กุ่ยสิงเทียนเซี่ย หนึ่งหนู หนึ่งแมว ผ่าคดีปริศนา (ลิขสิทธิ์ สำนักพิมพ์ เรือนหอมหมื่นลี้ B2S)

10.0

วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2561 เวลา 16.00 น.

  19 บท
  2 วิจารณ์
  24.07K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2561 16.26 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) บทที่ 1 ตอนที่ 1.1 ตำนานหม่าฟู่แห่งแม่น้ำอี (ปรับปรุง)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

       

          เด็กชายที่เดินอยู่ด้านหน้ามีชื่อว่า “เซียวเหลียง” ที่ขี่ม้าอยู่มีนามว่า “จั่นเจา” ส่วนเจ้าตัวที่หน้าท่าทางเหมือนหมีน้อยตัวนั้นแท้ที่จริงแล้ว “มันมีสายพันธุ์พังพอน” ชื่อว่า “สือโถว” สุดท้ายเด็กน้อยที่ขี่หลัง สือโถว อยู่มีชื่อว่า “เสี่ยวซื่อจึ”

          ไม่กี่วันก่อนหน้าจั่นเจาได้รับกล่องผ้าจากพี่ชาย “จั่นห้าว” ที่ฝากคนส่งมาให้เขา กลับคิดไม่ถึงว่าจะตกหลุมพรางแผนร้ายเข้า เมื่อเขาเปิดกล่องผ้าก็ถูกพิษทำให้ดวงตาทั้งสองข้างของเขามองไม่เห็น

          จั่นเจาได้รับข่าวคราวของจั่นห้าวที่เอ่ยถึงเมืองฉวีซาน ด้วยเกรงว่าหากช้าพี่ชายจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น จึงไม่รอให้กงซุนคิดค้นยาถอนพิษได้ ก็รีบออกเดินทางมาเพียงลำพัง

          นึกไม่ถึงเดินทางมาได้ไม่ไกลจะถูกเซียวเหลียงและเสี่ยวซื่อจึที่ขี่หมีน้อยสือโถวมาขัดขวางไว้

          เสี่ยวซื่อจึและเซียวเหลียงตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่า ทั้งสองจะเป็นดวงตาให้กับจั่นเจาและร่วมเดินทางไปเมืองฉวีซานด้วย ตลอดทางก็ทิ้งสัญลักษณ์ไว้ เพื่อให้กงซุนตามมาได้

          “คงจะเป็นพวกเศรษฐีน่ะ” ซื่อเฟิ่งยกมือขึ้นมาเท้าคางพร้อมกับยิ้มออกมาน้อยๆ

          ซานเฟิ่งมองอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยออกมาว่า “จากตรงนั้นเจ้ามองออกได้อย่างไรกันว่าบัณฑิตผู้นั้นหน้าตางดงาม? ข้ามองไม่ชัดเสียด้วยซ้ำ”

          “ดูจากรูปร่างก็รู้แล้วน่า” ซื่อเฟิ่งกล่าวแล้วยืนขึ้น

          “เจ้าจะทำอะไรน่ะ”

          “ทำการค้าอย่างไรเล่า” ซื่อเฟิ่งขยิบตาให้กับพี่สาว “ข้าจะถือโอกาสไปดูเสียหน่อยว่า รูปงามจริงหรือไม่” พูดจบ ซื่อเฟิ่ง ก็รีบเดินไป

          ไกลออกไป หญิงสาวก็ได้ยินเด็กที่ขี่หลังหมีน้อยพูดขึ้น “เมี้ยว เมี้ยว ท่านจะดื่มอะไรดี ข้างหน้ามีโรงน้ำชาอยู่”

          ซื่อเฟิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย...เมี้ยว เมี้ยว? หรือว่า เมี่ยวเมี่ยว บรุษจะใช้ชื่อแบบนี้ได้อย่างไรกัน?

          “คนเยอะขนาดนี้ ต้องรอนานแน่เลย” เซียวเหลียงเห็นว่าโรงน้ำชาไม่มีที่นั่ง จึงจัดการแก้มัดห่อผ้าบนหลังม้าแล้วรีบวิ่งไปซื้อน้ำกับอาหารว่างที่โรงน้ำชา ให้ทั้งสองคนหยุดพักสักครู่หนึ่ง

          สบโอกาสพอดี ซื่อเฟิ่งจึงรีบเร้นกายไปทันที

          “โอ้ย โหย๋ว!” ซื่อเฟิ่งเร้นกายมาอยู่ข้างจั่นเจา แล้วแสร้งทำเป็นเซถลาล้มลง นางเงยหน้าขึ้นก็พบกับจั่นเจาที่กำลังก้มหน้าลงมามองนางเช่นกัน

          ดวงตาคู่นี้ทำให้ซื่อเฟิ่งตกตะลึง ตรงนี้เป็นที่ลับตาคนนางจึงไม่กล้าที่จะขยับมือ บุรุษผู้นี้งดงามยิ่งนัก นางพเนจรไปทั่วจึงรู้ดีว่า บุรุษผู้นี้ต้องเป็นผู้ฝึกวรยุทธ์ อีกทั้งยังมีร่างกายที่แข็งแรงกำยำมาก

          จั่นเจาเอ่ยถามนาง “เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่”

          “ข้าไม่เป็นไร” ซื่อเฟิ่งยันกายลุกขึ้นแล้วแอบลอบมองดวงตาคู่นั้นอีกครั้ง พรางนึกในใจว่า ‘โอ้ ว้าววว ดวงตาช่างสุกใส จมูกก็โด้งโด่งอะไรเช่นนี้

          ในขณะที่นางกำลังเคลิ้บเคลิ้มอยู่นั้นด้านหน้าก็มีคนของทางการกลุ่มหนึ่งตรงไปยังศาลอำเภอเพื่อส่งมอบประกาศ

          “คนของทางการเต็มไปหมดเลยล่ะ” เสี่ยวซื่อจึหันมาพูดกับจั่นเจา

          “คนของทางการงั้นหรือ?”

          “อ่า! งั้นพวกเราเดินไปข้างหน้ากันก่อนแล้วค่อยเอาของออกมาแบ่งกันกิน”

          ซื่อเฟิ่งได้ยินเข้าก็อดรู้สึกสงสัยไม่ได้ แต่จิตใต้สำนึกของนางสั่งให้แอบลอบมองจั่นเจาอีกครั้งหนึ่งก็ทันได้เห็นสายตาของจั่นเจานั้นทอดมองไปข้างหน้า ดวงตาเหม่อลอยคู่สวยแปลก ๆ นี้ ทำให้สง่าราศีของเขาลดลงเล็กน้อย เมื่อคิดได้ดังนี้ ใจของซื่อเฟิ่งก็พลันเต้นขึ้น .....ไม่นะ เป็นไปไม่ได้น่า!

          ในเวลานี้มือปราบก็ได้มาถึงด้านหน้าของศาลอำเภอแล้ว และได้ส่งมอบประกาศใบหนึ่ง “อ่ะ ดูซะ แล้วก็ระวังพวกเข้าเมืองด้วย มีเบาะแสอะไรให้รีบมารายงานที่ศาลอำเภอจะมีรางวัลให้อย่างงาม!”

          จั่นเจารับประกาศนั่นมาแล้วส่งต่อให้กับเสี่ยวซื่อจึ “เสี่ยวซื่อจึ อ่านซิ”

          เสี่ยวซื่อจึรับประกาศมาแล้วพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง

          ซื่อเฟิ่งอยากจะหัวเราะเสียให้ได้..ทำไมเด็กน้อยผู้นี้ถึงได้รู้ตัวหนังสือมากมายขนาดนี้เล่า...แต่ทว่าในใจกลับชัดเจนแล้วว่าบุรุษรูปงามผู้นี้แท้ที่จริงแล้วจะเป็นเพียงชายตาบอดคนหนึ่งเท่านั้น ‘ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก!’

          “เมี้ยวเมี้ยว ประกาศนี้บอกว่า ในเมืองนี้เกิดคดีฆาตกรรมขึ้นหลายคดี แล้วยังมีคดีที่ศพขอทานทั้งสามศพถูกขโมยไปอีกด้วย ถ้ามีเบาะแสอะไรก็ให้ไปรายงานที่ศาลอำเภอหากจับกุมคนร้ายได้จะได้รางวัลนำจับเป็นเงินจำนวนห้าพันตำลึง”

          “ศพขอทานหายไป?” จั่นเจาเลิกคิ้วสูงขึ้นเล็กน้อย ด้วยไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องขโมยศพของขอทาน

          ทันใดนั้นเองเซียวเหลียงรีบวิ่งกลับมาแล้วเอ่ยขึ้น “พี่จั่น ได้ยินว่าที่เมืองนี้เกิดคดีใหญ่ขึ้นแล้ว นายอำเภอเสียชีวิตแล้ว !”

          ซื่อเฟิ่งแอบครุ่นคิดอยู่ในใจ ‘ที่แท้บัณฑิตหนุ่มรูปงามนี่ก็ แซ่ จั่น นี่เอง ‘

          “ใครกันที่กล้าทำเรื่องใหญ่เช่นนี้ กล้าฆ่านายอำเภอเชียวรึ? พวกโจรในยุทธภพหรือว่านักโทษของทางการ “

          “หึม “มือปราบเพ่งพินิจมาที่จั่นเจาดูแล้วบุรุษผู้นี้น่าจะเป็นคนมีฐานะ เขาเผยยิ้มออกมาเล็กน้อยอย่างเสียมิได้พร้อมทั้งส่ายหัว “ถ้าเป็นฝีมือมนุษย์เรื่องก็คงไม่ยากแบบนี้หรอก”

          “อะไรนะ!” เซียวเหลียงได้ยินดังนั้นก็ถึงกับตกใจ “เจ้าว่าที่ฆ่าคนตายนั้นไม่ใช่มนุษย์หรือ?”

          ในขณะที่พูดคุยกันอยู่นั้น ก็มีขอทานคนหนึ่งไม่รู้โผล่มาจากไหนวิ่งถลามาอยู่ตรงหน้ามือปราบ “ใต้เท้า ได้โปรดกรุณาช่วยพวกเราด้วยเถิด พวกเราต้องการอาหารเพื่อประทังชีวิต”

          “เฮอะ” มือปราบขมวดคิ้วขึ้นทันใดแล้วหันไปสั่งการกับลูกน้องที่อยู่ห่างออกไป “เฮ้ นี่ เอาตัวกลับไปด้วย” จั่นเจารู้สึกไม่เข้าใจ “ทำไมต้องจับขอทานด้วย?”

          “เป็นคำสั่งของเบื้องบน” มือปราบบอก พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นขอทานกำลังเกาะขาตัวเองไม่ยอมปล่อยด้วยความรังเกียจจึงยกขาถีบขอทานสุดแรง

          “แม่งเอ้ย! หลีกไปให้พ้น อย่ามาทำให้กางเกงของข้าสกปรก”

          มือปราบยังด่าไม่ทันจบ ฉับพลันนั้นก็ชะงักปากยืนแน่นิ่งไม่สาดคำด่าว่าใด ๆ ออกมาอีก

          “อ้าย!” ซื่อเฟิ่งที่ยืนหันหน้าตรงมาที่เขายืนอยู่กรีดร้องออกมาด้วยความตกใจกลัวแล้วหันกลับไปมองดูมือปราบอีกครั้ง มือปราบคนนั้นโซเซก่อนที่จะหงายหลังล้มลงเลือดออกเจ็ดทวารเสียชีวิตทันที

          ในช่วงเวลานี้ ไม่รู้ใครเป็นใครในกลุ่มฝูงชนมากหน้าหลายตา ได้ตะโกนขึ้นมา “หม่าฟู่สัตว์ร้ายฆ่าคนตายอีกแล้ว”

          ทันทีที่ได้ยิน ฝูงชนก็เกิดโกลาหนขึ้น พากันดันกระแทกประตูเมืองให้เปิดออกเพื่อเข้าเมือง ทหารยามเฝ้าประตูเมืองก็มิอาจขัดขวางได้

................................................................................................................................................................

          ท่าเรือข้ามฝากของเมืองฉวีซานทางฝั่งใต้ เรือแพลำหนึ่งกำลังค่อยๆ แล่นออกจากฝั่งมุ่งหน้าไปยังทิศเหนือของเมืองฉวีซาน

          บนเรือผู้คนไม่ค่อยมากนัก ชายหลายคนมีถุงเงินผูกไว้อยู่ที่เอว ดูแล้วน่าจะไปใช้แรงงานที่ฝั่งเหนือ ส่วนพวกผู้หญิงจูงลูกและหิ้วตะกร้าไว้ในมือข้างในมีหน่อไม้สดอยู่คงจะเอาไปฝากญาติพี่น้อง และก็ยังมีพ่อค้ากับคนกลุ่มเล็ก ๆ ที่ออกท่องยุทธภพ

          ตรงด้านท้ายเรือมีชายผู้หนึ่งสวมชุดสีขาวนั่งอยู่บนศีรษะของชายผู้นี้สวมหมวกงอบสานสีขาวปีกหมวกกดต่ำลงมา ข้างกายมีห่อผ้อวางอยู่ใบหนึ่ง ในมือถือดาบยาวเล่มหนึ่งที่มีผ้าสีขาวห่อไว้ เขาก้มศีรษะลงมา ดูเหมือนว่ากำลังหลับอยู่ รูปร่างของเขาสูงโปร่ง ชายหนุ่มเลือกนั่งอยู่ตรงมุมที่ไม่สะดุดตาผู้คน

          หญิงสาวผู้หนึ่งแอบลอบมอบมาทางชายหนุ่มอยู่บ่อยครั้ง แต่มิใช่อะไรเป็นเพราะนางมีความสามารถด้านการถักทอและงานฝีมือ เสื้อคลุมยาวของชายหนุ่มก็โดดเด่นเป็นที่สนใจของนางเพราะว่าทอด้วยผ้าไหมสีขาวรูปแบบเรียบง่ายแต่ทว่าเนื้อผ้าที่ใช้ตัดเย็บนั้นเป็นผ้าชั้นหนึ่งฝีมือที่ตัดเย็บนั้นช่างปราณีตละเอียดละออยิ่งนัก คนผู้นี้น่าจะนี้มีฐานะร่ำรวย เมืองฉวีซานเป็นเมืองที่อยู่ห่างไกลความเจริญ น้อยนักที่จะได้พานพบชายหนุ่มที่มีลักษณะบุคลิกดุจดั่งคุณชายเช่นนี้

 
***************************โปรดติดตามตอนต่อไป อัพตอนใหม่ทุกวัน จันทร์ พฤหัส เสาร์ ตอน 2 ทุ่มครึ่งค่ะ**********************
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้นำมาจากแหล่งอื่นและได้รับการอนุญาตจากเจ้าของแล้ว

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา