Dear Smorn จดหมายถึงสมร จากโรงละคร ณ 40,000 ฟุต

-

เขียนโดย PAAll

วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2561 เวลา 08.31 น.

  14 ตอน
  2 วิจารณ์
  11.36K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2561 13.06 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) ฉบับที่สี่; ลากอส ไนจีเรีย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ถึงสมร

 

              เดาสิว่าฉันอยู่ที่ไหน? ลากอสย่ะ! เมืองหลวงอันศิวิไลซ์ของประเทศไนจีเรีย นับเป็นประเทศแรกในทวีปแอฟริกาที่ฉันได้มาเยือน ก่อนมาฉันตื่นเต้นมาก หาข้อมูลว่าจะไปเที่ยวที่ไหน กินอะไรที่คนพื้นเมืองกิน อยากออกไปผจญภัยในเมือง หารู้ไม่ว่าฉันไม่ต้องรอจนแลนด์ การผจญภัยฉันเริ่มตั้งแต่ผู้โดยคนแรกก้าวขาเข้ามาในเครื่อง

 

              “อูวว บิวตี้ฟูล สวย ๆ” ชายไนจีเรียร่างสูงใหญ่หลิ่วตาให้ขณะเดินหาที่นั่งตัวเอง ตัวใหญ่จนฉันรู้สึกเหมือนเป็นผู้หญิงตัวเล็ก น้ำหนัก 39 และบอบบาง ฉันยิ้มให้ไม่ตอบอะไร พี่แกก็ไม่หยุด “แต่งงานกับฉันมั้ย ฉันจะซื้อเสื้อผ้าดี ๆ ให้ใส่”

 

              เอาล่ะ ถึงเวลามีผัวคนแรกแล้ว เอ๊ย!! ไม่ใช่ว้อย ฉันอึ้งอยู่ คนเราไม่ต้องมีปฏิสัมพันธ์อะไรเลยก็ขอแต่งงานแล้วเหรอวะ แล้วเอาเสื้อผ้ามาเป็นจุดขายเหมือนล่อเด็ก

              “ฉันมีแฟนแล้วค่ะ” ฉันโกหกไปแล้วจะรีบเดินหนี

 

              “แฟนเธอซื้อกระเป๋าให้รึเปล่า แต่งงานกับฉันสิ ฉันซื้อกระเป๋าให้นะ” พี่แกก็ยังไม่หยุดโฆษณาตัวเอง แต่ฉันไม่หยุดฟังแล้ว ฉันเดินหนีไปเลย

 

              แกไม่ต้องคิดว่าเพื่อนแกสวยหรอกนะ เพราะลูกเรือทุกคนโดนขอแต่งงานหมด 555555 ขอไปก่อนเผื่อฟลุกผู้หญิงตอบตกลงงั้นเหรอ ลูกเรือที่ทำงานมาสักพักแล้วเล่าว่าเป็นปกติของไฟล์ทนี้ พร้อมกับแนะนำว่าครั้งหน้าให้ใส่แหวนที่นิ้วนางด้านซ้ายมาทำงานเพื่อตัดรำคาญ

 

              หลังเทคออฟเราก็เริ่มเสิร์ฟอาหาร แกคิดถึงขนาดของอาหารบนเครื่องเทียบกับตัวคนไนจีเรีย แน่นอนว่าหนึ่งถาดไม่พอ ทุกคนอยากได้สองหรือสาม แต่ด้วยจำนวนอาหารมีจำจัด ฉันก็เลยต้องคลานเข่าลงไปขอโทษขอโพยบอกว่าอาหารเราหมดแล้วจริง ๆ ไม่เชื่อมาส่องดูในรถเข็นฉันได้เลย ก็ไม่ใช่ว่าจะได้ผลหรอกนะ ผู้โดยก็ยังตะโกนใส่หน้าอยู่ดี ขณะที่กำลังหน้าสิ่วหน้าขวานอยู่นั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นข้างหลัง

 

              “ปิ๊สซ์ ปิ๊สสสสสสซ์” เสียงผิวปากเหมือนเรียกหมา ฉันหันไปมองรอบ ๆ แต่ไม่คิดว่าเป็นตัวเอง ฉันเลยหันกลับไปขอโทษผู้โดยสารที่หิวโหยต่อ 

Hey trolley bitch!” แปลเป็นไทยว่า ‘เอดอกที่เข็นรถเข็นอยู่นั่นน่ะ’ ซึ่งก็คือฉันถูกมั้ย ฉันหน้าชา ความโกรธเริ่มมาแล้ว มีสิทธิ์อะไรมาจิกหัวเรียกฉันแบบนี้ ฉันหันไปมองทางเสียงเรียกด้วยแววตาอาฆาตแค้น ผู้ชายเจ้าของเสียงหาได้สะทกสะท้านไม่ แถมยังยิ้มแฉ่งให้อีก

 

              “ยูพูดว่าไงนะ” ฉันถามซ้ำอีกรอบ ยิ้มสยามหายไปหมด ฉันหน้าบูดแล้วตอนนี้

 

              “เอาเบียร์มา” พี่แกตอบหน้าตาเฉย ไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับคำหยาบที่เรียกฉัน ฉันนับหนึ่งถึงสิบระงับความโกรธ ก่อนจะพยายามตอบไปอย่างใจเย็นที่สุด

 

              “เบียร์หมดแล้วค่ะ ดื่มอย่างอื่นแทนได้มั๊ย” ฉันผายมือไปที่ไวน์และวิสกี้บนรถเข็น

 

              พี่แกตบโต๊ะดังปัง!! โวยวายเสียงดัง

              “What is this!? นี่มันอะไรกัน เบียร์จะหมดได้ไง ฉันกินไปห้ากระป๋องเอง ไปหามาให้ฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ”

 

              “sir…” ฉันสูดลมหายใจลึก ๆ และพูดต่อไป “เรามีเบียร์แค่ 60 กระป๋อง สำหรับผู้โดยสาร 300 คน” จริง ๆ อยากพูดต่อว่า พี่คนเดียวก็ดื่มไปตั้งห้ากระป๋องแล้ว ของมันต้องหมดได้ ใช่หรือเปล่า? ในขณะที่พี่แกตะโกนด่าฉันอยู่นั้น ลูกเรือบิสซิเนสคลาสชาวแทนซาเนียก็ลงมาช่วยพอดี นางได้ยินผู้โดยสารโวยวายและเห็นฉันยืนหน้าซีดอยู่คนเดียวกลางเคบิน (คนอื่นเสิร์ฟเสร็จหมดแล้ว) นางเลยเข้ามาช่วยแก้สถานการณ์

 

              “มีอะไรให้ฉันช่วยไหมคะคุณ” นางยิ้มหวานให้ผู้โดยสาร โชว์สกิลความโปรของลูกเรือบิสซิเนสคลาสอย่างเต็มที่ และดูเหมือนจะได้ผล ผู้โดยสารเลิกตะโกนแล้ว และมีท่าทีอ่อนลง แต่ยังไม่วายฟ้องเรื่องฉัน

 

              “เนี่ย คนนี้น่ะสิ” ชี้มาที่ฉันด้วย “...บอกฉันว่ามีเบียร์แค่ 60 กระป๋อง บ้าหรือไง คนตั้งสามร้อยคนให้เบียร์มาแค่นี้ ไปบอกสายการบินพวกเธอเลยนะว่าครั้งหน้าให้เอาเบียร์ขึ้นมาให้พอกับจำนวนคน ให้เอามา 300 กระป๋อง!!”

 

              พี่สาวแทนซาเนียยิ้มหวาน

              “แล้วยูจะนั่งตรงไหน?” ยิ้มเย็น ๆ

 

              “อะไรนะ” ผู้โดยสารงง ฉันที่ยืนฟังอยู่ก็งง

 

              “ฉันถามว่ายูจะนั่งตรงไหน ถ้ามีเบียร์บนเครื่อง 300 กระป๋อง คนจะนั่งตรงไหน กระเป๋าเธอจะวางตรงไหน” นางตอบด้วยเสียงหวานแจ๋ว ยังคงยิ้มอยู่ ก่อนจะพูดต่อไปไม่สนความงงงวยทั้งของฉันและผู้โดย

“ก่อนจะพูดอะไรออกมาก็ควรกลั่นมาจาก..” นางเคาะไปที่กระหม่อมตัวเอง “...ตรงนี้ด้วย คิดก่อน อย่าทำความเสื่อมเสียให้ทวีปแอฟริกาของเราแบบนี้”

 

ว่าเสร็จนางก็ดันทั้งฉันและรถเข็นเข้าไปในครัว ไม่สนเสียงก่นด่าไล่หลัง อย่างไรก็ดีผู้โดยสารข้าง ๆ สองสามคนที่ได้ยินบทสนทนาทั้งหมดกลับหัวเราะออกมา

พอเรากลับเข้ามาถึงในครัว ฉันรีบขอบอกขอบใจนางเป็นการใหญ่ นางโบกไม้โบกมือประมาณว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แถมยังสอนฉันด้วยว่า

 

“จำไว้นะ บางครั้งเธอต้องโหดกลับบ้าง อย่าให้ใครมาหยาบคายกับเธอได้ถึงขนาดนี้ เพราะถ้าเขาคิดว่าเขาทำได้ เขาจะเหยียบเธอจนจมดินเลย” นางสะบัด(วิก)บ๊อบกลับไปบิสซิเนสคลาส แต่ไม่วายหันมาทิ้งท้าย

“เอ้อ แล้วไม่ต้องไปเล่าให้หัวหน้าฟังล่ะ”

 

ฉันพยักหน้าหงึก ๆ ปรบมือในใจให้กับความแกร่งของนาง คิดในใจว่าฉันจะมีวันแข็งแกร่งได้ขนาดนี้มั๊ยนะ แค่ผู้โดยสารขึ้นเสียงนิดเดียวฉันก็กลัวจนขนตูดลุกไปหมดแล้ว

 

 

หลังจากเสิร์ฟอาหารเสร็จก็อย่าคิดว่าพวกฉันจะได้นั่งว่าง ๆ กัน ทุกคนกดกริ่งขอเหล้า ไวน์ ขอน้ำ อาหารเด็ก 9ล9 ตลอดไฟล์ท เมื่อกัปตันทำประกาศว่าจะเริ่มลดระดับแล้ว เหล่าลูกเรือถึงยิ้มออก เพราะนั่นหมายถึงการบริการสิ้นสุดแล้ว เดชะบุญที่เส้นเลือดฝอยที่ขาของฉันยังไม่แตก

ในขณะที่ฉันเก็บเสื้อกันเปื้อนลงไปในกระเป๋า ลูกเรือสาวชาวไนจีเรียก็พูดขึ้นเสียงดัง

 

“วันนี้ลุงฉันจะมารับไปทานข้าวเย็น มีใครอยากจะไปชมเมืองรึเปล่า”

 

“ฉันไป ๆ” ฉันรีบยกมืออย่างตื่นเต้น หลังจากนั้นน้องเกาและน้องอินเดียก็ขอตามไปด้วย ลูกเรือซีเนียร์คนอื่น ๆ มองมาที่พวกเราประมาณว่า ‘นังเด็กใหม่พวกนี้บ้าไปแล้ว’ ฉันคิดในใจว่าพวกที่บินมานานนี่น่าเบื่อจัง ไม่คิดจะไปเปิดหูเปิดตาบ้างเลยรึไง เราทั้งสามพูดคุยกันอย่างตื่นเต้นที่จะได้ออกไปชมเมืองลากอสเป็นครั้งแรก บังเอิญมีผู้โดยสารชายชาวไนจีเรียมาต่อคิวเข้าห้องน้ำและได้ยินบทสนทนาของเรา  เขาหันไปถามลูกเรือชาติเดียวกัน

 

“เธอจะพาคนพวกนี้ไปเที่ยวในเมืองเหรอ”

 

“ใช่” ลูกเรือไนจีเรียยิ้มกว้าง

 

“ไม่นะ ไนจีเรียต้อนรับเฉพาะคนหน้าตาดี คนขี้เหร่พวกนี้ห้ามเข้าเมือง!” เขายื่นคำขาด

 

55555555 โหดร้ายมากย่ะ ถ้าจะวิจารณ์หนังหน้าพวกฉันซะขนาดนี้ก็น่าจะเอาน้ำกรดมาสาดกันเลย ความเจ็บปวดก็คงไม่ด้อยไปกว่ากันเท่าไหร่ ลูกเรือเกาและอดทำหน้าไม่ถูก แต่ฉันกลับหัวเราะออกมาเสียงดัง

 

“ยูมาว่าฉันขี้เหร่ได้ไง รู้มั๊ยว่าฉันโดนขอแต่งงานกี่ครั้งแล้วในแปดชั่วโมงที่ผ่านมาเนี่ย ชาติเดียวกันกับยูทั้งนั้นเลยนะที่มาขอ”

 

“พวกไม่มีรสนิยม” เขาพึมพำ พ่นลมหายใจทางจมูกอย่างไม่สบอารมณ์แล้วเดินเข้าห้องน้ำไป

 

 

เมื่อมาถึงโรงแรม เราขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวและลงมารวมตัวที่ล็อบบี้ตามเวลาที่นัดกันไว้ สักพักก็มีรถตำรวจเปิดหวอเข้ามาจอดที่หน้าประตู ตอนแรกฉันคิดว่าคนใหญ่คนโตอาจจะมาเข้าพัก เพราะโรงแรมก็ถือว่าหรูหราอยู่ไม่น้อย จนกระทั่งน้องไนจีเรีย (ต่อไปนี้จะเรียกนางว่าเอสเทอร์) พูดขึ้น

“ลุงของฉันมาไม่ได้เพราะติดงาน แต่เขาส่งคนมารับพวกเราแทน”

 

เมื่อจ้องดี ๆ ฉันจึงเห็นว่ารถตำรวจนั้นเป็นแค่รถนำขบวน รถที่ขับตามหลังเป็นคันใหญ่ คล้าย ๆ CRV คนขับรถวิ่งลงมาเปิดประตูให้พวกเรา เขาทักทายเอสเทอร์เป็นภาษาถิ่นพร้อมโค้งคำนับ เดี๋ยวนะ! ทำไมนางเหมือนเป็นเจ้าหญิง แล้วเจ้าหญิงที่รวยขนาดนี้ไปทำงานล้างส้วมลอยฟ้าทำไมกัน จนฉันเก็บความสงสัยไว้ไม่อยู่ ฉันเลยถามนางไปตรง ๆ

“เอสเทอร์ เธอเป็นเจ้าหญิงของไนจีเรียเหรอ ทำไมเราถึงได้นั่งรถหรูขนาดนี้และทำไมต้องมีตำรวจนำ”

 

เอสเทอร์หัวเราะ

“จะบ้าเหรอ ถ้าฉันเป็นเจ้าหญิงฉันจะไปเป็นแอร์ทำไมกัน ลุงของฉันเป็นรัฐมนตรีน่ะ แล้วรถคันนี้ก็เป็นคันที่เขานั่งประจำ เธอก็รู้นักการเมืองน่ะศัตรูเยอะจะตาย ปีที่แล้วลุงก็โดนลอบยิง เขานั่งในรถคันนี้เลย เพราะงี้เลยต้องมีตำรวจมารักษาความปลอดภัยให้ยังไงล่ะ”

 

นางอธิบายเหมือนเป็นเรื่องปกติแต่พวกฉันกระเหรี่ยงสามคนช็อค! นี่ฉันนั่งอยู่บนรถที่มีคนความเสี่ยงจะถูกลอบยิงเหรอเนี่ย ยังไม่มีผัวเลยนะ ฉันจะตายไม่ได้

เหมือนเอสเทอร์จะอ่านสีหน้าพวกฉันออก นางรีบเสริมว่า

“ไม่ต้องห่วงหรอก รถคันนี้กันกระสุน”

 

 

ฉันพยายามไม่คิดถึงความจริงที่ว่าอาจจะมีรถมอเตอร์ไซต์มาจอดเทียบและชักปืนออกมายิงกระหม่อมฉันตอนไหนก็ได้ ฉันมองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อสำรวจสภาพเมืองหลวง เมืองลากอสเจริญเทียบเท่ากับตัวเมืองจังหวัดศรีสะเกษเมื่อ 40 ปีที่แล้ว--นั่นคือฉันยังไม่เกิดเลยย่ะ!! ฉันไม่กล้าเอาไปเทียบกับกรุงเทพเลย ถนนหนทางเป็นดินแดง เต็มไปด้วยฝุ่นควัน ข้างทางที่ถือว่าเป็นแหล่งชอปปิ้งสุดฮอต ก็คือตึกแถวสองชั้นติด ๆ กันตลอดแนว การขายเสื้อผ้าก็ฮาร์ดคอร์มาก มีหุ่นโชว์เสื้อผ้าแบบเต็มตัววางอยู่บนระเบียงชั้นสอง ฟังดูธรรมดาใช่มะ แต่หุ่นพวกนั้นไม่มีหัวย่ะ!! แกนึกสภาพขับรถมามืด ๆ เจอหุ่นไม่มีหัวเรียงกันสักร้อยตัว ถ้าไม่หลอนฉันให้ถีบ

 

 

ผ่านไปสักพัก รถก็เริ่มเลี้ยวเข้าสู่ย่านคนรวย เหมือนฉันผ่านประตูต่างมิติของโดเรมอนเข้าไปในอีกโลกหนึ่ง แตกต่างจากโลกหุ่นหัวขาดลิบลับ บ้านเมืองสะอาดสะอ้าน โรงแรมห้าดาวทุกแบรนด์อยู่ในย่านนี้ เต็มไปด้วยนักธุรกิจใส่สูทเดินกันไปมา ลุงของเอสเทอร์จองโต๊ะให้พวกฉันที่โรงแรมเรดิสันติดริมแม่น้ำ บรรยากาศร้อยล้านมาก ลุงสั่งทางโรงแรมให้เปิดแชมเปญให้พวกฉันและอาหารค่ำคืนนั้นฟรีทั้งหมด ใครจะว่ายังไงก็ช่าง หลังจากดื่มแชมเปญไปสามแก้วฉันก็คิดได้ว่าที่จริงประเทศนี้ก็ไม่เลวเลยนะเนี่ย 555555 เอาล่ะ ฉันขอตัวไปนอนหลับพักผ่อนก่อน แล้วจะเขียนมาหาแกใหม่

 

 

รัก

สา เพื่อนแกที่ไม่เห็นแก่ของฟรีเลย...จริง ๆ นะ

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา