ไหนบอกว่ามันเป็นแค่ชาวบ้าน!

-

เขียนโดย SilencerWT

วันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 เวลา 21.29 น.

  2 ตอน
  0 วิจารณ์
  3,268 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 21.34 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) 02 : แอร่อนคือฟอลค่อน และฟอลค่อนก็คือแอร่อน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

02 : แอร่อนคือฟอลค่อน และฟอลค่อนก็คือแอร่อน

                “เจ้าจะรับผิดชอบกับคนพวกนี้ยังไง” ชายหนุ่มร่างสูงกำยำกับใบหน้าอันงดงามหันไปถามเด็กสาวเจ้าของร้าน แน่นอน เขาคือแอร่อน และเขาก็เป็นคนเดียวกับที่ใส่ชุดพรานโสโครกนั่นด้วย

                “นั่นมันเป็นคำพูดของข้าต่างหาก” เด็กสาวโต้ เธอแสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก

                “แต่นี่มันร้านเจ้า”

                “แต่ทั้งหมดเป็นฝีมือของเจ้า”

                “ข้าเปล่านะ พวกเขาก็แค่ลื่นล้มเท่านั้น”

                “ตอนแรกเจ้าบอกว่าหน้ามืดจนล้มลง”

                “อันที่จริงข้าหมายถึงแบบนั้นแหละ” แอร่อนแถหน้าตาเฉย

                “ยังไงก็เถอะ ข้าไม่ห่วงเรื่องเจ้าคนพวกนี้เท่ากับค่าอาหารหรอก เจ้าทำให้ข้าขาดทุนไปเท่าไหร่เจ้ารู้ไหม นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกด้วย”

                “ข้าคิดว่าข้าต้องทบทวนความจำสักหน่อย อาจจะใช้เวลาไม่น้อย”

                “อย่าหาทางหนี”

                “ข้าเปล่า”

                “ถ้าอย่างนั้นก็จ่ายมาห้าสิบเหรียญเงิน”

                “เจ้าเห็นข้าเป็นพ่อค้าจากตะวันออกที่มาพร้อมกับฝูงคาราวานสินค้าอย่างนั้นเหรอ เหอะ”

                “ไม่ต้องมาเหอะเลย นั่นมันเนื้อหมูทับทิม คิดว่ามันยากแค่ไหนกว่าข้าจะล่ามันมาได้ กลับต้องมาเสียของเพราะคนอย่างเจ้า”

                “ไม่เห็นเสียของเลย อร่อยมากด้วย นี่เรานอกเรื่องเกินไปรึเปล่า ข้ามาที่นี่เพื่อเติมพลังนะ ไม่ได้มาเถียงกับเจ้าซักหน่อย”

                “เรากำลังอยู่ในเรื่องต่างหากล่ะ เจ้าจะไปไหนไม่ได้ถ้าหากว่าเจ้าไม่จ่ายข้ามาก่อน”

                “เอานี่ไปแทนได้รึเปล่า” แอร่อนว่าพลางยื่นขวดแก้วขนาดเล็กซึ่งปิดฝาด้วยจุกไม้อย่างมิดชิด มันเป็นสีดำสนิทคล้ายกับยาพิษหรือไม่ก็น้ำหมึก

                “อะไร”

                “พิษของสิบหกตา”

                “แมงมุมปีศาจน่ะเหรอ เจ้าล้อข้าเล่นรึเปล่า”

                “เมื่อวานข้าเพิ่งฆ่ามันได้น่ะ คิดว่าน่าจะมีราคาบ้างเลยเก็บใส่ขวด แต่โชคร้ายหน่อยที่รีดมาได้แค่นี้”

                “อย่าบอกนะว่าเจ้าไปลงดันเจี้ยนมา”

                “ข้าจะบอกทำไมในเมื่อเจ้าไม่ถาม”

                “ข้าจะทำยังไงกับเจ้าดีนะ” เด็กสาวกัดฟันว่า เธอรู้สึกตะขิดตะขวงใจทุกครั้งที่ได้คุยกับชายคนนี้

                “ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัว พอดีว่าไม่ได้หลับมาสามวันแล้วน่ะ ส่วนเจ้าพวกที่นอนอยู่ตรงนี้ก็ฝากเจ้าแล้วกัน”

                “เดี๋ยว” เด็กสาวร้อง “เจ้าต้องพิสูจน์ก่อนว่านี่คือของจริง ข้าถึงจะปล่อยให้เจ้าไป”

                แอร่อนได้ยินแล้วก็ฉีกยิ้มสดใส “มันฆ่าคนได้ทันที ขั้นเลวร้ายคือเปลี่ยนมนุษย์ให้กลายเป็นตัวประหลาด เจ้าลองให้หนูสักตัวลองกินดูสิ มันได้ผลกับสิ่งมีชีวิตที่มีหางแบบสุดๆ”

                “ก็ได้ ข้าเชื่อเจ้า” เด็กสาวพยักหน้า “แต่คราวหน้าอย่าทำตัวแบบนี้อีก”

                “ขอรับท่านหญิง” แอร่อนโค้งศีรษะอย่างผู้รับใช้ในวังก่อนจะเดินออกประตูไป เด็กสาวพลันหันไปมองพวกทหารรับจ้างไร้สติตรงหน้าก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า นี่คือความรับผิดชอบของแอร่อน ไม่ใช่เธอ

                “ไอ้บ้านั่น” เธอสบถออกมาอย่างเจ็บแค้น “อย่าให้ข้าได้แสดงฝีมือเชียว”

 

                แอร่อนคือฟอลค่อน และฟอลค่อนก็คือแอร่อน จะเปลี่ยนไปก็เพียงแค่ชื่อเท่านั้น เขาไม่ได้ทิ้งตัวตนเดิมของเขาแต่อย่างใด ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งเดินออกจากร้างอาหารของเด็กสาวที่มีชื่อว่า คลาเมไทม์ อย่างสบายอกสบายใจ เขาอิ่มท้องและมีความสุข ทุกวันนี้ฟอลค่อนในนามแอร่อนอยู่อาศัยในหมู่บ้านไทอาแห่งกาแลนด์ อันเป็นดินแดนซึ่งเต็มไปด้วยภัยอันตรายจากเหล่าสัตว์ประหลาด บางครั้งก็มีปีศาจออกมา

                แต่เขาก็ไม่เคยนึกหวั่นกลัวเรื่องนั้นเลยแม้แต่น้อย เพราะเขาคือฟอลค่อนนามแอร่อน

                “แล้วจะให้เรียกชื่อตัวข้าเองว่ายังไงล่ะ” เขากล่าวขึ้นขณะเดินไปตามเส้นทางอันเล็กแคบตัดผ่านตัวหมู่บ้าน พลันมีภูติจิ๋วตนหนึ่งปรากฏขึ้น เธอมีร่างเป็นมนุษย์สาวแสนงดงามในชุดใบไม้เขียวใสโปร่งแสง มีละอองสีเขียวอ่อนร่วงโรยออกมาจากปีกเล็กๆ ทั้งสี่ของเธอ

                “เรียกว่าตัวประหลาดที่ไร้สมองและไร้ความคิด” เธอตอบด้วยความรวดเร็วเหมือนกับรอคำถามนี้มานานแสนนาน

                “มันอันเดียวกันรึเปล่า” เขาถามกลับ ภูติน้อยนาม เพลลี่ ซึ่งมีเรือนผมสีน้ำตาลยาวถึงกลางหลังบินเข้ามาใกล้หูซ้ายแล้วพูดกับฟอลค่อนว่า

                “ข้าด่าเจ้า”

                “เจ้าเป็นคนตรงไปตรงมาดีนะ”

                “ก็ข้าเป็นภูติ”

                “ภูติเป็นแบบนี้ทุกตัวเลยเหรอ คิดแล้วก็น่าเบื่อแฮะ แล้วเจ้ายินดีที่จะเรียกชื่อข้าว่าอะไรล่ะ แอร่อนหรือว่าฟอลค่อน คิดไปคิดมามันก็เท่ทั้งคู่เลยนะ”

                “ไอ้ตัวไร้สมอง”

                “ขอบคุณ งั้นเอาเป็นแคนน่อนแล้วกัน”

                “เจ้าคิดมาก่อนแล้วสิ เจ้าคนไร้สมอง”

                “เฮ้ ข้ามีชื่อเรียกนะ เจ้าภูติตัวเขียว ข้าชื่อว่าแคนน่อน”

                “ข้าก็มีชื่อเรียกเหมือนกัน เจ้าคนไร้สมอง ข้ามีชื่อว่าเพลลี่”

                “เลิกเถียงกันได้หรือยัง แอร่อน เพลลี่ ไม่รู้ว่าพวกเจ้าสองคนอยู่ด้วยกันมาถึงทุกวันนี้ได้ยังไง” เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นที่ด้านหน้าของพวกเขา

                “เห็นไหม สุดท้ายพวกเขาก็จำชื่อเจ้าแค่ชื่อเดียว” เพลลี่ว่า

                “ใช่ ข้าชื่อแอร่อน” เขาพูดจบก็หันไปหาชายตรงหน้าซึ่งยืนอยู่ด้านหน้าของบ้านไม้ฐานหินหลังหนึ่ง มีบันไดสี่ขั้นเรียกต่อสูงขึ้นไป “ข้ามาช้าไปหรือเปล่า”

                “งานนี้ไม่ขึ้นอยู่กับเวลา มันขึ้นอยู่กับว่าเจ้าทำสำเร็จหรือเปล่า” ชายคนนั้นกล่าว เขามีหน้าตาเกลี้ยงเกลา แต่ดูเหมือนว่าคางจะเบี้ยวไปทางซ้ายเล็กน้อย “เข้ามาด้านในก่อนสิ”

                “ข้ารอคำนี้มานานแล้ว”

                พวกเขาเข้าไปด้านใน ห้องรับแขกขนาดเล็กที่มีโซฟาผ้านุ่มสีเลือดหมูสลักลวดลายสีทอง ตั้งล้องรอบโต๊ะขาเตี้ย และถัดจากนั้นไปก็คือเตาผิงขนาดย่อม ไฟกำลังลุกฮืออย่างอ่อนไหวและกระจายความอบอุ่นออกมารอบนอกอย่างทั่วถึง แอร่อนนั่งลง เจ้าของบ้านนั่งลง บนโต๊ะมีน้ำชาร้อนในกาสีขาว แอร่อนไม่ถามคำใด เขารินมันลงจอก มืออีกข้างคว้าขนมปังก้อนหนึ่ง และแน่นอนเช่นเดียวกับทุกครั้ง เขาเอามันเข้าปาก

                “นิสัยของเจ้ามันไม่น่าคบหาเลยจริงๆ” ชายหนุ่มกล่าวต่อแอร่อน

                “เป็นเรื่องธรรมดา เจ้าต้องต้อนรับข้า สิ่งที่ข้าทำคือการรับการต้อนรับของเจ้า” แอร่อนกล่าวขณะที่ปากนั้นเต็มไปด้วยขนมปัง เขากลืนมันลงก่อนจะตามด้วยน้ำชาจอกเล็ก ความร้อนทำให้เขารู้สึกตื่นตัวและสดชื่น

                “อากาศหนาวยิ่งกว่าเมื่อวาน ข้าต้องออกไปหาฟืนมาตุนไว้อยู่ตลอด มันยากที่จะเดินออกจากบ้าน แต่ข้าต้องฝืนไป ถ้าหากว่าเรามีวิธีที่จะควบคุมอสูรไฟให้เป็นสัตว์เลี้ยงได้ ข้าคงซื้อมันมาไว้สักตัว”

                “เอามันมาเผาบ้านเจ้าน่ะสิ” แอร่อนแสดงความเห็นทันควัน

                “ข้าว่าเรามาพูดถึงงานของเรากันดีกว่า ข้าจะได้คิดค่าตอบแทนให้กับเจ้าอย่างสาสม”

                “ได้ๆ” แอร่อนพยักหน้าหงึกๆ “ว่าแต่เจ้าชื่ออะไรนะ”

                “เอเวอร์ราร์ด ชื่อข้ามันจำยากขนาดนั้นเลยเหรอ”

                “ข้าแค่ไม่ค่อยคุ้นกับชื่อสามพยางค์น่ะ มันเหมือนกับของไร้ประโยชน์”

                “รู้ไหมว่าเจ้าถามชื่อข้าเป็นรอบที่สิบสองแล้ว”

                “เจ้าจริงจังด้วยเหรอ”

                “เอาของออกมาเลยดีกว่า”

                “ได้ๆ” แอร่อนพยักหน้าหงึกๆ พลางล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าอกเสื้อ มันเป็นถุงผ้าสีดำขนาดเท่าหัวกะโหลกคน เขายื่นมันให้กับเอเวอร์ราร์ดก่อนจะหันไปทางเพลลี่ “ข้าหยิบถูกใช่ไหม”

                “มันมีแค่อันเดียว ข้ายืนยันมาแล้ว” เพลลี่ตอบอย่างเอือมระอา ประมาณว่า เจ้าถามบ่อยเกินไปแล้ว

                เอเวอร์ราร์ดเปิดดูสิ่งของด้านใน เขานำมันออกมาจากถูก ปรากฏว่าเป็นแร่ประหลาดสีน้ำเงินเข้มที่มีความอุ่นอย่างผ่อนคลายอบอวลอยู่ภายใน เขาส่องมันด้วยตาสีน้ำตาลจางหนึ่งคู่อย่างสนอกสนใจ บรรยากาศรอบข้างเงียบไปชั่วขณะ เวลาผ่านไปเกือบสองนาที เอเวอร์ราร์ดจึงเผยยิ้มออกมา

                “ดีกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก”

                “คราวนี้เจ้าต้องเพิ่มค่าแรงหน่อย พอดีว่าถ้ำนั่นดันมีพวกก๊อบลินอยู่ด้วย อยู่เป็นฝูงเลยล่ะ เออ- เกือบลืม ที่นั่นไม่ได้มีสิบหกตาแค่ตัวเดียว มันมีถึงสามตัว และมันกำลังจ้ำจี้จำไชกันอยู่ด้วย เห็นแล้วอุบาทว์มาก” แอร่อนว่าพลางทำสีหน้าพะอืดพะอม

                “มันประหลาดนะ”

                “ใช่ มันประหลาดมากๆ”

                “แล้วเจ้าเอามันมาได้ยังไง”

                “ข้าก็แค่ฆ่าพวกมันให้หมดแล้วเอาเจ้านี่มาจากจุดที่ลึกที่สุดของถ้ำ เจ้าอย่าคิดล่ะเอเวอร์ราร์ด ข้าไม่ได้มีแผนอะไรจะหลอกว่าข้าได้สิ่งนั้นมาด้วยความยากลำบากเลย ถ้าไม่เชื่อก็ลองดูตาของข้าสิ”

                “คนพูดแบบนี้มักโกหกเสมอ แล้วเจ้าว่ายังไงล่ะ เพลลี่”

                “ถึงไม่อยากยอมรับเท่าไหร่ แต่นั่นก็เป็นเรื่องจริง ท่านเอเวอร์ราร์ด” เพลลี่ตอบด้วยน้ำเสียงหม่นหมอง

                “เดี๋ยว นี่มันน่าเศร้าใจตรงไหน อีกอย่างนะ ทำไมเจ้าต้องขึ้นต้นเอเวอร์ราร์ดด้วยคำว่า ‘ท่าน’ ด้วย” แอร่อนขมวดคิ้วถาม

                “เพราะว่าเขาสมควรจะถูกเรียกแบบนั้น ไม่เหมือนเจ้า เจ้าคนไร้สมอง” เพลลี่ตอบ

                “ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็สมควรจะเรียกข้าว่า ฝ่าพระบาทท่านแอร่อนสินะ”

                “ข้าจะไม่ขอพูดกับเจ้าหนึ่งชั่วโมง แอร่อน”

                “ฮ่าฮ่า ในที่สุดเจ้าก็เรียกชื่อข้าจนได้”

                “อะ--” เพลลี่ชะงักค้างชั่วครู่ก่อนจะเชิดหน้าหนี

                “เจ้าต้องการเท่าไหร่” เอเวอร์ราร์ดถามแอร่อน เขากำลังเข้าสู่สภาวะจริงจัง ซึ่งแอร่อนก็รับรู้ถึงสิ่งนั้นด้วย เขาจึงเปลี่ยนสีหน้าในฉับพลัน มันดูคล้ายเรื่องตลก แต่เขาก็ตั้งใจจะทำให้มันตลกจริง ทว่ากลับไม่มีใครหัวเราะ

                แอร่อนชูสองนิ้ว

                “สองร้อย” เอเวอร์ราร์ดว่า

                “สองพัน”

                “ข้าไม่มี”

                “ถ้างั้นก็เอาคืนมา”

                “ข้ามี”

                “เจ้าเป็นคนยังไงกันแน่” แอร่อนว่าพลางเอียงคอถาม “ว่าแต่เจ้าชื่ออะไรนะ”

                “ข้าชื่อว่าเอเวอร์ราร์ด เจ้ารู้ไหมว่าเจ้าถามข้าเป็นครั้งที่สิบสามแล้ว” เอเวอร์ราร์ดกล่าว จากนั้นเขาก็เอาถุงเงินหนักเกือบสองกิโลกรัมให้กับแอร่อน มันเป็นถุงสีดำ หน้าตาคล้ายผ้าขี้ริ้ว แต่แอร่อนรู้ดี ว่าถุงนี่มีค่ากับเขามากแค่ไหน

                แอร่อนตรวจของด้านใน ไม่สนว่าเอเวอร์ราร์ดพูดอะไรกับเขาบ้าง กระทั่งพบว่าเอเวอร์ราร์ดไม่ได้ผิดสัญญาแต่อย่างใด เขาจึงฉีกยิ้มกว้างก่อนจะลุกขึ้นพร้อมที่จะออกจากบ้าน

                “เดี๋ยวก่อน แอร่อน” เอเวอร์ราร์ดยั้งไว้ แอร่อนจึงนั่งลงอีกครั้ง

                “มีงานต่อเหรอ”

                “เปล่า เหมือนจะมีคนพยายามตามหาเจ้า” เอเวอร์ราร์ดยื่นกระดาษแผ่นเล็กให้ มันเขียนไว้ว่า

[ถึงฟอลค่อน ข้ารู้ว่าท่านยังไม่ตาย ข้ากำลังไปหาท่าน]

                “มันไม่เขียนชื่อผู้ส่งด้วย แต่ข้าเดาว่าเจ้าน่าจะรู้” เอเวอร์ราร์ดออกความเห็น

                “นี่ไม่ใช่จดหมายลับ ข้ารู้ว่าเขาคือใคร”

                “เขาคือใครล่ะ”

                “อาจจะเป็นลูกศิษย์หรือไม่ก็คนที่แอบชอบข้า”

                “ล้อข้าเล่นรึเปล่า”

                “เหอะ อันที่จริงข้าไม่รู้หรอก แต่ข้ารู้สึกแปลกๆ กลัวว่าเจ้าคนนี้อาจนำเรื่องบางอย่างมาให้ข้า”

                “ดูท่าทางแล้วเขาไม่ได้มาร้ายนะ”

                “ทุกคนคิดร้ายกับข้า เอเวอร์ราร์ด- เจ้าก็ด้วย เพลลี่”

                “ข้าอยากฆ่าเจ้า” เพลลี่กล่าว

                “ตรงไป”

                “ถ้าอย่างนั้นก็แค่รอว่าคนที่เขียนนี่คือใคร” แอร่อนพูดจบก็เก็บกระดาษเข้ากระเป๋าอกเสื้อแล้วลุกขึ้นอีกครั้ง

                “เจ้าจะไปไหน” เอเวอร์ราร์ดถาม

                “ไปนอน!”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา