Demon สัตว์อสูรจอมราชันย์

-

เขียนโดย Dinnsor

วันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 16.50 น.

  15 ตอน
  0 วิจารณ์
  12.82K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 มกราคม พ.ศ. 2562 16.55 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

13) บทที่ 13 Enemy : ศัตรู

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
บทที่ 13
 
Enemy : ศัตรู
 
Richard Soar : โลกใบนี้คงไม่มีมิตรสหายและศัตรูที่ถาวรหรอก
 
 
ณ ห้องทรงกลมห้องหนึ่ง ซึ่งภายในจัดตั้งเก้าอี้สิบสามตัวเรียงรายรอบแนวผนังห้อง บนที่นั่งตัวกลางของเก้าอี้ทั้งสิบสาม ถูกนั่งโดยชายชราหน้าตาเคร่งเครียดคนหนึ่ง ผมหงอกขาวและหนวดเคราบนใบหน้าเหมือนจะลุกตั้งชี้ชันไปตามสีหน้าอารมณ์
 
เก้าอี้ที่เหลืออีกสิบสองตัวถูกนั่งโดยกลุ่มบุคคลสวมหน้ากากรูปสัตว์ บนหน้ากากแต่ละใบถูกประดับไว้ด้วยหมายเลขที่ต่างกันสิบสองหมายเลข ทุกคนต่างมีท่าทีตื่นเต้นตึงเครียดต่อสีหน้าท่าทางของชายชรา เสียงเพลง Canon in D ที่เปิดคลอไปในการประชุม ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ตรงหน้ามีบรรยากาศดีขึ้นแม้แต่น้อย
 
"แรบบิท รายงานความเสียหาย" ชายชราเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ขัดกับใบหน้า
 
"เราสูญเสียหมายเลขสามสิบ และ หมายเลขยี่สิบเก้าไปค่ะ" หญิงสาวรีบตอบกลับด้วยน้ำเสียงสั่นระรัว
 
"การสูญเสียครอคโคได และมิโนทอร์ไป นับว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า....อย่างน้อยในตอนนี้เราก็ทำให้พวกมันเริ่มตื่นตัวแล้ว" ชายชราเปลี่ยนเป็นนั่งไขว่ห้าง มือทั้งสองวางลงบนที่พักแขนเก้าอี้ สีหน้าที่เคร่งเครียดดูผ่อนคลายลง
 
"นาตาลีล่ะ"
 
"ปลอดภัยดีค่ะ"
 
"ไลโอเนล เอาป้ายหน้าห้องไปติดรึยัง" ชายชราหลับตาครุ่นคิดเรื่องราวบางอย่าง
 
"ยังครับท่าน" ชายหนุ่มหน้ากากสิงโตหมายเลขเจ็ดตอบอย่างสุภาพ
 
"............ไม่ต้องแล้วนะ" ชายชราพูดไปยิ้มไป "เดี๋ยวผมจัดการเอง....เลิกประชุม"
 
…………………………………………………………
 
เมฆหมอกมืดครึ้มเข้าปกคลุมท้องฟ้ายามค่ำคืน หมู่ดาวพราวแสงประกายใสถูกเมฆฝนปกปิดไม่ให้เห็นสีสัน
 
ในร้านอาหารที่เต็มไปด้วยหมอกขาวขุ่นตัดกับสีดำมันวาวของเส้นผมลูกค้าที่มาดื่มกิน ควันขาวในเตาถ่านลอยละล่องหายไปในหมู่เม็ดฝนสีใส ตะเกียบสองคู่ผลัดกันคีบชิ้นเนื้อย่างชิ้นเดียวบนกระทะ กลิ่นหอมลอยลอดรูกระทะเป็นควันสีขาวขุ่นเข้าจมูก
 
ชายสองคนนั่งจับตะเกียบจ้องชิ้นเนื้อย่างบนเตากระทะตาเป็นมัน คนหนึ่งอ่อนวัยกว่าใส่ชุดสูทสีขาว คนหนึ่งสูงวัยกว่าใส่ชุดคลุมนักสืบสีน้ำตาล คนชุดสูทขาวสวมแว่นกันแดด คนที่สูงวัยกว่าไม่สวมแว่นกันแดดแต่มีหนวดเคราดกดำ
 
ตะเกียบในมือทั้งคู่อยู่ในสภาพเตรียมพร้อมจู่โจม
 
"ผู้หมวดโซอาทำไมคุณถึงใส่แว่นตากันแดดมากินเนื้อย่างกระทะล่ะ" ชายสูงวัยถามคำถามโดยไม่ละสายตาไปจากชิ้นเนื้อย่างบนกระทะ
 
"เรื่องของผม" ชายอ่อนวัยกว่าตอบพลาง ใช้ตะเกียบในมือกลับด้านชิ้นเนื้อไปมา
 
"มีบางเรื่องที่คุณไม่ควรเข้าไปยุ่งด้วยจะดีกว่า" ชายสูงวัยใช้ตะเกียบคีบชิ้นเนื้อมาด้านตนเอง
 
"ผมไม่ปล่อยให้คนชั่วลอยนวล" ชายอ่อนวัยกว่าใช้ตะเกียบคีบเนื้อย่างกลับมา
 
"ไฟแรงดีนะ" ชายสูงวัยตัดสินใจคีบเนื้อชิ้นใหม่มาวางบนกระทะ
 
"ครับ...ก่อนที่ไฟจะมอดลง ผมต้องคีบเนื้อย่างให้ได้มากที่สุด" พอปากพูดตะเกียบก็ขยับคีบเนื้อย่างมาไว้ในจานของตัวเอง
 
"รายงานที่คุณเอามาให้ผม ยังมีหลักฐานไม่พอ" ชายสูงวัยกว่าใช้ตะเกียบกดชิ้นเนื้อที่กำลังจะโดนตะเกียบอีกคู่หนึ่งแย่งไป
 
"ผมรู้ ว่าสารวัตรมีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์กรนี้" ชายอ่อนวัยกว่าคีบแผ่นเนื้อหมูติดมันวางลงทับชิ้นเนื้อ ชายสูงวัยมองหน้าชายอ่อนวัย ก่อนที่จะมองสำรวจชุดสูทสีขาวของเขา
 
"สูทของคุณยังไม่เคยเปื้อนมาก่อน"
 
ทั้งคู่ต่างมองหน้ากันและกัน จนเวลาผ่านไปครู่หนึ่งชายอ่อนวัยกว่าจึงถอนตัวลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำไป เก้าอี้ทั้งสองจึงกลับกลายเป็นหนึ่งตัวว่างอีกหนึ่งตัวไม่ว่าง
 
ชายสูงวัยที่ถูกเรียกว่าสารวัตรมองตามจนเขาเดินลับสายตาไป เมื่อหันกลับมามองดูที่กระทะเตาย่างก็ปรากฏร่างของชายสวมหน้ากากตัวตลก ในชุดทักซิโดสีขาว ยืนถอดหมวกโค้งคำนับอยู่ข้างๆ
 
"สวัสดีครับสารวัตร" ชายสวมหน้ากากสวมหมวกทรงสูงกลับไปเหมือนเดิม สารวัตรมีทีท่าตกใจเล็กน้อยก่อนที่สีหน้าจะกลับกลายเป็นปกติ...ตะเกียบในมือพลิกด้านแผ่นหมูติดมันบนกระทะย่าง ก่อนจะหันหน้ามองชายสวมหน้ากาก แล้วผายมือเชิญชวนให้นั่งลงยังเก้าอี้ว่าง
 
"ดูเหมือนสารวัตรจะมีปัญหานะครับ" ชายสวมหน้ากากจัดการกินเนื้อย่างในจานตรงหน้าอย่างเอร็ดอร่อย
 
"แค่ลูกน้องไฟแรงคนหนึ่งมาจุ้นจ้านไม่เข้าเรื่องเท่านั้น"
 
สารวัตรบอกปัดไป ชายสวมหน้ากากฟังแล้วยิ้มเล็กน้อยก่อนจะคีบเนื้อย่างบนกระทะเข้าปาก
 
"อย่าคิดนะว่าผมไม่รู้" ชายสวมหน้ากาก คีบแผ่นหมูติดมันจากบนกระทะจุ่มลงในถ้วยน้ำจิ้ม
 
"ผมจะดับไฟให้เอง ดับตลอดกาล" ชายสวมหน้ากากใช้ตะเกียบคีบส่งชิ้นหมูติดมันเข้าปาก ก่อนจะลุกขึ้นเดินหายลับไปกับสายฝนที่พรั่งพรูลงมา
 
ฟิลิป โซอาร์เดินกลับมานั่งที่เก้าอี้ตัวเดิมหลังจากทำธุระเสร็จ ทันทีที่นั่งลงเขาก็ใช้มือข้างขวาเลื่อนแว่นตากันแดดให้เข้าที่ ก่อนจะมองจานที่ว่างเปล่าของตัวเอง
 
"สารวัตรเป็นคนกินมัน?" ฟิลิป โซอาร์ คีบแผ่นเนื้อติดมันชิ้นใหม่ขึ้นไปวางบนกระทะ
 
"ไม่ได้กินสักชิ้นเลย สาบานได้" สารวัตรทำหน้าเหยเก
 
…………………………………………………………
 
"คุณต้นไม้คะ หนูเจอผีเสื้อแล้วค่ะ คุณต้นไม้คะ ได้ยินไหม หนูเจอผีเสื้อแล้ว" ภาพท้องฟ้าที่สดใส แต่ทุ่งดอกไม้เบื้องล่างยังคงเหี่ยวเฉาปรากฏขึ้นแก่สายตาของเธอ นาตาลีแห่งทุ่งดอกไม้รีบวิ่งตรงเข้ามาหาคุณต้นไม้ ซึ่งบัดนี้ใบไม้สีเขียวทั้งหลายบนกิ่งก้านได้เริ่มซีดจางเหี่ยวเฉาลง เธอวิ่งไม่ทันระวังจนท้าไปเกี่ยวเข้ากับดอกไม้ประหลาดต้นหนึ่งเสียหลักล้มคะมำ
 
"อู้ย...เจ็บจังเลย"
 
แต่เมื่อนาตาลีมองเห็นดอกไม้ที่เธอสะดุดล้มแล้วก็ทำหน้าดีใจ
 
"คุณต้นไม้คะ หนูเจอแล้วค่ะ เจอผีเสื้อ เจอดอกไม้แห่งความหวังแล้วค่ะ" นาตาลีแห่งทุ่งดอกไม้ เด็ดดอกไม้สีสันประหลาดต้นนั้นขึ้นมา แล้วรีบวิ่งอย่างเริงร่าไปยังคุณต้นไม้
 
"คุณต้นไม้คะ หนูนาตาลีเจอดอกไม้แห่งความหวังแล้วค่ะ เจอแล้วค่ะ" นาตาลีวิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าคุณต้นไม้ต้นสูงใหญ่ที่แลดูอบอุ่น เธอยืนรออยู่นานแต่เมื่อคุณต้นไม้ไม่ตอบอะไรก็เริ่มโวยวาย
 
"คุณต้นไม้คะ ทำไมไม่ตอบหนูล่ะคะ คุณต้นไม้ขา หนูเจอดอกไม้แห่งความหวังแล้วนะคะ คุณต้นไม้ลืมตามาดูหน่อยสิคะ" เมื่อถูกรบกวนมากเข้าคุณต้นไม้จึงลืมตาขึ้นมา เหลือบมองดอกไม้ในมือของนาตาลีแวบหนึ่งแล้วจึงปิดเปลือกตาลงไป
 
"นั่นไม่ใช่ดอกไม้แห่งความหวัง รีบหาเร็วเข้า เวลาใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว"
 
ทันทีที่คุณต้นไม้พูดจบเมฆหมอกสีม่วงแดงก็เริ่มรวมตัวกันเข้ามาปกคลุม เหล่าต้นไม้ที่เหี่ยวเฉาอยู่แล้วก็เริ่มดูดกลืนเมฆหมอกสีม่วงแดงเข้าไปจนเปลี่ยนสภาพเป็นดอกไม้ที่สุดแสนจะน่ากลัวบ้างก็มีตุ่มขึ้นตามกลีบดอกที่เหี่ยวเฉา บ้างก็มีหนามขึ้นที่กิ่งก้าน กลีบดอกต่างเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท มิหนำซ้ำยังมีดอกไม้บางดอกถึงกับอ้าปากออกมากัดกินดอกไม้ต้นอื่น
 
"แล้วหนูจะทำยังไงล่ะคะคุณต้นไม้ " น้ำตาใสๆ เริ่มเอ่อท้นขึ้นภายในดวงตา
 
ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูปลุกนาตาลีให้ตื่นจากความฝัน
 
"คุณนาตาลีครับ ผมสกอต มีเรื่องจะปรึกษาครับ" นาตาลีลอยละล่องออกจากเตียงนอนไปเปิดประตูด้วยความงัวเงีย เธอแทบจะลืมเรื่องราวในความฝันไปทั้งหมด เมื่อเธอเปิดประตูก็เห็นภาพชายชราในชุดสูทหรูหราเช่นเดิม กำลังยืนถือดอกกุหลาบช่อใหญ่ ยื่นมอบให้กับนาตาลี......และเธอก็รับมันมาถือด้วยความงุนงง
 
"เนื่องในโอกาสอะไรคะ" นาตาลีขยี้เปลือกตามองดูช่อดอกไม้สีแดงสดในมือ ชายชราเดินเข้ามาในห้องเธอและปิดประตูตามหลัง
 
"คุณรู้จักองค์กรอิลูมินาติไหมครับ" รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ค่อยๆ เด่นชัดขึ้นบนมุมปากของชายชรา พร้อมกับประตูห้องพักของนาตาลีที่ค่อยๆ ปิดลง
 
…………………………………………………………
 
เสียงระฆังจากยอดโบสถ์ดังเหง่งหง่างปลุกอาเธอร์ให้ฟื้นตื่นขึ้นมา แสงแดดในยามอาทิตย์ใกล้ตกดินส่องแสงสีเสียดแทงนัยน์ตาเขา อาเธอร์ต้องใช้เวลาอยู่พักนึงจึงจะปรับสภาพรูม่านตาให้เข้ากับแสงสว่างได้ เขาลุกขึ้นกึ่งนอนกึ่งนั่งมองดูมือทั้งสองข้างของตัวเองที่บัดนี้กลับคืนมาเป็นมือที่มีเลือดเนื้ออีกครั้ง
 
อาเธอร์พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงไม้แกะสลัก เมื่อได้สำรวจมองดูสิ่งของทุกอย่างในห้องซึ่งล้วนแล้วแต่สวยงามไปหมด ตั้งแต่โคมไฟระย้า ถาดเงิน จานชามช้อนส้อมที่ทำด้วยเงิน ตู้ไม้ลงรักปักทอง เชิงเทียนทองเหลืองรูปเทพธิดาบนผนังกำแพง รวมไปจนถึงประตูห้องซึ่งสลักรูปไม้กางเขนเอียงองศาแปลกประหลาด ทำให้อาเธอร์พอที่จะมั่นใจว่าตอนนี้เขากำลังอยู่ในโบสถ์ของศาสนาแห่งหนึ่งแน่นอน
 
เมื่ออาเธอร์มองลอดผ่านหน้าต่างกระจกออกไปก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังก่อกระโจมทำพิธีบูชาอะไรบางอย่าง หนึ่งในกลุ่มนั้นบังเอิญหันหน้ามองขึ้นมาทางเขาพอดี อาเธอร์รีบหดตัวกลับเข้าไปในผ้าห่มทันที
 
ทำไมเขาถึงต้องกลัวคนพวกนี้ด้วยนะ
 
ทันใดนั้นเขาก็นึกเอะใจรีบสำรวจสิ่งของที่พกติดตัว...ทุกอย่างยังอยู่ครบ ยกเว้นหนังสือเล่มเก่าขาดที่นักบวชชราให้มาเท่านั้น
 
ใจเขาในตอนนี้ยังไม่อยากจะคิดเรื่องอะไรทั้งสิ้น อาเธอร์รู้สึกอ่อนเพลียเกินกว่าที่จะเดินลงจากเตียง เขาจึงเอนตัวนอนลงดังเดิม ถึงจะยังไม่อยากคิดแต่สมองมันก็พาให้คิดไปเอง ภาพเหตุการณ์ทุกวินาทีที่เกิดขึ้นในสถานีรถไฟกลาง เด่นชัดขึ้นในหัวสมองเขา
 
อาเธอร์ยกมือข้างซ้ายของตัวเองขึ้นมาดู กลางฝ่ามือของเขาปรากฏรอยผลึกรูปผีเสื้อตัวสีเขียวใสเห็นเด่นชัด อาเธอร์ปิดเปลือกตาลง ผ่อนคลายลมหายใจนอนแน่นิ่งอยู่อย่างนั้น
 
เวลาผ่านไปราวห้านาทีเสียงฝีเท้าที่แผ่วเบาของคนสามคนก็ดังเข้ามาในหูของเขา
 
ขณะที่อาเธอร์กำลังนึกประหลาดใจกับโสตประสาทของตัวเองที่ปราดเปรียวเหนือมนุษย์ ประตูห้องซึ่งสลักรูปไม้กางเขนที่เอียงองศาแปลกประหลาดก็เปิดออก อาเธอร์ลืมตาขึ้นมองดูผู้มาทั้ง...สองคน สงสัยเขาคงจะหูฝาดไป
 
"เดวิดบอกว่าเห็นคุณฟื้นแล้ว และพ่อก็ดีใจมากที่คุณฟื้นแล้ว" ชายคนที่อาเธอร์คิดว่าเป็นบาทหลวงรีบลากเก้าอี้มานั่งลงที่ข้างเตียงของเขา เมื่อเห็นอาเธอร์นิ่งเงียบบาทหลวงจึงพูดต่อ
 
"คุณคงจะอยากถามว่าที่นี่คือที่ไหน ที่นี่คือวิหารศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา"
 
นั่นเป็นเรื่องที่อาเธอร์รู้อยู่แล้วเขาเบือนหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง
 
"พวกเรากำลังจะจัดพิธีศักดิ์สิทธ์เพื่อต้อนรับผู้ศรัทธาในเทพเจ้าของเราคนใหม่" หลวงพ่อมองไปตามสายตาของอาเธอร์ "หากคุณไม่รังเกียจ พ่ออยากจะขอเชิญคุณเข้าร่วมพิธีในฐานะแขก" บาทหลวงพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
 
"เอาล่ะ พ่อไม่รบกวนคุณแล้ว ถ้าต้องการอะไรบอกคนที่นี่ได้นะ......อ้อ ลืมบอกไป พ่อชื่อ ปีเตอร์ ส่วนคนที่ยืนข้างๆ นี่ ชื่อเดวิด ขอตัวก่อนนะคุณจอนส์ตัน" ชายคนที่ชื่อเดวิดพยักหน้าให้เล็กน้อย ก่อนเดินตามบาทหลวงออกจากห้องไป
 
อาเธอร์รู้สึกประหลาดใจกับคนที่นี่ เขามองออกไปนอกหน้าต่างทุกคนต่างทำงานด้วยความเคร่งขรึมและแววตาหม่นหมองไร้ประกาย ไม่มีใครยิ้มเลยแม้แต่คนเดียว เว้นแต่บาทหลวงปีเตอร์
 
อาเธอร์ล้มตัวนอนอีกครั้งด้วยความมึนงง
 
เมื่อพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าลงไป แสงเทียนแสงไฟก็สว่างสไวออกมาจากภายในโบสถ์ อาเธอร์เดินออกจากห้องพักลงมาบริเวณลานทำพิธีหน้าวิหาร เขาเห็นคนกลุ่มหนึ่งประมาณสิบกว่าคนกำลังยืนทำพิธีกรรมบางอย่าง ทุกคนล้วนแต่ยืนเงียบสำรวมรอบวงกลมที่มีสัญลักษณ์ดาวหกแฉกอยู่ภายใน
 
ใจกลางของดาวหกแฉกมีหญิงสาวคนหนึ่งนอนตะแคงข้างหันหลังมาทางเขา ก่อนที่อาเธอร์จะเดินเข้าไปใกล้กว่านี้ บาทหลวงปีเตอร์ก็บังเอิญหันมาพบเขาเข้าพอดี
 
"โอ้...คุณจอนส์ตัน เพื่อความศักดิ์สิทธิ์ในพิธีกรุณาอยู่ห่างวงกลมศักดิ์สิทธิ์ในระยะสิบก้าวด้วยครับ" อาเธอร์ฟังแล้วก็ทำตามทันที บาทหลวงปีเตอร์ยิ้มให้เขาก่อนที่จะหันหลังกลับไป
 
อาเธอร์เลือกมุมใต้ต้นไม้เฝ้าดูพิธีกรรมอย่างสงบ เสียงสวดมนต์ภาษาแปลกประหลาดเริ่มดังขึ้น ความรู้สึกแปลกประหลาดเกิดขึ้นภายในร่างกายเขา ใจกลางฝ่ามือข้างซ้ายเริ่มมีแสงสว่างเรืองออกมาจากผลึกรูปผีเสื้อ ความรู้สึกสะอิดสะเอียนเริ่มแทรกซึมเข้ามาภายในตัวเขา
 
เสียงสวดมนต์ดังขึ้นเรื่อยๆ ร่างของหญิงสาวที่นอนอยู่กลางดาวหกแฉกเริ่มลอยขึ้นมาจากพื้น หลังจากลอยขึ้นมาอยู่เหนือหัวคนทั้งหมดตัวเธอก็เริ่มหมุน และนั่นทำให้อาเธอร์ได้เห็นใบหน้าที่กำลังร้องไห้ของเธอ เธอขยับปากคล้ายกำลังสื่อสารอะไรบางอย่างกับเขา อาเธอร์พยายามอ่านริมฝีกปากของหญิงสาว
 
"......ช่วย......ด้วย "
 
อาเธอร์ค่อยฉุกคิดว่าผิดท่า นี่มันไม่ใช่พิธีกรรมของศาสนาทั่วไปควรจะมีแล้ว ที่จริงเขานึกเอะใจตั้งแต่รูปสลักไม้กางเขนที่เอียงองศาแปลกประหลาดบนประตูห้องพัก และรูปปั้นต่างๆ ที่โบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ไม่น่าจะมี เขาต้องรีบช่วยเหลือหญิงสาวคนนี้ก่อนแล้ว
 
อาเธอร์รีบวิ่งเข้าหาวงพิธีกรรม ทันใดนั้นบาทหลวงปีเตอร์ก็หันหน้ามาหาเขา ดวงตาทั้งสองข้างเหมือนมีของเหลวสีดำเข้มไหลวนไปมาอยู่ภายใน กล้ามเนื้อแขนขาเหมือนจะขยายใหญ่ขึ้นจนเส้นเลือดปูดโปนออกมา สีผิวเริ่มเปลี่ยนเป็นขาวซีดจนห่างไกลจากคำว่ามนุษย์เข้าไปทุกที
 
"พ่อบอกแล้วว่าให้คุณรอดูอยู่ห่างๆ!"
 
บาทหลวงปีเตอร์ตะคอกด้วยเสียงแหลมเล็กสั่นรัว ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มแจ่มใส กลับกลายเป็นดุร้ายสยองขวัญ มือทั้งสองข้างกางออกและพุ่งตรงเข้ามาหาเขา
 
อาเธอร์ที่ตกใจจนไม่ทันหลบมารู้สึกตัวอีกทีความรู้สึกเจ็บแปลบก็แล่นขึ้นมาตามแผ่นหลังของเขา ใบไม้หลายใบร่วงหล่นลงมาจากต้นไม้ที่เขากระแทกใส่ นี่มันไม่ใช่เรี่ยวแรงของมนุษย์แล้ว!
 
เขาใช้มือข้างขวายันต้นไม้ลุกขึ้นยืน หมอกควันสีม่วงแดงเริ่มไหลทะลักออกมาจากปากของกลุ่มคนที่สวดมนต์ลอยเข้าปกคลุมหญิงสาว เธอดิ้นรนราวกับหมอกควันพวกนั้นกำลังทำให้เธอทรมาน บาทหลวงปีเตอร์ที่ตอนนี้เริ่มเปลี่ยนรูปลักษณ์จนห่างจากคำว่ามนุษย์มากขึ้นไปอีก กำลังแสยะยิ้มอ้าปากน้ำลายไหล เดินตรงเข้ามาหาเขา
 
"ม่ายยย" หญิงสาวกรีดร้องเสียงดังลั่นบิดตัวไปมาด้วยความทรมาน หมอกควันสีม่วงแดงเริ่มไหลเข้าไปตามหู จมูก ปาก อาเธอร์หวาดกลัวตัวสั่น ขาทั้งสองข้างของเขารู้สึกอ่อนล้าจนแทบยืนไม่ไหว
 
"คุณจอนส์ตัน......คุณ.....คือรายต่อไป "
 
…………………………………………………………
 
"พวกเราไม่ใช่กลุ่มแรกที่มาถึงดาวดวงนี้ค่ะ" เสียงของนุ่มนวลเสียงหนึ่งดังขึ้นจากริมฝีปากบางสวยของหญิงสาวที่งดงามราวเทพธิดาเจ้าของดวงตาสีม่วงสวย
 
"บรรพบุรุษของเราได้เป็นผู้บุกเบิกค้นพบดาวดวงนี้ ตามคำสั่งของมหาราชาตั้งแต่โบราณกาล บรรพบุรุษของเราได้ทิ้งสิ่งปลูกสร้างที่เรียกว่าวิทยาการที่ถูกลืมไว้ มันเป็นสิ่งปลูกสร้างที่มีพลังอำนาจมหาศาล เพื่อรอการหวนกลับมาอีกครั้งของมหาราชา...ท่านนั้น"
 
ผมสีทองของเธอปลิวสยายไปตามแรงลม รูปร่างสูงสง่าสวยสมส่วนภายใต้ชุดกระโปรงสีน้ำเงินรัดรูปตัดกับผิวที่ขาวราวหิมะช่วยขับความงามวิจิตรล้ำลึกสุดที่มนุษย์คนใดจะเทียบเปรียบได้
 
ชายหนุ่มรูปร่างสูงกว่าเล็กน้อยที่มีรอยแผลเป็นบนใบหน้าด้านขวาเดินเคียงข้างเธอมาฟังคำบอกเล่าบรรยายโดยไม่พูดอะไร
 
"แต่ว่า" เธอพูดต่อ "หลังจากยุคแห่งมหาจักรพรรดิสิ้นสุดลงกลับเกิดเหตุการณ์การก่อกบฏล้มล้างราชวงศ์ และกลุ่มกบฏที่ชั่วร้ายก็ได้ยึดครองอำนาจมาจนถึงทุกวันนี้" เธอหมุนตัวหันมาจ้องหน้าชายหนุ่มด้วยดวงตาที่แฝงความหมายลึกซึ้ง ชายหนุ่มจ้องกลับด้วยแววตาที่ชืดชา....ทั้งคู่เริ่มออกเดินไปอีกครั้ง
 
ปี๊บ ปี๊บ ปี๊บ ปี๊บ
 
"และคุณ เป็นเพียงความหวังเดียวของพวกเรา ที่จะล้มล้างพลังอำนาจชั่วร้ายนั้นให้หมดไป" ชายหนุ่มยังคงจ้องมองหญิงสาวด้วยท่าทีเย็นชา แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านแต่อย่างไร
 
"และเรา" เธอพูดต่อ "ก็ได้ค้นพบร่องรอยของวิทยาการที่ถูกลืมแล้ว มันถูกบันทึกอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ของดาวดวงนี้อย่างไร้พิรุธ"
 
เธอยิ้มขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ "ด้วยข้อมูลที่เรามีตอนนี้คุณคงจะยอมรับแล้วสินะคะว่าสิ่งมีชีวิตบนดาวดวงนี้ เป็นส่วนหนึ่งของวิทยาการที่ถูกลืม" เธอหยุดอยู่ครู่หนึ่งจึงเริ่มพูดต่อ
 
ปี๊บ ปี๊บ ปี๊บ ปี๊บ ปี๊บ ปี๊บ ปี๊บ ปี๊บ
 
"แต่คุณไม่ใช่....คุณกลับแตกต่างออกไป คุณวิเศษเกินกว่าที่พวกเราจะเข้าใจ" คราวนี้ชายหนุ่มกลับเป็นฝ่ายหยุดเดิน และหันมาพูดกับหญิงสาว
 
"ถึงแล้ว.......หลบไปซะ" ชายหนุ่มออกปากขับไล่เธอ
 
"ไม่ค่ะ" เธอตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาด "ครั้งนี้ชั้นจะอยู่เคียงข้างคุณ" เธอจ้องมองชายหนุ่มด้วยดวงตาที่แน่วแน่เด็ดเดี่ยว ดวงตาสีม่วงเริ่มมีประกายแสงเรืองรองสว่างไสวปรากฏให้เห็น
 
"แต่เธอร่างกายอ่อนแอ" ชายหนุ่มจ้องมองเครื่องมือตรวจจับสัญญาณ ที่ส่งเสียงดังถี่เร็ว ก่อนที่จะใช้มืออีกข้างปิดการทำงานของมัน
 
"ครั้งนี้พวกมันไม่ได้มีเพียงตัวเดียว" ชายหนุ่มดึงดาบที่ถูกสร้างจากเทคโนโลยีชั้นสูงเกินกว่ามนุษย์โลกจะสร้างได้ที่เก็บซ่อนไว้ด้านในของเสื้อคลุมออกมา และกดปุ่มเริ่มการทำงานระบบพิเศษ
 
Three เสียงสังเคราะห์ดังขึ้นจากตัวดาบ
 
"แต่ชั้นก็มีพลังอำนาจมากพอที่จะร่วมต่อสู้ด้วย คุณเองก็ทราบดีอยู่แล้ว" เธอพูดขึ้นด้วยความดื้อรั้น
 
Two ชายหนุ่มเงื้อดาบขึ้นเหนือศีรษะ เขามองหญิงสาวด้วยความพินิจพิเคราะห์อีกครั้ง
 
"ไม่รับประกันความปลอดภัยนะ"
 
One ดวงตาสีดำของชายหนุ่มเกิดอาการแปลกประหลาดขึ้น แสงเส้นสายสีเขียวไหลจากเส้นเลือดบริเวณรอบข้างผ่านเส้นประสาทเข้ามารวมกันเป็นประกายในดวงตา
 
"หมอบลง" หญิงสาวพอได้ยินก็รีบก้มหมอบตามคำสั่งทันที เสียงควับของลมแหวกอากาศดังขึ้นเหนือศีรษะของเธอ เมื่อเธอลุกขึ้นตั้งตัวตรงอีกครั้ง ดาบรูปทรงไฮเทคก็สาบสูญไปจากมือของชายหนุ่ม
 
Cut Mode Ready
 
เสียงสังเคราะห์คอมพิวเตอร์ดังแว่วแผ่วเบามาจากระยะห่างไกล
 
"แพทริเซีย" ชายหนุ่มยื่นมือข้างซ้ายมาให้เธอ หญิงสาวยื่นมือไปจับ ทันใดนั้น เธอก็รู้สึกตัวเบาโหวงเหวงเหมือนกับกำลังล่อยลอยอยู่กลางอากาศ เมื่อเธอได้สติก็พบว่าตัวเธอถูกอุ้มอยู่ในอ้อมอกของชายหนุ่มแล้ว
 
"ขอบคุณค่ะ" เธอกระซิบบอกอย่างแผ่วเบา ชายหนุ่มไม่สนใจคำพูดนั้นเริ่มกระโดดโลดแล่นด้วยความว่องไวเหนือมนุษย์ไปยังทิศทางที่แสงไฟสว่างไสวออกมา
 
…………………………………………………………
 
"คุณนาตาลี คุณเชื่อไหมครับว่าโลกของพวกเราไม่ใช่สถานที่เพียงแห่งเดียวที่มีสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้น"
 
สกอต แมคโดนัล เดอแฮมเบิร์ก เอ่ยด้วยน้ำเสียงท่าทางเจ้าเล่ห์อย่างมีชั้นเชิง เขานั่งอย่างสบายอารมณ์บนโซฟาหรูราในห้องพักของนาตาลี เป็นเธอที่ยังคงมีอาการง่วงหงาวหาวนอนอยู่ จนกระทั่งเขาเริ่มพูดถึงประวัติเรื่องราวขององค์กรอิลูมินาติ นาตาลีจึงเริ่มตาสว่างสนใจฟังขึ้น
 
"สัญลักษณ์พีระมิดที่มีรูปดวงตาอยู่ตรงกลางนั้น ได้ถูกนำมาใช้ตั้งแต่เมื่อครั้งอดีตกาล มันเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งที่เรียกว่า วิทยาการที่ถูกลืม ซึ่งจะให้พลังอำนาจมหาศาลแก่ผู้ที่ครอบครองมัน และบัดนี้เราก็ได้ข้อมูลมาเพียงพอแล้วที่จะดำเนินการขั้นต่อไป......อ้อ การทดลอง Demon ก็เป็นส่วนหนึ่งของวิทยาการที่ถูกลืม" ชายชราอดยกมือขึ้นมาลูบคลำหนวดเคราของตัวเองไม่ได้เมื่อพูดถึงตอนสำคัญ เขาทำท่าครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ
 
"และ..." ชายชราเริ่มใช้น้ำเสียงที่ดุเดือดขึ้น "ไม่ได้มีเพียงแต่ เราเท่านั้นที่รู้ความลับนี้ พวกศัตรูฝ่ายนั้นก็ได้ความลับส่วนหนึ่งของวิทยาการที่ถูกลืมไปเช่นเดียวกัน.... "
 
ชายชราหยุดพูดและจ้องมองไปยังใบหน้าที่สวยงามของนาตาลี เขาจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีฟ้าคู่งามของเธอ
 
"นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่เราต่อสู้ เราสู้เพื่อโลกที่ดีกว่าวันนี้ "
 
…………………………………………………………
 
อาเธอร์หวาดกลัวเกินกว่าที่จะลืมตามองสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เสียงกรีดร้องอย่างโหยหวนของหญิงสาวดังขึ้นจนกำลังขวัญที่เหลืออยู่ของเขาเหือดแห้งหายไปหมด เสียงฝีเท้าที่ก้าวลงบนพื้นแต่ละก้าวของบาทหลวงปีเตอร์ เหมือนกับเสียงนับถอยหลังวินาทีที่เขายังมีลมหายใจ เหตุการณ์ความทรงจำที่ผ่านมาในชีวิตของเขาเริ่มไหลเข้ามา
 
เขาเห็นจูดี้นอนจมกองเลือดอยู่ตรงหน้า เห็นเหล่าเจ้าหน้าที่ตำรวจที่บุกเข้าไปในบ้านเขา พยายามต่อสู้กับสัตว์อสูร เห็นตำรวจเหล่านั้น บ้างบาดเจ็บสาหัส บ้างเสียชีวิต เห็นขอทานหน้าวัดกำลังนั่งรอรับเศษเงินจากผู้เมตตาสงสาร เห็นภาพเครื่องบินที่พ่อนั่งเกิดการระเบิดขณะลงจอด ภาพจูดี้ที่ยกมือเปื้อนเลือดมาสัมผัสหน้าของเขาเป็นครั้งสุดท้าย และคราบเลือดที่ทิ้งไว้บนใบหน้าอาเธอร์
 
นี่ถ้าเขาสามารถช่วยทุกคนได้ก็ดี ความตายต่างพรากทุกคนที่อยู่รายรอบให้จากไป ถ้าเขามีพลังมากพอที่จะช่วยเหลือคนเหล่านั้นได้ก็ดี....พระเจ้าได้โปรดให้พลังแก่ผมด้วย!
 
ทันใดนั้นเส้นแสงสีเขียวสว่างสดใสก็ส่องแสงออกมาจากฝ่ามือข้างซ้ายของเขา มันสว่างจ้าจนบาทหลวงปีเตอร์ที่กำลังเดินเข้ามาต้องยกมือขึ้นปิดบังดวงตา ความรู้สึกเจ็บปวด และอึดอัดแน่นอกเริ่มเกิดขึ้นภายในร่างกาย เส้นแสงสีเขียวสดใสไหลผ่านจากมือซ้ายเข้าสู่กระแสเลือด กระดูกสันหลังของอาเธอร์เจ็บปวดคล้ายกับกำลังจะมีอะไรงอกออกมา
 
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก
 
อาเธอร์ตะโกนร้องลั่น เส้นแสงสีเขียวสว่างไสวเข้าห่อหุ้มตัวของเขา ผิวหนังกล้ามเนื้อภายนอกเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเทามันวาว เส้นสายโลหะโผล่งอกจากกระดูกเข้ามาห่อหุ้มร่างกายอาเธอร์ประหนึ่งชุดเกราะเหล็กไหลของอัศวินที่น่าเกรงขาม
 
ปีกผีเสื้อสีเทามันวาวสวยงามงอกออกมาจากกลางกระดูกสันหลัง ดวงตาสีเขียวเรืองรองส่องสว่างภายใต้หมวกเกราะอัศวินที่สวยงาม แต่บาทหลวงปีเตอร์ดูเหมือนไม่ประหลาดใจในการเปลี่ยนแปลงของชายหนุ่มตรงหน้า และยังคงเดินเข้ามาหาอาเธอร์อย่างช้าๆ
 
Cut Mode Ready
 
ทันใดนั้นเสียงสังเคราะห์คอมพิวเตอร์ก็ได้ดังขึ้น พร้อมกับปรากฏวงล้อแสงสีฟ้าสว่างหมุนพุ่งเข้ามาตัดคอของปีศาจบาทหลวงปีเตอร์กระเด็นขาดออกจากกันทันที เมื่ออาเธอร์หันหน้าไปมองตามทิศทางที่พุ่งมาของดาบเขาก็ได้เห็นชายชุดคลุมดำ ริชาร์ด โซอาร์ยืนอยู่ ผ้าคลุมดำโบกพลิ้วปลิวไสวไปตามสายลมให้ความรู้สึกราวกับนักรบผู้ทรงอำนาจอันน่าเกรงขาม
 
"พระเจ้า ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่มีความหวังเสมอ"
 
 
 
To be continued…

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา