เป็นคนดีของสังคมเนี่ยยากกว่าที่คิดเนอะ?

8.3

เขียนโดย Noel

วันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เวลา 20.47 น.

  22 บท
  0 วิจารณ์
  18.85K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2561 09.36 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

20) ขอความต้องการของญาติคนนี้ Be the One 2

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     ขณะนั้นเองเสียงเคาะจากบานกระจกทำให้พวกเราหันไปมองเป็นสายตาเดียวกัน

     “...วันนี้แล้วสินะ”

     คุณกลินดามายืนอยู่ตรงนั้นด้านนอก

     “ไหนๆ แล้วมาคุยกันหน่อยไหมฮัทสึฮารุ”

     คุณกลินดายื่นกระป๋องบางอย่างมาทางนี้

     “.....”

     “ขอโทษนะครับแต่อย่างน้อยฮัทสึฮารุก็ยังใส่เครื่องแบบนักเรียนอยู่นะครับ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เนี่ยคงต้องขอให้ช่วยละไว้นะครับ”

     “ฮืม ยังอยู่เนี่ย หมายความไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเหรอ?”

     หลังคำพูดนั้นทำให้ผมหันไปมองฮัทสึฮารุอัตโนมัติ จะว่าไปเคยเห็นใส่อยู่ไม่กี่ชุดก็จริงแต่ตอนที่ผมตากผ้าก็ไม่ยักกะเจอเสื้อผ้าของเธอหรือชุดชั้นในเลย

     ฮัทสึฮารุมองผมกลับมาพร้อมกับถอนหายใจให้หนึ่งทีคงเพราะได้ยินสิ่งที่ผมคิด

     “นั่นสินะ”

     หะ?

     “อีกไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องไปเรียนแล้วด้วยคงดื่มด้วยไม่ได้”

     ออ โอเคๆ เรื่องนั้นหลอกเหรอ

     ฮัทสึฮารุเดินเข้าไปบริเวณริมหน้าต่างและตวัดนิ้วทีหนึ่งทำให้นกกระดาษทั้งหมดบนพื้นถูกบีบอัดให้เล็กลงด้วยความเร็วสูงรู้สึกตัวอีกทีตรงนั้นก็ไม่เหลือร่องรอยแล้ว

     “อุตส่าห์พับทั้งทีเก็บกวาดเร็วไปหน่อยไหม?”

     “…..”

     “ฮัทสึฮารุขอพูดตามมารยาทหน่อยจะได้ไหม? ถ้าคุณเบื่อแล้วก็ไม่เป็นไรฉันจะไม่พูดก็ได้นะ”

     ฮัทสึฮารุหันเข้ามาในห้องยังจุดที่ผมอยู่อีกครั้ง ด้วยใบหน้าสนอกสนใจของผมทำให้เธอตอบกลับออกไป

     “เชิญ”

     “สิ่งที่ทำให้จักรวาลผิดสมดุลด้วยรายชื่อที่มองข้ามมาจนถึงคนสุดท้ายเย็นนี้จะถึงกำหนดการแล้วคอให้ยอมจำนนแต่โดยดีผู้เขียนพันธสัญญาคิริโนะ”

     คำพูดอย่างกับคนดูละครมากไปหลุดออกมาพร้อมกับวีรกรรมโจ่งแจ้งแนบติดสำเนาของผมมาด้วยจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากเกาหลังศีรษะด้วยความสงบ

     “เปลี่ยนเรอะ?”

     ฮัทสึฮารุเอ่ยขึ้นมา

     “อะไรๆ มันก็ต้องปรับให้มันรัดกลุ่มรวดเร็วบ้างเหมือนกัน ยังไงก็เถอะพอจะจำได้รึเปล่าว่ารอบต่อไปจะเป็นรอบที่เท่าไหร่ ไม่ได้ติดตามนานแล้วเหมือนกัน?”

     “อา”

     ฮัทสึฮารุชำเลียงมองผมด้วยหางตาอีกครั้งก่อนจะพูดขึ้นด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

     “ครั้งนี้ครั้งสุดท้าย มาทำให้มันจบๆ กันไป”

     ทันทีที่คำพูดนั้นลอยออกไปคุณกลินดาจึงนิ่งสงบทันทีเพราะเธอเองก็น่าจะรู้เหมือนกันว่า ‘เอาจริง’ ไม่ใช่ ‘โกหก’ ทำให้เธอลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ และหันเข้ามามองฮัทสึฮารุพร้อมกับที่เส้นผมถูกแสงของดวงจันทร์ทอประกาย

     “อย่าลืมซะล่ะฉันน่ะต่อให้คุณฆ่าไปอีกกี่ครั้งแต่ถ้าล้มเหลวฉันก็ต้องกลับมาอยู่ดี ฉันก็เป็นแค่หนึ่งในอุปสรรคทั้งหลายไม่ใช่ทั้งหมดนะ”

     ฮัทสึฮารุหันหลังเดินออกจากห้องนั่งเล่นไปโดยไร้คำพูดคุณกลินดาจึงมองผมด้วยสีหน้าลำบากใจแทน

     “คิริโนะตัวฉันในตอนนี้ช่วยผู้หญิงคนนั้นไว้ไม่ได้อีกแล้ว ถึงฉันจะต้องฆ่าเธอไปร้อยครั้งพันครั้งฮัทสึฮารุก็จะเปลี่ยนแปลงมัน 101 ครั้งหรือ 1001 ครั้งต่อไปเรื่อยๆ พวกเราทำแบบนี้กันมากี่ครั้งกันแล้วนะไม่เห็นเข้าใจเลย มันไม่มีทางจบอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”

     “จะให้ผมตายเพื่อปลดปล่อยพวกคุณเหรอ?”

     “ตายไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรหรอกกลับกันช่วยมีชีวิตต่อทีเถอะ ฉันน่ะจำหิมะด้วยมือคู่นี้ไม่ได้อีกแล้ว คนที่ถูกลบความจำไปด้วยก็เริ่มจะถูกเหตุการณ์ก่อนๆ ทับจนมองเห็นภาพตอนนั้นแล้วด้วย”

     เรื่องนั้นมัน

     “ช่างเถอะคิริโนะฉันจะไม่เข้าไปยุ่งกับเธอจนกว่าจะทำให้ฮัทสึฮารุตายได้สักครั้งหนึ่งเพราะถ้าไม่ทำแบบนั้นก็ไร้ความหมาย แล้วเจอกัน”

     “หืม พี่คิริโนะตื่นเช้าจังคุยอยู่กับใครเหรอ?”

     ตอนนั้นเองที่คุณน้องสาวทักผมขึ้นด้วยดวงตาที่ปิดไปแล้วข้างหนึ่งและอีกข้าง 3 ใน 4 ทั้งชุดนอน อาจจะเพราะสัญชาตญาณรึเปล่าที่คิดว่าคุณกลินดาจะต้องไม่อยู่ตรงนั้นแล้วผมจึงเฉไฉเรื่อยเปื่อยตามประสากันไป

     ทรมาน สินะ

 

     “แล้วเธอจะมากี่โมงล่ะ”

     “บางทีอาจเป็นตอนนี้ หรืออีกสองชั่วโมงหรือหลังมื้อเย็นแต่ก็อาจจะเป็นตอนกำลังอาบน้ำอยู่ก็ได้”

     “งั้นเหรอ ถ้าสมมุติว่ายอมจำนนจะเป็นยังไง?”

     “ไม่ต่างกัน ฝ่ายนั้นต้องฆ่าคนที่เป็นเป้าหมายอยู่ดี”

     “…แล้วเธอล่ะจะเอายังไง”

     “…..”

     “ทั้งสองคนคุยอะไรกันน่ะ ละครหลังข่าวเหรอ?”

     ฮิเมกิโผล่มาพร้อมกับหนังสือเล่มใหญ่เล่มหนึ่งในมือที่ต้องถือสองมือเอาไว้เพราะความใหญ่ของมัน เคยเห็นที่ไหนมาก่อนนะสมุดโทรศัพท์?

     “ยังไงก็เถอะคิริโนะคุง หนังสือภาพเล่มนี้เนี่ยตอนที่ไปเจอมันอยู่ในสภาพไหนเหรอ?”

หนังสือภาพ หนังสือภาพอะไร

     “ก็หนังสือภาพที่เอามาจากห้องศิลปะเก่าไง นี่น่ะ”

     “อ้อ รู้สึกว่าอาจารย์คานิเอะจะเอามาให้หลังเลิกเรียนน่ะ สภาพไหนเนี่ยมันยังไง?”

     เท่าที่ดูจากด้านนอกมันก็ไม่เห็นจะมีอะไรแปลกๆ เลยไม่ใช่รึไงครับนอกจากความหนาของมัน

     “งั้นดูนี่นะ”

     ฮิเมกิกางหนังสือบนโต๊ะผมจนทำให้แทบไม่เหลือที่ว่างบนโต๊ะและเปิดไปยังหน้าๆ หนึ่งประมาณกลางเล่มและชี้ให้ดูรูปๆ หนึ่งในนั้น

     มันคือรูปถ่ายทั่วไปของเหล่ารุ่นพี่ชมรมศิลปะเพียงแต่มันขาดไปบางส่วน

     “ลักษณะคล้ายกับแบบนี้ก็มีอีกเหมือนกัน”

     ฮิเมกิยังเปิดไปยังหน้าที่มีอะไรคล้ายๆ กับแบบนี้อีกหลายหน้าบางหน้าก็มีช่องว่างเปล่าไม่ได้ใส่รูปเอาไว้ด้วยก็มี

     “นี่มัน...”

     “จงใจล่ะนะ”

     ฮัทสึฮารุเอ่ยขัดขึ้นมา

     “ใช่ คนอื่นก็คิดแบบนี้เหมือนกัน ถึงกับต้องฉีกทิ้งเนี่ยในชีวิตจริงฉันจินตนาการไม่ออกเลย”

     ผมเปิดหนังสือกวาดสายตาผ่านไปเรื่อยๆ ก่อนจะปิดมันลงและส่งคืนฮิเมกิไป

     “ตอนแรกก็สนใจอยู่หรอกเพราะมันท่าทางจะฆ่าเวลาได้ดี แต่รู้สึกว่าจะเริ่มเข้าไปยุ่งไม่เข้าเรื่องเลยกะจะมาถามคิริโนะคุงเรื่องนี้เผื่อรู้อะไรน่ะ”

     ฮัทสึฮารุกวักมือส่งสัญญาณให้ฮิเมกิและขอให้เปิดหน้าเมื่อกี้อีกทีบนโต๊ะเธอ

     “ตอนที่เก็บกวาดอยู่ก็กลายเป็นห้องเก็บของไปแล้วจะมีอะไรเกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้องก็คงไม่รู้แล้วเหมือนกัน”

     คำพูดนั้นทำให้ฮิเมกิถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งก่อนจะยอมตัดใจนั้นเองสิ่งที่มนุษย์ชาติยังมิอาจเข้าถึงที่มาได้จึงปริปากขึ้นมา

     “ฉันจะช่วย”

     จะบอกประวัติดำมืดของชมรมศิลปะเมื่อสี่ปีก่อน? ถึงผมเองจะไม่ค่อยรู้ก็เถอะแต่ก็อยากปล่อยมันเอาไว้ในหีบผูกด้วยโซ่แบบนั้นมากกว่า เพราะแค่มองจากรอยฉีกที่กว้างและรอยต่อบางจุดไม่สม่ำเสมอก็รู้ได้แล้ว จึงสามารถแปลได้ว่าคนที่ฉีกจำเป็นจะต้องฉีกมันด้วยเหตุผลบางอย่างที่จำเป็นหลักฐานคือจุดบางจุดมีรอยฉีกที่ไม่ไปแนวเดียวกับรอยฉีกที่ชัดที่สุดบ่งบอกว่ากระทำมากกว่าหนึ่งครั้ง เรื่องความรู้สึกโกรธแค้นจึงตัดออกไปเพราะหากฉีกด้วยความรู้สึกนั้นมันจะชัดเจนกว่านี้อย่างฉีกทั้งรูปหรือไม่ก็ทิ้งหนังสือทั้งเล่ม หากฉีกด้วยความรู้สึกเศร้าเสียใจจากเรื่องรักๆ ก็จะไปทิศทางเดียวกัน แต่ก็มีรูปส่วนใหญ่ที่ถูกฉีกไปบางส่วน สิ่งที่ผู้กระทำต้องการจึงเหลืออยู่อย่างเดียวนั่นคือ

     ปกปิดความลับ

     ไม่ว่าจะด้วยความรู้สึกไหนหรือจะเป็นความลับแบบไหนถ้าไม่ว่างจริงคงไม่มีใครอยากไปยุ่งกับเรื่องนี้เท่าไหร่แน่

     อีกอย่างถ้าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายของผมจริงก็อยากอยู่รำลึกความหลังกับช่วงชีวิตอายุ 15 ปีที่ผ่านมาอย่างสงบราวคนชราในบั้นปลายชีวิตที่ล้อมรอบไปด้วยลูกหลานเหมือนกัน จะว่าไปแล้วยังไม่ได้ไปทำประกันสังคมเยอะๆ เลยนี่นาอย่างน้อยถ้าตายมาจะได้ทำประโยชน์กับครอบครัวไม่เป็นภาระของลูกหลาน

     “อยากรู้ทำไมคนๆ นี้ถึงลบตัวเองออกไป”

     …หมายความว่าไง?

     “คุณฮัทสึฮารุหมายความว่ายังไงเหรอ?”

     เสียงกริ่งเริ่มคาบเรียนแรกดังขึ้นมาพร้อมกับใบหน้านิ่งเฉยของฮัทสึฮารุที่หันหลังมองกลับมาให้ทั้งฮิเมกิและผม

     มันหมายความว่ายังไงไม่น่ามีสิ่งมีชีวิตไหนนอกจากจุดเหนือกฎเกณฑ์ที่รอดจากเธอไปได้นี่นาแล้วมันหมายความว่ายังไง

 

     หลังเสียงกริ่งพักเที่ยงดังขึ้น ฮัทสึฮารุจึงเดินออกจากห้องไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงฮิเมกิจึงรีบเดินตามเธอไปพร้อมกับกลุ่มเพื่อนเธออีกสองคน หากว่าเป็นช่วงเวลาเช่นนี้แล้วผมจะต้องลุกไปเช่นกันแต่กรณีของวันนี้นั้นการที่ได้กินในสถานที่พลุ่กพล่านไปด้วยผู้คนกลับทำให้ผมผ่อนคลายขึ้นมาได้บ้าง การเล่นสมาร์ทโฟนไประหว่างทานข้าวไปมันก็แทบทำให้ผมลืมกำหนดการของวันนี้ไปได้เลย

 

     จะตายเหรอ?

     ใช่

     จะตายเหรอเหมือนยูบาริ?

     ไม่รอดหรอก

 

     ไม่รู้ทำไมเหมือนกันทั้งที่รู้ว่ากำลังจะถูกฆ่านั้นมันกลับสงบแบบนี้ บางทีคงเป็นเพราะฮัทสึฮารุทำอะไรบางอย่างกับอะมิกดะลาในสมองของผมที่ควรจะสร้างความกลัวกระมังทำให้การแสดงผลผิดพลาดไป ไม่ก็ตัวผมเองที่เริ่มจะรู้สึกปรงกับเรื่องๆ เครียดๆ แล้วกระมั้ง

     ถ้าผมไม่ถูกให้เขียนพันธสัญญาก็คงจะไม่ต้องถูกให้หมายหัวแล้วแท้ๆ ยัยนั่นผิดเต็มๆ เรื่องนี้เลยไม่ใช่รึไงกันจะบอกว่าการที่ผมถูกหมายหัวหรือให้เขียนพันธสัญญามีผลดีมากกว่าก็ไม่มีทางรู้ได้เลย แต่ก็จะหมายความว่าการที่ตกเป็นเป้าหมายจากคุณกลินดาไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับฮัทสึฮารุ

     ขณะที่ผมกำลังเรื่อยเปื่อยกับมือถือหลังมื้อกลางวันด้วยความรู้สึกเลื่อนลอยอยู่นั้นผมก็รู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองมาไม่ใช่การเปรียบเปรยใดๆ เมื่อหันไปทางที่รู้สึกนั้นก็พบกับคุณซาซาฮาระ เนโนโกะและที่แปลกใจไม่แพ้กันคือคนสวมแว่นที่ยืนอยู่ใกล้ๆ นารุคามิ ซึคาซะก็รู้อยู่หรอกว่าอยู่ห้องเดียวกันแต่ก็ไม่นึกว่าจะมาประกบคู่ระหว่างนักเรียนใหม่ที่เพิ่งย้ายมากับคนอย่างซาซาฮาระ ลางสังหรณ์ของผมจึงพาไปหยุดอยู่ตรงหน้าพวกนั้น

     “เรื่องของฟุตาบะ ยูบาริอยากคุยด้วยหน่อย”

     หะ ผมก้มมองซาซาฮาระนิ่งไปครู่หนึ่งเธอจึงยื่นสมาร์ทโฟนที่เปิดรูปๆ หนึ่งเอาไว้ นั่นคือแผนผังความสัมพันธ์ที่ถูกโยงเอาไว้โดยมีรูปของผมแปะอยู่ตรงกลางไม่หมดแค่นั้นรอบๆ ยังแปะรูปของคนที่เกี่ยวข้องกับผมเอาไว้ตั้งแต่ฮัทสึฮารุ คุณกลินดาไปจนถึงนารุคามิ มิสตี คุณมิทากะ หรือแม้แต่พวกน้องของอาริมะก็อยู่ในนั้น

     “นี่มันอะไรกัน?”

     ผมนิ่งเงียบ

     “เอามาจากไหนแล้วใครเป็นคนเขียน?”

     “ตอบคำถามของฉันมาก่อน คิริโนะนายรู้อะไรกันแน่?”

     ตอนนั้นเองนารุคามิจึงทำมือเหมือนกับพยายามหยุดซาซาฮาระ

     “เอามาจากห้องของฟุตาบะ ยูบาริน่ะคนเขียนก็น่าจะเป็นเธอเหมือนกัน”

     ของยูบาริเหรอ? นี่มันเรื่องอะไรกันยัยนั่นไม่น่าจะเขียนเรื่องแผนผังแบบนี้ได้นี่นาในเมื่อตอนที่ผมเจอพวกน้องของอาริมะหลังกลับมาจากเซ็นทรัลพวกนั้นก็หายตัวไปเลยยัยนั่นไม่น่าจะรู้สิถึงรู้จักกันก็ไม่น่าเขียนความสัมพันธ์ของพวกนั้นเอาไว้โดยวงเป็นวงใหญ่ล้อมทั้งสามคนไว้แล้วเขียนว่าตัวแปลได้หรอก แล้วตัวแปลนี่มันตัวแปลอะไรกัน ผมพยายามนึกถึงตอนที่พวกนั้นหายตัวไปรู้สึกคุณกลินดากับฮัทสึฮารุจะรู้ดูผลลัพธ์เรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน

     แต่ที่น่าแปลกอีกอย่างหนึ่งคือกลับไม่เขียนอธิบายความสัมพันธ์ของทุกคนที่เชื่อมมากับผมเลยมีแค่เส้นตรงสีแดงเปล่าๆ แต่ความสัมพันธ์ของคนอื่นกลับสามารถโยงและเขียนลงไปได้

     “ถ้าเกิดยัยนั่นก็รู้ล่ะ?”

     “…?”

     ถ้าสมมุติว่ายูบาริเองก็เห็นภาพหอนถูกเหตุการณ์ซ้อนทับเหมือนกันล่ะ แต่แล้วจะทำไมล่ะในเมื่อตอนนี้เจ้าตัวก็ไม่อยู่แล้วด้วยมันจะมีความหมายอะไรอีกล่ะ

     “อืม รู้สิ”

     จู่ๆ ฮัทสึฮารุก็โผล่มายืนข้างๆ ทำเอาทั้งผมและพวกซาซาฮาระตกใจกันเป็นแทบๆ และเบือนหน้าหันไปทางพวกซาซาฮาระต่อทันที

     “ถ้าโชคดีสิ่งที่พวกเธอทำอยู่คิดว่าจะทำให้ได้คำตอบในนั้นเอง”

     ทั้งสองคนจ้องมองฮัทสึฮารุเงียบๆ โดยไม่ปริปากอะไรจริงๆ ก็มีผมด้วยแหละแต่ไม่นับแล้วกันเพราะที่ผมค้างเพราะไม่รู้ว่ายัยนี่พูดเรื่องอะไรต่างหาก

     “แต่การพยายามเพื่อความต้องการของตัวเองฉันก็ไม่ได้เกลียดหรอกนะ”

     หลังจากนั้นฮัทสึฮารุก็เดินดุ่มๆ เข้าไปในห้องเรียนทิ้งพวกผมให้ยืนงงอยู่หน้าห้องก่อนที่เสียงกริ่งจะไล่กลับที่ใครที่มันดังขึ้น

 

     ผมจ้องมองหน้าจอมือถือที่ปิดเอาไว้ครั้งหนึ่งก่อนจะแหงนหน้ามองออกไปยังทิวทัศน์ฝ่าสายฝนที่แสนไกลด้วยสายตาเลื่อนลอยขณะเดียวกันฮัทสึฮารุที่เอาหน้าฝุบโต๊ะเมื่อครู่ก็มายืนอยู่ข้างๆ ผมพร้อมกับยื่นอะไรบางอย่างที่ส่องประกายมาให้

     นั่นคือ ปากกาสารพัดประโยชน์ของเธอ

     “ใช้เป็นร่ม”

     ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรับมันมาจ้องมองสักพักก่อนจะถูกเวรทำความสะอาดไล่

     “เอ่อ เรื่องหนังสือภาพล่ะเป็นไง”

     “ยังไม่รู้หรอกบางทีอาจจะเป็นพวกผู้ใช้เวทมนตร์มาลบออกไป”

     “เหรอ”

     เงียบกริบการสนทนาจบลงเพียงเท่านี้ถึงจะมีข้อสงสัยแต่ก็ไม่มีอะไรพิเศษระหว่างการสนทนาราวกับทุกๆ วันที่ผ่านมาก่อนที่พายุลูกใหญ่จะเริ่มพัดสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตามา

     “...แล้วใช้ปากกานี่ต้องทำยังไง”

     “ปรารถนาสิ ต่อให้สิ่งนั้นจะไม่ชัดเจนก็ตามมันจะตอบรับเอาไว้”

     ผมมองไปยังนอกหน้าต่างครู่หนึ่งไม่ทันไรปากกาในมือก็กลายเป็นร่มไปแล้วแต่เพราะไม่ได้ตั้งตัวจึงทำหลุดมือไปชั่วขณะหนึ่งก่อนจะหยิบขึ้นมาอีกครั้ง

     พอเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งเสียงรอบๆ ตัวผมก็หายไปพอมองกลับไปที่หน้าต่างบานเมื่อครู่ก็พบว่าหยดน้ำด้านนอกกำลังลอยหยุดกลางอากาศอยู่ ใช่ผมกำลังมองเห็นเม็ดฝนเป็นเม็ดขนาดเท่าลูกแก้วอยู่ตรงนั้น

     เวที?

     “คราวนี้เป็นโรงเรียนเหรอ?”

     ฮัทสึฮารุเอ่ยขึ้นมาตรงโถงทางเข้าผมที่ยังอยู่บนชานบันไดจึงก้าวตามเสียงนั้นไป จึงพบกับร่างของคุณกลินดาข้างปลายเท้าเธอมีกระเป๋าใบเดิมวางอยู่โดยเมินมันว่าจะเสียหายจากน้ำฝนบนพื้นแค่ไหนกำลังยืนถือร่มท่ามกลางสายฝนด้วยรอยยิ้มแห้งๆ อยู่ด้านนอกตรงหน้าพวกเราพอดี จะว่าไปพอสังเกตดูรอบๆ แล้วก็ไม่ยักกะพบวี่แววของใครอยู่เลย

     “รินถึงเธอจะไม่ได้คิดว่าตัวเองมีค่าอะไรก็เถอะ”

     ผมกางร่มออกเมื่อมาอยู่ตรงปลายทางเข้าอาคาร

     “มันก็จริงล่ะนะ ถึงโตไปได้ก็ใช่ว่าจะได้สร้างคุณค่าหรืออะไรเอาไว้เหมือนกัน อาจจะเป็นแค่พนักงานร้านสะดวกซื้อหรือคนตกงานก็ไม่รู้เหมือนกัน”

     ขณะเดียวกันคุณกลินดาก็โค้งทักทายพวกเราและเลื่อนมือไปแตะกระเป๋าจากนั้นจึงหยิบสีที่เคลือบกระเป๋าขึ้นมาทำให้สีน้ำตาลของกระเป๋าเหลือเพียงสีของโลหะเปล่าๆ และนำมาสวมเหมือนเสื้อสูทสีน้ำตาลทับชุดเดิมเอาไว้

     “อืม นั่นสินะ”

     ฮัทสึฮารุเงยหน้ามองผมด้วยรอยยิ้มเบาบาง

     “แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้จะให้ฉันพอใจได้ยังไงกัน?”

     ฮัทสึฮารุเดินออกไปด้านนอกอาคารเดินแหวกผ่านเหล่าเม็ดฝนที่อยู่กลางอากาศทำให้เม็ดฝนเหล่านั้นมีสภาพเหมือนถูกลากไปยังทิศทางเดียวกับที่ถูกกระทำ

     “มาตามนัดแล้วค่ะ สุดท้ายแล้วก็ไม่หนีจริงๆ ด้วยสินะ”

     คุณกลินดาตวัดมือขึ้นมาทีหนึ่งทันใดนั้นเองตรงเบื้องหน้าสายตาของผมราวกับว่ามันกำลังจะทะลวงผ่านม่านตาไปลูกกระสุนปืนก็มาหยุดอยู่ตรงนั้น ขณะเดียวกันในมือคุณกลินดาก็มีปืนพกอยู่ในมือของเธอข้างที่สะบัดเมื่อครู่

     “จะให้ใช้ชีวิตไม่เป็นสุขแบบนั้นคงไม่ได้หรอกจริงไหมคะ? พี่ริน”

     “เอ๊ะ?”

     ฮัทสึฮารุเร่งฝีเท้าและพุ่งมือซ้ายเข้าไปหาคุณกลินดาที่กำลังตกใจกับคำพูดเมื่อครู่จึงกระชากมือตัวเองขึ้นตั้งฉากจึงรอดจากการถูกจับไปได้และตวัดลงพร้อมกับที่มีมีดเล็กพุ่งออกมาจากแขนเสื้อจากนั้นจึงใช้มืออีกข้างหนึ่งที่ถือปืนอยู่กระหนำยิงฮัทสึฮารุทว่ากลับมีของบางอย่างมากันเอาไว้

     “สมุด?”

     ในช่วงไม่กี่วินาทีขณะที่ความสนใจไปอยู่ที่มือข้างที่พุ่งไปอยู่นั้นฮัทสึฮารุจึงได้หยิบเอาสมุดนักเรียนมาจากกระเป๋านักเรียนที่สะพายอยู่และใช้สองนิ้วคีบลูกกระสุนที่ลอยอยู่ขึ้นมา

     ยังงี้นี่เองเพราะว่าถูกหยุดเวลาเอาไว้วัตถุที่มากระทบกันจะมีช่วงเวลาหนึ่งก่อนที่จะปะทะกันจะเป็นช่วงแสดงผลลัพธ์ทางกายภาพเหมือนกับก่อนหน้านี้ที่ลูกปืนหยุดตรงปลายลูกตาผมเพราะไม่สามารถแสดงปรากฏการณ์ออกมาได้

     “เธอเนี่ยตัวปัญหาจริงๆ เลยนะ”

     คุณกลินดาโยนปืนในมือลงพื้นและล้วงแขนเสื้อไปหยิบเอาบางอย่างออกมา

     “นั่นมัน”

     นาฬิกาทรายขนาดเท่าฝ่ามือ

     “รู้รึเปล่าฉันไปได้มาจากไหนน่ะ เอาเงินจากการทำงานกับลอตเตอรี่ไปซื้อคืนมาจากแก่นแท้เชียวนะ”

     ฮัทสึฮารุเอามือเท้าสะเอวและพรางส่ายหัวไปมา

     “เห็นว่าเริ่มเบื่อแล้วเลยยอมขายให้ เอาล่ะเริ่มไทม์ไลน์ใหม่กันเลย”

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา