นายปากร้ายกับยายใจแข็ง

-

เขียนโดย นาราชา

วันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 เวลา 15.59 น.

  11 ตอน
  2 วิจารณ์
  10.71K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 21.36 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) ตอนที่ 1 แรกพบสบตา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

         “เย้”

             ผมตะโกนก้องขึ้นในห้องนอนส่วนตัว  หลังจากเข้าตรวจสอบผลการสอบโควต้า  ของมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของภาคอีสานทางอินเตอร์เน็ต  จะไม่ให้ผมดีใจได้ยังไงหล่ะ  นี่คือความฝันของผม  เสื้อช็อปที่โครตจะเท่  สาวๆ มหาฯ ลัย  ชีวิตอิสระ ยู้ฮู้ว  ผมอยากกู่ก้องตะโกนบอกฟ้า  แต่เดี๋ยวก่อนนะ  เพื่อนแก๊งสามซ่าของผมละ  มันจะสอบติดกันรึเปล่าเนี่ย

            --เฮ้ย มึงไปเช็คด่วนเลย--

             ผมทักไปไม่มีปี่มีขลุ่ย

            -- เช็คแล้วเว้ย กูกะไอ้กอล์ฟก็ติด-- 

            ไอ้ทิวมันตอบกลับมาทันที  สมแล้วที่คบกันมาตั้งแต่อนุบาล  อันที่จริงมันไม่รู้ว่าผมให้เช็คอะไรก็แปลกอยู่  ชีวิตเด็กนักเรียนมอหกเทอมสองอย่างพวกผม  กับการหาที่เรียนต่อนี่มันสำคัญสุดๆ แล้ว  ถ้าติดรอบโควตามันก็สบายไปกว่าครึ่งแล้วไง  ต่อจากนี้เรียนไม่เรียน  ทำอะไรที่ไหน  คุณครูเขาก็ไม่ค่อยมาจี้พวกผมแล้ว  ยู้ฮู้  ผมอยากตะโกนรอบที่  3

            -- ป่ะ  ไปภูกระดึงกันมึง  แพ็คกระเป๋าด่วนเลย --

            -- เห้  เถอะครับ  มึงดูวันหยุดก่อน ขึ้นวันนึงลงอีกวัน  ตีนเน่าหมดอ่ะมึง –

            ใช่แล้วครับ  ที่รู้ๆ กัน  ไปปีนภูกระดึงอย่างน้อยต้อง 3 วัน  ถึงจะได้ดื่มด่ำกะธรรมชาติ  และหายใจได้อย่างเต็มปอด  ถ้า 2 วันหยุด  เสาร์- อาทิตย์  คงทำได้แค่หายใจหอบแฮกๆ

            --เออ  ไว้เดี๋ยวประชุมเพลิงกันวันจันทร์ กูไปแจ้งข่าวดีให้ท่านพ่อท่านแม่ทราบก่อน –

            ผมไม่ได้รอให้ไอ้ทิวมันอ่านไลน์หรอกนะ  สองขาผมมันพาตัวผมกระโจนออกจากห้องลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว

            “แม่คร๊าบบบบบบบบบบบบบบ”

            เสียงตะโกนดังไปทั่วบ้าน  เผลอๆ อาจเลยไปถึงป้อมยามหน้าหมู่บ้านด้วย  (อันนี้แม่เคยบอกไว้ฮะ)

            “อะไรกันลูก  ตะโกนซะตกอกตกใจ” 

            แม่ผมโผล่หน้าออกมาจากห้องครัวเป็นจังหวะพอดีที่ผมวิ่งไปถึง  สองแขนยาวๆ ของผมกอดไปรอบตัวนุ่มๆ ของแม่แล้วแตะจมูกไปบนแก้มที่ได้กลิ่นหอมเหมือนกระเทียมเจียว

            “แม่ครับ  เขาติดวิศวะ ม...............แล้วนะ  เขาขอไปเที่ยวภูกระดึง  ตามที่เคยขอไว้น๊า”

            ผมก้มมองตาแม่ด้วยสายตาอ้อนๆ สายตาที่แม่ไม่เคยปฏิเสธผมได้สักที  สาธุ๊  ครั้งนี้ก็ขอให้สำเร็จทีเถอะนะ

            “เดี๋ยวๆ  เขา  ตกลงเราจะบอกแม่ว่าเราสอบติด  รึว่าจะขอแม่ไปเที่ยวภูกระดึงกันแน่”

            แม่มองมาด้วยสายตาค้อนๆ อย่างกะทำกับพ่อ  ผมก็เลยก้มไปจุ๊บแก้มอีกหนึ่งที

            “โธ่  แม่ครับ  เขาอ่านหนังสือหนักมาก  หนักสุดๆ  เขาขอนะแม่นะ  นะครับ”

            คางยานเข้าไว้  ลากเสียงยาวๆ เข้าไว้  เดี๋ยวก็ดีเอง  ประสบการณ์กว่า  18  ปีของผม  มันบอกมา

            “ก็ได้ครับ  แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่”

            แม่ตอบยิ้มๆ  โอ้ยแม่อ่ะ  แกล้งผมเหรอเนี่ยใจหายหมด  ไม่ต้องตกใจครับ  แม่ผมไม่ได้ใจง่ายอะไรขนาดนั้น  กว่าจะได้แม่มาครองนี่พ่อผมต้องกินข้าวต่างน้ำตา  เอ้ย  กินน้ำตาต่างข้าวสิกันเลยทีเดียวนะจะบอกให้  แต่ผมอ่ะ  เด็กดีนะครับ  แม่เชื่อใจผมอยู่แล้ว  เพื่อนๆ ไปลองทำดูเลย  ขออะไรก็ได้หมด  (แม่:ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง)

 

            แล้ววันนี้ก็มาถึง  วันหยุดเสาร์อาทิตย์ที่พ่วงชดเชยวันรัฐธรรมนูญ  นี่ผมต้องขอบคุณระบอบประชาธิปไตย  ขอบคุณเหล่าวีรชนผู้กล้าที่ต่อสู้เพื่อให้ได้มาแห่งกฎหมายรัฐธรรมนูญนะเนี่ย  ที่ทำให้ผมมีวันหยุดต่อเนื่องตั้ง  วัน  ผมจะไม่มีวันลืมเลยครับ  เอาเกียรติของนักศึกษาวิชาทหารเป็นเดิมพันเลยก็ได้

            “เฮ้ย  พวกมึง  โครตหนาวเลยหว่ะ  ควันออกปากมั้ยเนี่ย”

            ผมหันไปพูดกับเพื่อนทันทีที่ก้าวเท้าลงจากรถสองแถว  พร้อมกับอ้าปากเป่าลมใส่หน้าปากมันไปคนละปู๊ด

            “ไอ้เหี่ย  ฟันก็ยังไม่แปรง”  

            ไอ้กอล์ฟบ่นออกมาทันทีพร้อมกับทำหน้าว่าเหม็นปากผมอย่างจริงจัง   ผมยกสองมือป้องปากตัวเองก่อนเป่าลมออกมา  แล้วทำทีเข่าอ่อน  ไอ้ทิวกะไอ้กอล์ฟเพื่อนรักแก๊งสามซ่ารีบเข้าหิ้วปีกผมคนละข้าง  ก่อนเราทั้งสามจะหัวเราะออกมาพร้อมๆ กัน

            “เออๆ  งั้นพวกเราแยกย้ายกันไปทำธุระส่วนตัวแล้วค่อยออกมาถ่ายรูปกัน” 

                ผมบอกพวกมัน  พวกมันก็พยักหน้ากันคนละที  ก่อนแยกย้ายกันไป  ผมยังไม่ไปล้างหน้าแปรงฟันหรอกครับ  ขอชื่นชมกลิ่นปาก  เอ้ย  ธรรมชาติหน้าที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูกระดึงก่อนละกัน 

            ตอนนี้เวลา 6 โมงเช้าแล้วครับ  แต่หมอกลงหนามากๆ  ลงสองแถวรับส่งนักท่องเที่ยวที่เปิดไฟวิ่งยังสังเกตเห็นในระยะแค่  20  เมตรได้มั้ง  ยอมรับว่าหนาว  คนอีสานโดนส่วนใหญ่อย่างผม  ไม่ค่อยได้สัมผัสอากาศหนาวหรอกครับ  ผมอิจฉาคนที่นี่จัง  ระหว่างที่ผมนั่งดื่มด่ำกับธรรมชาติอยู่นั้น  รถสองแถวอีกคันก็เข้ามาจอดใกล้ๆ บริเวณที่ผมนั่งอยู่  นักท่องเที่ยวขนของลงจากรถ  ผมเหลือบไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง  เธอรูปร่างโปร่ง  สูงเกินกว่าผู้หญิงทั่วไป  หน้าตาเป็นยังไง  ผมก็มองไม่ชัด  แต่สิ่งที่ชัดเจนที่สุดของเธอสำหรับผม  คือ  เธอยกกระเป๋าเป้ขนาดใหญ่ขึ้นหลังสอดแขนเข้าสายสะพายอย่างทะมัดทะแมง  ก่อนเดินตรงไปข้างประตูคนขับที่เลื่อนกระจกลง  ยกมือไหว้  พร้อมกับเอ่ยเสียงใสๆ

            “ขอบคุณนะคะ  ลุง”

            เธอเดินไปทางห้องน้ำหญิงแล้ว  ทิ้งไว้แค่รอยยิ้มบนใบหน้าผม  ผมว่าเธอน่ารักนะ  ขึ้นรถมาจ่ายเงินเองนั่งเบียดเสียดผู้คนมากมาย  ขณะที่คนอื่นกำลังบ่นหรือบิดขี้เกียจออกมาอย่างเมื่อยขบ  แต่เธอเดินไปขอบคุณคนขับรถ  ถ้าโลกเรามีคนแบบนี้เยอะ  โลกคงน่าอยู่ขึ้นอีกเยอะเลย 

            หลังจากนั้นผมก็ไปล้างหน้าแปรงฟัน  วันนี้ผมขอนะครับ  บางทีคนหล่อไม่ต้องอาบน้ำทุกเช้าก็ได้ใช่ไหมฮะ  ผมอาบไม่ได้จริงๆ  แค่คิดจะถอดเสื้อไขกระดูกสันหลังของผมมันยังตะโกนด่าผมเลยให้ตายสิ

            พอรวมแก๊งกันครบ  พวกเราสามตัวร้อยก็มองซ้ายมองขวา  ดูนั่งท่องเที่ยวกลุ่มอื่นๆ  ว่าเค้าทำอะไรกัน  สารภาพครับพวกเรามากันด้วยใจกับเงินล้วนๆ  ไม่ได้ศึกษาข้อมูลห่าเหวอะไรมาก่อนล่วงหน้าเลย  กะเอามันส์แต่ตอนนี้เริ่มทำอะไรไม่ถูกกันแล้ว  สีหน้าแต่ละคนเลิ่กลั่กสุดๆ  อย่างกะต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง

            “เอาหว่ะ  ไปมันอาคารที่มีคนออกันอยู่นั่น  แม่งแจกของรึไงหว่ะคนเยอะชิบหาย”

            ไอ้ทิวครับ  มันต้องแสดงความคิดเห็นเพราะมันแหละตัวดีบอกไม่ต้องหาข้อมูล  อีสานบ้านเราเองมันบอก  ไอ้เห้เอ้ย  ผมได้แต่ด่ามันในใจโทษฐานทำให้คนหล่อเสียเวลา  พวกเราเดินเกาะกลุ่มกันไปที่อาคารที่มีแค่เสากับหลังคาที่ได้ยินเสียงประกาศเป็นหมายเลข  ตอนนี้ก็หมายเลข  หกสิบกว่าๆ แล้ว  หลังจากยืนฟังพินิจพิจารณาด้วยสมองอันหลักแหลมของว่าที่นักศึกษาวิศวะ  (มึงเห่อไปครับไอ้เขา)  ผมก็เข้าใจว่าเขาฝากกระเป๋าให้กลุ่มคนที่ร่างกายกำยำ  ได้ยินแว่วๆ ว่าเขาเรียกกันว่าลูกหาบ  เขาทำงานหาบกระเป๋าสัมภาระขึ้นไป  ติดป้ายตัวใหญ่ๆทที่เสาทุกต้น  ++โลละ 30  บาท++           

            “เอาไงหว่ะ  พวกเรา” 

            ประชุมเพลิงครับ  ผมไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงินนะครับ  แค่คิดว่าเป้ใบเดียวแบกเองไหว  ส่วนเต็นท์ก็สลับกันถือก็น่าจะได้  พวกเรานักกีฬาโรงเรียนนะครับ  อย่าให้เสียชื่อ

            “แบกเองเหอะมึง  จิ๊บๆ กูว่า  แค่ 5 กิโลกว่าๆ เอง  พวกเราซ้อมบาสแม่งวิ่งกันวันละหลายโล  สบาย”

             ไอ้กอล์ฟมันพูดตรงใจผมเลยครับ  โลกว่าๆ ที่มันพูดถึงคือจากตรงนี้ไปถึงหลังเขาฮะ  จะเรียกว่ายอดเขาคงไม่ถูก  เพราะภูกระดึงใครๆ ก็รู้ว่าบริเวณด้านบนเป็นที่ราบกว้างใหญ่  อย่างกะมียักษ์มาลงดาบในแนวขนานกับพื้นโลก  ตัดขาดในดาบเดียวยังไงยังงั้น

            “ไปงั้น  หาอะไรกินกัน  กองทัพต้องเดินด้วยขาเว้ย”

            ผมบอกก่อนจะหมุนแล้วดันหลังพวกมันเดินเข้าร้านขายข้าวแกงที่ใกล้ที่สุด

            “กองทัพเดินด้วยท้องไหม๊มึง” 

            กอล์ฟครับมันเป็นมุกนะครับ  กูรู้ว่ามึงเข้าใจกูประมาณมองตาแล้วรู้ใจ  (บรึ๋ยขนลุก)  คุณเมิงจะขัดคุณกูทำไมหว่ะ

            ข้าวราดแกงคนละจาน  น้ำดื่มขวดลิตรคนละขวด  กะจะแบกไปกินระหว่างทาง  พวกผมติดน้ำเปล่าครับ  ซ้อมบาสนี่มันเหนื่อยโฮก  กินขวดเล็กไม่ไหวฮะ  ไม่ถึงครึ่งท้อง  ซัดกันทีเหมือนอูฐทะเลทรายขาดน้ำมา 3 เดือน  สงสารผู้จัดการทีมจริงๆ  หาน้ำให้พวกผมนี่อาจเหนื่อยกว่านักกีฬาในสนามซะอีก

            ทางเดินขึ้นเขามีอาคารเล็กๆ แบ่งเส้นทางขึ้นและลงชัดเจน  เราต้องเขียนชื่อ-นามสกุล  วันที่เดินทางขึ้น  กำหนดวันที่จะลงเขา  พร้อมเบอร์โทรศัพท์เราและเบอร์ติดต่อกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน  โครตเท่อ่ะ  แบบนี้เจ้าหน้าที่เขาก็เช็คจำนวนคนบนเขา  คนหาย  หรือติดต่อญาติถ้าเราเกิดบาดเจ็บได้ด้วย  ผมยังไม่เคยไปเที่ยวที่ไหนประทับใจขนาดนี้  แค่ไม่ถึงชั่วโมงผมประทับสองอย่างแล้วนะ  ผู้หญิงคนนั้นและระบบจัดการของอุทยาน  ถ้าผมจะยิ้มอีกสักครั้ง  จะมีคนว่าผมบ้าไหมครับ

                                         ##############ใส่ภาพยังไงอ่ะ

 

 

            เอาหล่ะครับถือว่าผม  นายขุนเขาพาผู้อ่านมาเที่ยวภูเขากันก็ได้  สนใจไกด์นำเที่ยวหล่อๆ ไหมครับ  นี่คือภาพที่นักท่องเที่ยวรายใหม่อย่างพวกเราให้ความสนใจ  และต้องถ่ายรูปเก็บไว้เพื่อตรวจสอบว่าเราอยู่จุดไหน  เหลือระยะทางเท่าไหร่  ตามจุดพักๆ จะเรียกว่าซำ  จุกพักแรกที่เราจะเจอ  คือ  ซำแฮก  ผมคนอีสานครับ  ถึงที่บ้านจะพูดภาษากลางเป็นหลักแต่ผมมั่นใจว่ากว่าร้อยละ 90  ของคนอีสาน  เราก็ฟังออกและพอจะสนทนากับคนท้องถิ่นให้เข้าใจตรงกันได้  ผมขออธิบายสักเล็กน้อย  แฮก  ในที่นี้หมายถึง  แรก  หรือจุดพักแรกจุดพักที่หนึ่งนั่นเองหล่ะครับ

            เจ็ดโมงเช้าพอดีเป๊ะ  ตอนไอ้กอล์ฟมันเงยหน้าขึ้นจากสมุดลงชื่อนักท่องเที่ยว  อากาศยังหนาวอยู่มาก  หนาวจนปวดกระดูกอ่ะ  ผมรู้สึกข้อเข่าผมปวดนิดๆ ด้วย

            “เอ้าเดินสิครับ  จะรอนายก  อบต.  มาลั่นฆ้องเหรอ” 

            ผมพูดพร้อมกระชับสายเป้สะพายหลังแล้วออกเดินนำไปก่อน  ผมอยากจะวิ่งขึ้นเขาด้วยใจฮึกเหิมซะจริงๆ 

            เดินมาสักพักผมเห็นมีนักท่องเที่ยวอยู่ข้างหน้าพวกเราเป็นกลุ่มๆ  ยกเว้นแต่คนที่ผมยาวๆ  มัดรวบสูงอย่างง่ายๆ  การเดินแต่ละก้าวทำให้ผมช่อนั่นสะบัดไปมา  เหมือนหางม้าเลยนะนั่น  กับเป้ใบใหญ่และชุด   ชุดๆๆๆๆๆนักกีฬาบาสเกตบอลชัดๆ ซึ่งเดินทิ้งห่างจากกลุ่มคนอื่นๆ พอสมควร  ผมตั้งสมมุติฐานได้ว่า  เขาหรือเธอมาคนเดียว  ทำไมถึงเรียกว่าเขาหรือเธอนะเหรอครับ  ด้วยระยะทางเกือบๆ 200  เมตร  ผมดูไม่ออกจริงๆ  ว่านั่นเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย  ผมยาวๆ สะบัดไปมานั่นควรจะเป็นผู้หญิง  แต่รูปร่างสูงโปร่ง  ท่าทางเดินอย่างคล่องแคล่วทะมัดทะแมงทั้งชุดบาสอย่างนั้นมันทำให้ผมคิดได้ว่า  ผู้ชายผมยาว 

            “เห้ย  พวกมึงเห็นคนนั้นไหม๊ว่ะ  ใส่ชุดบาสด้วย  ไปหาเพื่อนใหม่กันหน่อยไหม๊พวกเรา” 

            ผมชี้ไปที่คนๆ นั้น  พวกมันจากที่คุยกันหัวเราะเฮฮาก็เงียบเสียงแล้วมองไปตามทิศทางที่ผมชี้ไป

            “ผู้ชายหรือผู้หญิงว่ะ  แต่ไปก็ดีเขาเดินคนเดียวด้วย ป่ะ”

             ไอ้ทิวครับเหมือนผมคิดแล้วมันพูดออกมา  ผมจะกลัวมันไหม๊เนี่ย  ผมว่ามันอ่านใจผมออก

            “เห้  วิ่งแข่งกัน” 

            ไอ้กอล์ฟพูดหลังจากออกวิ่ง  มึงออกวิ่งนำหน้าไปเกือบ 5 เมตรแล้ว  โครตยุติธรรมเลยครับคุณเพื่อน

            พวกผมวิ่งกระหืดกระหอบไปจนถึงเป้าหมาย  ไอ้กอล์ฟที่ถึงก่อนเอามือทั้งสองข้างเท้ากะหัวเข่า  เหงื่อพราวเต็มหน้า  ผมกับไอ้ทิวมาถึงพร้อมๆ กัน  ดูเหมือนเป้าหมายของเราจะตกใจกับการมาของสามตัวร้อยอย่างเราอยู่ไม่น้อย  จึงหันมาจนหางม้าสะบัด  แต่ๆๆๆๆๆ  พวกผมสามตัวร้อยนี่อาการหนักกว่า หนักกว่ามาก   ตาโต  จมูกเล็กโด่งเชิดนิดๆ  ปางอิ่มได้รูปเป็นกระจับ  กับแก้มที่ออกแดงๆ  คาดว่าเกิดจากความร้อนในร่างกายจากการเดินขึ้นเขา  น่ารัก  เหมือนตุ๊กาตาเลย  เห้ย  ผมคิดดังไปป่ะว่ะ  ไอ้ทิวมันจะได้ยินไหม๊  ผมเริ่มอายความคิดตัวเอง  รวมไปถึงกลัวเพื่อนจับความคิดได้

            “อะ อื้ม  เอ่อ” 

            ผมเริ่มต้นการสนทนาโดยการหาเสียงตัวเองไม่เจอครับ

            “สวัสดีครับ” 

            ขอบคุณนะครับคุณเพื่อนทิว  กูรักมึง

            “สวัสดีค่ะ”

            เสียงใส  ผมจำได้  รูปร่างแบบนี้  น้ำเสียงแบบนี้  ถ้าผมขี้ตู่ว่าพรหมลิขิตของผมจะได้ไหม  แต่ดูหน้าคนพูดทักทายเมื่อครู่คงจะยังงงๆ  ตาโตที่เบิกกว้างก็ยังกว้างอยู่ตามด้วยการเอียงคอเล็กน้อยเป็นเชิงถาม

                “ขอโทษครับนึกว่าเพื่อน” 

            ผมละล่ำละลักบอก  แล้วรีบลากไอ้สองตัวออกจากจุดเกิดเหตุ     มันก็ตามผมมาอย่างงงๆ  มันอึ้งจนลืมขัดขืนมั้ง  ผมว่านะ

            “น้องค่ะ  ไม่ต้องรีบนะ  ทางยังอีกไกล  เก็บแรงไว้ก่อน”

            เสียงใสยังตะโกนตามหลังมาอย่างห่วงใย  เมื่อห่างมาพอสมควรผมก็เลิกลากพวกมัน  แล้วเดินเร็วๆ  โดยไม่พูดไม่จา  ไอ้ตัวเกลอวิ่งตามมาเยาะๆ

            “ไอ้เขา  มึงทำไมไปบอกเขาว่าพวกเราคิดว่าเขาเป็นเพื่อนว่ะ”  ลองกลับไปอ่านอีกรอบก็ได้ครับคนอ่าน  ประโยคจากปากไอ้ทิวเมื่อกี้มีหลายเขา  คุณผู้อ่านที่น่ารักของผมอาจจะสับสนได้

            “กู....................  กูทำตัวไม่ถูกจริงๆ มึง  กูจะทำยังไงดีว่ะ”

            ผมใช้สองมือยีหัวตัวเอง  ดีที่หัวเกรียนๆ  ผมมันก็ไม่มีสิทธิ์ได้มาผูกพันกันหรอกนะ

            “อย่างน้อยเราก็ควรแนะนำตัว  ถามชื่อเค้าสิเมิง” 

            ไอ้ทิวมันทำไมพูดได้ด้วยท่าทีสบายขนาดนั้น

            “กูว่ากูพอจะรู้อาการไอ้เขา” 

            เมิงเป็นหมอเหรอครับไอ้กอล์ฟ

            “ห๊า  รักแรกพบ”

             เชี่ย  แล้วพวกมึงจะตะโกนขึ้นมาพร้อมกันทำไม  เขาก็อยู่ข้างหลังไปไม่ไกลนี่  ไอ้ๆๆๆๆๆ  สองตัวห้าบาทก็ไม่มีคนซื้อ  ผมเลยต้องลากมันสองตัววิ่งต่อ  ไปจนถึงซำแฮก  ผมว่าผมเข้าใจซำแฮกในอีกมิติหนึ่ง  มันคือเหนื่อยจนผมต้องมานั่งหอบแฮกๆ  อยู่ใต้ต้นไม้นี่ไง

            “ตกลงมันยังไง  ไอ้เขามึงอธิบายมาซิ” 

            พอหายหอบไอ้ทิวมันก็รีบซักผม  ยังกะว่ากลัวจะลืมหัวข้อเรื่องที่เรียนมา   ผมลากมันสองตัวออกจากเส้นทางหลักไปทางป้ายห้องน้ำชาย  โชคดีที่มีเก้าอี้ไม้ง่ายๆ  ให้นั่งหน้าห้องน้ำ  กลิ่นมันไม่ได้ดีหรอกนะหน้าห้องน้ำชาย  แต่ผมคิดว่ามันเป็นสถานที่เดียวที่ผมพอจะหลบภัยได้ในเวลานี้  ผมต้องเล่าให้พวกมันฟัง  ผมไม่มีเรื่องที่เป็นความลับกับพวกมัน  แต่ผมจะเริ่มตรงไหนดีนี่สิ

            “คือยังงี้นะเพื่อน  กูว่ากูรักเขาว่ะ”

            ในเมื่อหาตอนเริ่มไม่ได้  ผมก็เข้าจุดไคลแม็กเลยแล้วกัน  ผมยกมือขวาเกาท้ายทอย  ตาหลุบต่ำ  ผมไม่อยากมองสายตาของพวกมัน  อาจเป็นสายตาขำๆ  ล้อเลียน  ไม่เชื่อ  สมเพช  ผมกลัวผมไม่ได้อาย  ผมกลัวว่ามันจะตีความหมายผมผิดไป

            “กูรู้  กูเชื่อมึง” 

            พวกมันพูดขึ้นพร้อมกัน  แต่เป็นคนละคำ  ผมรีบเงยหน้าขึ้นมองพวกมัน  สายตาของมันบอกผมว่าสิ่งที่มันพูด  มันคิดอย่างนั้นจริงๆ

            “แต่มึงต้องเล่าให้ละเอียด  ที่มึงคิด  ที่มึงรู้สึก  ถ้ามันสมเหตุสมผล  กูจะช่วยมึงเต็มที่  แม้จะเป็นเวลาสั้นๆ  แต่กูเชื่อว่ามันจะดีกว่ามึงไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย” 

            ขอบคุณเพื่อนทิว  ไม่เสียใจจริงๆ  ที่คบกับมึงมา  กูร้องไห้จะได้ไหม๊  กูซึ้งใจจริงๆ  พวกมันกำลังมองผม  รอคอยคำตอบจากผม  ไอ้กอล์ฟเอื้อมมือมาตบไหล่ผมเบาๆ  อย่างให้กำลังใจ

            “เมื่อกี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่กูเห็นเค้า  เมื่อเช้าตอนแยกย้ายกันหลังจากลงรถ  กูก็นั่งเล่นอยู่แถวๆ นั้น  จนรถสองแถวเข้ามาอีกคัน  กูเห็นเขาลงจากรถกูชอบตั้งแต่ท่าทางที่ไม่หญิงจ๋าของเขาแล้ว  แต่กูโครตประทับใจที่หลังจากเขาแบกกระเป๋าขึ้นหลังได้  ก็ตรงไปไหว้แล้วบอกขอบคุณคนขับรถ  ตอนนั้นกูไม่เห็นหน้าเขาหรอก  กูแค่ชอบท่าทางของเขา  นิสัยของเขา  และก็เสียงใสๆ นั่น”

            ผมอธิบายยาวกว่าตอบคำถามอัตนัย  ทุกคำมันไหลลื่น  มันเหมือนผมกำลังรำพึงกะตัวเอง

            “แล้วพอเห็นหน้าเค้า  มึงเลยเป็นเหมือนต้องมนต์สะกดแบบนี้”

            ไอ้ทิวเสียงสูง

            “ช่าย  กูถึงกล้าบอกว่ากูรักเค้าไง  ชอบสองครั้งก็กลายเป็นรักป่ะว่ะมึง”

            ผมยังละเมอของผมต่อไป

            “ไปหนักแล้วมึงอ่ะ  แล้วมึงจะเอายังไง”

            ไอ้ทิวกูก็อยากตอบว่ากูจะเอาเขาแหละ  แต่กูกระดากปากหว่ะ

            “กูจะตามเขาไปทุกที่  กูจะมองเขาอยู่ห่างๆ  กูจะเก็บเค้าไว้ในความทรงจำ”

            ประเทศไทยมันกว้างใหญ่นะโว้ย  พวกมึงต้องเข้าใจกู  ถ้าเขามาจากที่อื่น  กูจะรั้งเขาไว้ก็ไม่ได้  กูจะตามเขาไปก็ไม่ได้  มีแค่สามวันสองคืน  กูแค่ขอได้สูดอากาศหายใจใกล้เขาก็พอแล้ว

            “เชี่ย  มึงเป็นสต็อกเกอร์รึไง  เขาก็ออกจะเฟรนลี่  มึงได้ยินเขาตะโกนตามหลังเรารึเปล่า  ตีสนิทเลย  มึงไม่กล้ากูเอา”

            ไอ้เชี่ยกอล์ฟมึงมาฆ่ากูดีกว่ามั้ย 

            “เออๆ  กูขอเวลารวบรวมสติก่อน  ป่ะ  เดินต่อกันพวก”

            ผมก็รับปากพวกมันไปยังงั้นแหละ  เรื่องกล้าไม่กล้านี่ผมยังไม่รู้เลย  พวกเราเริ่มออกเดินอีกครั้ง  สายแล้วครับเริ่มมีแดด  เสื้อกันหนาวกางเกงขายาวที่พวกผมใส่มาถูกผลัดเปลี่ยนในห้องน้ำที่ซำกกไผ่  ได้น้ำล้างหน้าล้างตาตบๆ  ตามแขนขาค่อยพอมีแรงเดินต่อหน่อย  ผมเข้าใจคนที่ใส่ชุดบาสมาเลย  เตรียมตัวมาดีมาก  ถ้าไม่เพราะเคยมาแล้ว  ก็คงจะศึกษาข้อมูลมาอย่างดี  ผมทึ่งจริงๆ นะเนี่ย  หนำซ้ำยังมาคนเดียวอีก  ยิ่งคิดยิ่งเป็นห่วง  ผมอยากให้เธออยู่ในสายตา  โอ้ย  นาทีเดียวแปดอารมณ์แล้ว  ผมไม่แน่ใจว่าตอนนี้เธออยู่ข้างหน้าเรา  หรืออยู่ข้างหลังเรา  จากการส่งแบบสอบถามไปยังไอ้ทิวกับไอ้กอล์ฟ  ผลโหวตก็เห็นเป็นเอกฉันท์ว่า  เธอน่าจะอยู่ข้างหน้าเรา

            “มึงคิดดูนะโว้ย  โดยหลักการแล้ว  ความเร็วคงที่สม่ำเสมอ  มันก็เร็วกว่าไอ้พวกกระต่ายแอบนอนใต้ต้นไม้  เซอร์ ไอแซก นิวตัน  ไม่ได้กล่าวไว้  แม่กูเอง  เล่าให้ฟังตั้งแต่เด็กๆ”

            ถุ้ย!!!!!!  ไอ้กอล์ฟ  กูนึกว่ามึงจะใช้ฟิสิกส์ เรื่องแรง ความเร็ว ความเร่ง  สรุปมึงมาจบที่นิทานอีสปเนี่ยนะ  กูละอยากให้มึงติดคณะนิยาย  เอกจินตนาการจริงๆ  ผมได้แต่ก่นด่ามันในใจ  แต่เรื่องที่ว่าเธออยู่ข้างหน้าผมเชื่อนะ  ความคิดนั้นเลยทำให้ผมสาวเท้าเร็วขึ้น  พวกมึงอย่าสังเกตเห็นนะ  กูขอร้อง  ได้ผลแฮะ  พวกมันเดินขนาบข้างผมมาเงียบๆ

            ผมเห็นนักท่องเที่ยวกลุ่มที่ทยอยกลับ  เดินสวนลงมา  มีการทักทานกันอย่างเป็นกันเอง  นี่แหละอีสานบ้านผม  ผมโครตจะภูมิใจ  ผมเห็นวัยรุ่นกลุ่มนึ่งมากัน  คน  ท่าทางจะรุ่นๆ  กะพวกผม  ก็เลยทักทายไปนิดหน่อยพร้อมถามว่าใกล้ถึงรึยัง  ทั้งๆ  ที่ทุกคนก็รู้ตามป้ายที่บอกตลอดทางแหละ  แต่การถามผู้ประสบผลสำเร็จแล้วนี่  ผมว่ามันก็จะได้อารมณ์อีกแบบนึง

            “เหลืออีกตั้งไกลโว้ย  ยังไงก็สู้ๆ นะพวกมึง  โชคดี”

            พวกมันโบกไม้โบกมือให้พวกผม  แล้ววิ่งแข่งกันลงไปข้างล่าง  เสียงโหวกเหวกเหมือนฝูงลิงถูกไล่ที่อ่ะผมว่า

            หลังจากผ่านซำแคร่ทางต่อไปค่อนข้างชัน  ความเร็วพวกเราเริ่มลดลง  เหนื่อยผมยกขาจะไม่ไหวแล้ว  ผมมีอาการหายใจไม่ค่อยเต็มปอดคงเป็นเพราะความกดอากาศที่ลดลงเมื่อเราปีนเขามาสูงขึ้น  เต็นท์หลังใหญ่ถูกสลับกันถือไปมา บางที่เราน่าจะใช้บริการลูกหาบนะ  แต่ถึงยังไงกลุ่มเราก็แซงกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า  จนเห็นหลังไวๆ ของใครบางคน

            “เห้ย  ทำไมไปทางนั้นหว่ะ”

            ผมอุทานไม่ได้ดังมาก  สองตังห้าบาทมองตามสายตาของผมไปปะทะกับร่างบาง  ผมไม่รู้จะขำ  จะเคือง  หรือจะโกรธดี  จะอธิบายยังไง  ทางข้างหน้าเป็นทางโค้งครับอีกทั้งยังต้องปีนบันไดลิง  ตัวที่ทำจากเหล็กกลมๆ  ถ้ามีกลุ่มคนลงก็ต้องแบ่งกันใช้คนละตัว  มองไปตอนนี้นี่มีคนรอใช้บริการมากกว่ารถไฟฟรีอีกมั้ง  คงเป็นเหตุผลที่เราเห็นลิงที่สวยที่สุดปีนป่ายไปตามป่าไผ่อยู่ในขณะนี้

            “ระยะกระจัด  แม่งโครตฉลาด” 

            ไอ้กอล์ฟนี่อึ้งสุดๆ  ตาตี่ๆ เท่าเม็ดก๋วยจี๊เบิกออกมาเท่าเมล็ดฟักทองแล้ว 

            “ไปไหม๊พวกมึง”

            ผมถามความสมัครใจของหมู่คณะ

            “ไปดิ๊  รอไรหล่ะ” 

            จัดไปทิวมึงนำเลย  กูไม่ได้กลัวตก  กูกลัวเค้ายังพักอยู่ข้างบน  กูกลัวกูทำหน้าไม่ถูกถ้าเจอเค้าอีกว่ะ

            มันเป็นการออกนอกเส้นทางที่โครตท้าทาย  คิดดูตามทางโค้งๆ ยังได้ปีนบันไดลิง  นี่พุ่งในแนวดิ่ง  จากทึ่งนี่ผมเพิ่มความศรัทธาให้เธอเลยครับ  ทำไปได้ยังไง  พอพวกผมขึ้นมาถึงข้างบน  เธอไม่ได้อยู่ตรงนั้นอย่างที่ผมกลัวหรอกครับ  อีกนิดเดียวก็จะถึงหลังแปแล้ว  คงอยากพักทีเดียวละมั้ง  พวกเราแก็งสามซ่าก็สู้เขานะ

            ไม่กี่อึดใจพวกผมก็ก้าวขึ้นสู่หลังแปครับ  รีบปลดกระเป๋าบนบ่าแล้วไปนั่งบริเวณหน้าผาดูทิวทัศน์ข้างล่าง

            “น้องๆ  มาถ่ายรูปสิ  อีกหน่อยคนมาเยอะก็ไม่ได้ถ่ายหรอก”

            ผมหันไปตะลึงอีกครั้ง  เธออยู่ตรงนั้นครับ  ตรงป้าย  “ครั้งหนึ่งในชีวิตเราคือผู้พิชิตภูกระดึง”  เธออยู่กับขาตั้งกล้อง  ห๊า  แบกขาตั้งกล้องมาด้วย  แต่เป็นกล้องดิจิตอลขนาดเล็กๆ ครับ  อย่าเพิ่งตกใจว่าเธอจะแบกกล้องตัวใหญ่ของเหล่ามืออาชีพนะครับ  พวกผมรีบลุกไปหาเธอ 

            “สวัสดีอีกครั้งครับ  ช่วยถ่ายรูปให้พวกผมหน่อยได้ไหมครับ”

            ผมก้มหัวให้เธอนิดหน่อย  แล้วยื่นกล้องในมือให้เธอ  เธอรับไว้ทันที

            “ได้สิ  แล้วก็ถ่ายรูปให้พี่ด้วยนะ  พี่วิ่งสามสี่รอบแล้วยังไม่ได้รูปที่ถูกใจเลย”

            ผมพยักหน้าแล้วเดินไปที่ป้าย  เธอสั่งพวกเรายืนตรงโน้นทำท่าอย่างนี้จนพอใจก็กวักมือเรียกพวกเรามาถ่ายให้เธอบ้าง  ไอ้ทิวรับหน้าที่ตากล้อง  ส่วนผมนะเหรอ  ผมรับบทสต็อกเกอร์ครับ  อย่างน้อยผมก็มีรูปเธอแล้วและมันจะอยู่ย้ำเตือนให้ความทรงจำของผมชัดเจนตลอดไป

            “ขอบใจนะ”

            เธอรับกล้องคืนไป  เปิดดูรูปภาพพลางเดินไปที่เก้าอี้ริมหน้าผา  สนใจกล้องในมือจนไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาทางพวกเราอีก  พวกเราพากันเดินไปอีกฝั่งของป้าย  กลับไปหากระเป๋าของเรา  แม้ว่าใจของผมไม่ได้อยู่ที่นั่นก็ตาม

                เป็นอย่างที่เธอพูดไม่ผิดครับ  สักพักนักท่องเที่ยวก็มาถึงหลังแปกันแล้ว  มากันอย่างอุ่นหนาฝาคลั่งกันเลยทีเดียว  เราได้ญาติเพิ่มเยอะมากที่หลังแปนี่  เค้าเรียกให้ช่วยไปถ่ายรูปครับ  เอาตามที่ชอบใจเลยครับ  เชิญจับจ่ายใช้สอย  น้อง, พี่, ลูก, หลานชาย  พวกผมก็สลับกันไปจนเบื่อ  บางทีมีสาวแจ่มๆ มาขอให้ชวย ไอ้ทิวไอ้กอล์ฟนี่  ไม่รู้กล้องเขากล้องเราถ่ายกันให้มั่วไปหมด  ถ้าเราไม่ออกจากบริเวณนี้ภายในนาทีนี้  ผมว่าเราไปเอาดีทางเป้นช่างภาพก็น่าจะได้ครับ

            “เห้ย  ไปต่อกันเถอะ” 

            ผมเรียกพวกมันที่ไปหลีสาวอยู่หน้าป้าย  พวกมันล่ำลาโกไม้โบกมือให้สาวๆ  แล้วไปหยิบกระเป๋า  ส่วนผมหน่ะเหรอกระเป๋าได้มาแล้ว  อุ้มเต้นท์มาด้วย  ผมยืนอยู่กลางฝูงชน  ผมกำลังพยายามมองหาเธอ  ผมเชื่อว่าถ้าเธอยังอยู่ที่นั่นผมคงเจอเธอได้ไม่ยาก  แต่เธอไม่อยู่แล้วครับ  หายไปไหนอีกแล้วเนี่ย 

            ระยะทางอีกสามกิโลครึ่ง  กับลักษณะเป็นดินทราย  เดินยากมากครับ  ร้อนด้วย  ผมเดินเร็วเต็มที่  หวังว่าจะทันเธอ  ไม่นานพวกผมก็มาถึงศูนย์ฯ วังกวาง  ที่เป็นจุดกางเต้นและเช่าเต้นท์สำหรับนักท่องเที่ยว  ผมหมดหวังจริงๆ ครับ  ผมไม่มีทางได้เจอเธอแน่ๆ  มันกว้างมากๆ  ถ้าผมเจอเธอนี่ผมขอเรียกมันว่าพรหมลิขิตจริงๆ แล้วนะครับ

            พวกเราเลือกกางเต้นท์บริเวณโซน  ครับ  โซนหน้าจะเป็นนักท่องเที่ยวที่เช่าเต้นท์ของอุทยาน  เจ้าหน้าที่จะกางไว้ตลอดฤดูท่องเที่ยวเลย  ใช้ปูนขาวโรยรอบๆ กันทาก  แต่เราที่แบกเต้นท์มาเองก็ได้โซนหลังไป  เราเลยเลือกโซนใกล้ห้องน้ำครับเพื่อความสะดวกหลายๆ อย่าง  (เรามาก่อนเรามีสิทธิ์เลือกครับ)  หลังจากกางเต้นท์เก็บของเสร็จก็ได้เวลาอาบน้ำครับ  สารภาพเลยว่าเหนียวตัวสุดๆ  ผมว่าความหล่อผมลดลงครึ่งนึงแล้วอ่ะ  ถึงอากาศจะร้อนแต่น้ำที่นี่เย็นมาก  ผมว่าเขาต้องสูบมาจากน้ำตกไนแองการ่าแน่ๆ แต่สดชื่นจริงๆ ครับ 

            ตอนที่พวกเราออกมาจากห้องน้ำ   จากลานโล่งๆในตอนแรก ตอนนี้ถูกจับจองไปด้วยเต้นท์จนเต็มพื้นที่  แต่ก็เว้นระยะห่างกันพอสมควรครับ  ไม่ได้แน่นมาก  ต่อจากนั้นพวกเราก็ออกไปเดนสำรวจร้านค้า  หาของกินกันครับ  เตรียมซื้อหาขนมเครื่องดื่มไปกินคุยกันหน้าเต้นท์สร้างบรรยากาศ  ไอ้กอล์ฟมันอยากกินเบียร์ครับจัดให้มันไปขวดนึงพอ  นอกนั้นก็เห็นน้ำอัดลมและขนมกรุบกรอบ  ผมอยากจะบอกให้ทราบโดยทั่วกันว่าของทุกอย่างแพงมากครับ  แต่ก็เห็นใจพ่อค้าแม่ค้านะครับ  กว่าจะเอาขึ้นมาขายได้  เรื่องนี้ผมก็ได้แค่บ่นอยู่ในใจ

            พวกผมเดินคุยกันมาถึงเต้นท์ อย่างออกรสออกชาด  แต่แล้วจู่ๆ เสียงสนทนาก็เราก็ขาดหายไปเกือบพร้อมๆ ลมหายใจของผม(อันนี้ผมเวอร์ครับ)  ที่หน้าเต้นท์หลังน้อยใต้ต้นไม้  เธอนั่งอยู่ที่นั่น  เธอกำลังนวดขาตัวเองด้วยยานวดหลอดนึงครับ

                ใต้ต้นไม้ต้นเดียวกัน  ในโซนเดียวกัน  ไม่มีเต้นท์หลังไหนบังอาจมากีดขวาง  เธอคือพรหมลิขิตของผม  ต่อจากนี้ผมจะเดินหน้า  ผมจะไม่หนีอีกแล้ว  คิดยังไม่จบดีไอ้หมาตัวไหนยันผมมายืนตรงหน้าเธอครับ  อย่าให้รู้นะเมิง  กูจะสมนาคุณอย่างงาม

            สิ่งแรกที่เธอเห็นคงเป็นเท้าผมครับ  เธอไล่สายตาขึ้นมาเรื่อยๆ  จนเราสบตากัน

            “เอ้าน้องนี่เอง  กางเต้นท์แถวนี้เหรอ”

            เธอถามทั้งๆ ที่ยังนวดขาตัวเองอยู่

            “ครับ  นี่ไงเต้นท์พวกผม”

            ผมชี้ไปทางที่ไอ้สองตัวห้าบาทยืนอยู่  พวกมันเลยเดินมาทักทายเธอ  ผมเพิ่งสังเกตเห็นเสื้อที่เธอใส่อยู่เป็นตรามหาวิทยาลัยที่พวกผมเพิ่งสอบติดมาสดๆ ร้อนๆ บุพเพสันนิวาส  พรหมลิขิต  เนื้อคู่ โซลเมท  จะอะไรก็ได้ทั้งนั้นจัดมาเถอะ  ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมเธอมั่นใจแทนตัวเองว่าพี่และเรียกเราว่าน้องโดยตลอด  เอาหล่ะ  ผมจะเล่นบทน้องชายที่แสนดีกับเธอก็ได้

            “พี่ครับพี่เรียนมหาฯ ลัย ......................เหรอครับ”

            “พี่ชื่ออะไรครับ”

            “พี่อยู่ปีไหนครับ”

            “คณะอะไรครับ”

            “สาขาอะไรครับ”  

            และอีกหลายคำถาม  คำถามแรกๆ  เธอก็ตอบดีครับ  เธอยิ้มแย้ม  แต่ผมสังเกตว่ารอยยิ้มของเธอเริ่มลดลงเรื่อยๆ  ผมอยากให้เธอยิ้มครับ  ไม่อยากให้เธอกังวลสักนิดเดียว  ผมเลยขอตัวแล้วลากพวกมันกลับเข้าเต้นท์ไป  คิดทบทวนรอบที่ล้านอยู่ในใจ (พี่ฟ้า  คณะศึกษาศาสตร์  เอกคณิตศาสตร์  ปี  1)  จนมืดพวกเราก็โผล่ออกมานอกเต้นท์  นั่งกินเบียร์กินขนมกัน  ไอ้กอล์ฟไอ้เพื่อนชั่วมันไปเคาะเต้นท์เธอชวนออกมากินขนม  ผมได้ยินเสียงใสๆ ตอบมันว่า 

            “กินกันเลย  พี่จะรีบนอน  พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า”

            คืนนั้นพวกผมเข้านอนกันตอนเกือบๆ เที่ยงคืน  แปลกที่กว่าจะนอนหลับอีกตีสอง  แล้วตื่นเอาอีกทีตอนแสงแยงตาแล้ว  แต่อากาศเย็นนะครับ  โผล่หัวออกมาจากเต้นท์เห็นน้ำหมอกเกาะเป็นหยดน้ำบนยอดหญ้า  สวยจนต้องหยิบกล้องมาถ่ายรูป  ผมมองไปที่เต้นท์ของเธอ  ไม่อยู่ครับเธอล็อกเต้นด้วยกุญแจดอกเล็กๆ  จุดประสงค์คงป้องกันไม่ให้กวางมุดเข้าไปในเต้นท์  อันนี้ผมก็เพิ่งทราบจากเสียงประกาศเมื่อสักครู่  แต่เธอเตรียมรับมือเรื่องนี้มาแล้วอย่างดีครับ

            กิจวัตรตอนเช้าก็อาบน้ำแปรงฟันแหละครับ  กลับมาเจอเธออีกทีเกือบๆ สองโมงเช้า  สอบถามได้ความว่าเธอไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น  เธอยังแนะนำให้พวกเราไปดูให้ได้ถ้าอยู่ถึงพรุ่งนี้  พวกเราชวนเธอไปหาของกิน  อีกแล้วครับกินแก้ว  ผมว่าเธออาจจะกลัวพวกเราไปแล้วก็ได้  แต่กับคนอื่นๆ  เช่นชายหญิงคู่นั้น  หรือกลุ่มเด็กสาวๆ ที่ส่งตาวิ๊งๆ มาทางเต้นท์พวกผม  เธอก็ยิ้มแย้ม  พูดคุยดี  ผมคงไม่ต้องห่วงเธอแล้วครับ  เธอมีเพื่อนใหม่เยอะแยะเลย 

            แล้วผมก็ไม่ได้เห็นหน้าฟ้า  นางฟ้าของผมอีกเลยตลอดทริปภูกระดึง  คืนที่สองผมรู้ว่าเธออยู่ในเต้นท์แต่ไม่อยากรบกวน  ส่วนตอนเช้าหลังจากผมกลับจากผานกแอ่น  เต้นท์หลังน้อยของเธอก็หายไปแล้ว  ผมรู้สึกใจหาย  หรือหัวใจผมหายไปพร้อมกับเธอ

ผู้เขียน  นิยายเรื่องแรกของเรานะคะ  ฝากติดตาม  ติชม  พูดคุยเสนอแนะได้นะคะ  

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา