The Dark World มหาสงครามออนไลน์กู้ปฐพี

9.7

เขียนโดย Jalando

วันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 19.53 น.

  174 LV
  22 วิจารณ์
  141.68K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 01.31 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

30) เจ้าสังกะสี

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

เครดิตภาพจาก  https://unsplash.com

 

“ เฮ้ เจ้าหนู นี่คือม้าศึกที่เหล่าขุนพลใช้ในสนามรบเลยนะ จำเป็นต้องใช้สกิลการขี่ม้าที่สูงกว่าปกติ มือใหม่อย่างเจ้าจะไหวหรือ ” ชายร่างยักษ์ร้องเตือนด้วยความหวังดี

 

“ ไม่เอา ยังไงชั้นก็จะเอาม้าตัวนี้ ” มาวินยังงอแงไม่เลิก คราวนี้ไม่แค่ร้องเปล่า แต่ถึงขั้นล้มตัวลงไปนอนกลิ้งเกลือกกับพื้น นับเป็นการทุ่มทุนสร้างที่ปัญญาอ่อนมาก

        

 

       จางสินมองเหมยลี่เป็นเชิงปรึกษา เด็กสาวพยักหน้าให้เล็กน้อยแทนคำตอบ ชายร่างยักษ์จึงถอนหายใจช้าๆ แล้วตรงไปที่คอกม้า เพื่อจูงอาชาพ่วงพี

         

 

        ทันทีที่ม้าขาวออกมาจากคอก วัยรุ่นทั้งสองก็ได้เห็นถนัดตา สัตว์พาหนะตัวนี้ดูแข็งแรงและปราดเปรียวยิ่งกว่าที่คิด มิหนำซ้ำยังดุร้ายและอารมณ์รุนแรง

 

“ ฮี้…… ฟี้ด…… ” ม้าขาวสะบัดหัวไปมา พลางส่งเสียงฮึดฮัดจนจางสินต้องคอยกดคอเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้อาละวาด

 

“ โอ้โห ท่าทางจะดุกว่าที่คิดแฮะ ” เมื่อเห็นม้าขาวในระยะประชิด มาวินก็เริ่มแหยงนิดๆ

 

“ อารมณ์ของมันไม่ค่อยดีน่ะ เพราะแทนที่จะได้โลดแล่นในสนามรบ กลับมาติดแหง็กอยู่ในโรงเลี้ยงม้าโทรมๆแบบนี้ ” จางสินแจงสาเหตุ น้ำเสียงระรื่นนิดๆ

 

“ ฮะๆ อย่างนี้นี่เอง พี่ชายคนนี้เก่งนะ อ่านใจม้าได้ด้วย ” มาวินยิ้มแห้งๆ พลางสัพยอกเบาๆ 

         

 

        ทันใดนั้นเอง เหมยลี่ก็เอาศอกกระทุ้งไปที่เอวของมาวิน พร้อมเอ่ยถามเบาๆ น้ำเสียงคล้ายเย้ยหยัน

 

“ ไง เห็นอย่างนี้แล้ว นายยังจะขอขี่เจ้านี่อีกมั้ย ”  

        

 

        ดูเหมือนมาวินจะจับแววประชดประชันของเหมยลี่ได้ อารมณ์จึงเริ่มขึ้นตามสันดานของคนที่ถูกหยามไม่ได้ เขาหันมาทำตาเขียว 

 

“ ก็เอาสิ แค่ขี่ม้าเอง มันจะยากอะไรนักหนา ” 

       

 

         เหมยลี่ยิ้มมุมปาก ก่อนหันไปพยักหน้าให้จางสิน เมื่อเห็นดังนั้น ชายร่างยักษ์จึงเปิดทางให้มาวินได้เข้ามาทดลอง

 

“ ม้าขาวจ๋า อย่าร้อง อย่าดื้อ อย่าซนนะจ๊ะ ” มาวินวิงวอนม้าขาว ราวกับว่ามันจะฟังภาษามนุษย์รู้เรื่อง สองเท้าก้าวเข้าไปหาพาหนะพ่วงพีอย่างช้าๆ          

        

 

         มาวินค่อยๆย่องเข้าไป ในที่สุด เขาก็หยุดยืนอยู่เบื้องหน้าของม้าขาว มันมีทีท่ากระสับกระส่าย หน้ายาวๆสะบัดไปมา ดวงตาเรียวและแข็งกร้าวจับจ้องมายังเด็กหนุ่มร่างเล็ก ท่าทางประสงค์ร้าย 

          

 

         มาวินรู้ด้วยสัญชาตญาณว่า “ต้องเจ็บตัวแน่ ถ้าคิดจะขี่ม้าตัวนี้” แต่ด้วยศักดิ์ศรีที่ค้ำคอ เขาจึงไม่อาจถอยหลัง ทั้งที่ใจจริง อยากหนีไปให้ไกล พอเด็กหนุ่มเอื้อมมือไปจับต้นคอของอาชาขาว มันก็แสดงอาการคลุ้มคลั่งด้วยการกระโดดสูง พร้อมยืนด้วยสองขาหลัง ปากก็คำรามดัง 

 

“ ฮี้……….. ” 

        

 

         เหมือนจางสินรู้อยู่ก่อนแล้วว่าเหตุการณ์จะเป็นแบบนี้ เขาจึงรีบรุดเข้าไปกอดคออาชาขาว แม้ว่าชายผู้นี้จะเป็นคนร่างสูงใหญ่ แต่ก็แทบทานกำลังเอาไว้ไม่อยู่ 

 

“ ใจเย็นๆ เจ้าขาว หยุด ” จางสินออกแรงกดหัวของอาชาขาว พร้อมตวาดลั่น เพื่อสยบอาการคลุ้มคลั่ง ซึ่งต้องใช้เวลาอยู่นานพอดู

        

 

        หลังจากจางสินข่มอาชาขาวลงได้ เขาก็บ่ายหน้ามาทางมาวิน ที่บัดนี้นั่งก้นจ้ำเบ้าอยู่กับพื้น ดวงตาเหลือกโปนด้วยความตกใจ เลยทำให้ชายร่างยักษ์ขบขันอยู่นิดๆ

 

“ ไง ไอ้หนู ถึงกับหมดสภาพเลยหรือ ก็บอกแล้วไงว่าเจ้าตัวนี้เป็นอาชาสำหรับออกศึก ต่างจากม้าทั่วไป จำเป็นต้องใช้สกิลการขี่ม้าระดับสูง ว่าแต่เจ้ามีสกิลขี่ม้าในระดับไหน ”  

 

“ เอ่อ….อะไรคือสกิลขี่ม้า ” มาวินตอบซื่อๆ น้ำเสียงยังสั่นไม่หาย 

 

“ ฮ่าๆ ยิ่งไปกันใหญ่ นี่ไม่รู้แม้กระทั่งสกิลขี่ม้า แสดงว่าอยู่ที่ระดับ 0 อย่างแน่นอน เจ้าไม่โดนมันเหยียบตาย ก็บุญแล้วนะ ไอ้หนู ” จางสินยิ่งหัวเราะดัง เมื่อรู้ว่าเด็กหนุ่มผู้อวดดีไม่เป็นเรื่องอะไรเลย 

 

“ เหอๆ ” เด็กหนุ่มหัวเราะแห้งๆ พลางแอบคิดในใจ…..ต่อไปนี้ จะไม่ขอยุ่งกับไอ้ม้าโหดอีกแล้ว

 

“ ว่าแต่จางสินไปได้ม้าตัวนี้มาจากไหน ” เหมยลี่เอ่ยถาม

        

 

        จางสินยิ้มมุมปาก ก่อนตอบ

 

“ ไม่กี่วันที่แล้ว มีนักรบจากแคว้นชานีสผ่านมาที่เมืองนี้ เขาขายม้าตัวนี้ ข้าจำเป็นต้องรับซื้อเอาไว้ เพราะสงสาร อีกอย่างนักรบผู้นั้นก็เป็นคนแคว้นเดียวกับเรา ” 

       

 

         เหมยลี่พยักหน้ารับคำ ส่วนมาวินเริ่มจับใจความได้บางส่วน เด็กสาวร่างสูงและจางสินน่าจะมาจากแคว้นชานีส 

 

“ แล้วท่านจะยกมันให้ข้ามั้ย ” เหมยลี่พยักพเยิดไปยังอาชาขาวที่ส่ายหัวไปมา ท่าทางดุร้าย 

 

“ ยกให้ก็ได้ แต่มันจะดีหรือ อง เอ่อ…เหมยลี่ ” จางสินตอบเบาๆ สีหน้าฉายแววกังวล 

 

“ ไม่เป็นไรหรอก จางสิน ข้าเริ่มชอบอาชาขาวตัวนี้แล้ว ” เหมยลี่มองไปที่ม้าศึกไม่วางตา 

 

“ เฮ้อ……. ข้าน้อย เฮ้ย ข้าเตือนท่านแล้วนะ ” จางสินส่ายหัวไปมา จากนั้นก็หลีกทางให้เด็กสาวร่างสูง 

         

 

        เหมยลี่เดินเข้าไปหาอาชาขาว แต่ละย่างก้าวดูเชื่องช้าและมั่นคง ดวงตาคมเข้มประสานกับดวงตาแข็งกร้าว ทุกสิ่งที่เกิด ทำให้ม้าศึกร่างใหญ่สงบลง ถึงกระนั้นใบหน้ายาวๆก็ยังส่ายไปส่ายมา

        

 

         มาวินซึ่งดูเหตุการณ์อยู่ไม่ห่าง ร้องเตือนด้วยอาการร้อนรน 

 

“ ยัยโย่งอย่าเข้าไป ไอ้ม้าตัวนั้นมันโหดสุดๆ ” 

        

 

         แต่ไม่ทันที่มาวินจะพูดต่อ มือใหญ่ๆก็เอื้อมมาปิดปาก เด็กหนุ่มหันไปมอง ก็พบว่าเจ้าของมือข้างนั้นคือ……จางสิน พอสองฝ่ายสบตากัน ยักษ์ใหญ่เคราดกก็กระซิบบอก ใบหน้าแย้มยิ้ม

 

“ อย่าโวยวาย เจ้าหนู อง…เอ่อ เหมยลี่กำลังผูกมิตรกับม้าศึก ลองเป็นแบบนี้ เธอน่าจะเอาอยู่ ไม่ต้องห่วงหรอก ” 

     

 

          มาวินไม่ตอบประการใด เขาหันหน้าไปมองเหมยลี่ สีหน้าแฝงแววกังวล ในใจนึกภาวนาให้จางสินคิดถูก 

      

 

         เหมยลี่อยู่ห่างจากม้าขาวในระยะหนึ่งก้าว ยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆจากอาชาพ่วงพี จากนั้นเธอก็ค่อยๆเอื้อมมือไปจับแผงคอ ทันทีที่สัมผัสถูก ประกายตาของมันก็วาวโรจน์ พร้อมยืดคอขึ้นแผดเสียง

 

“ ฮี้…….. ” 

         

 

         วินาทีนั้นเอง เหมยลี่ก็กระโจนขึ้นไปนั่งบนหลังของอาชาขาว ทำให้มันคลั่งหนักกว่าเดิม ม้าศึกร่างใหญ่กระโดดสูงสลับบิดส่ายไปมา เพื่อหวังให้มนุษย์หลุดจากหลัง ปากก็ส่งเสียงร้องอย่างดุดัน 

 

“ ฮี้…….. ”  

         

 

         เหมยลี่กุมบังเหียนที่ผูกคออาชาขาวเอาไว้แน่น พร้อมกดร่างแนบลำตัวที่ใหญ่โต นั่นยิ่งทำให้ม้าศึกบ้าหนัก มันพยายามโยกกายสุดกำลัง เพื่อสลัดเด็กสาวให้หลุด

 

“ ฮี้………. ” 

 

“ เฮ้ ยัยโย่งไม่ไหวแล้ว พี่จางรีบเข้าไปห้ามไอ้ม้าบ้าเลือดนั่นที ” มาวินขอร้องจางสิน น้ำเสียงดูร้อนรน 

 

“ ฮ่าๆ ไม่จำเป็น ลองเข้าท่านั้นได้ อง เอ่อ…เหมยลี่ต้องเอาอยู่แน่ ” จางสินกอดอก พร้อมมองเหตุการณ์ ท่าทางดูมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม 

 

“ จะไหวแน่เร้อ…… ” มาวินยังเคลือบแคลง          

       

 

         ม้าศึกดิ้นพล่านอยู่พักใหญ่ ก็อ่อนแรงลง เหมยลี่เห็นจังหวะดี เธอจึงตวาดดัง พร้อมตบฝ่ามือขวาลงไปที่หัวของมัน

 

“ ฮ่า………. ”  

         

 

         ทันทีที่เจอกระบวนท่านี้เข้าไป มันก็พลันสงบลงและยืนนิ่งให้เหมยลี่ขี่ กระทั่งดวงตาที่เคยแข็งกร้าว ก็กลับกลายเป็นสงบนิ่ง ทุกสิ่งที่เกิด ดูกลับตาลปัตร ราวกับเป็นคนละตัวกับม้าศึกดุร้ายเมื่อครู่นี้

 

“ เย้…… เยี่ยมไปเลย สุดยอด ยัยโย่งเก่งที่สุด ” มาวินกระโดดโลดเต้น พลางตะโกนด้วยความดีใจ 

        

 

         เด็กสาวยิ้มนิดๆ ก่อนบังคับม้าศึกให้หยุดอยู่กับที่ จากนั้นก็กล่าวกับจางสิน 

 

“ ขอบใจมากนะ ” 

 

“ ไม่เป็นไร อง…เอ่อ เหมยลี่ ” จางสินยิ้ม พร้อมก้มหัวให้เล็กน้อย 

        

 

         มาวินสังเกตเห็นแววตาที่เปลี่ยนไปของอาชาขาว เขาจึงรู้สึกโล่งอก 

 

“ แหม…… ดีจริงๆ ในที่สุดเจ้าม้าบ้าเลือดก็เชื่องจนได้ ฮะๆ ” เมื่อกล่าวจบ เด็กหนุ่มก็เอื้อมมือออกไป หมายสัมผัสกายของอาชาขาว แต่ก่อนจะแตะถูก มันก็พุ่งงับมือด้วยอาการดุร้าย 

 

“ ฮี้……. ” 

 

“ เหวอ….. ไอ้ม้าบ้านี่ เกือบกัดมือของชั้นขาดซะแล้ว ” มาวินรีบชักมือหลบและถอยหลังหนี 

 

“ ฮ่าๆ ” จางสินและเหมยลี่หัวเราะพร้อมกัน เพราะรู้สึกขบขันกับกิริยาของม้าศึกขาวและลิงน้อยหัวเขียว 

 

“ เฮ้ จะหัวเราะไปถึงไหน ชั้นไม่ใช่จำอวดนะเฟ้ย ” มาวินโวยดัง แต่กลับทำให้ทั้งสองหัวเราะหนักกว่าเดิม 

        

 

         เหมยลี่นั่งอยู่บนม้าศึกได้พักหนึ่ง เธอก็นึกสนุก อยากลองความเร็วของอาชาขาว จึงหันไปมองหน้าจางสิน ชายร่างใหญ่เข้าใจเจตนาของอีกฝ่าย จึงตอบกลับ 

 

“ ไปเถอะ ท่าน แล้วอย่ากลับดึกนักล่ะ ”  

        

 

         เหมยลี่ยิ้มนิดๆ แต่ก่อนจะโลดแล่น เธอก็ฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงหันกลับไปบอกจางสิน 

 

“ ฝากเจ้าลิงหัวเขียวด้วยนะ จางสิน ” 

 

“ ได้เลย ระหว่างนี้ข้าจะฝึกเจ้าหนู ให้พอมีสกิลขี่ม้าเบื้องต้น ว่าแต่ท่านจะตั้งชื่ออาชาขาวตัวนี้ว่าอะไร ” จางสินยิ้มรับ พลางเอ่ยถามเหมยลี่ 

       

 

         เหมยลี่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงตบไปที่แผงคอของมันเบาๆ พร้อมขนานนามใหม่ให้อาชาขาวที่องอาจ

 

“ เจ้าม้าขาว ต่อไปนี้ขั้นจะเรียกเจ้าว่า “วายุ” นะ ” 

      

 

         อาชาขาวผงกหัวเล็กน้อย คล้ายจะรับรู้ เหมยลี่จึงชักบังเหียนให้วายุหันไปยังทิศทางที่ต้องการไป จากนั้นก็ถีบส้นเท้าเข้าไปที่สีข้าง เพื่อกระตุ้นให้พุ่งทะยาน ซึ่งมันก็วิ่งได้เร็วสมชื่อ เพียงพริบตาเดียว ก็นำพาเด็กสาวให้หายไปจากจุดสตาร์ทราวกับเสก 

        

 

หลังเหมยลี่จากไป จางสินก็หันกลับมามองมาวิน ที่ตอนนี้ ได้แต่ยืนตื่นตะลึงกับความเร็วของวายุ 

 

“ เอาล่ะ ถึงตาของพวกเราแล้ว ไปฝึกขี่ม้ากัน เจ้าหนู ” 

 

“ เอ่อ…… ได้เลย พี่จาง ” มาวินตอบกลับแบบตื่นๆ 

 

………………………..

         

        เวลาต่อมา จางสินและมาวินได้มายืนอยู่กลางทุ่งหญ้ากว้าง มือขวาของชายร่างยักษ์จูงม้ารูปร่างอ้วนเตี้ยที่ดูน่าเกลียด แถมขนของมันยังกระดำกระด่างยังไงชอบกล เด็กหนุ่มจึงถามออกมาเบาๆ ท่าทางไม่แน่ใจ 

 

“ พี่จางจะให้ชั้นฝึกขี่เจ้าตัวนี้หรือ ” 

         

 

        จางสินพยักหน้ารับ เขาลูบหัวม้าแคระสีประหลาด ปากก็กล่าวอธิบายด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน

 

“ ใช่แล้ว เจ้าตัวนี้มีชื่อว่า…..สังกะสี ขอเพียงมีสกิลขี่ม้าระดับหนึ่ง ก็พอจะขี่มัน มันเป็นม้าอารมณ์ดี แต่ออกจะอ้วนและขี้เกียจไปนิด ฮะๆ ” จางสินพูดจบ ก็หัวเราะร่า มือลูบหัวสลับเกาคาง ซึ่งเจ้าสังกะสีก็ดูเหมือนจะชอบใจ เพราะมันแยกเขี้ยวกว้าง ท่าทางคล้ายคนแย้มยิ้ม 

 

“ เหอๆ ดูจากสภาพ ไม่ใช่แค่อ้วนแล้วล่ะมั้ง อย่างนี้แถวบ้านเรียกว่าท้อง ส่วนที่ว่าขี้เกียจไปนิด น่าจะไม่นิดแล้วล่ะ เมื่อกี้เห็นว่ามันแอบหาวอยู่แวบๆ ม้าอะไรจะขี้ง่วงปานนี้ ” มาวินสำรวจสภาพของสังกะสี พลางนึกสมเพชอยู่ในใจ  

 

“ เอาล่ะ เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า ” จางสินเปิดฉากสอน 

 

“ เอาเลยครับ ลูกพี่ ” มาวินรับคำเบาๆ พร้อมเกร็งกาย ท่าทางตื่นเต้น

 

“ เริ่มต้นตั้งแต่ท่าขึ้นม้าก่อน ” จางสินพูดจบ เขาก็ใช้เท้าเหยียบบังโกลน ก่อนตวัดร่างขึ้นไปนั่งบนหลังม้าอย่างชำนาญ จากนั้นก็เอ่ยถามเด็กหนุ่ม 

 

“ มองทันมั้ย เจ้าหนู ” 

 

“ ทัน ให้ชั้นทำเลยมั้ย พี่จาง ” มาวินพยักหน้ารับคำ

 

“ ขึ้นมาได้เลย เจ้าหนู ” จางสินร้องบอก มือก็รั้งบังเหียนไว้ เพื่อบังคับม้าให้ยืนอยู่นิ่งๆ 

         

 

         เด็กหนุ่มหัวเขียวเอาเท้าเหยียบบังโกลน ส่วนมืออีกข้างก็รั้งสายบังเหียน แล้วเหวี่ยงตัวขึ้นไปนั่งบนหลังม้าตามแบบจางสิน

 

“ โอ้……ไม่เลวนี่ เจ้าหนู เห็นเพียงครั้งเดียว ก็ขึ้นม้าได้ถูกต้อง ” จางสินโห่ร้องชมเชย 

 

“ ฮะๆ ไม่เท่าไหร่หรอก พี่ชาย ” มาวินหัวเราะเขินๆ เพราะถูกชมในระยะประชิด (มาวินนั่งหน้า จางสินนั่งหลัง)  

 

“ ฮะๆ เจ้าเรียนรู้ได้เร็วอย่างนี้ ก็ดีแล้ว ข้าจะได้สอนบทเรียนต่อไป ดูให้ดีและจดจำ นี่คือวิธีการบังคับม้าขั้นพื้นฐาน ” จางสินตอบด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ

 

“ มาเลย ลูกพี่จาง ชั้นจะพยายามจดจำ ” มาวินร้องบอกเสียงดัง 

         

 

        หลังจากนั้นจางสินก็อธิบายวิธีบังคับม้าเบื้องต้น พร้อมทำให้เห็น ซึ่งก็เข้าทางมาวิน เพราะการเรียนรู้ที่เด็กหนุ่มทำได้ดีที่สุดก็คือเรียนรู้จากการปฏิบัติ ชายเคราดกสาธิตการบังคับพื้นฐานทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเดินหน้า หันซ้าย หันขวา ถอยหลัง หยุด จนถึงการ……..ควบ

 

“ เอาล่ะ ต่อไปนี้คือการควบ ” จางสินบอกยิ้มๆ เหมือนจะให้มาวินเตรียมใจไว้แต่เนิ่นๆ 

 

“ เย้ มาเลย ลูกพี่ กำลังรออยู่พอดี ควบให้เร็วที่สุดเลยนะ ” มาวินร้องตอบ ท่าทางร่าเริง โดยส่วนตัว เขาถนัดอะไรที่มันเกี่ยวกับความเร็วอยู่แล้ว 

 

“ เอาล่ะ การควบม้า เราต้องเริ่มจากการย่อตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ” จางสินพูด พร้อมปฏิบัติให้ดู มาวินก็ปฏิบัติตาม 

 

“ ขั้นต่อมา เราต้องกระทุ้งส้นเท้าทั้งสองไปที่สีข้างของม้าถี่ๆ เพื่อกระตุ้นมัน ” จางสินพูดจบ ก็เอาส้นเท้ากระทุ้งเข้าไปที่สีข้างของเจ้าสังกะสีแบบรัวๆ ทันทีที่ถูกกระตุ้น ม้าแคระที่ดูเหมือนจะง่วงเหงาหาวนอน กลับลืมตาตื่น พร้อมพุ่งทะยานไปข้างหน้าสุดกำลัง 

 

“ โว้….. นี่ขนาดม้าห่วยๆ ยังวิ่งได้เร็วขนาดนี้เลย ย้าฮู้ สะใจจริงๆ ” มาวินออกอาการร่าเริง เมื่อได้มาเจอกับอะไรที่แรงเร็ว

 

“ ฮะๆ สนุกใช่มั้ยเล่า ถ้าอยากเร่งความเร็ว ก็ง่ายๆ แค่กระทุ้งส้นเท้าให้เร็วขึ้นกว่าเดิม ” จางสินพูดจบ ก็กระทุ้งส้นเท้าซ้ายและขวาให้เร็วยิ่งขึ้น เลยทำให้เจ้าสังกะสีเร่งฝีเท้าขึ้นตาม 

 

“ ฮ่าๆ สะใจที่สุดเลย ยิบปี้ ” มาวินโห่ร้องดีใจ ราวกับตนเป็นคาวบอยหนุ่มผู้คึกคะนอง 

 

……………………

         

        พอได้เห็นการบังคับม้าในรูปแบบต่างๆ จางสินก็ปล่อยให้มาวินฝึก โดยยืนแนะนำอยู่ห่างๆ เด็กหนุ่มแสดงอัจฉริยภาพในการเรียนรู้ออกมาอีกครั้ง เขาสามารถบังคับม้าขั้นพื้นฐานได้อย่างง่ายดาย ทำให้ชายเคราดกรู้สึกทึ่ง

 

“ โห….. ข้าสอนขี่ม้ามายี่สิบกว่าปี ยังไม่เคยเจอใครที่เรียนรู้ได้เร็วขนาดนี้ เพียงชั่วโมงเดียว ก็สามารถเข้าใจการขี่ม้าเบื้องต้นจนทะลุปรุโปร่ง เยี่ยมจริงๆ ” จางสินตบมือชมเชย นั่นทำให้มาวินดูจะยืดนิดๆ เพราะพื้นฐาน เขาเป็นคนบ้ายอขนาดหนักอยู่แล้ว 

         

 

        จางสินปล่อยให้มาวินทบทวนการขี่ม้าเบื้องต้นอยู่หลายชั่วโมง ช่วงท้ายๆ มาวินเก่งขึ้นจนถึงขั้นที่ทำให้เจ้าม้าจอมขี้เกียจควบแบบต่อเนื่อง การฝึกซ้อมทำให้เพลิดเพลินจนลืมเวลา มารู้ตัวอีกที ก็พบว่า…….อาทิตย์ใกล้จะตกดิน สองหนุ่มจึงพากันกลับรวงรัง

 

“ ฮะๆ วันนี้สนุกเป็นบ้าเลย พี่จางเป็นครูฝึกขี่ม้าที่สุดยอดมาก แค่วันเดียว ทำให้ชั้นขี่ม้าได้ถึงขนาดนี้ ” มาวินพูดจบ ก็บังคับม้าเดินเคียงจางสิน

 

“ ฮ่าๆ ไม่หรอก อันที่จริง ข้าต้องชมเจ้ามากกว่า เจ้านี่มันอัจฉริยะราวกับปีศาจน้อยเลย เรียนรู้ได้ไวเหนือผู้อื่นนับสิบเท่า อย่างกับว่าไม่ใช่คน ” จางสินหัวเราะลั่น ก่อนชมไม่หยุดปาก

 

“ ฮะๆ ” มาวินหัวเราะเรื่อยๆ พลางคิดในใจ จะไม่เรียนรู้เร็วได้ยังไง เพราะสำหรับเขา การขี่ม้าไม่ได้ยากไปกว่าการขี่มอเตอร์ไซด์เลย

       

 

          ทั้งสองเดินกลับมาตามทาง ไม่นานนัก ก็ถึงที่พัก เมื่อมาวินคืนสังกะสีให้จางสิน เขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้

 

“ อ้าว แล้วยัยโย่งกลับมารึยัง ลูกพี่จาง ”

 

 

 

สามารถติดตามงานเขียน  ณ.ปัจจุบันและในอนาคตของผมได้ที่เพจ Jalando นักเขียนดาร์คไซด์ได้ที่ลิงค์ด้านล่างครับ

https://www.facebook.com/Jalando.darksidewriter

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา