วุ่นนัก รักคุณผู้จัดการ

-

เขียนโดย Hermione001

วันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 เวลา 14.43 น.

  20 ตอน
  1 วิจารณ์
  15.90K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 15.33 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) ฝันร้ายของฉัน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฝันถึงแม่ ถึงจะพยายามทำใจให้ชินหรือลืมเรื่องทุกอย่างไปแต่การสูญเสียทุกคนในครอบครัวไปพร้อมๆกันเป็นใครก็คงรับไม่ไหว และคงไม่มีใรลืมความรู้สึกนั้นไปได้ง่ายๆ

2 ปีที่แล้ว
หลังจากจบคอนเสิร์ตTrust5 ฉันก็รีบฝ่าผู้คนที่มีจำนวนมากแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เพราะนี่เป็นครั้งแรกในประเทศไทยและเป็นครั้งแรกที่พวกเขามาจัดคอนเสิร์ตที่นี่ แบบนี้มีหรอที่ฉันจะพลาด ต่อให้ลำบากแค่ไหนฉันก็ต้องมาดูพวกเขาให้ได้
“พ่อ แม่ รอนานไหมคะ คนเยอะมากเลยกว่าหนูจะออกมาได้” ฉันพูดกับพ่อแม่ทันทีที่ขึ้นรถได้ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือและใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อจากความเหนื่อยที่ต้องรีบวิ่งมาที่นี่
“นานสิยัยด้า ถามได้! พี่เล่นเกมส์จบไปหลายรอบละ” พี่ดลสุดหล่อที่นั่งเล่นเกมส์มือถืออยู่ที่เบาะหลังข้างๆฉัน พี่ชายที่อายุห่างจากฉัน 2 ปี แต่ติดเกมส์มากกกกก เอิ่ม! แต่ฉันก็ติดน่ะ ถึงจะติดคนละอย่างก็เถอะ555+ ดูจากหน้าเขาที่คิ้วขมวดจนแทบจะชนกันอยู่แล้วก็คงจะรอนานจริงๆ
“ดลก็พูดเกินไป” พ่อหันไปดุพี่ดล สมน้ำหน้า ชิ๊! “ไม่นานหรอกลูก เป็นไงสนุกไหม? เห็นหนุ่มๆ หล่อๆ ชัดหรือเปล่า? ยัยแว่นของพ่อ” พ่อถามขึ้นพร้อมกับสตาร์ทรถและขับออกจากลานจอดรถด้วยเสียงที่อารมณ์ดีม๊ากมาก ก็แน่นอนอยู่แล้ววันนี้วันเกิดฉันนะ คอนเสิร์ตTrust 5 นี่แหละของขวัญชิ้นโบว์แดงเลย แค่พ่อกับแม่อนุญาตให้มาก็บุญของฉันแล้ว ส่วนตั๋วน่ะฉันทำงานพาร์ทไทม์เก็บเงินมาเอง
อ้อ! ลืมบอกไปฉันเป็นเด็กสาวน่ารักที่สายตาสั้นน่ะ ต้องใส่แว่นตลอดเพราะไม่กล้าไปทำเลสิก ก็เพราะว่ามันทั้งแพงแถมน่ากลัวอีกต่างหาก
“สนุกมากเลยค่ะ แต่หนูเต้นแรงไม่ได้แว่นก็จะหลุด” หลังจากนั้นฉันก็กระหน่ำเล่าเรื่องคอนเสิร์ตให้พ่อฟังยาวจนถึงร้านเลยแหละ
ในวันเกิดของฉันกับพี่ พ่อกับแม่ชอบพามาร้านอาหารแถวที่เลยออกมาจากหอฉันนิดหน่อย ตรงไปตามหน้ามหาลัยก็จะเจอร้านโปรดร้านประจำของครอบครัวเรา ฉันชอบร้านนี้มากเพราะอาหารอร่อย แถมยังจัดร้านสวยมากๆเลยแหละ มันเป็นร้านอาหารในกรุงเทพที่ดูธรรมชาติมาก ภายในร้านถูกตกแต่งให้ดูธรรมชาติด้วยต้นไม้ที่ห้อยไฟดวงเล็กๆเอาไว้ พอให้ส่องแสงสีส้มที่มองแล้วดูอบอุ่นอย่างน่าแปลกใจ เสียงดนตรีคลอๆที่ได้ยินตั้งแต่เดินเข้ามาในร้าน โต้ะอาหารที่รอให้ลูกค้ามานั่งเรียงรายกันอยู่ภายใต้ต้นไม้ใหญ่มีที่ไฟห้อยลงมาเป็นบรรยากาศที่เจอทุกปีแต่ไม่เบื่อเลย แถมอาหารที่พ่อสั่งก็เหมือนเดิมทุกปี ปีนี้ก็เหมือนกันที่เรามาที่ร้านนี้ ฉันมีความสุขมากทุกครั้งที่เราได้มาที่นี่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ที่จริงก็มีความสุขแบบนี้ทุกวัน ทุกปีอยู่แล้ว แต่มันแตกต่างจากปีอื่นตรงของขวัญชิ้นโบว์แดงของฉันนี่แหละ มันจึงเป็นวันคล้ายวันเกิดที่ฉันมีความสุขมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาเลย

“สุขสันต์วันเกิดน่ะลูก แม่รักลูกนะ ขอให้ลูกมีความสุขร่างกายแข็งแรงนะ คนสวยของแม่”
หลังจากที่เราทานข้าวเสร็จระหว่างที่ฉันกำลังจะเดินขึ้นไปนั่งที่เบาะหลังคนขับ คุณแม่คนสวยของฉันก็เดินเข้ามาหาและพูดเพื่ออวยพรวันเกิดให้กับฉัน เพราะแม่ออกจะเป็นคนขี้อายนิดหน่อยเลยชอบอวยพรฉันแบบเงียบๆมากกว่า หลังจากพูดจบแม่ก็เดินเข้ามาสวมกอดฉัน อ้อมกอดที่เต็มไปด้วยความรักที่มีให้ตลอด19ปี ฉันกอดตอบแม่ และหอมแก้มนุ่มๆไป1ที
“หนูรักแม่นะ”
เมื่อขึ้นรถพี่ดลก็จะร้องเพลงซ้ำๆ ฉันว่ามันคือการอวยพรของเขา พี่ชายตัวแสบที่ชอบว่าฉันตลอดแต่เขาเป็นพี่ชายที่รักฉันมากเลยแหละ บนถนนที่ยาวสุดสายตาเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด แสงไฟริมถนนสีส้มยาวตลอดทางทำให้ถนนตอนกลางคืนเป็นถนนที่สวยมาก รถที่ไม่ติดทำให้เราขับรถไปตามถนนได้เรื่อยๆ ฉันถอดแว่นตาออกแล้วมองไปตามแสงไฟบนถนนมันสวยมาก การมองแสงไฟบนถนนยามค่ำคืนของฉันมันเป็นเวลาเดียวที่ฉันชอบสายตาที่ไม่ปกติเหมือนคนอื่น มันเป็นเวลาเดียวของคนสายตาสั้นที่สิ่งรอบตัวดูสวยงาม
ตอนนี้เราขับออกมาจากตัวเมืองแล้วถนนที่เคยมีหลายเลนและรถที่วิ่งสลับกันไปมาตลอด แต่ตอนนี้มีเพียงถนนสองเลนและไฟที่ไม่ได้สว่างมากจากริมถนนแต่ก็พอมองเห็นสิ่งรอบๆ
Happy birthday to you, Happy birthday to you
Happy birthday Happy birthday
Happy birthday to you.
Happy birthday to you, Happy birthday to you
Happy birthday Happy birthday
Happy birthday..........
พี่ดลร้องเพลงอวยพรวันเกิดยังไม่ทันจะจบท่อน เสียงแตรจากรถคันข้างหน้าที่วิ่งสวนมาจากเลนตรงข้ามก็ดังสนั่น ฉันตกใจมากและรีบละสายตาจากไฟริมถนนมองไปยังหน้ารถ นาทีนั้นฉันมองไม่ค่อยเห็นอะไรเลย มีเพียงแค่แสงไฟที่ส่องแยงตาทำให้แสบตาเอามากๆ แต่ก็รับรู้ได้ถึงเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป ฉันใช้มือทั้ง2ข้างเกาะที่เบาะข้างหน้าเอาไว้แน่ แต่เหมือนว่ามันจะช้าไปเสียแล้ว
เอี๊ยดดดดดดดดด ตู้ม!! ตึก ตึก โคล้มมมมม!!
โอ๊ยยย ร่างกายของฉัน มันชาจนแทบไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไป ฉันค่อยๆเปิดเปลือกตาที่ปิดแน่นเพราะความกลัวเพื่อมองสำรวจไปรอบๆ แต่เพราะไม่สามารถขยับตัวหรือแม้แต่จะขยับหัวก็ไม่ได้ ถึงรอบข้างจะมืดแต่ก็ยังพอมีแสงไฟจากริมถนนสาดเข้ามาทำให้สามารถมองเห็นได้นิดหน่อย จากแรงกระแทกและจากการที่รถของเราตีลังกาลงมาทำให้ฉันรู้ว่า รถของเราตกลงมาจากถนนแน่ๆ เพราะถนนเส้นนี้ไม่มีที่กลั้น และเป็นถนนที่ยกตัวสูงจากพื้น ซึ่งก็คือข้างๆถนนเป็นเนินลึก
“ด้า ดล” เสียงของแม่ที่เรียกฉันกับพี่ แผ่วเบาจนแทบจะไม่มีเสียงออกมา แต่แค่นั้นก็ทำให้ฉันรู้สึกดีใจจนน้ำตาไหล ไม่รู้ว่าเป็นน้ำตาของความกลัวหรือเพราะโล่งใจที่ได้ยินเสียงแม่กันแน่
ตึ๊งๆๆๆ!! ไม่นานนักฉันก็ได้ยินเสียงทุบกระจกดังขึ้นหลังจากที่เสียงของแม่เงียบไป ดูเหมือนตอนนี้จะมีแค่ฉันที่ยังพอมีสติอยู่
“ช่วยด้วย!!” ถึงจะไม่มีแรงแม้แต่จะเปร่งเสียงพูดออกมาแต่ตอนนี้มันเป็นสิ่งเดียวที่ฉันทำได้เพื่อแสดงว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่ และเหมือนมันจะได้ผล เพราะไม่นานเขาก็เดินมาทันทีที่ได้ยินเสียงของฉัน ถึงแม้จะมองเห็นไม่ชัดแต่ก็พอรู้ว่าเป็นผู้ชายคนหนึ่ง ใบหน้าของเขาเลือนลางจนแทบมองไม่เห็นเพราะสายตาที่ไร้แว่นหนาๆของฉัน
ตึงๆๆๆๆ ตึงๆๆๆๆ
ชายหนุ่มที่พยามทุบกระจกอย่างหนัก และพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่เพราะความมึนจากการโดนแรงกระแทกของฉันทำให้แทบไม่ได้ยินเสียงของเขา
แต่ไม่ว่าผู้ชายคนตรงหน้าจะพยายามทุบกระจกด้วยความแรงมากมายขนาดไหนก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่แตกออกเลยสักนิด ส่วนสติของฉันก็เหมือนจะเริ่มเลือนลางจนในที่สุดโลกของฉันก็ดับมืดลงไป

ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด เสียงของเครื่องช่วยหายใจทำให้ฉันรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาและพบว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่ถึงแม้ว่าจะอยู่ในสภาพที่ขาทั้งสองข้างแทบจะขยับไม่ได้ ทันทีที่พยาบาลสาวที่ยืนเช็คอะไรบางอย่างอยู่ข้างเตียงของฉันเห็น เธอก็รีบเดินหน้าตาตื่นออกไปนอกห้องเพื่อตามคุณหมอทันที
“คนไข้ครับ รู้สึกยังไงบ้างครับ?” ผู้ชายคนหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นคุณหมอเดินเข้ามาพร้อมกับคุณพยาบาลที่พึ่งจะเดินออกจากห้องไปถามขึ้น
“คุณหมอคะ คุณพ่อคุณแม่ กับพี่ชายของฉันเป็นยังไงบ้างคะ พวกเขาฟื้นหรือยัง?” แต่ตอนนี้ในหัวของฉันไม่มีคำตอบสำหรับคำถามของคุณหมอเลย มันมีแต่ พ่อ แม่ พี่ดล พวกเขาเองก็คงจะเจ็บไม่แพ้ฉัน
“เอ่อออ คนไข้ควรนอนพักอีกสักหน่อยน่ะครับ” สีหน้าของคุณหมอดูแปลกไป หลังจากพูดจบเขาก็หันหลังและทำท่าเหมือนจะเดินออกจากห้องไป
“พวกเขายังไม่ฟื้นหรอคะ? แล้วพักอยู่ห้องไหนกันฉันจะได้ไปหาครอบครัวของฉันถูก?”
“เอ่อออ คือ... คนไข้คะ” คราวนี้เป็นพยาบาลสาวที่ตอบขึ้นแทนด้วยน้ำเสียงอ้ำอึ้ง
“ครอบครัวของคุณประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว คือว่า..จากอุบัติเหตุนั้นมีแค่คุณคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่”
“คุณพูดเรื่องอะไรคะ?”
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก หัวใจของฉันเต้นแรงจนแทบจะหายใจไม่ทัน ไม่จริงใช่ไหมหรือว่านี่จะเป็นความฝัน ฉันฝันร้ายอยู่สินะ
“ครอบครัวของฉันพักอยู่ห้องไหนคะ?” เมื่อเห็นว่าพยาบาลไม่ตอบอะไรกลับมาฉันเลยย้ำคำถามเดิมอีกครั้ง
“พวกเขาฟื้นแล้วหรอคะ หรือกลับไปพักที่บ้านแล้ว” น้ำตาของฉันค่อยๆไหลออกมาจากดวงตาที่ไร้แว่นตาช้าๆ การมองเห็นที่ไม่ชัดเจนของฉันตอนนี้ ดวงตาทั้ง2ข้างถูกครอบครองด้วยน้ำตาจนไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ ฉันหลับตาลงและพยายามอธิฐานให้เรื่องที่ได้ยินเป็นแค่ความฝัน
“แม่ พ่อ พี่ดล” แต่แล้วฉันกลับยิ่งมั่นใจว่านี่เป็นเรื่องจริงๆ ความรู้สึกเจ็บปวดตอนนี้ ความรู้สึกอึดอัดจนเหมือนจะหายใจไม่ออก
“กรี๊ดดดดดดดด ไม่ ไม่!! ต้องไม่ใช่แบบนี้ พวกเขาปลอดภัยดีใช่ไหม บอกมาสิคะว่าทุกคนปลอดภัยแล้ว กรี๊ดดด”
ฉันกรีดร้องออกมาด้วยความกลัว พยาบาลและบุรุษพยาบาลที่พึ่งเข้ามารีบวิ่งมาจับฉันที่กำลังดิ้นไปมาเหมือนคนที่ไม่มีสติ จนลืมไปว่าร่างกายของตัวเองนั้นแทบจะแหลกเป็นชิ้นๆแล้ว แต่ตอนนนี้ไม่มีความเจ็บไหนจะเท่าความเจ็บปวดที่หัวใจของฉันอีกแล้ว

4 เดือนต่อมา...
“ชีวิตที่มีค่า คือชีวิตที่ได้ทำเพื่อใครสักคน!”
ชีวิตของฉันตอนนี้ ไม่ต่างอะไรจากชีวิตที่ไร้ค่า เพราะฉันไม่เหลือใครที่จะใช้ชีวิตเพื่อเขาอีกแล้ว ไม่เหลือเลยสักคน
4เดือนกับการใช้ชีวิตที่เหมือนตายทั้งเป็นอยู่ในโรงบาลนี้ 4เดือนที่ฉันต้องรักษาตัวอยู่ที่นี่เพียงลำพัง มันเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของฉัน
แต่วันนี้ก็ถึงเวลาที่ฉันจะต้องออกจากที่นี่เพื่อกลับไปสู้กับความจริงอีกครั้ง ร่างกายของฉันใกล้หายเป็นปกติแล้วและหมอก็อนุญาตให้กลับไปพักที่บ้านได้
ฉันกลับไปที่บ้านที่พวกเราเคยอยู่ด้วยกัน ตอนนี้ทุกอย่างมันว่างเปล่าจะมองไปทางไหนก็คิดถึงแต่พวกเขา บ้านของเราเมื่อก่อนมันดูเล็กมากและถึงจะเป็นอย่างนั้นที่นี่ก็ยังเป็นสถานที่ที่แสนจะอบอุ่นของฉัน แต่ตอนนี้บ้านหลังนี้ดูกว้างใหญ่และหนาวเหน็บ น้ำตาของฉันไหลลงมาอีกครั้ง ฉันขยับแว่นตาที่เลนส์ฝั่งซ้ายมีรอยแตกจากการโดนกระแทกเพื่อเช็ดน้ำตาไม่ให้มาบดบังการมองเห็น
และเดินเข้าไปในห้องของแม่กับพ่อ กลิ่นหอมที่แสนจะคุ้นเคยมันทำให้ทรมานจนแทบจะขาดใจ ตอนนี้ฉันกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ได้อีกแล้ว บนหัวเตียงของแม่มีกล่องของขวัญวางอยู่ ฉันเดินไปหยิบกล่องของขวัญแล้วค่อยๆเปิดดูช้าๆพร้อมกับพยายามเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง
“แม่จ๋า แว่นตาหนูใกล้พังแล้ว หนูอยากได้อันใหม่”
คำพูดที่ฉันเคยอ้อนแม่ให้ซื้อแว่นตาใหม่ให้ ดังกล้องอยู่ในหัวของฉัน ตอนนี้น้ำตาของความเจ็บปวดมันไหลออกมามากมาย ฉันถอดแว่นอันเก่าออกแล้วใส่อันใหม่ทันที สิ่งที่มันควรจะเป็นคือฉันรับของขวัญจากมือแม่และเปิดดูด้วยความตื่นเต้นหลังจากนั้นก็หยิบมันขึ้นมาใส่พร้อมกับยิ้มให้แม่ และเราจะสวมกอดกันอย่างอบอุ่น

หลังจากที่ฉันเคว้งคว้างอยู่นานก็ตัดสินใจกลับมาเรียนเหมือนปกติ และย้ายออกจากบ้านหลังเก่าเพื่อไปอยู่ที่กรุงเทพอย่างถาวรและกลับมาหาพ่อแม่และพี่ดลบ้าง แต่ก็ไม่บ่อยนัก เพราะการต้องกลับมาอยู่ในที่ที่เราเคยอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข มันไม่ง่ายเลยสำหรับฉัน
หลังจากที่ย้ายมาอยู่ที่นี้ฉันก็ต้องหางานทำเพื่อหาเงินสำหรับการใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงของฉัน จากที่เคยมีพ่อแม่คอยให้ทุกอย่าง ตอนนี้กลับเป็นว่าฉันต้องดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองอยู่รอดในโลกอันโหดร้ายนี้ ถึงแม้จะมีเงินชดเชยจากคู่กรณีเหลืออยู่บ้างแต่ก็ใช่ว่ามันจะเหลือให้ฉันใช้ไปตลอดชีวิตนี่
ไม่นานนักฉันก็ได้รับโอกาสเป็นทุนการศึกษาเพื่อไปเรียนต่อที่ประเทศเกาหลี ฉันขายบ้านที่เคยอยู่กับพ่อแม่และพี่ดลเพื่อเอาเงินทั้งหมดที่ได้ย้ายมาตั้งตัวที่นี่ มันก็ผ่านมา2ปีกว่าแล้วที่ไม่ได้กลับไปที่นั่นเลย เห้ออออ! มันคงหนักหนาเกินกว่าที่ฉันจะกลับไปมองได้ แต่ชีวิตที่นี่ก็ไม่ได้เลวร้ายนัก ฉันได้เรียน ได้มีเพื่อน แล้วก็กำลังจะมีงานทำ ชีวิตฉันเหมือนมันจะค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆแล้วละ พ่อ แม่ พี่ดล ได้ยินไหม ไม่ต้องเป็นห่วงด้านะ หนูสบายดี

ฉันปั่นเจ้าวีโก้ไปเรื่อยๆตามถนนที่แสนจะสวยงามของเมืองนี้ ริมทางมีต้นไม้เรียงรายกันยาวจนสุดสายตา ทั้งร่มรื่น ร่มเย็น อากาศที่เย็นสบายถ้าเป็นที่บ้านของฉันคงเรียกว่าหนาว แต่สำหรับที่นี่ถือว่าเย็นสบายมากเลยแหละ ฉันชอบปั่นไปเรื่อยๆ ปล่อยให้สมองได้คิดเรื่องต่างๆ และชื่นชมกับความสวยงามของสิ่งรอบข้าง ในที่สุดก็มาถึงที่ทำงานจนได้ ใช่ค่ะฉันทำงานพาทไทม์ด้วย เพราะอยู่คนเดียวแถมเงินที่ได้จากการขายบ้านก็ใกล้จะหมดแล้วด้วย เลยต้องทำงานนี้จนกว่าจะได้งานที่บริษัทอย่างจริงๆจังๆ ชีวิตฉันก็วนเวียนอยู่แค่นี้มาหลายปีแล้ว เรียนเสร็จก็ไปทำงานต่อ ทำงานเสร็จก็กลับบ้านนอน วนเวียนไปเรื่อยๆ เหมือนเป็นเครื่องจักร

วันต่อมา...
ฉันตื่นขึ้นมาแต่เช้าเพื่อทำความสะอาดห้องรังหนู วันนี้เป็นวันเสาร์ซึ่งเป็นวันหยุดที่ไม่ต้องไปทำงานที่ร้านสะดวกซื้อ ห้องของฉันไม่ใหญ่มากนักอันที่จริงจะเรียกว่าเล็กเลยก็ได้ เพราะแค่วางเตียงก็เกือบจะครึ่งห้องแล้ว ข้างๆประตูทางเข้าด้านซ้ายก็จะเป็นห้องครัวอันแสนน่ารัก ส่วนด้านขวาจะเป็นห้องน้ำ เดินตรงเข้ามาก็จะเป็นเตียงของฉันเลยมีแค่ตู้หนังสือตัวเล็กๆที่กลั้นระหว่างห้องครัวและห้องนอน หัวเตียงก็จะประดับไปด้วยรูปครอบครัว และรูปของ “พี่ซองมิน” สมาชิก 1 ใน 5 ของวงTrust5 อร๊ายยยยยยยยย!
ที่จริงแล้วฉันก็ชอบพวกเขาทุกคนน่ะแต่คนนี้ชอบมากกว่าคนอื่นเป็นพิเศษ เพราะพี่เขาทั้งหล่อทั้งเท่เป็นหัวหน้าวงอีกด้วย อายุเยอะที่สุดแต่หน้าเด็กที่สุดเลย เป็นคนที่ต้องรับผิดชอบหลายๆอย่างเลยเพราะการเป็นพี่ใหญ่ของวงทำให้ต้องทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่ไม่ซนและขี้เล่นเหมือนคนอื่นในTrust5 เขาจะไม่ค่อยยิ้มเท่าไหร่นอกจากเวลาอยู่กับแฟนคลับ เวลาขึ้นคอนเสิร์ต นั่นแหละคือเสน่ห์ของพี่ซองมินที่ทำให้ฉันหลงรัก สายตาที่แสนจะน่าหลงไหลเวลาที่มองมาที่แฟนคลับ เสียงร้องที่แสนจะเพราะทำให้ฉันมีความสุขและสบายใจทุกครั้งที่ฟังเพลงของเขา
รอบๆห้องก็เลยเต็มไปด้วยโปสเตอร์ของวงTrust5 จนผนังห้องแทบไม่มีที่ว่างเลยแหละ

“ในเวลานี้จะมีแค่เราสองคน ผมไม่อยากปล่อยให้มันจางหาย
เป็นอย่างนี้ตลอดไป เพราะผมอยากให้เป็นอย่างนี้ตลอดไป...”

เสียงโทรศัพท์เข้าเป็นเสียงเพลงที่คุ้นเคย มันเป็นเพลงโปรดของฉันและแน่นอนว่าTrust5เป็นเจ้าของเพลงนี้ แต่เสียงโทรศัพท์ของฉันนอกจากฟีฟ่าแล้วก็ไม่มีใครโทรมาแล้วแหละ นอกจาก...บริษัท!
“สวัสดีค่ะ ใช่คุณพาราดาหรือเปล่าคเ?” เสียงปลายสายกล่าวทักทายอย่างนุ่มนวลเป็นภาษาเกาหลี
“ใช่ค่ะ” ตื่นเต้นจริงๆฉันจะได้ตำแหน่งอะไรกันน่ะ
“ดิฉันโทรมาจากฝ่ายบุคคลของบริษัท PST นะคะ เพื่อที่จะแจ้งว่าทางบริษัทอยากจะนัดสัมภาษณ์คุณพาราดาอีกครั้งหนึ่งค่ะ”
“ห้ะ! สัมภาษณ์อีกครั้งหรอคะ” ฉันตอบแบบงงๆ สัมภาษณ์อีกรอบหรอมีแบบนี้ด้วยหรอ นึกว่าจะโทรมาบอกตำแหน่งที่ได้รับเสียอีก
“ค่ะ ไม่ทราบว่าคุณพาราดาสะดวกวันไหนคะ” เสียงผู้หญิงปลายสายถามขึ้นอีกครั้ง
“พรุ่งนี้ตอน 8:00 โมงก็ได้ค่ะ” ถึงฉันจะงงๆ และสงสัยแต่ก็ตอบรับเขาไป
หลังจากที่เราคุยรายละเอียดเรื่องเวลาและสถานที่กันเสร็จฉันก็วางสายและได้แต่นั่งคิดว่าทำไมฉันต้องสัมภาษณ์อีกรอบ วันนี้น่าเป็นวันประกาศผลแล้วนี่ ฉันมีปัญหาหรอ แต่คิดไปก็เท่านั้นพรุ่งนี้ก็รู้เองแหละ

แล้ววันสัมภาษณ์ครั้งที่ 2 ก็มาถึง
ฉันเดินไปยังห้องที่พนักงานสาวบอกไว้ แอบแปลกใจนิดหน่อยเพราะไม่เคยขึ้นมาชั้นบนของบริษัทเลย มันดูเป็นห้องของระดับผู้บริหารผนังรอบข้างเป็นกระจกใสที่สามารถมองลงไปเห็นข้างล่าง ฉันเดินมาจนสุดทางแต่เดี๋ยวนะ ที่ประตูของห้องเขียนว่า “ประธาน” อย่าบอกนะว่าฉันกำลังจะเข้าไปพบประธานของPST
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“เชิญครับ” เสียงจากในห้องตอบรับให้เข้าไปข้างใน
เมื่อเข้าไปในห้องก็ต้องอึ้งกับสิ่งที่เห็น ท่านประธาน เป็นท่านประธานจริงๆ ฉันเคยพบเขาแค่ครั้งเดียวคือสัปดาห์แรกที่มาอยู่ที่นี่ในฐานะนักเรียนที่ได้รับทุนสนับสนุนจากบริษัทPST เขาลงไปพูดให้กำลังใจพวกเราและฉันก็ไม่เคยเห็นเท่านประธานอีกเลย นอกจากตามรายการโทรทัศน์ต่างๆ
“เชิญนั่งครับ” ท่านประธานพูดขึ้นมาทำลายความคิดของฉัน เขาคงจะเห็นฉันยืนช็อคอยู่หน้าประตูสินะ ในห้องนี้ตกแต่งสวยมากและตอนนี้มันก็หนาวมาก ไม่รู้ว่าเพราะตื่นเต้นหรือเพราะอุณหภูมิของห้องกันแน่
“สวัสดีค่ะ” ฉันโค้งเพื่อแสดงการเคารพต่อท่านประธานและเพื่อทักทายเขา
“คุณเป็นคนไทย 1 ใน 2 คนที่ได้ทุน รู้สึกยังไงบ้าง” ท่านประธานเริ่มถามทันทีที่ก้นของฉันแตะเก้าอี้ ฮืออออ เขาน่าจะให้ฉันได้เตรียมใจก่อนน่ะ
“เอ่อออ ฉันรู้สึกดีใจมากค่ะ มันเป็นโอกาสที่ดีที่สุดในชีวิตฉัน ต้องขอบคุณบริษัทมากค่ะที่ให้โอกาสดีๆแบบนี้” ฉันตอบคำถามท่านประธานเท่าที่สมองจะคิดคำตอบได้ มือสั่นไปหมดเพราะความตื่นเต้น ถึงจะเคยฝึกการเก็บความรู้สึกมามากแต่ในสถานการณ์แบบนี้แทบจะเทียบไม่ได้กับที่เคยเจอมา
“เราคิดว่า เราจะยกเลิกการเป็นพนักงานประจำของคุณ ขอโทษด้วยนะครับ” แต่สิ่งที่ได้ยินจากท่านประธานเป็นคำพูดที่ฉันไม่ได้ทำใจว่าจะได้ยินมาก่อนเลยตลอด2ปีที่ผ่านมา ยกเลิกการเป็นพนักงานประจำก็เหมือนไล่ฉันออกทั้งๆที่ยังไม่ได้เริ่มทำงานเลยนเ เดี๋ยว! นี่มันเกิดอะไรขึ้น ไม่สิต้องไม่ใช่แบบนี้
“ขอถามเหตุผลได้มั้ยคะ” ฉันพยายามข่มอารมณ์ ทั้งความตกใจ ความกลัว และอีกหลายๆอย่าง ใจก็เต้นแรงจนจะหลุดออกมาแล้วเนี้ย
“คือ การเป็นผู้จัดการหรือการทำงานในบริษัทของเรามันค่อนข้างจะยากกับคุณที่เป็นนักเรียนไทย เราคิดว่าถ้าคุณลองได้ทำงานในสายงานอื่นที่ใช้ภาษาเกาหลีหรือความรู้ที่ได้จากบริษัทเราไปน่าจะดีกว่า การทำงานกับบริษัทมันมีหลายอย่างที่ไม่ใช่แค่พูดภาษาเกาหลีได้แล้วจะทำได้น่ะครับ”
แล้วทำไมพึ่งมาบอกฉันตอนนี้ละ ฉันเสียเวลาอยู่ที่นี่มา2ปีแล้วอยู่ดีๆจะบอกให้ยกเลิกความตั้งใจหรอ แบบนี้ก็ได้หรอ แล้วที่ฝึกมาทั้งหมดมันจะมีประโยชน์อะไรละฉันอดทนมาขนาดนี้ไม่ยอมแพ้ง่ายๆหรอก
“ ท่านประธานน่าจะให้ฉันได้ลองทำมันก่อนน่ะคะ ท่านไม่ควรตัดสินฉันเพียงแค่การเป็นนักเรียนไทยเพียงแค่ไม่ใช่คนเกาหลีนะคะ”ฉันพยายามหาเหตุผลเพื่อมาท้วงให้ถึงที่สุด 2ปีของฉันจะยอมให้มันเสียไปเปล่าๆได้ยังไงกัน
“…” พอฉันพูดจบ เขาก็เงียบไปพักหนึ่ง ทำไมเงียบแบบนี้ละฉันกลัวนะ จะร้องไห้จริงๆนะ ฮืออออออ
“แล้วถ้ามันไม่โอเคละครับ ทางบริษัทจะรับผิดชอบไหวหรอ? แล้วคุณจะรับผิดชอบไหวหรอ?” ท่านประธานถามขึ้นอีกครั้ง
“ไม่มีอะไรรับประกันว่า การที่คนเกาหลีได้ทำงานแล้วงานจะสำเร็จนะคะ แล้วก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าการที่ฉันเป็นคนไทยจะทำไม่สำเร็จ คุณจะไม่มีทางได้รู้ถ้าคุณไม่ให้โอกาสฉันได้ลองทำ” ฉันตอบกลับแบบไม่ต้องคิดเลย นาทีนี้คำพูดมากมายมันหลั่งไหลออกมา
“อย่างเช่นการเดบิวต์ของTRUST 5 คุณตัดสินใจให้พวกเขาเดบิวต์โดยที่คุณยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผลจะออกมาเป็นยังไง แต่เพราะความพยายามอย่างหนักทำให้พวกเขามาถึงวันนี้ได้ วันที่มีแฟนคลับจากในหลายๆประเทศทั่วโลก” ถ้ายอมแพ้มันง่ายๆนั่นยิ่งเป็นการยอมรับว่าสิ่งที่ท่านประธานคิดมันถูกต้อง ซึ่งมันไม่จริงเลย ยิ่งเขาพูดแบบนี้คิดแบบนี้ยิ่งทำให้ฉันอยากที่จะแสดงให้เห็นว่าฉันก็ทำได้เหมือนกัน
“ซีโน่เองก็เป็นคนไทย แต่เขาไม่ได้ด้อยไปกว่าคนอื่นในTrust5เลย แล้วทำไมท่านถึงคิดว่าฉันจะด้อยกว่าคนอื่นในบริษัทล่ะคะ” ท่านประธานไม่ได้ตอบอะไร เขาเอาแต่นั่งเงียบและรับฟังสิ่งที่ฉันพูด
“ถ้าคุณให้โอกาส ฉันจะทำมันให้เต็มที่ ถ้าทำงานสำเร็จมันก็ถือเป็นผลดีต่อบริษัทแต่ถ้าไม่สำเร็จฉันจะไม่ขอรับเงินเดือนค่ะและจะขอลาออกจากบริษัทเอง เพื่อเป็นการชดใช้ความเสียหายทั้งหมด” นาทีนี้เอาอะไรมาแลกฉันก็ต้องยอมแล้วแหละ
“งั้นผมจะให้คุณเป็นผู้ช่วยผู้จัดการ” อยู่ดีๆทานประธานก็พูดสวนขึ้นมาแบบที่ฉันไม่ทันได้ตั้งตัว
ห้ะ! เดี๋ยวน่ะ ตอนนี้ฉันมึนไปหมด ปรับอารมณ์กับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ทันจริงๆง่ายขนาดนี้เลยหรอ บทจะตกลงก็เร็วจนน่าตกใจ
“คุณจะได้เข้าไปเป็นผู้ช่วยผู้จัดการจริงๆแล้วก็คือเป็นผู้จัดการส่วนตัวนั่นแหละ แต่เพราะคุณยังใหม่อยู่จึงต้องคอยได้รับคำแนะนำจากรุ่นพี่ ในทีมของคุณจะมีทั้งหมด3คน คุณจะต้องเข้าไปเรียนรู้กับพวกเขา”
“ผู้จัดการหรอค่ะ?”ฉันถามย้ำอีกครั้งเพื่อยืนยันสิ่งที่ได้ยินให้แน่ใจ เขาให้โอกาสฉันแต่ไม่ได้ให้เป็นแค่พนักงานในบริษัท แต่กลับเป็นผู้จัดการ นี่มันบ้าชัดๆ
“ใช่ เริ่มงานพรุ่งนี้เลย คุณสะดวกหรือเปล่า?” ดูเหมือนท่านประธานจะพูดจริงถึงมันจะไม่น่าเชื่อก็เถอะ
“สะ สะ สะดวกค่ะ ฉันเตรียมตัวไว้พร้อมแล้ว” พร้อมที่ไหนละ ผู้จัดการเลยนะฉันจะได้อยู่ใกล้ชิดกับศิลปินดาราเลยนะ
“ฉันขอถามได้ไหมคะ ว่าต้องเป็นผู้จัดการให้กับใคร”
“พรุ่งนี้คุณจะได้รู้จากผู้จัดการคนอื่นเอง วันนี้ผมมีเรื่องจะบอกคุณแค่นี้แหละ”
“ขอบคุณที่ให้โอกาสค่ะ”ฉันต้องเก็บความสงสัยไปจนถึงพรุ่งนี้เลยหรอ ใจเต้นตุ้บๆ
ฉันเดินออกมาจากห้องของท่านประธานพร้อมคำถามในหัวมากมายที่หาคำตอบไม่ได้ และหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แน่นอนคนเดียวที่จะโทรหาได้คือ “ฟีฟ่า”
ตื้ด ตื้ด และไม่นานยัยเพื่อนจอมเพี้ยนก็รับสาย
“ฮัลโหลว่าไง จะชวนฉันไปฉลองหรอ” ฟีฟ่ารับสายด้วยเสียงอันร่าเริง
“ฟ่า ผลสัมภาษณ์งานเป็นไง”
“ฉันได้อยู่ทีมStaff ของบริษัทอะ แกละ”
“HR โทรบอกแกเมื่อวานหรอ” ฉันถามเพราะสงสัยว่าทำไมฟีฟ่าไม่โดนสัมภาษณ์ใหม่แบบฉันทั้งๆที่ก็เป็นนักศึกษาไทยทั้งคู่
“ใช่ แล้วแกละยังไม่ตอบเลยน่ะ” คราวนี้เป็นฟีฟ่าถามฉันบ้าง
“ฉันได้เป็นผู้ช่วยผู้จัดการ”
“ชินจ๊ะ(จริงหรอ)?” ยัยเพื่อนเพี้ยนตกใจจนต้องอุทานออกมาเป็นภาษาเกาหลีเลย
“จริงสิ ฉันยังมึนๆงงๆอยู่เลยเนี้ย แต่ต้องทำงานกับใครทางบริษัทยังไม่ได้บอก น่าจะบอกพรุ่งนี้”
“ว้าวววว แทบัก!(สุดยอด) แกโชคดีจังเลย อิจฉาๆๆ” ฟีฟ่าทำเสียงดี้ด้าดีใจเวอร์
“แค่นี้ก่อนน่ะ ฉันกลับห้องก่อนไว้จะโทรหาน่ะ”

พโยยองวอน
ผมกับสมาชิกในวงเดินเข้ามาในห้องของประธานบริษัทเพราะเขาบอกว่ามีเรื่องจะต้องคุยเกี่ยวกับการcome back ของพวกเราหลังจากที่หยุดพักไปในระยะหนึ่ง ต่างคนก็แยกย้ายไปทำงานส่วนตัวของตัวเอง ผมเองก็ได้พักผ่อนจากการทำงานหนัก จากการออกคอนเสิร์ตตามประเทศต่างๆ มันก็ถึงเวลาแล้วที่เราจะได้ออกอัลบั้มใหม่กันสักที คิดๆแล้วก็ดีใจที่พวกเรามาถึงจุดนี้ได้เมื่อก่อนตอนที่เราเดบิวต์ใหม่ๆผมต้องทำงานหนักมาก ออกรายการต่างๆทั้งในเกาหลีและในประเทศอื่นๆ ส่วนสมาชิกคนอื่นในวงก็รับทั้งงานโฆษณา งานพรีเซ็นเตอร์ งานถ่ายแบบมากมายจนทำให้พวกเราเป็นที่รู้จักมากขึ้น และเราก็กำลังจะได้ทำอัลบั้มใหม่ให้แฟนคลับได้ดู
“พี่ๆ วันนี้เราไปกินข้าวกันไหม ไม่ได้อยู่กันครบๆแบบนี้นานละนะ ไปกินข้าวกันเถอะ” เสียงน้องเล็ก คิมฮยอนจุนของพวกเราเองครับ
“ไปดิ วันนี้พี่ยังไม่ได้กินข้าวเลย” ตามมาด้วย rapper สุดหล่ออีจุนโฮอีกคน ตอบรับคำชวนของน้อง
“นี่ๆ พวกนายนั่งก่อนนะ” ท่านประธานพูดขึ้นมาท่ามกลางเสียงเอะอะโวยวายของพวกเรา
“อีกไม่นานพวกนายจะcome backแล้ว เตรียมร่างกายให้พร้อม แล้วก็อย่าพึ่งรับงานอื่นให้มากนักโดยเฉพาะจุนโฮเร่งถ่ายละครให้เสร็จแล้วอย่าพึ่งรับเรื่องที่ติดต่อเข้ามาใหม่ด้วย” ทุกครั้งที่เราจะออกเพลงหรืออัลบั้มใหม่จะต้องมีการเตรียมร่างกายสำหรับการออกโปรโมทในรายการหรือคอนเสิร์ตต่างๆ ทำให้ช่วงนั้นเราจะงานยุ่งกันมากและต้องมุ่งที่ผลงานเพลงก่อนงานอื่น
“ยองวอน ฉันหาผู้จัดการคนใหม่ให้นายได้แล้ว” จบประโยคด้วยเรื่องของผม ผมเงยหน้าไปมองท่านประธาน เพราะเรื่องของผู้จัดการที่ผมเคยบอกไว้ว่าจะไม่ขอมีผู้จัดการส่วนตัวอีก หรือถ้าจะมีก็ขอเป็นคนหาเอง
“ผมเคยบอกแล้วไงว่าไม่เอาผู้จัดการที่บริษัทหาให้ ท่านลืมแล้วหรอครับ?” ผมตอบท่านประธานด้วยอารมณ์หงุดหงิด ความจริงแล้วผมไม่ค่อยหงุดหงิดนะ นอกจากเวลาที่เหนื่อยมากๆ หรือเวลาที่น้องๆชอบเสียงดัง
“ฉันรู้ แต่นายต้องมีผู้จัดการส่วนตัว นายจะรับงานเองได้ยังไง แล้วยิ่งนี่ใกล้Come bacek แล้ว การดูแลเองทั้งหมดก็ยิ่งลำบาก”
“ผมไม่ได้ดูแลเอง พี่มีรันก็ช่วยดูแลอยู่” ยังไงก็ยังจะยืนยันคำเดิม
“มีรันก็ต้องดูแลฮยอนจุนกับซีโน่ด้วย นายไม่คิดว่าเขาจะเหนื่อยบ้างหรอพวกนายแต่ละคนก็งานเยอะ จะให้ผู้จัดการคนเดียวตามดูพวกนายทั้งหมดได้ยังไง” ท่านประธานพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้น เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเขาก็ยืนยันจะให้รับผู้จัดการใหม่
“แต่ผมไม่ไว้ใจผู้จัดการคนไหนทั้งนั้น”
“แต่คนนี้ฉันมั่นใจว่าไว้ใจได้ เรื่องนั้นมันก็ผ่านมานานแล้วนายก็ควรเปิดใจบ้าง นายจะทำทุกอย่างคนเดียวได้ยังไง นายไม่เหนื่อยหรอ?” ในห้องเงียบกริ้บ พวกเราที่ชอบคุยกันเสียงดังพอเข้าโหมดจริงจังก็จะเงียบมาก ส่วนพี่ใหญ่ก็ไม่เคยจะขัดใจท่านประธานเลยสักครั้ง ผมไม่รู้จะเอาเหตุผลอะไรไปเถียงเขาเรื่องนี้เพราะมันก็จริงอย่างที่ท่านประธานพูด และก่อนหน้านี้ท่านประธานไม่เคยเอาเรื่องผู้จัดการมาคุยกับผมตั้งแต่มีเรื่องเกิดขึ้นไม่ว่างานของผมจะยุ่งวุ่นวายแค่ไหน เพราะผมเคยบอกไว้ชัดเจนแล้วว่าไม่รับผู้จัดการที่บริษัทหาให้ แต่การที่วันนี้เขาพูดขึ้นมาแถมยืนยันว่าจะให้ผมรับให้ได้ ก็คงจะขัดใจเขาไม่ได้อีกแล้ว
“ยังไงนายก็ต้องมีผู้จัดการส่วนตัวแล้วฉันก็เลือกแล้วด้วย เธอจะเริ่มงานในวันพรุ่งนี้เดี๋ยวก็คงได้เจอกัน” ผมไม่ได้ตอบอะไรทานประธานเอาแต่นั่งเงียบ
ตั้งแต่เราคุยเรื่องผู้จัดการจบผมก็นั่งคิดมาตลอดตั้งแต่ออกจากบริษัท ผมจะทำยังไงดีหรือควรเปิดใจ ควรไว้ใจผู้จัดการคนใหม่หรอ คนเราเห็นผลประโยชน์ของตัวเองมาก่อนคนอื่นเสมอ แล้วเราจะไว้ใจใครได้
“พี่ๆ ไปร้านไหนดี?” ซีโน่ที่นั่งอยู่เบาะหลังชะโงกหน้าเข้ามาใกล้และถามผมที่กำลังนั่งคิดอะไรต่อมิอะไรมากมายอยู่ในหัว
“นายอยากกินเนื้อหรือเปล่า ไปร้านเดิมกันไหม พี่เลี้ยงเอง” ซีโน่เป็นน้องแต่เขาเกิดก่อนฮยองจุนไม่กี่เดือน ใครๆก็บอกว่าพวกเขาน่ารักสดใส ยิ่งแฟนคลับจะชอบเวลาที่พวกเขาคอยแกล้งพี่ๆในวงมาก
“กินสิ ไปๆๆ” ฮยองจุนพูดแทรกขึ้นมาจากด้านหลัง แล้วก็ตะโกนบอกพี่ซองมินซึ่งทำหน้าที่เป็นคนขับรถในวันนี้
ในวงของเรามีทั้งหมด 5 คน พี่อูซองมินเป็นพี่ที่อายุ24 มากสุดในกลุ่มพวกเราแถมเป็นหัวหน้าวงที่เท่ห์มาก ทั้งหล่อแถมเสียงพี่เวลาร้องเพลงยังเซ็กซี่มากๆด้วย พี่ซองมินเป็นคนที่ต้องคอยดูแลรับผิดชอบเรื่องต่างๆ และคอยให้คำปรึกษากับพวกเรา ส่วนผมอายุ23 ผมเป็นพี่คนรองในวงแต่น้องๆชอบทำเหมือนเป็นเพื่อน ผมเป็นตำแหน่งrapperของวงกับอีจุนโฮที่นั่งอยู่ข้างๆผมเนี้ย หนุ่มหล่อแสนเพอร์เฟคเป็นพระเอกดาวรุ่ง เขาอายุเท่าผมแต่เก่งรอบด้านมาก ทั้งหล่อทั้งเก่งเลยมีแฟนคลับเยอะมาก ส่วนเจ้าต๊องสองคนข้างหลัง คือ ซีโน่เป็นคนไทยคนเดียวในวง เมื่อก่อนพูดภาษาเกาหลีไม่ได้เลยน่าสงสารมากแต่พอพูดภาษาเกาหลีได้ก็พูดไม่หยุดเลยจริงๆ ยิ่งอยู่กับ คิมฮยอนจุน ยิ่งพูดทั้งวัน สันหาเรื่องมาเล่ามาเล่นมาแกล้งพี่ๆกันตลอด แต่ก็ทำให้วงของเราดูมีเสน่ห์มีสีสันมากขึ้นจริงๆ เวลาที่มีพวกเขาอยู่ผมรู้สึกสนุกและก็ไม่เบื่อเลยสักนิด แต่ถึงแม้พวกเขายังเด็กแต่ก็เป็นเด็กที่เก่งมาก อายุแค่21ปี แต่ความสามารถไม่ได้แพ้พี่ๆเลย

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา