เราจะขาดกำลังสำคัญของคณะไปได้”  หล่อนเอามือเสยผมขึ้นแล้วเอามือเท้าคางกัดเล็บ ดวงตาคู่นั้นจ้องหน้าเขา “หายเจ็บหลังแล้วหรือ” หล่อนถามเพื่อเปลี่ยนเรื่อง “ดีขึ้นมาหน่อยแล้ว มะอีซาใส่ยานวดให้หน่ะ” เขาตอบพลางลองเอี้ยวตัวดู พิทักษ์ทำหน้าเหยเกเพราะมันยังเจ็บอยู่  “เอ ตรงนี้ยังเจ็บอยู่แหะสงสัยกระแทกกับก้อนหิน” เขาว่า ลีอายิ้มตอบเอียงคอมองเขา “ถ้าเจ็บก็ไปนอนพักเถอะพรุ่งนี้คงดีขึ้น” “กำลังจะไปอยู่ แต่ต้องมาตรวจสอบก่อนไม่งั้นมันหลับไม่ลง” “ตรวจอะไร” หล่อนพาซื่อ “ตรวจว่าทุกคนยังอยู่ดี หรือไม่ก็มีเด็กดื้อบางคนไม่ยอมกินอาหารรึเปล่านะสิ”  หล่อนเบ้ปากย่นจมูกใส่เขา แต่ดวงตาคู่นั้นเปล่งประกายสดใส “นี่ เรามาตกลงกันไหม” พิทักษ์ชวนคุย “ตกลงอะไร”  “ถ้าคุณกินเนื้อย่างนี้เสีย ผมจะกลับไปนอนและไม่มากวนคุณอีกอีกดีไหม” หล่อนขมวดคิ้วทำท่าคิด  “แต่ฉันไม่หิวนี่” หล่อนตอบเสียงคราง พลางมองไปที่เนื้อเก้งเมื่อเช้า “ชิ้นเดียวก็ได้ตกลงไหม เดี๋ยวกินเป็นเพื่อนก็ได้ผมก็ยังไม่ได้กินอะไรเลยเหมือนกัน” หล่อนทำท่าลังเลสักครู่ “ก็ได้ตกลง” พิทักษ์ยื่นเนื้อย่างนั้นให้หล่อน ลีอาหยิบชิ้นเล็กๆไปชิ้นหนึ่ง ค่อยๆส่งมันเข้าปาก พิทักษ์ยิ้มอย่างพอใจเขาชูเนื้อให้มือให้หล่อนดูแล้วส่งเข้าปากเคี้ยวหยับๆ เธอทานไปได้นิดหน่อยทำท่าจะวางลง พิทักษ์ที่คอยดูอยู่ก็ส่ายหน้าหล่อนจึงทานจนหมด  “ดีมาก” เขายิ้มตอบอย่างพอใจ หล่อนจ้องดูจนเขาทานหมดเช่นกัน เนื้อย่างทาเกลือนิดๆแม้มันจะรสชาติไม่ดีนักแต่ก็สามารถจะให้พลังงานและดับความหิวโหยของร่างกายได้เช่นกัน อยู่ในป่าเช่นนี้ กินได้ก็ต้องกิน กินไม่ได้ก็อดตายเสียเท่านั้น มันเป็นคติของพิทักษ์ ที่ได้รับมาจาก เพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งที่เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นก่อนหน้าเขา คนๆนั้นสามารถใช้ชีวิตในป่าได้ราวพรานอาชีพคนหนึ่งเลยทีเดียว พิทักษ์ได้เรียนรู้อะไรจากเขามากมายในเวลาเช่นนี้พิทักษ์หวนคิดถึงเขาเพราะถ้าเป็นเขาคงจะสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย พิทักษ์คิดอะไรอยู่ครู่ก็จาม เพราะอากาศเริ่มเย็นลงอย่างรวดเร็ว มะอีซาเป็นคนเดินเข้ามาส่งกระติกน้ำและกระเป๋าเป้ให้เขา พิทักษ์ยื่นขวดน้ำให้ลีอาดื่ม ส่วนตัวเองรื้อกระเป๋าหยิบเอาเสื้อยืดแขนสั้นมาสวม เขาสำรวจสิ่งของในเป้นั้นก็พบว่า เหลือชุดเดินป่าอีกแค่ชุดเดียว กับเสื้อยืดและแจ๊คเก็ต เขารื้อทั้งหมดออกมากองไว้แล้วถอนหายใจ “คิดอะไรอยู่คะ” ลีอาถามอย่างอ่อนโยน พิทักษ์ไม่เคยได้เห็นมุมอ่อนหวานจากสาวน้อยคนนี้มาก่อนเลย “ช่วยอะไรหน่อยสิ” เขาตอบพลางรับกระติกน้ำมาดื่มบ้าง “อะไรหรือ” ลีอาสงสัย  “สักครู่นะ” พิทักษ์ทำท่าครุ่นคิด  “มะอีซา” เขาเรียกพรานหนุ่มคู่ใจ มะอีซาขานตอบพลางเดินเข้ามา “มะอีซาไปชวนเชกีนะ ให้ไปดูที่ๆเราทำที่นอนไว้ ให้แยกไฟไปจุดไว้ ประเดี๋ยวเราจะย้ายเข้าไปแล้ว ดูท่าอากาศคืนนี้จะเลวอยู่มีหวังนอนคางสั่นแน่”  “ครับนาย” มะอีซาตอบสั้นๆแล้วผลุดลุกไป เขามองตามก็เห็นมะอีซาดึงแขนเชกีไปทางเพิงหินที่ได้ทำไว้สำหรับที่นอน “ลีอา” เขาเรียกเบาๆเพราะหล่อนมองหน้าเขาอยู่แล้วหล่อนไม่ตอบเพราะตั้งใจฟังอยู่ พิทักษ์ส่งเสื้อผ้าชุดใหม่ของเขาให้หล่อน ลีอาทำหน้าสงสัยไม่เข้าใจ พิทักษ์บุ้ยปากไปทาง อังซูเรย์ที่นอนอยู่หล่อนจึงพยักหน้าเข้าใจ พิทักษ์และลีอา ช่วยกันสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ของพิทักษ์ ให้กับอังซูเรย์ทั้งเสื้อยืด เสื้อเดินป่าและกางเกงยาว เนื่องจากการที่หล่อนหลับไม่ได้สติ การสวมเสื้อผ้าให้จึงค่อนข้างทุลักทุเล อีกอย่างการต้องสวมชุดให้กับผู้หญิงที่กำลังหลับอยู่เป็นเรื่องที่ลำบากใจของพิทักษ์ เขาต้องทำด้วยหัวใจที่เต้นตุ๊บต่อมแต่ก็แล้วเสร็จอย่างดีเพราะมีลีอาคอยช่วย พิทักษ์เอาเสื้อเดินป่าตัวเดิมของเขาสวมกลับอย่างเก่า ลีอาลอบสังเกตอาการของเขาแต่ก็ไม่ส่อแววอะไรให้หล่อนจับพิรุธ “เราควรย้ายหล่อนเข้าที่พักได้แล้วประเดี๋ยวตรงนี้น้ำค้างจะลง” เขาบอก ลีอาพยักหน้า แล้วสงสัญญาณให้เชกีมาอุ้มอังซูเรย์ไปเพราะพิทักษ์ก็บาดเจ็บอยู่ ลีอากับพิทักษ์ เก็บของแล้วเดินตามไปในราวไม้สูงที่เบียดกับหนาทึบ  แสงไฟจากกองส่องแสงสว่างตลอดทางจากฝีมือของมะอีซา ราวราวสิบห้าเมตร ใจกลางแมกไม้ก้อนหินขนาดใหญ่ขึ้นเรียงกันเป็นรูปวงกลม มันขึ้นต่อกันในลักษณะเรียงเป็นช่องๆ เชกีวางอังซูเรย์ ลงบนพื้นที่ปูด้วยใบไม้เล็กๆนุ่มนิ่ม ในซอกคูหาของก้อนหินใหญ่นั้น กว้างประมาณสองเมตรหลังสุดเป็นหินตันขนาบด้วยหินใหญ่อีกสองก้อน ข้างบนเป็นกิ่งไม่และใบไม้หนาที่เชกีและมะอีซาเอามาสุมขัดไว้เป็นหลังคาตั้งแต่เมื่อกลางวัน เมื่อเชกีวางหล่อนแล้วก็ถอยกลับออกมานั่งในซอกหินตรงข้ามที่มีลักษณะเดียวกันแต่เล็กกว่าเล็กน้อย ส่วนมะอีซากำลังไล่จัดแจงกองไฟรอบๆไม่ให้มีควันเข้ามารบกวนการนอน อังซูเรย์นอนหลับสนิทอยู่ฟากหนึ่ง ส่วนลีอาเข้ามานั่งกอดเขาพิงผนังอีกฝั่งหนึ่ง พิทักษ์ทรุดตัวลงข้างๆอังซูเรย์เขามองใบหน้างดงามนั้น พิทักษ์ก้มหน้านิ่งเขาค่อยๆถอดสร้อยพระเครื่องในคอยกขึ้นพนมแล้วรำรึกพระพุทธคุณต่างๆ เขาบรรจงสวมสร้อยพระนั้นให้กับเธอ พิทักษ์มั่นใจว่าอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธ์จะช่วยป้องกันอะไรไม่ดีให้กับหล่อนเขาลูบหัวนั้นเบาๆ พิทักษ์เอาเสื้อแจ๊คเก็ตหนังห่มทับให้หล่อนอีกชั้นหนึ่ง เขาขยับตัวถอยห่างออกมาบังเอิญไปสะดุดกับขาใครบางคนที่เหยียดมา พิทักษ์หันมองหล่อนรีบดึงขาหลบ “นอนเถอะพักผ่อนเอาแรงไว้พรุ่งนี้เราค่อยมาปรึกษากันอีกที” เขากล่าวเบาๆพลางส่งยิ้มให้ “นั้นคุณจะไปไหนหรือ” หล่อนถามอย่างสงสัย “ไปนอนนะสิ” เขาตอบง่ายๆ ลีอาขมวดคิ้วทำหน้านิ่วแบบผิดหวัง “มีอะไรหรือ” พิทักษ์ถามเพราะสงสัยในท่าทางของเธอ “ฉันนึกว่า ..” หล่อนตอบไม่เต็มเสียงนัก “ฉันนึกว่าคุณจะนอนตรงนี้” พิทักษ์หันหน้ากลับมามองหล่อนเต็มตา ลีอาก้มหน้าลงไม่ยอมมองหน้าเขา “ผมคิดว่าจะให้คุณทั้งสองคนนอนที่นี้ด้วยกัน ผมว่าจะไปนอนรวมกับมะอีซาและเชกี” “คุณใจร้ายจัง” หล่อนต่อว่าน้ำเสียงเบาหวิว “ใจร้ายยังไง” พิทักษ์ยังไม่เข้าใจ “คุณจะให้เรานอนด้วยกันสองคนนะหรือเรื่องเมื่อกี้ยังทำให้ฉันกลัวอยู่เลย” หล่อนพูดพลางทำหน้า น่าสงสารพิทักษ์เข้าใจแล้วในความหมายเขาขยับเข้าไปหาหล่อน แล้วจับไหล่น้อยๆนั้นบีบเบาๆ “ไม่เป็นไรหรอก ผมว่ามันคงไม่เกิดขึ้นอีก” “คุณช่วยนอนที่นี้ด้วยกันได้หรือไม่”  หล่อนขอร้องหน้าตาหล่อนตอนนี้ช่างน่าสงสารจริงๆ พิทักษ์ยิ้มให้กำลังใจ “ก็ได้ครับ เรานอนด้วยกันทั้งสามคนนี้แหละแล้วจะให้ผมนอนตรงไหน” หล่อยบุ้ยปากไปตรงกลาง พิทักษ์เกาหัวยิ้มๆเด็กก็คือเด็กเหตุการณ์ที่ผ่านมาทำให้ขวัญกำลังใจหล่อนไม่สู้จะปกติดีนัก พิทักษ์รับปากลีอาเขาออกมาตรวจกองไฟอีกครั้ง แล้วกลับเข้าไปนอนลงแทรกกลาง ลีอา นอนตะแคงจ้องตาแป๋วมาทางเขา พิทักษ์ที่นอนหงายอยู่หันไปดูอย่างสงสัย  “มีอะไรครับ” เขาถาม “เปล่า” ลีอาหันหน้ากลับ  “ร็อบโค่ไปไหน” พิทักษ์ถามเพราะเขาไม่เห็นมันเลยตั้งแต่เมื่อกี้ “มันออกไปหาอะไรกิน เดี๋ยวมันก็กลับมาเเล้ว” หล่อนตอบง่ายๆ เขาพลิกตัวดูหล่อนดวงตาใสๆนั้นจ้องมองมา พิทักษ์ลูบหัวหล่อนเบาๆอย่างเอ็นดู “คืนนี้จะหนาวหน่อยนะ เอาหละหลับได้แล้ว” หล่อนยิ้มให้เขาแล้วหลับ ตาลงพิทักษ์หันมามอง อังซูเรย์ หล่อนหลับสนิทหายใจเบาๆอย่างเป็นจังหวะ แล้วเขาก็หันกลับมานอนนิ่งๆหยิบหมวกปีกมาหรุบครอบในหน้าไว้ เข็มขัดปืนสั้น ที่ร้อยมีดโบวี่ไว้ ถูกถอดกองไว้บนหัว ไรเฟิลก็เช่นกัน พิทักษ์นอนปล่อยความคิดล่องลอยไป เขาเหนื่อยล้ามากมายต่อเหตุการณ์ที่ประเดประดังเข้ามาในชีวิต ภาพต่างๆลอยเข้ามาในหัวของเขา มันสับสนวุ่นวายไปหมดแล้วเขาก็เผลอหลับไป  พิทักษ์สะดุ้งตื่นเมื่อถูกใครบางคนสะกิดที่ปลายเท้า เขาเสยหมวกออกแล้วลืมตาขึ้น มะอีซานั่นเองพรานหนุ่มนั่งยองๆอยู่ที่ปลายเท้าเขา มองเห็นเป็นเงาตะคุ่มๆยิ้มฟันขาว  “มีอะไร” เขาถามเบาๆพลางยกนาฬิกาที่ข้อมือขึ้นดูมันเป็นเวลาตี 3 เศษๆ “นาย เชกีมันถามหาจดหมายของนาย เพราะนกมันจะไปแล้ว” “หืม จริงสินะลืมไปสนิทเลย ฉันวางมันอยู่ตรงที่เรานั่งคุยกันโน้นแนะ มะอีซาไปหยิบให้เขาหน่อยนะ” พิทักษ์ตอบเสียงอู้อี้  มะอีซารับคำแล้วกำลังจะผลุดลุกออกไป “เดี๋ยวก่อนเอานี้ใส่ไปในจดหมายด้วย พิทักษ์ถอดลูก .375 ที่เหน็บในช่องอกเสื้อส่งให้ มะอีซายื่นมือรับมาแล้วหันหลังออกไป พิทักษ์อ้าปากหาวพลางใช้มือบีบที่ขมับตัวเองไล่ความมึนงง อากาศค่อนข้างเย็นจัดแต่เพราะอำนาจของพระเพลิงที่ก่อไว้ถูกที่หลายกอง มันช่วยสะท้อนความอบอุ่นมาตามผนังหิน ช่วยให้ความอบอุ่นได้มากเลยทีเดียว พิทักษ์หันหน้ามองสองสาวก็พบว่ายังหลับอยู่ดี แต่รู้สึกว่าลีอาจะเบียดเข้ามาชิดเขากว่าเดิมอาจเป็นเพราะอากาศที่หนาวเย็น หล่อนนอนเอาหนังสัตว์ที่คลุมไหล่เวลากลางวันเอามาแทนผ้าห่มซึ่งมันก็คงก็ช่วยอะไรได้ไม่มาก ส่วนอังซูเรย์ นอนนิ่งหลับสนิทอยู่ในท่าเดิม เขาห่มแจ๊คเก็ตให้แบบไหนหล่อนก็อยู่อย่างนั้น พิทักษ์ปิดปากหาวรอบสองก็ดึงหมวกลงมาปิดหน้าหลับไปจนรุ่งอรุณ ........................................ พิทักษ์ งัวเงียตื่นขึ้นมาเพราะถูกอะไรเปียกๆสากๆมาถูที่ใบหน้า เมื่อหรี่ตาขึ้นดูก็ถึงกับใจหายวาบ เพราะวัตถุที่ลูบไล้ใบหน้าของเขาก็คือ ลิ้นของเจ้าแมวใหญ่ ร็อบโค่นั้นเอง มันเลียหน้าเขาแผลบๆ พิทักษ์ตกใจเล็กน้อยเพราะปกติมันไม่เข้าใกล้ขนาดนี้ เขานอนนิ่งๆตัวแข็งคอยดูทีท่าว่ามันจะทำอะไร พอมันรู้ว่าเขาตื่นแล้วมันก็ผลุดลุกขึ้นเดินออกไป   “ร็อบโค่” เขาเรียกเบาๆ มันหยุดเดินแล้วหันมองมา แต่สายตาคู่นั้นไม่ใช่ ของเจ้าร็อบโค่ ที่หยิ่งทะนงตัวนั้น พิทักษ์สัมผัสถึงแววตาของใครบางคนในนั้น เขาชันตัวลุกขึ้นดูข้างปรากฏว่าไม่มีร่างของสองสาวอยู่ที่นั้นแล้ว เหลือแต่แจ๊คเก็ตหนังของเขาที่คงจะเป็นใครคนหนึ่งเอามาห่มทับให้ นาฬิกาที่ข้อมือบอกเวลา 07.45 พิทักษ์โคลงหัวดิกเพราะเขาไม่เคยตื่นสายขนาดนี้ในป่าเลยอาจเป็นเพราะอำนาจยาแก้ปวดที่เขากินก่อนนอนก็ได้ พิทักษ์เอี้ยวตัวไล่ความเมื่อยขบ ความปวดที่แผ่นหลังและสะบักเอวยังคงระบมเขาปล่อยผ่านความรู้สึกมันไปเสียเพราะไม่อยากให้มารบกวนจิตใจในตอนนี้ พันโทพิทักษ์ อัครเศวตวงค์ คว้าเข็มขัดปืนสั้นมาสวมอย่างรวดเร็ว  แล้วหยิบไรเฟิลกับหมวกเดินออกจากเพิงพัก เขาหรี่ตาหลบแสงแดดเล็กน้อย พิทักษ์เลี่ยงหลบไปทำธุระส่วนอยู่ครูก็เดินอ้อมกลับเขามา หลังจากล้างหน้าล้างตาแล้วสีหน้าเขาก็ดูสดชื่นขึ้น พิทักษ์เดินคาบบุหรี่กลับเข้ามาที่กองไฟเมื่อคืน เขาเห็นแต่มะอีซาที่นั่งย่างเนื้ออยู่  “พวกนั้นไปไหนกันหมด” เขาถาม  “สองสาวนั้นเห็นพากันไปที่สระน้ำ ด้านโน้นครับนาย ส่วนเชกีผมไม่ทราบ” พิทักษ์พยักหน้ารับ เขานั่งลงเอาปืนพาดตัก พลางส่งซองกาแฟสำเร็จรูปให้ มะอีซา “หล่อนรู้สึกตัวดีแล้วหรือ” พิทักษ์ถามเบาๆ มะอีซารู้ดีในความหมายของคำถามนั้น  “ดีขึ้นแล้วนายอาการปกติดีแต่เห็นซึมๆลงไปบ้าง” “ดีแล้ว” เขาพูดสั้นๆแล้วยื่นซองบุหรี่ให้มะอีซา  กาแฟในหมอเริ่มเดือดขึ้นแล้วพิทักษ์ เทใส่ฝาหมอสนามขึ้นมาจิบ “เอะ นั้นเนื้อสดนิ ได้มาจากไหนตัวอะไร” เขาตั้งข้อสงสัย “เลียงผานะนาย กำลังรุ่นๆพอดีได้มาจากเชิงเขาด้านโน้น เชกีไปแบกมาเมื่อเช้านี้เอง” “ฝีมือใคร” เขาลอยๆไปอย่างนั้นเองไม่ได้คิดอะไรมาก  “ฝีมือร็อบโค่หน่ะนาย เห็นว่าหายไปตั้งแต่กลางดึกพึ่งกลับเข้ามาเมื่อเช้านี้เอง ลีอาเป็นคนสั่งให้เชกีไปเอาเนื้อที่มันกัดไว้” พิทักษ์พยักหน้า  “อืม มันพึ่งเข้าไปเลียหน้าปลุกฉันเมื่อกี้นี้เอง” เขาพูดพลางหันหลังไปดูสองสาวที่พากันเดินตรงเข้ามา พิทักษ์โบกมือยิ้มให้ อังซูเรย์มานั่งลงข้างๆเขาส่วน ลีอาอ้อมไปนั่งอีกฝั่งหนึ่ง “เป็นไงบ้างเช้านี้” เขาทักทาย “ก็ดีขึ้นแล้ว คุณหละเจ็บมากไหม ลีอาเล่าทุกอย่างให้ฉันฟังหมดแล้ว ฉันขอโทษนะที่ควบคุมตัวเองไม่ได้” หล่อนพูดพลางลูบที่แผ่นหลังเขา แววตาดูเศร้า พิทักษ์ยิ้มให้อย่างอ่อนโยนเขาลูบศีรษะหล่อนเบาๆ  “ไม่เป็นอะไรมากครับ แล้วคุณไม่ต้องคิดมากนะมันเป็นเรื่องสุดวิสัย เพียงแค่คุณไม่เป็นอะไรผมก็สบายใจแล้ว” หล่อนจ้องเขาประกายตาลึกซึ้ง และเมื่อเชกีกลับเข้ามาร่วมวง ทุกคนนั่งทานเนื้อย่างอีกมื้อ ทั้งคณะใช้เวลาช่วงเช้าพูดคุยปรึกษาและพักผ่อน เพราะตอนนี้พวกเขาได้แต่เพียงรอกำลังเสริมที่กำลังเดินทางมาสมทบ เพื่อจะสามารถดำเนินแผนการขั้นต่อไปได้ อีกด้านหนึ่งของป่าในเวลาเดียวกัน จอน แม๊ค แอลเจโล่ หรือนาย ช่างณรงค์ ภูผาบดินทร์ ยืนสูบบุหรี่อยู่ใต้โคนไม้ ดวงตาสีฟ้าของเขาส่อแววกังวลอย่างที่สุดเพราะมันเป็นวันที่ สี่ที่หัวหน้าคณะและพรานหนุ่มได้ออกจากแคมป์ไป เขาตัดสินใจเด็ดขาดว่าวันนี้จะออกติดตามหา ในช่วงตลอดเวลาสามวันที่ผ่านมา เขาต้องรอคอยอย่างร้อนรนเพราะอำนาจแห่งเสือร้ายที่เขาพบเจอมันเกินกว่าที่จะอุ่นใจหากเพื่อนรวมทีมต้องออกติดตามไปเช่นนี้ ณรงค์ สั่งรื้อแคมป์ในตอนเช้าตรู่ ลามูอาการดีขึ้นพอที่จะสามารถเดินทางได้แล้ว ตลอดสามวันที่ผ่านมาเขาต้องรอคอยที่แคมป์ โดยมีโอบาจิเพียงคนเดียวที่คอยออกไปหาเสบียงที่ดูเหมือนจะขัดสนเหลือเกิน เขาต้องทนกินทั้งเต่าตุ่นบึ่งย่าง กบทูต เม่นกระกรอกกระแต ซึ่งเป็นสัตว์เล็กๆทั้งนั้น ดีที่สุดก็คือกระจง เช้านี้เขาอยู่ในชุดซาฟารีสีดำสนิท สวมอุปกรณ์เดินป่าครบครั้นพร้อมที่จะออกเดินทาง ณรงค์ ยืนพิงต้นไม้ประดู่สูงใหญ่ เขาหรี่ตามองดู ลามูกับโอบาจิที่กำลังไล่ดับกองไฟ เขาต้องการที่จะออกเดินทางแต่เช้า ขณะกำลังยืนปล่อยความคิด เสียงวัตถุอะไรชนิดหนึ่งดังครางตัดอากาศมาอย่างเร็ว เสียงร้องวีดยาว ของอินทรีใหญ่ทำให้เขารีบวิ่งออกมาดูเสียงโอลาจิกับลามู ร้องดังฟังไม่ได้ศัพท์ ณรงค์มองเห็นเพียงเงาสีดำทะมึนโฉบตัดลงมาอย่างรวดเร็วปล่อยวัตถุบางอย่างหล่นลงพื้น เฉี่ยวหัว โอบาจิกับลามูที่วิ่งขวักไขว่ แล้วมันก็สะบัดปีกบินลอยละลิ่วไต่ขึ้นสูงหายลับเข้าไปในเงาเมฆ “เฮ้ย ตัวอะไรใครเห็นถนัดบ้าง ณรงค์ร้องพลางวิ่งเข้ามาสมทบเขาคอน 30-06 พร้อมที่จะลั่นไก “นกครับนาย ตัวใหญ่เหลือเกินเกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น” โอบาจิกระหอบกระหืดตอบ “นกอะไร ทำไมตัวใหญ่จังฉันเห็นมันแวบเดียวเท่านั้น” ณรงค์ถามอย่างสงสัย มือก็ป้องหน้าพยายามมองตามไปแต่ก็ไม่เห็นอะไร “หุ้งเต้ นาย ผมเห็นมันชัดเลยทีเดียว มันทิ้งอะไรมาด้วยตกอยู่นั้นไง” ลามูเป็นคนตอบพลางชี้ไปยังห่อหนังที่ตกบนพื้นไม่ห่างไปนัก “หุ้งเต้ คืออะไร” เขาหันมาถามอย่างสงสัย  “ลามูมันหมายถึงนกอินทรีครับนาย ถ้าเหยี่ยวก็เรียกรุ้ง แต่ถ้าอินทรีก็เรียก หุ้งเต้” ณรงค์ ขมวดคิ้วพยักหน้ารับเขาตื่นเต้นในขนาดของมัน  “ไปเก็บมาดูซิมันทิ้งอะไรไว้ น่าสงสัยจังแหะ” โอบาจิเป็นคนไปเก็บขึ้นมาแล้วโยนให้ลามู “ม้วนหนังนาย ฝีมือคนแน่” ลามูพูดพลางยื่นม้วนหนังให้เขา ณรงค์สะพายเฟิลไว้กับไหล่รับเอาห่อม้วนนั้นมาดู “เอ ท่าจะใช่นะมัดไว้อย่างดีเสียด้วย” เขาพูดพลางพยายามแกะ พอเขาขึงออกเท่านั้น ลูกกระสุนของไรเฟิล .375 ก็ร่วงลงใส่รองเท้าเขา  “เอะลูกปืนนิ” ณรงค์รีบก้มลงเก็บมาพลิกดูเมื่อเห็นถนัดเขาก็ตาโต เพราะมันเป็นลูกซิลเวอร์ทิปของ  .375 ฮอลแลนด์แอลฮอลแลนล์แม๊กนั่ม ความยาวของลูก นั้นยาวกว่าซองบุหรี่ก้นกรองเสียอีกจะมีกี่คนหละที่มีลูกปืนไรเฟิลราคาแพงในป่ายามนี้ ต้องเป็นพิทักษ์แน่นอนเพราะเขาเป็นคนแลกปืนประจำตัวให้เขากับมือ ณรงค์สอดลูกที่เก็บได้ลงกระเป๋าเสื้อ เขากางแผ่นหนังออกและ พิจารณาดูก็พบข้อความ ภาษาไทยที่เขียนด้วยหมึกดำข้อความนั้นกระชับสั้นๆแต่ได้ใจความ ณรงค์นั่งลงอ่านกับโขดหินทิ้งให้สองพรานนั้นยืนงุนงง หลังจากอ่านข้อความนั้นซ้ำไปมา พรานหนุ่มลูกครึ่งก็สูดหายใจเข้าลึกๆพร้อมกับปรากฏรอยยิ้มบนริมฝีปากบางนั้น  “นายช่าง มันคืออะไรครับ” โอบาจิเป็นผู้ถามเพราะอดสงสัยไม่ได้ “ลามูกับโอบาจิ อ่านหนังสือภาษาไทยออกรึไม่” เขาถามยิ้มๆ “ไม่ดอกนาย เราทั้งสองไม่ได้เรียนหนังสือ ถ้าเป็นมะอีซาละก็พออ่านได้เพราะหมอเรียนหนังสือมา นายมีอะไรรึครับ” “ดูนี้” ณรงค์ยื่นแผ่นหนังที่มีจารึกสารสำคัญจากพิทักษ์ให้สองคนนั้นดู “นี้คือจดหมายจาก คุณพิทักษ์” ทั้งสองรีบหันขวับทันทีประกายแห่งความปิติยินดีปรากฎขึ้นในแววตา  “จริงหรือนาย” ทั้งสองพูดแทบจะพร้อมกัน “จริงสิ นี้ไงลายเซ็นชื่อเขาอยู่ตรงนี้” ณรงค์ชี้ให้ดูมุมล่างขวาที่พิทักษ์เซ็นชื่อเต็มไว้ “นายพิทักษ์ส่งจดหมายมาว่าอย่างไรครับนาย” ลามูรีบซัก ณรงค์ หันซ้ายหันขวาเขาจุดบุหรี่อย่างใจเย็นท่ามกลางความร้อนรอนของพรานหนุ่มทั้งสอง  “เอาข่าวดีหรือข่าวร้ายก่อนหละ” เขาถามยิ้มๆ สองคนนั้นหันหน้ามองกัน “เอาข่าวดีก่อนนะนาย” โอบาจิตัดสินใจ “ข่าวดีมีสองเรื่องคือหนึ่ง คุณพิทักษ์และมะอีซาปลอดภัยดีแถมจัดการกับเสือร้ายอังซูเรย์ได้แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ผาน้ำตกห่างจากพวกเราขึ้นเหนือไปอีกสองสามวันเท่านั้นเอง” ณรงค์หยุดพูดเพียงเท่านั้น เพราะเสียงโห่ร้องของพรานหนุ่มทั้งสองตะโกนแข่งกันอย่างลิงโลดในความดีใจ “เจ้าป่าคุ้มครอง นายพิทักษ์ทำสำเร็จจริงๆ ดีใจจังโว้ย” โอบาจิตะโกนดังๆพลางเขย่าตัวลามูจนหมอนั่นร้องโอดโอยเพราะเจ็บแผล “นี้ ฟังฉันให้จบก่อนได้ไหม” ณรงค์พูดพลางอัดควันลึก สองหนุ่มนั้นเงียบลงเพราะดูท่าเขาเข้มขรึม “ข่าวดีอีกเรื่องคือ ตอนนี้คุณชำนาญกับพะตี้เย กำลังเข้ามาสมทบกับเรา เขามากันสิบกว่าคนพร้อมด้วยยุทธโธปกรณ์ ครบครั้นพวกนั้นอยู่ห่างจากพวกเราไปประมาณสองวัน นั่นหมายถึงว่าเราอยู่กึ่งกลางระหว่างทั้งสองทีม และถ้าเรารวมตัวกันได้จะไม่ขาดเสียงหรือกำลังคนเลย”  สองหนุ่มลิงโลดกับข่าวที่ได้รับแต่ก็เริ่มมีข้อสงสัยขึ้นมาแล้ว “ดีจริงๆเลยนายช่าง แต่เสือมันตายแล้วนิพวกนั้นมาคงเสียเที่ยวแน่ๆ” ลามูเป็นคนถาม ณรงค์โบกมือห้ามไว้ก่อนเพราะเขาจะอธิบายทีหลัง “แล้วนายพิทักษ์รู้ได้อย่างไรหละนายว่า นายชำนาญกำลังเดินทางมา เพราะเขาอยู่เหนือขึ้นไปไม่ใช่หรือ” โอบาจิส่งคำถามบ้าง “เอาหละได้เวลาข่าวร้ายแล้ว เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกันฉันจะอธิบายทีเดียวนะ เอาเป็นสั้นๆว่า ตอนนี้พิทักษ์อยู่หลบซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังของผาน้ำตก เพราะถูกคนเถื่อนเผ่าหนึ่งไล่ล่า คุณพิทักษ์บังเอิญไปพบกับชนเผ่าอีกกลุ่มหนึ่งเขาได้ให้การช่วยเหลือคุณพิทักษ์ไว้ ชนเผ่าพวกนี้มักมีสัตว์เลี้ยงชนิดต่างๆที่ฝึกมาเป็นอย่างดี ตอนนี้มันกำลังไล่ล่าคุณพิทักษ์อยู่เขาจึงพากันไปซ่อนตัวที่บนภูเขาที่ผาน้ำตก ตอนนี้เขาติดอยู่ที่นั้นรอกำลังเสริมจากเรา คุณพิทักษ์ได้ให้นกที่เป็นสัตว์เลี้ยงของชนชาวเผ่านำจดหมายนี้มาให้เรา เพราะว่าคนเถื่อนพวกนั้นตอนนี้มีบางกลุ่มกระจายลงใต้มา เขากลัวว่าจะปะทะกับเรา จึงให้เราระวังตัวและให้เราย้ายแคมป์หนีเสีย คุณพิทักษ์อยากให้เราถอยลงไปรวมกลุ่มกับชำนาญที่กำลังเดินสวนขึ้นมา เพราะว่าฝ่ายนั่นมีคนเยอะจะสามารถป้องกันตัวจากคนเถื่อนได้แน่นอนมีใครสงสัยอะไรไหม” ณรงค์หยุดอัดควันบุหรี่เพื่อเปิดโอกาสให้สองคนที่กำลังยืนงงถามคำถาม “เรื่องจริงหรือนาย” โอบาจิถามขึ้นน้ำเสียงแผ่วเบา ณรงค์จับความรู้สึกของโอบาจิไม่ได้เลยว่าเขารู้สึกยังไง  “จริงสิ พิทักษ์ส่งลูกปืนมาด้วยเพื่อยืนยันว่าเป็นเขาจริง อีกทั้งยังเขียนชื่อของฉันมาเป็นภาษาอังกฤษด้วย ไม่มีใครหรอกที่จะปลอมแปลงได้”  “แล้วนายจะเอาอย่างไรต่อไป” ลามูถามขึ้นอย่างจริงจังแววตาคู่นั้นดูมุ่งมั่นณรงค์หันหน้ามองพระอาทิตย์ที่สาดแสงอ่อนอบอุ่นนั้นก่อนจะพูดเข้มขึ้มแบบเอางานเอาการ “ลามูและโอบาจิ รู้จักผาน้ำตกหรือไม่” “รู้จักนาย มันเป็นแม่น้ำอีกสายหนึ่งเบื้องบนมีน้ำตกสายใหญ่ไหลแรงตกตลอดปีมันไหลลงมาจากเทือกเขาสูง เป็นเทือกเขาที่สูงกว่าสันเขาแม่ละตาอีก” โอบาจิเป็นคนตอบ  “งั้นดีเลย ฉันคิดว่าจะไม่เสียเวลาย้อนกลับไปหาคุณชำนาญแล้ว แต่เราจะเดินทางมุ่งหน้าไปหาคุณพิทักษ์ที่นั้นเลย เราสองคนคิดว่าอย่างไร”  ณรงค์ถามเพื่อหยั่งหางเสียงของพรานหนุ่มทั้งสอง ลามูคิดอยู่ครู่จึงให้คำตอบ “ผมว่าเราควรเร่งไปหานายพิทักษ์ดีกว่านะนายช่าง เพราะทางนายชำนาญ มีกำลังคนอยู่เยอะ หากเจอพวกคนป่าก็คงเอาตัวรอดได้เนื่องจากมีปืนหลายกระบอก แต่นายพิทักษ์อยู่กับมะอีซาบนภูเขาหากมันเจอตัวเข้าคงจะแย่แน่เราควรตามไปช่วยให้เร็วที่สุด” ณรงค์พยักหน้ารับเหตุผลของพรานหนุ่ม “แล้วโอบาจิหละว่าไง” “ผมก็คิดเหมือนลามูครับนาย รีบไปให้เร็วที่สุดคงจะดีเพราะห่วงนายพิทักษ์เหลือเกิน” “แต่เราอาจต้องเจอกับพวกคนป่านะ หากต้องเดินสวนขึ้นไป” ณรงค์พูดขรึมๆ “เจอก็เจอสินาย ลามูไม่กลัวดอกพวกคนเผ่ามันจะแน่สักแค่ไหน ดูทีว่ามันจะทนปืนเราได้”  ณรงค์ยิ้มหัวเราะในท่าทางของลามูที่ชูกำปั้นหรา  “โอเคๆ งั้นสรุปเราสามคนจะตั้งเข็มใหม่ มุ่งไปผาน้ำตกเป็นหลักถูกต้องหรือไม่” “ครับนาย” สองคนนั้นพูดพร้อมกัน “แล้วผาน้ำตกที่ว่ามันอยู่ไกลแค่ไหน คุณพิทักษ์บอกว่ามันอยู่ห่างจากเราไปสองถึงสามวันในการเดินเท้า”  ลามูหันมองโอบาจิ หมอนั้นเลยนั่งยองๆกับพื้นเอากิ่งไม้วาดดินให้ณรงค์ดู  “นายดูนี้นะครับ” โอบาจิพูดพลางเขียนแผนที่คร่าวๆ “เรายู่ตรงนี้ ตรงนี้มีภูเขากันเราอยู่ระหว่างผาน้ำตกกับเรา หากเราจะมุ่งหน้าไปผาน้ำตกเราจะต้องเดินอ้อมเขามาทางนี้ เลาะแม่น้ำใหญ่ตรงนี้และ เลาะสั้นเขาไปอีกจนถึงที่ราบและเข้าสู้ใต้ผาน้ำตก กว่าจะไปได้ต้องใช้เวลาถึงสองวันครึ่งถึงสามวัน แต่ถ้าเราตัดทางมาทางนี้” โอบาจิขีดเป็นเส้นตรง เราจะใช้เวลาแค่วันเดียวก็จะถึงใต้ผาน้ำตก หากเราเดินทางตั้งแต่ตอนนี้” โอบาจิพูดพลางแหงนดูดวงตะวัน “หากเราไปทางนี้สักสี่ทุ่มก็จะถึงใต้ผาน้ำตก แต่ถ้าเราทำเวลาดีๆสักสองทุ่มก็น่าจะถึงครับ” ณรงค์ขมวดคิ้วคว้ากิ่งไม้มาชี้ถามบ้าง  “โอบาจิจะตัดตรงมาทางนี้ได้อย่างไร เพราะไหนบอกว่าเป็นภูเขาสูงกั้นอยู่ ถ้าเราจะปีนเขาลูกนี้ไปสี่ห้าวันก็คงจะข้ามได้อยู่หรอกนะ อีกอย่างมันก็เสี่ยงเกินเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะใช้เส้นทางนี้” “นายช่างครับ มันพอมีด่านลับอยู่”โอบาจิพูดพร้อมกับเงยหน้ามองเขา “หืม ว่าไงนะ” ณรงค์พูดพลางใช้พื้นรองเท้าคอมแบทดับก้นบุหรี่ “มันพอจะมาทางอยู่ครับ คือในช่วงแรกเราเดินตามช่องเขานี้ไปก่อนหลังจากนั้นเอาจะลอดถ้ำไปครับ ถ้ำจะพาเราลอดใต้ภูเขาไป เราจะไปโผล่อีกทีด้านนี้แล้วจากนั้นก็ลัดเลาะตามร่องเขาและลำห้วยไปเราจะสามารถไปถึงใต้ผาน้ำตกได้ครับ” “เยี่ยม” ณรงค์พูดอย่างพอใจ แต่สีหน้าเขาไม่ค่อยจะดีนัก “และถ้าหากเราใช้เส้นทางนี้นอกจากจะสามารถเดินทางได้อย่างรวดเร็วแล้ว เรายังจะเลี่ยงพวกคนป่าได้ไม่ให้เกิดการปะทะ” โอบาจิย้ำเหตุผลมา “ตกลงเอาตามนี้ ให้เวลาห้านาทีไปทำธุระให้เรียนร้อยเดี๋ยวออกเดินทางกันเลย” เขาณรงค์ไม่คิดให้เสียเวลาเขาตัดสินใจอย่างรวดเร็ว และสั่งงานอย่างเรียบๆแต่สีหน้าแววตาของเขาดูไม่สบายใจนัก “นายช่าง มีอะไรกังวลหรือเปล่าครับ” โอบาจิจับสังเกตได้ถามจึงขึ้น เขายิ้มแห้งๆถามมาไม่เต็มเสียงว่า  “เราต้องเดินทางในถ้ำนานแค่ไหน” โอบาจิทำท่าคำนวณอยู่ครู่จึงให้คำตอบที่ณรงค์ถึงกับหน้าถอดสี “เจ็ดถึงแปดชั่วโมงเป็นอย่างเร็วครับ”  “โอก็อต!! เฮลมีพรีส” ณรงค์ครางออกมาเขาแทบไม่อยากจะคิดภาพตัวเองในถ้ำที่ต้องเดินยาวไกลขนาดนั้น  “เจ้านายเป็นอะไรหรือครับ” โอบาจิถามอย่างอดที่จะสงสัยไม่ได้ “เอ่อ......คือฉันไม่ค่อยชอบการเดินถ้ำสักเท่าไหร่หน่ะ คือเอาง่ายๆว่าฉันข้อนข้างจะเป็นโรคกลัวที่แคบหน่ะ ถ้ำที่ลึกสุดก็แค่ไม่กี่เมตรเท่านั้นแต่นี้ต้องเดินเป็นครึ่งวัน” เขาหยุดพูดแค่นั้นก็ยิ้มแห้งๆพลางถอนหายใจ “เจ้านายกลัวการเดินถ้ำหรือครับ” ลามูถามประสาคนซื่อ เขาถอดหมวกปีกออกเอามือเกาหัวตัวเองถอนหายใจเบาๆอีกครั้ง ดวงตาสีฟ้าครามจับต้องไปที่ลามู  “ฉันเคยมีอดีตที่ไม่ดีนักสมัยเป็นเด็ก รุ่นพี่ที่โรงเรียนแกล้งขังฉันไว้ในห้องน้ำในโบสถ์ที่มืดสนิท ฉันเลยกลัวที่แคบๆตั้งแต่นั้นมา แม้ฉันชอบจะเข้าป่าแต่ก็จะเลี่ยงการเข้าถ้ำเสมอ มันรู้สึกอัดอัดหายใจไม่ออก ไม่รู้สิบางทีอาจเป็นเพราะฉันคิดไปเองก็ได้” ลามูกับโบบาจิหันมองหน้ากัน “นายช่างจะเปลี่ยนเส้นทางหรือไม่ครับ” หนึ่งในนั้นเป็นคนถาม ณรงค์หันหน้ามามองแววตาสีฟ้าส่อประกายเด็ดเดี่ยว เขาส่งยิ้มบนริมฝีปากบาง “ไม่หรอก เราจะต้องใช้เส้นทางนี้เพราะมันปลอดภัยและเร็วที่สุด ทุกคนไม่ต้องห่วงฉัน ขอให้พวกเราทำตามหน้าที่ตัวเองอย่างดีที่สุด” เขาตอบหนักแน่น ลามูกับโอบาจิรู้สึกสงสารเจ้านายลูกครึ่งผู้นี้เขาเป็นคนที่จิตใจดีร่างเริงและ กล้าหาญเสมอ โดยเฉพาะลามูที่ตลอดสามวันมานี้ ณรงค์คอยดูแลเขาเป็นอย่างดี แต่ในความสงสารนี้ก็ลอบชื่นชมในจิตใจของณรงค์เป็นอย่างยิ่ง เขาเหมาะสมที่จะเป็นผู้นำที่ดี เขากล้าจะเผชิญความกลัวด้วยความกล้า อันเป็นสิ่งที่น่าเอาเป็นเยี่ยงอย่าง แล้วทั้งสามก็แยกกันไปทำธุระของตัวเอง เวลา 7.15 คณะเดินทางของณรงค์ก็เริ่มเดินทาง ระยะแรกเป็นการเดินลัดเลาะตามช่องเขาน้อยใหญ่ที่ขึ้นเรียงกันอย่างซับซ้อน ทั้งคณะเดินกันอย่างระวังตัวแจ ไม่มีแม้แต่การพูดคุยกัน ทุกเสียงการเคลื่อนไหวของอะไรต่างๆล้วนแต่ถูกพิเคราะห์อย่างละเอียดโดยสองพรานหนุ่ม การยิงปืนแทบจะเป็นข้อห้ามสำคัญ มีอยู่ช่วงหนึ่งคณะของณรงค์ ที่เดินมาตามทางด่าน บังเอิญต้องเจอกับเจ้าถิ่นอย่างบังเอิญ มันเป็นไอ้เหลือมขนาดลำกล้วย มันนอนนิ่งอยู่บนกิ่งไม้ที่ทอดขวางทางอยู่ คงนอนรอเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายผ่านทางมา แน่นอนหากมีตัวอะไรผ่านเข้าไปมันคงจะทิ้งตัวมารัดเอาไปเย็นอาหารอันโอชะ โอบาจิป็นคนเห็นก่อนเขาชี้ใช้มือ หัวหน้าคณะดู ณรงค์เมื่อเห็นขนาดแล้วถึงกับขนลุก เพราะมันใหญ่ขนาดที่ว่าจะสามารถกลืนคนลงไปทั้งคนได้อย่างสบาย ทั้งสามมองหน้ากันส่งสายตาเป็นคำถามจะเอาไงดี เพราะถ้าเป็นเวลาปกติคงล่อเข้าให้ด้วยลูกซองแล้ว จะอ้อมหรือเลี่ยงไปก็ไม่ได้ เพราะฝั่งหนึ่งเป็นป่าหนามรกชัฏอีกฝั่งเป็นผาตัดลงไป มีทางเดียวคือต้องลอดเจ้างูใหญ่ไปเท่านั้น ลามูทำท่าเอามือวาดเชือดคอให้ณรงค์ดูแปลว่า ฆ่าเลยดีไหม ณรงค์เลิกคิ้วสูงตาโตแปลว่าจะทำยังไง โอบาจิสะกิดเขาแล้วพยักหน้าหงึกๆแปลว่ามีวิธี เขาดึงมีซุยเดินป่าปลายแหลมออกมาชูให้นายจ้างดู แล้วโบบาจิก็กระชับมีดมั่นค่อยก็ย่อตัวจะย่องเข้าไปแต่เพราะกิ่งไม้นั้นมันอยู่สูงกว่าที่จะฟันได้ถนัด ณรงค์จึงรีบเหนี่ยวไหล่ไว้ก่อนเพราะมันอันตรายเกินไป เจ้างูมันอยู่สูงจึงได้เปรียบ เขาเม้มปากอยู่ครู่หนึ่งจึงคิดออกมันเป็นวิธีเด็กๆง่าย

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา