ถูกอัญเชิญไปต่างโลกด้วยความสามารถสุดเทพ

-

เขียนโดย CNS26

วันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 21.50 น.

  6 ตอน
  0 วิจารณ์
  5,819 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 20 มกราคม พ.ศ. 2562 11.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) เบอร์เซิร์ก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

“เฮ้ย~  เร็วๆหน่อยสิเซทสึ~”

“ใช่แล้วอย่างที่ ‘ฮิโรชิ’ พูดนั้นแหละน้า~  มึงมีค่าสเตตัส ‘กาก’ แล้วยังทำตัวแบบนี้อีกเหรอว้า~”

“แฮกๆ...อึก แฮกๆ”

“เป็นแค่ ‘ไอ้กระจอก’ หัดสำนึกที่พวกเรามาสอนหน่อยสิ!”

“!...แค่กๆ”

       หลังจากผ่านเหตุการณ์ค่าสเตตัสก็ผ่านมาได้เกือบ 1 เดือนแล้ว  ในตอนนี้เขาได้อยู่กับ ‘ฮิโรชิ’ ‘ชิโนซากิ’ และ ‘โยชิทากะ’ กำลังถูกบังคับฝึกซ้อมรบอยู่ในสภาพมีน้ำหนัก 5 กิโลกรัมถ่วงร่างกายเอาไว้และฝึกกับพวกมันในสภาพที่ไม่มีส่วนไหนที่เป็นการซ้อมรบนอกจากพวกมัน 3 ตัวรุมกระทืบ เซทสึคนเดียว

     หลังจากเหการณ์นั้นพวกเขาก็โดนเรียกปที่ประทับของพระราชาทันที่  ที่เรียกไปทันที่อาจเป็นเพราะว่าวันแรกนั้นคงจะมีกำหนดการณ์ว่าดูค่าสเตตัสก่อนคิอยเริ่มการฝึกและยังมีเรื่องสำคัญอย่างค่าสเตตัสที่ต่ำติดดินอีก

     พอมาถึงปุ๊ปเซทสึก็โดนเฉดหัวทิ้งทันที่เพราะว่าพระราชาได้ประกาศทันที่ว่าให้เขาไปอยู่และกินที่ๆพวกทหารยามอยู่  ก่อนอื่นต้องขออธิบายก่อนว่าเป็น ‘ทหารยาม’ ไม่ใช่ ‘อัศวิน’ ถ้าให้อธิบายง่ายก็คืออัศวินจะคอยทำงานในพระราชวังต่าง ส่วนหทารยามจะคอยปกป้องกำแพงเมืองหรือเรียกสั้นๆว่า ‘ขี้ข้าอัศวิน’

     พระราชาได้ให้เหตุผลว่า “ถ้าเจ้าอยากที่จะกลับมาอยู่ที่พระราชวังเจ้าก็จงพยายามให้หนักเพื่อให้ได้กลับมาซะ” ถ้าฟังแล้วอาจจะคิดว่ามันเปรียบเสมือนการทำให้ต้องพยายามเพื่อให้ได้กัลบมาให้ได้! แต่มันมีสิ่งที่แปลกอยู่ที่การที่ไม่กล่าวว่า ‘กลับไปเป็นแบบเดิม’ และเซทสึก็สัมผัสได้ถึงเจตนาที่แท้จริงก็คงจะประมาณว่า “ไม่ว่าจะพยายามให้ตายยังไงก็ไม่มีทางได้ใช้ชีวิตแบบเดียวกับเพื่อนเจ้าหรอก!!!”

     แน่นอนว่าเขาตอบได้เพียง “เข้าใจแล้วขอรับ” อย่างไม่เต็มใจแต่แน่นอนว่าต้องมีคนคัดค้านอย่างแน่นอนแต่ก็ไม่ใช่ผู้กล้าอย่างไดซึเกะแต่เป็นอาจารย์คิมูระต่างหากเธอได้เริ่มบทสนทนาอย่างดุเดือดเพราะเธอไม่ยอมให้นักเรียนของเธอถูกกระทำอย่างนี้แม้เขาจะมีพลังเพียงน้อยนิดแน่นอน!!!

     ส่วนอีกเหตุผลคือเธอไม่ยอมให้เซทสึเป็นไก่ที่ถูกเชือดให้ลิงดูเพราะเมื่อเพื่อนร่วมชั้นเห็นว่าเซทสึโดนอะไรก็จะไม่มีทางอยากเป็นแบบเดียวกันซึ่งก็มีทางเลือกเดียวก็คือต้องฝึกให้หนัก

     การพูดคุยอันดุเดือดกินเวลาไปนานมากจนตอนนี้บรรยากาศตึงเครือดสุด  ถ้าถามว่าทำไม่ถึงไม่มีใครห้ามเพราะว่าอาจารย์คิมูระได้แผ่จิตสังหารออกมาทำให้แม้แต่ทหารยังถอยหนี

“ตกลงคือจะไม่ยอมใช่ไหมค่ะ?”

“ข้าก็ตอบเจ้าไปหลายรอบแล้วนะ”

“ฮึย! อย่ามา...”

“พอเถอะครับอาจารย์”

“แต่ทาคากิ เธอ...”

“พอแล้วละครับอาจารย์ทั้งหมดมันก็เพื่อตัวของยูคิคุงนะครับ!!!”

“…เข้าใจแล้ว”

“ขอบคุณครับ”

      คนที่เข้ามายุติบรรยากาศแสนมาคุก็คือไดซึเกะนั้นเองเพราะสัมผัสได้ว่าบรรยากาศแบบนี้จะดำเนินไปอีกนานเขาเลยตัดสินใจไปเข้าข้างทางฟังพระราชาตอนแรกเหมืนอาจารย์จะไม่ยอมแต่เพราะเธอรู้ว่าถ้าพูดต่อพวกเพื่อนร่วชั้นคนอื่นๆก็จะมาสนับสนุนเขาต่อจากประสบการณ์ในห้องเรียนเลยทำให้เธอต้องถอยแบบจำใจและทำได้แค่ส่งสายตาว่าขอโทษกับเซทสึ  เซทสึรับรู้ถึงความหมายเลยยิ้มเจื่อนๆและโบกมือไปมาว่าไม่เป็นไรครับ

     กลับมาที่ปัจุบันหลังจากที่พวกฮิโรชิดูถูกเขา เขาก็โดนหมัดของโยชิกะเข้าที่ท้องอย่างแรงจนเขาสำลักออกมา 

     ในตอนนี้เขาได้มาถึงขีดจำกัดแล้วร่างกายและจิตใจของเขาเหนื่อยล้าอย่างหนัก เริ่มจากวันแรกที่ย้ายเข้าไปอยู่กับทหารยามเขาก็โดนกลั่นแกล้งต่างๆสารพัดไม่ว่าจะให้เขาทำงานจิปาถะของทหารยามทุกคนเช่น ทำความสะอาด และเขายังโดนให้ไปเป็นกระสอบทรายอีกด้วย  พอจะเดินไปฝึกหรือไปห้องสมุดเพื่อไปหาความรู้เพิ่มเติมก็โดนพวกอัศวินเรียกไปใช้งานอย่างหนัก

     แต่ที่หนักที่สุดก็คงจะเป็นพวกมัน 3 ตัวความจริงแล้วพวกมัน 3 ตัวนั้นค่อนข้างมีชื่อเสียงเรื่องไม่ดีอยู่แล้วแต่ที่โรงเรียนนั้นกลับทำตัวสงบเสงี่ยมเพราะมีอาจารย์คิมูระและผู้หญิงที่ชอบอยู่ในห้องเรียน  แต่พอออกจากโรงเรียนไปก็จะกลับมาเป็นจิ๊กโก๊เหมือนเดิม

     ในตอนแรกพวกมัน 3 ตัวก็ไม่ได้คิดจะมายุ่งหรอกแต่เพราะมาพวกมันเครียดกับการฝึกและดันมาเจอเขาตอนโดนอัศวินใข้งานอย่างหนักมันเลยคิดแผนสุดแสนชั่วร้ายออกมา  และใช้คำพูดเหมือนกันหมดนั้นคือ “มันก็เพื่อตัวนายนะ” ช่างเป็นคำพูดหน้าด้านๆจริงๆ              

     ตอนนี้พวกฮิโรชิมันก็ไม่ต่างจาก ‘เด็กเห่อหมอย’ ที่หลงระเริงกับพลังที่ได้รับมาและใช้เซทสึเป็นที่ระบายอารมณ์และโดดซ้อมสุดโหดของผู้กองเมลด์และอลิเซีย

     ในตอนที่เขาไปขอว่า “เดี๋ยวจะฝึกเขาให้เองครับ!” ในตอนแรกนั้นผู้กองอลิเซียไม่เห็นด้วยเพราะเธอคิดว่า ‘ยิ่งคนไร้ความสามารถสอนผู้ที่ไร้ความสามารถมันก็ไม่ต่างกับการทิ้งอนาคตเลย’ แต่เพราะผู้กองเมลด์บอกว่าเป็นการฝึกประสบการณ์ เธอเลยปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกฮิโรชิ

     ในตอนแรกที่ฝึกซ้อมพวกมันก็ฝึกปกติดีอยู่แต่ต่อมาก็เริ่มเพิ่มจำนวนคนและน้ำหนักที่มาถ่วงจนตอนนี้เขาอยู่ในสภาพเหนื่อยล้าถึงขีดสุด  มันก็แน่นอนอยู่แล้วกับการโดนใช้งาน,ฝึกและหาความรู้ในเวลาเดียวกัน  แถมยังมีสายตาสงสารและเวชทนาจากทุกคนไม่เว้นแม้แต่เมด

     ความจริงถ้าเกิดเรื่องอย่างนี้ควรจะมีคนห้ามแต่กลับไม่มีสักคนนั้นมาจากหลายสาเหตุเรื่องแรกคืออาจารย์คิมูระไม่ได้รู้สถานการณ์ของเขาเพราะอาชีพที่เหมาะสมของเธอคืออาจารย์เฉกเช่นเดียวกับโลกเดิมเลยทำให้เธอต้องไปสอนลูกขุนนางที่โรงเรียน  สองคือผู้กล้าอย่างไดซึเกะได้ออกตัวในตอนกินอาหารเย็น(ในตอนนั้นเซทสึโดนไล่ไปนานแล้ว)ว่า “ฉันรู้สึกว่านายช่างมีน้ำใจจริงเลยฮิโรชิที่ ‘เข้าไปช่วยเหลือ’ เซทสึ” เมื่อได้ยินดังนั้นมันเลยเหลิงและตอบว่าแน่นอนพร้อมกับหมู่คณะของมันหลังจากนั้นก็ไม่มีใครกล้าไปห้ามเพราะคิดว่า ‘คงไม่เป็นไร’ ทั้งนี้สาเหตุก็มาจากคุณผู้กล้านั้นเองที่ทำให้ทุกคนคิดอย่างนั้น  สามคือพวกอัศวินถึงจะมีผู้กองเมลด์กับอลิเซียมาฝึกพวกนักเรียนเพราะอย่างนั้นเลยยุ่งกับการฝึกจนไม่ทันได้สังเกตและได้มอบหน้าที่คอยดูแลให้กับอัศวินเพราะยังไม่น่าไว้ใจสำหรับนักเรียนประกอบกับพวกเขาเป็นถึงหัวหน้าอัศวินเลยทำให้งานหลังจากที่ฝึกพวกนักเรียนนั้นล้นมือ  ส่วนพวกอัศวินก็คอยเฝ้ามองจริงๆแต่ก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรเวลาเห็นเซทสึโดนรุมย้ำตีน  อย่างตอนที่เซทสึโดนต่อยเมื่อกี้ก็ไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว

     ในความรู้สึกของใครหลายๆคงมีคำถามเกิดขึ้นแล้วซึ่งก็ไม่ต่างกับเซทสึในตอนนี้ ‘ทำไมต้องเป็นกู’ ‘เหตุผลโคตรเหี้ย’ และอื่นๆอีกมากมายแต่สิ่งที่เขาไม่เคยคิดคือ ‘เดียวมึงโดนแน่’ ส่วนเหตุผลจะเปิดเผยในไม่ช้า  แต่ตอนนี้พวกฮิโรชิกำลังได้ใจสุดๆพวกมันหันหน้ามองกันและซุบซิบอะไรกันสักอย่างและเผยรอยยิ้มอันแสนชั่วร้ายละหันมามองเขา หลังจากนั้นมันคือหนึ่งในวันที่เขาจะจดจำไปอีกนานแสนนานกับสิ่งที่ได้ตื่นขึ้นมา

“เฮ้ยๆ เซทสึ~ พวกกูอุตสาห์มีเมตตามาช่วยมึงแล้วมึงก็มัวแต่นอนอย่างนี้พวกกูก็ทำอะไรไม่ได้เนี้ยสิ~”

“ฮึบ... ‘ตุบ’ …”

“เฮ้อ~ ไม่ไหวเลยน้า~ งั้น... ‘ตาย’ ไม่รู้ด้วยนะ!”

“อึก...!?”

     หลังจากที่เซทสึพยายามลุกขึ้นเขาก็ได้ล้มลงทันที่เขาไม่ได้อยากทำตามคำสั่งพวกมันแต่เพราะไม่มีทางเลือกเลยทำให้เขาต้องทำ  หลังจากพวกมันเห็นเซทสึพยายามพวกมันก็พูดด้วยน้ำเสียงกับท่าทางที่ผิดหวังก่อนที่พวกมันจะยกมือขึ้นและแสยะยิ้มแล้วทันใดนั้นก็มีเวทปรากฏขึ้นมา  ส่วนเซทสึก็ทำได้แค่ฝืนร่างกายและหลบอย่างทุลักทุเล

“55555!!! วิ่งเข้าปิไอ้ลูกหมา55555!!!”

“วิ่งหางจุกตูดเลยวะ ตอบโต้บางสิวะ!!!”

“วู้~ ไอ้กากเอ้ย! พ่อแม่มึงเอากันท่าไหนวะถึงได้มี ‘คนกากๆ’ อย่างมึงเนี่ย!!!”

     ในระหว่างหลบอย่างทุลักทุเลโดยที่พยายามอย่างถึงที่สุดที่จะกดความรู้สึกนั้นเอาไว้  แต่แล้วฟางเส้นสุดท้ายก็ขาดสะบั้น ‘ตู้ม...’  มีเสียงระเบิดดังขึ้นจนทุกคนหันมาดูที่ตรงนั้นเห็นเซทสึโดนเวทของพวกมันและโดนปลอกดาบทุบจนล้มลงและโดนกระทืบอย่างหนักหน่วงกับการเสียดสีจนตอนนี้ลามไปถึงบุพการีแล้ว

     ในตอนที่เสียงระเบิดดังขึ้นยูกะและชิโอริที่เห็นสถานการณ์เลยคิดที่จะเข้าไปห้ามกับพวกผู้กองเมลด์และอลิเซียที่ได้ยินเสียงระเบิดกำลังวิ่งมาดูสถานการณ์  ในวินาทีนั้นเองที่มี ‘จิตสังหารแผ่ออกมา’ ในระดับที่จะ ‘ฆ่า’ คนได้ออกมาจนทำให้พวกฮิโรชิหยุดและถอยห่างออกมา

     ส่วนคนที่ปล่อยออกมาก็ไม่ใช่ใครอื่นคือเซทสึนั้นเองเขาทำหน้านิ่งไร้ซึ่งความรู้สึกและเริ่มปัดฝุ่นเละถอดที่ถ่วงน้ำหนักออกและจ้องไปที่พวกฮิโรชิอีกครั้ง

“ขอโทษซะ”

“ห...ห๊ะ กูจะขอโทษทำไมวะไอ้ลูกกระ... ‘ฉึบ’ เอ๊ะ?...อ...อ้ากกกกกกกกกกกกก!!!”

‘ฉึบ’ ‘ฉึบ’ ‘ฉึบ’

“อ้ากกกกกกกกกกกกกกก!!!… อึก...แขนกู”

“ข...ขากับมือมัน!!!”

“กูเตือนพวกมึงแล้ว”

      ในตอนที่เซทสึได้ถามฮิโรชิในตอนนั้นเขากำลังสติหลุดและเหงื่อแตกออกมาและคิดว่า ‘อะไรกันวะไอ้ความรู้สึกนี้!!!’ เขาลนลานจนพูดติดขัดและพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นและเผลอด่าเซทสึทิ้งท้ายไว้

     แต่ต่อมาจิตสังหารก็แผ่ออกมาเพิ่มจนทำให้ฮิโรชิเกือบทรุดลงไปแต่ก่อนที่จะได้ล้มลงเซทสึก็ได้หายไปพอรู้สึกตัวอีกที่ก็มีลมและเสียงดาบดังขึ้น มันเผลอมองตามเสียงไปที่ตรงนั้นมี...มือของมันที่ตกลงพื้นและเลือดก็เริ่มไหลทะลักออกมาจากบาดแผลเขาทรุดลงกับพื้นและเริ่มดิ้นทุรนทุราย  น้ำตาและน้ำมูกไหลท่วมใบหน้าเพราะความเจ็บปวด

     ต่อมาพอพวกชิโนซากิสังเกตเห็นเขาก็หายไปและโผล่มาอยู่ตรงหน้าในเสียววินาทีมีเสียงดาบดังขึ้น 3 ขึ้นแล้วสิ่งที่ได้กลับมาก็คือแขนของชิโนซากิโดยหายไปตั้งแต่ศอกซ้ายลงมาและมือกับขาของโยชิทากะพวกเขาต่างตกใจกับการเสียอวัยวะที่สำคัญอย่างรวดเร็วโดยใช้เวลาเพียงแค่ 5 วินาที ส่วนพวกคนที่จะเข้าห้ามโดยเฉพาะยูกะต่างตกตะลึงจนขยับไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียวทั้งนี้มาจากทั้งจิตสังหารปริมาณมหาศาล ความเร็วที่เข้าประชิดตัวอย่างรวดเร็วและที่สำคัญคือการใช้ดาบของเซทสึที่แม้แต่ ‘ซามูไร’ อย่างยูกะยังตกใจ

     ความจริงแล้วก็คือครอบครัวก็เปิดสำนักสอนเคนโด้เหมือนกันมีชื่อสำนักว่า ‘คาเกะ’ แต่มีสิ่งที่แตกต่างจากเคนโด้ทั่วไปและของยูกะตรงที่วิชาของเขามีไว้สำหรับ ‘ฆ่าคนโดยเฉพาะ’ ซึ่งคนที่เป็นคนสอนก็คือปู่ของเขาที่คิดค้นวิชาขึ้นมา  ด้วยความที่เป็นวิชาเฉพาะเลยทำให้มีผู้สำเร็จเพียงน้อยนิดและมีแต่ผู้ที่ลงลึกในแขนงนี้เท่านั้นที่จะรู้จักสำนักนี้  ส่วนพ่อของเขาก็เป็นนักธุรกิจเหมือนกันแต่ต่างกับทางบ้านของยูกะตรงที่ปู่ของเซทสึไม่ต้องการให้ใครมาสืบทอดหรือถ้ามีก็ต้องจบวิชาให้อยู่ในระดับเดียวกับตัวเองให้ได้เพราะว่ามันเป็นวิชาที่อันตรายมาก  ความจริงแล้วปู่ของยูกะกับปู่ของเซทสึเป็นทั้ง ‘คู่ปรับ’ และ ‘เพื่อนสนิท’ ตลอดกาลแต่เพราะสาเหตุบางอย่างทำให้ยูกะกับเซทสึไม่ได้เป็นเพื่อนสมัยเด็กกัน

     ที่นี้จะมาพูดถึงสัญญาที่เคยพูดถึงกัน เริ่มแรกมาตอนที่เซทสึอยู่ป.3 ในตอนนั้นเขาโดนพวกเพื่อนๆกลั้นแกล้งและล้อเลียนบุพการีเหมือนกับในปัจจุบันทำให้เขาโกรธจัดและหยิบชิไนที่เอาไว้ด้านหลังออกมาทำร้ายเพื่อน  ส่วนผลก็...เด็กที่มากลั่นแกล้งเขาทุกคนนอน ICU เป็นเวลา 1 สัปดาห์ หลังจากนั้นเขาก็โดนปู่ของเขาสั่งสอน ถึงปู่ของเขาจะรู้ความจริงแต่การปล่อยผ่านมันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง  ตัวของเซทสึเข้าใจความหมายของการกระทำจึงได้ให้สัญญากับปู่ว่าจะเขาจะไม่ใช่ชิไนอีกต่อไป! ปู่ของเขาพูดออกมาสั้นๆ

“เซทสึ ‘การหนีปัญหามันไม่ช่วยอะไรหรอกนะ’ การ ‘ยอมรับการกระทำต่างหาก’ ละที่สมควรทำ”

     หลังจากนั้นปู่ของเขาก็บอกว่าให้ฝึกซ้อมแค่เวลาที่อยากกำหนดเท่านั้นและห้ามไม่ให้ใครรู้อีกเด็ดขาดว่าตัวเองเรียนเคนโด้  หลังจากเวลาผ่านไปพวกผู้ปกครองของเด็กก็มีทั้งมาขอโทษและมาด่าทอที่มาทำลูกตัวเองบาดเจ็บแต่สุดท้ายเรื่องก็จบด้วยดีและตัวของเซทสึต้องโดนย้ายโรงเรียนอย่างช่วยไม่ได้กับการทะเลาะวิวาท

     ความจริงแล้วปู่ของเขาเสียดายมากกับการให้หยุดพันฒาฝีมือเพราะตัวของเขานั้นพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนทำให้ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะจบวิชานี้ แต่ขนาดเขาโดนจำกัดการซ้อมแค่เดือนละ 1 ครั้งแต่ว่า ณ ปัจจุบันเขาได้ก้าวข้ามพ่อของเขาและตอนนี้เหลือเพียงเรียนวิชาสุดท้ายและ ‘เอาชนะ’ ปู่ของเขาให้ได้  ส่วนเรื่องผู้สืบทอดมันก็ยังคงเป็นอนาคตที่ยาวไกล

     แต่ตอนนี้สัญญาของเขาได้ขาดสะบั้นไปแล้วมันทำให้นึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นจริงๆ  ส่วนสาเหตุที่เขาปล่อยจิตสังหารเพิ่มขึ้นมาและสามารถกระชั้นชิดพวกฮิโรชิได้ในพริบตาก็มาจากสกิล ‘เบอร์เซิร์ก’ ของเขานั้นเองในตอนนี้ขออธิบายสกิลเบอร์เซิร์กก่อน

 

เบอร์เซิร์ก

     เมื่อทำการใช้สกิลผู้ใช้จะติดสถานะผิดปกติ  สกิลนี้จะเพิ่มค่า ‘พลังโจมตี’,‘ความคล่องแคล่ว’,‘พลังเวท’,‘พลังป้องกันเวท’ ตามค่าสเตตัส ‘พลังชีวิต’ และ ‘พลังป้องกัน’ ลดต่ำลง สกิลนี้จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อสภาวะทางจิตใจของผู้ใช้ผิดปกติ

     ตามที่สกิลได้อธิบายไป หลังจากที่เซทสึว่างๆเขาก็พยายามค้นหาเกี่ยวกับสกิลของเขานั้นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาเข้าห้องสมุด  สุดท้ายก็ไม่มีข้อมูลอะไรเขาเลยลองเพ็งสมาธิไปที่สกิลมันทำให้เขารู้ว่าถ้าอยากรู้เกี่ยวกับสกิลแค่เพ็งสมาธิไปที่สกิลก็จะมีคำอธิบายปรากฏขึ้นที่ด้านหลังแผ่นสเตตัส

     ความจริงแล้วถ้าอ่านคำอธิบายแล้วมันก็ไม่ต่างกับสกิลเพิ่มค่าสเตตัสสักเท่าไร แต่ต่างกันตรงที่ค่าทุกค่ายกเว้น ‘พลังชีวิต’ และ ‘พลังป้องกัน’ ที่ตกลดต่ำลงเพื่อเพิ่มค่าสเตตัสอื่นๆ แต่สิ่งที่ไม่น่าไว้ใจที่สุดคือคำว่า ‘ก็ต่อเมื่อสภาวะทางจิตใจของผู้ใช้ผิดปกติ’ และ ‘เมื่อทำการใช้สกิลผู้ใช้จะติดสถานะผิดปกติ’ทำให้เซมทสึไม่กล้าลองใช้สกิล

     แต่สถานการณ์ปัจจุบันทำให้เขาโกรธเลือดขึ้นหน้าจนเผลอใช้สกิลไปซะแล้ว  ความจริงแล้วหลังจากที่โดนมาทั้งหมดทั้งมวลทำให้เขามีค่าสเตตัส ‘พลังชีวิต’ และ ‘พลังป้องกัน’ เหลือแค่ 1 มันทำให้ค่าสเตตัสอื่นๆ เพิ่มขึ้นถึง ‘5 เท่า’ เรียกได้ว่าโกงในหลายๆความหมายเพราะแม้แต่ทะลุขีดจำกัดของผู้กล้ายังเพิ่มทุกค่าแค่ 3 เท่าเท่านั้น ทำให้ตอนนี้ค่าสเตตัสถือว่าใกล้เคียงฮิโรชิ แต่นั้นก็ไม่ใช่สาเหตุอยู่ดีที่จะจัดการพวกมันง่ายขนาดนี้แต่สาเหตุก็มาจากจิตสังหารและการเคลื่อนไหวที่ไม่ธรรมดาของเซทสึ  ถึงพวกมันจะมีค่าสเตตัสที่โกงแต่สุดท้ายก็เป็นได้แค่พวกเด็กเห่อหมอยเท่านั้น

      ก่อนอื่นต้องขออธิบายเกี่ยวกับค่าสเตตัส ‘พลังป้องกันก่อน’ ตามหลักการทั่วไปคงจะคิดว่าค่ามันไม่น่าจะลดได้แต่หลังจากการศึกษาของเซทสึทำให้ได้ขอสรุปว่า ‘พลังป้องกัน’ นั้นทำหน้าที่คล้ายๆเสื้อเกราะเพราะเมื่อรับดาเมจค่าพลังป้องกันจะลดแต่ถ้ามันมีความแรงกว่ามันก็จะทะลุไปถึง ‘พลังชีวิต’ ในที่นี้ก็คือมันจะทำงานร่วมกันถ้าแรงเกินก็จะลดทั้งค่า  ‘พลังป้องกัน’ และ ‘พลังชีวิต’ แต่ถ้าพลังโจมตีต่ำกว่าก็จะไม่ทะลุไปถึง ‘พลังชีวิต’ นั้นเอง

      แต่ว่า ‘พลังป้องกันเวท’ นั้นต่างออกไปเพราะว่ามันจะทำหน้าที่คล้ายบาเรียภายในทำให้เวลาทะลุมาจะใช้เวลาสักพักเพื่อให้สามารถกลับมาใช้ได้

       กลับมาที่ปัจจุบันหลังจากที่พวกมันดิ้นทุรนทุรายแล้วก็มีน้ำสียงที่สัมผัสได้ถึงความ ‘ความเย็นยะเยือก’’ เมื่อหันไปมองก็จะพบกับเซทสึที่กำลังสะบัดเลือดที่ติดกับดาบพร้อมกับเดินมาอย่างช้าๆ ‘กรึบ...กรึบ...กรึบ’ ค่อยๆเดินมาอย่างช้าๆและลากดาบมากับพื้นเสียงดัง ‘ครืด...’ พวกมันแสดงสีหน้าหลากอารมณ์แต่สิ่งที่แสดงออกมามากที่สุดคือ ‘ย...อย่าเข้ามานะ!!!’ หลังจากนั้นเซทสึก็เผยให้เห็นใบหน้าที่เต็มไปสีหน้าที่บิดเบียวและรอยยิ้มที่โรคจิตสุดๆ

‘ฉึก’

“ย...หยุดเถอะ!!! กูขอร้องละ!!!”

“? เฮ้เมื่อกี้มึงยังบอกว่าอะ-ไร-นะ”

“พวกกูขอโทษจริงๆกูขอสัญ...”

“ใครบอกให้มึงพูดห๊าาาา”

“ข...ขอโทษครับ!!!”

      หลังจากพวกมันเข้าใจในเหตุการณ์พวกมันก็เริ่มร้องขอชีวิตแต่ยังไม่ทันพูดจบเขาก็ฟันดาบถากๆ จุดสำคัญต่างๆและพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก พวกมันขอโทษในทันที่และเริ่มมีแอ่งน้ำเกิดที่หว่างขาของพวกมัน

      ความจริงถ้าปล่อยไปอีกสักพักพวกมันก็จะทนพิษบาดแผลไม่ไหวและเริ่มหมดสติและอาจถึงขั้นเสียชีวิตในที่สุด  ส่วนเซทสึถึงเข้าจะเคือดแค้นพวกมันมากขนาดไหนแต่เขาก็ไม่ได้คิดที่จะ ‘ฆ่า’ พวกมันเพราะดูเหมือนว่าจะยังคงมีสติอยู่

      ในตอนนี้อาจมีหลายคนที่คิดว่ามันแปลกไปหน่อย?  กับการที่สามารถตัดอวัยวะของพวกมันได้โดยไม่ลังเล  แม้พวกมันจะทำเรื่องแย่ๆไว้เย็นแต่การที่เขาทำได้โดยไม่ลังเลมันก็แปลกไปหน่อย  สาเหตุก็มาจากที่ทุกคนรู้ดีนั้นคือสกิลเบอร์เซิร์ก แต่อีกเหตุผลหนึ่งคือเพราะเขามี ‘สัญชาตญาณ’ ที่ไม่ธรรมดาที่เพิ่งตื่นขึ้นมาตอนที่เขาจะถูกพวกมันโจมตี ซึ่ง ‘สัญชาตญาณ’ ของเขาไม่ธรรมดายังไงนั้นก็คงต้องรอดูในอีกไม่ช้า

‘อึก!!!...เดี๋ยวรอแกเผลอก่อน...แกจะต้องชดใช้’

“ฉันรู้นะว่าแกคิดอะไร”

“!!!…”

      ใช่แล้วฮิโรชิมันไม่ได้สำนึกเลยสักนิด  แถมยังคิดจะจอมตีที่เผลออีกด้วย  แต่แผนทุกอย่างได้พังเพราะว่าสายตาของมันได้แสดงออกมาทุกอย่าง  เซทสึอ่านความคิดนั้นได้เขาจึงใช่ด้ามจับดาบฟันใส่ค้างอย่างแรงเพื่อให้มันสลบไป  ดูเหมือนจะเป็นเพราะเขายังไม่เคยทำเลยทำให้มันแค่สติหลุดลอย  เซทสึเลยซ้ำไปอีก 3 ที่เพื่อความมั่นใจ

      เพราะว่าเขาได้ทำแบบนั้นทำให้พวกชิโนซากิถึงกับเสียสติจนหมดสติไป  ทางด้านพวกเพื่อนร่วมชั้นก็แสดงสีหน้าที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็น ‘ความกลัว’ ‘ความรู้สึกเห็นใจ’ และ ‘ตกใจ’ ปะปนกันไปจนในที่สุดก็มีคนเริ่มเคลื่อนไหวนั้นก็คืออัศวินที่ใช้พลังเวทนั้นเอง  เขาคงจะเห็นโอกาสเหมาะเจาะที่จะสามารถจับกุมเซทสึได้แต่เขาคิดผิดเพราะวินาทีต่อมาเขาก็เหลือบตามามองอัศวินละเขาใส่ทันที่

      อัศวินตกใจกับสายตาของเซทสึจนเผลอไปแว๊บหนึ่ง  แต่สิ่งที่ได้กลับมามันชั่งใหญ่หลวงนักเพราะหลังจากเซทสึจัดการอัศวินคนนั้นอย่างง่ายดาย  คนอื่นๆก็เริ่มเห็นเขาเป็นศัตรูและเริ่มเขาโจมตีเขาทันที่

      เซทสึได้เผยให้เห็นรอยยิ้มอีกครั้งแต่ครั้งนี้ดวงตากลับดำมืดสนิทจนเหมือนก้นบึ้งมหาสมุทร

      หลังจากที่พวกเพื่อนร่วมชั้นสะดุ้งกับสายตาที่จ้องแต่ก็กดความรู้สึกนั้นเอาไว้ก่อนที่อัศวินจะตะโกนปลุกใจทุกคน  แต่สิ่งที่ได้กลับมากลับเป็นภาพที่ดูเลวร้ายเพราะ

“ย...หยุดนะ!!! ย...อย่าเข้ามานะ!!!”

“เชี่ยเอ๊ย!!! แม่งบ้าไปแล้ว!!!”

“ไอ้บ้าเอ๊ย!!! ใครก็ได้หยุดมันที่”

      เลือดสาดนองไปทั่วสนามฝึกทุกคนในตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นใครเคยทำอะไรกับเซทสึหรือไม่  ไม่สำคัญเพราะทุกคนไม่เว้นแม้แต่ริว  ก็มีบาดแผลฉกรรจ์และชุดเกราะที่เละเทะไม่ว่าจะเป็นอัศวินที่ดูภายนอกแล้วน่าจะเป็นเกราะที่แข็งแกร่งแต่ปัจจุบันมันก็ไม่ต่างจากเศษเหล็กเลย!!!

      ความจริงแล้วแม้เขาจะใช้สกิลเบอร์เซิร์กกับวิชาก็ดูเป็นไปไม่ได้เลยที่จะจัดการกับคน 20-30 คนได้ แถมในนั้นยังมีอัศวินที่เคยสู้รบจริงมาแล้วกับพวกนักรียนที่ถึงแม้จะยังไม่เชี่ยวชาญแต่ก็ค่าสเตตัสที่โกง  ทำให้ทุกคนตกอยู่ในความตื่นตระหนกเพราะไม่เคยคิดว่าจะมี ‘ปีศาจ’ อยู่ตรงหน้า

      แต่ที่เป็นกุญแจสำคัญจริงๆก็คือ ‘สัญชาตญาณ’ ของเขาที่ตอนนี้อยู่เหนือกว่าปู่ของเขา  เพราะเขาสามารถหลบเวทมนต์ได้แบบไม่ธรรมดาแล้วยังสามารถสวนกลับในระหว่างนั้นอีกด้วย  ทำให้แม้เขาจะติดสถานะผิดปกติจากสกิลเบอร์เซิร์ก แต่ที่เขายังโจมตีอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดก็คงเป็นเพราะ ‘สัญชาตญาณ’ ล้วนๆ

      เขาพยายามจะจัดการสายซัพพอร์ตก่อนเช่นผู้ใช้เวทและฮิลเลอร์กับนักควบคุมม่านพลัง เขาโจมตีใส่แนวหน้าและมุดตามช่องว่างและสไลด์ผ่านมาและคว้างทรายใสตาและเริ่มจากฮิลเลอร์ก่อนและมานักควบคุมม่านพลังและผู้ใช้เวทมนต์ตามลำดับความสำคัญ  แต่แน่นอนว่าไม่มีทางทำได้ง่ายๆอยู่แล้วเพราะเขาโดนล้อมโดยทันที่โดยที่ยังไม่ได้โจมตี คนที่มาล้อมมีนักดาบ 4 คน และนักเวทอีก 2 คนที่เริ่มร่ายเวทแล้ว

      เขาพุ่งใส่นักเวททันที่แต่เพราะนักดาบ 4 คนมาขว้างไว้และได้ล้อมเขาอยู่ในรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสโดยที่เซทสึอยู่ตรงกลาง  พวกเขาเริ่มโจมตีทันที่ดดยเริ่มเดินวนเป็นวงกลมและโจมตีเข้ามาที่ละ 2 คน  มันค่อนข้างที่จะรอดลำบากมากเพราะว่าต้องหาจังหวะอย่างรวดเร็วที่จะรอดพ้นออกไปให้ได้เพราะถ้าโดนถ่วงเวลานานเกินไปอาจทำให้โดนเวทยิงมาได้แถมตอนนี้ ‘พลังชีวิต’ เหลือแค่ 1 ทำให้ไม่สามารถเสี่ยงอะไรได้

      เขาโยนฟักดาบใส่นักดาบคนหนึ่งที่พุ่งเข้ามา  เขาชะงักไปชั่วพริบตาเพราะต้องปัดดาบที่ลอยมาในช่วงวินาทีนั้นเซทสึได้ เขาประชิดตัวเขาใช้เทคนิค CQB โดยใช้ขาทำให้เสียหลักในตอนนั้นนักดาบจะตกใจและพยายามทำให้ตัวเองไม่ล้มลงโดยการใช้มือยันพื้นตามสัญชาตญาณ เซทสึใช้เท้าเหยีบข้อมือที่ถือดาบและรับฟักดาบกลางอากาศและใช้ด้ามจับดาบกระแทกเข้าไปที่หน้าอกทำให้สำลักลมออกมาอย่างรุนแรง

      เขาหมุนตัวเพื่อหลบดาบที่กระชั้นชิดเข้ามาแล้วใช้ด้ามจับดาบกระแทกเข้าไปที่หลังหัวจนนักดาบเสียการทรงตัว

      เซทสึออกจากตรงนั้นอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะรีบไปจัดการนักเวทแต่เขาก็โดนหยุดไว้ด้วยนักดาบอีก 2 คนแล้วในวินาทีนั้นนักเวทก็ได้ตะโกนบอกว่าเสร็จแล้วทำให้นักดาบถอยห่างออกมา  รู้สึกว่าจะเป็นเวทแบบเดียวกับพวกฮิโรชิใช้ทำให้เขาสามารถคิดหาวิธีรับมือได้ แค่ถอยหลังกลับไป 5 ก้าวก็จะรอดอย่างง่ายดาย

      เรื่องที่เขาหลบได้ทำให้ทุกคนนิ่งไปครู่หนึ่งเพราะตกใจกับการที่เซทสึสามารถหลบได้ง่ายดาย  ในตอนนั้นเองที่พวกก่อนหน้าลุกขึ้นแต่ไม่รู้เพราะตัดสินใจพลาดหรือเปล่าเพราะหลังจากนั้นทั้งนักดาบและนักเวทที่เป็นเป้านิ่งก็โดนฝันยับ

      หลังจากเขาจัดการได้กลุ่มหนึ่งก็จะโดนอีกหลายๆกลุ่มรุมด้วยวิธีการที่แตกต่างกันและดีขึ้นเรื่อยๆ  ในช่วงแรกนั้นข่อนค้างที่จะตึงมือเซทสึอยู่พอสมควรเพราะต้องคอยรับการโจมตีจากทั้งทางกายภาพและทางเวท  แล้วยังต้องพยายามฝ่าวงล้อมออกมาเพื่อรีบจัดการสายสนับสนุนอีก

      แต่เหมือนว่ายิ่งจนมุมมันจะยิ่งขัดเกลาเขาไปที่ละน้อย  เพราะจากตอนแรกที่ยังต้องหลบโดยพยายามอย่างมากที่จะไม่โดนโจมตี  แต่หลังจากเริ่มจัดการไปได้สัก 5 กลุ่มเขากลับมีความเร็วเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ!!!  แล้วยังสามารถหลบได้อย่างยอดเยี่ยมและโต้กลับได้อย่างดี

      ขอย้อนกลับไปตอนที่เขาเริ่มโจมตีนักเวท  คนที่ขยับตัวมาเพื่อที่จะปกป้องนั้นไม่ใช่ใครอื่นเลยคือผู้กองเมลด์และผู้กองอลิเซีย  มันเป็นเรื่องที่หน้าแปลกใจที่ถึงพวกเขาจะเป็นถึงหัวหน้าอัศวินแต่กลับไม่ใช่คนแรกที่จะเข้าไปหยุดนั้นก็มีสาเหตุมาจากจิตสังหารที่เขาแผ่ออกมาจนทำให้ผู้กองเมลด์และผู้กองอลิเซียถึงกับหน้าซีดเพราะว่าแม้พวกเขาจะเคยต่อสู้กับทั้งคนและมอนสเตอร์กลับเทียบกันไม่ได้แม้แต่นิดเดียว ในขณะที่ผู้กองอลิเซียหน้าซีดกว่าผู้กองเมลด์ด้วยสาเหตุบางประการ  และนั้นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขาได้แต่จ้องมองด้วยความระมัดระวัง

      แต่ก็ต้องมาได้สติกลับมาตอนที่เซทสึพุ่งใส่นักเวทแต่เพราะมีทั้งนักเรียนและอัศวินเขาไปซะก่อนทำให้พวกเขาต้องถอยออกมาก่อนเพราะคิดว่า ‘คงจัดการได้’  แต่สิ่งที่ได้กลับมาจากแค่ความคิดแบบนั้นคือเริ่มมีผู้คนบาดเจ็บมากขึ้น

      “กร็อด...ไม่น่าเชื่อเลยงั้น” ผู้กองเมลด์ถึงกับสบถออกมาทำให้พวกยูกะ,ชิโอริและไดซึเกะได้สติกลับมา  ผู้กองเมลด์และอลิเซียมองหน้ากันก่อนจะพยักหน้าให้กันและกัน  แล้วคนที่วิ่งเข้าสู่ ‘สนามรบก่อนคือผู้กองอลิเซีย’ ส่วนเมลด์ได้หันมาบอกถึงแผนการณ์ฉุกเฉินเอาไว้และให้เตรียมตัว  ก่อนที่จะหันไปพูดกับชิโอริที่กำลังทำสีหน้าว่าไม่แน่ใจว่า “ทำได้ไหม?” ชิโอริลังเลชั่วขณะก่อนที่จะกำคฑาที่เป็นอาร์ติแฟ๊คไว้แน่นและตอบกลับไปด้วยสีหน้าว่าต้องไม่ทำให้ผิดหวัง!!!  ว่า “แน่นอนค่ะ”

       แม้กระทั่งตอนนี้ผู้กองเมลด์และอลิเซียก็มีบาดแผลและชุดเกราะที่ดูยับเยิน  แต่ก็ถือว่าดูดีกว่ามากถ้าเทียบกับคนอื่นๆ

      สาเหตุก็มาจากตอนนี้เขาได้ทำให้แนวหลังบาดเจ็บจนไม่สามารถทำอะไรได้และแม้แต่หมดสติก็มีทำให้ถือว่าตัดกำลังได้เยอะเลย  ส่วนผู้กองเมลด์และผู้กองอลิเซียเซทสึก็พยายามแยกทั้ง 2 คนออกจากกันและบีบบังคับให้ผู้กองอลิเซียไม่สามารถใช้เวทมนต์ได้

      แต่เธอก็เป็นถึงหัวหน้าอัศวินทำให้ถึงแม้เธอจะไม่สามารถใช้เวทที่ถนัดได้  แต่เธอก็ยังมีวิชาดาบที่ไม่ธรรมดาแต่แน่นอนว่าเธอนั้นเน้นไปทางสายเวทมากกว่าเลยทำให้แม้จะมีฝีดาบยังไงก็ทำได้เพียงปัดป้องดาบเท่านั้น

      ส่วนผู้กองเมลด์ที่เป็นที่กล่าวขานในชื่อ ‘อัศวินที่สู้ระยะประชิดเก่งที่สุด’ แต่ต้อนนี้กลับต้องกัดฝันอย่างเจ็บใจเพราะว่าม่สามารถทำอะไรได้  วิธีที่เซทสึจัดการกับผู้กองเมลด์คือการ ‘ตัดกำลัง’ โดยการที่ให้เข้าเหวี่ยงดาบแล้วทำการโต้กลับโดยการพยายามฟันไปที่ข้อต่อหรือกระแทกสันดาบเข้าที่หน้าอกทำให้สำลักลมออกมา หรือการขว้างทรายใส่ทำให้ผู้กองเมลด์สับสนและลนลาน  นับว่าเป็นวิธีการที่มองได้หลายแง่แม้แต่ตอนนี้ผู้กองเมลด์และผู้กองอลิเซียยังรู้สึกชื่นชมในความ ‘สัตว์ประหลาด’ ของเซทสึ

      แน่นอนว่าก็ต้องมีจังหวะที่ผู้กองเมลด์และผู้กองอลิเซียร่วมมือกัน  ถ้าเป็นคนที่มีประสบการณ์มาเห็นการร่วมมือของทั้งสองคนคงต้องตะลึงตาค้างแน่นอน  เพราะนอกจากจะสู้ร่วมกันได้อย่างดีแต่ก็ยังคอยหาช่องว่างของศัตรูและโจมตีเข้าไปทำให้คิดว่าถึงเป็นนักสู้ระดับต้นๆหรือมอนสเตอร์ระดับสูงก็ยังไม่สามารถต้านทานการร่วมมือของทั้ง 2 คนแต่ว่ามันกลับไม่ได้ผลกลับเซทสึ!!!

      เพราะเขาสามารถรับมือได้สุดยอดมากแล้วยังสามารถโต้กลับไปได้อีกด้วย  นั้นคงจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ทุคนในสนามตอนนี้มีบาดแผลเต็มตัวก็มาจากการหลบและสวนกลับของเขาทำให้ตอนนี้ทำได้เพียงแค่ป้องกันอย่างสุดชีวิต

      แล้วนอกจากนี้หลังจากที่พวกเขามองเห็นผู้กองเมลด์และอลิเซียที่สุดยอดขนาดนั้นตอนนี้กลับทำอะไรไม่ได้สักอย่างทำให้กำลังใจของพวกเขาลดฮวบทันที่  โดยเฉพาะพวกทหารที่หน้าซีดกว่าพวกนักเรียนคงเป็นเพราะว่ารู้จักพลังของพวกเขามากกว่า  แต่นั้นก็เป็นเพียงน้ำจิ้มเพราะสิ่งที่ทำให้พวกเขาหวาดผวาคือ

“555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555.”

      เสียงหัวเราะของเซทสึที่จะเสียงแหล่มขึ้นเรื่อยๆและใบหน้าที่โรคจิตสุดๆ  ตอนแรกตัวเขานั้นยังปกติแต่พอผ่านไปสักพักก็เริ่มมีเสียงหัวเราะของเขาดังขึ้นและมันยังดังขึ้นเรื่อยๆราวกับฝันร้ายที่ไม่มีวันจบสิ้น

      ส่วนการที่เขาทำอย่างนั้นก็มาจากสกิลเบอร์เซิร์กล้วนๆ ถ้าให้พูดง่ายๆคือ ‘โดนยึดร่างโดยที่ยังมีสติ’ เพราะว่าตอนนี้สกิเบอร์เซิร์กได้ขยายค่าสถานะจนเขาไม่สามารถขยับตัวได้  ส่วนการเคลื่อนไหวที่สุดยอดก็มาจาก ‘สัญชาตญาณ’ ของเขานั้นเอง  โดยปกติแล้วสกิลเบอร์เซิร์กนั้นไม่ควรใช้ได้นานขนาดนี้เพราะว่ากิลสายที่เพิ่มพลังจะทำให้ผู้ใช้จะมีความเหนื่อนล้าอย่างมากโดยเฉพาะสกิลเบอร์เซิร์กที่จะเหนื่อยทั้งกายและสภาพจิตใจ  แต่ที่เขายังขยับอยู่ได้ก็มาจาก ‘สัญชาตญาณ’ ของเขาที่ยังสั่งให้สมองเดินหน้าต่อไปได้เพราะถ้าเป็นคนปกติคงจะล้มไปแล้วกับการฝืนขีดจำกัดในการสู้กับคนขนาดนี้

      ถ้าให้พูดง่ายคือสิ่งที่อันตรายจริงๆของเขานั้นไม่ใช่ทั้ง ‘วิชาดาบ’ และ ‘สกิล’  แต่เป็น ‘สัญชาตญาณ’ ของเขานั้นเอง

“ฮึ้ย!!! ฉันรอต่อไปไม่ได้แล้วนะยูกะ!!!”

“ใจเย็นสิไดซึเกะ!!! คุณเมลด์ยังไม่ได้ให้สัญญาณเลยนะ”

“แต่ในสถานการณ์ยังงี้ยิ่งไปปล่อยคุณเมลด์ก็จะ...”

‘อ้ากกกกกกก....’

“คุณเมลด์!!! ผมจะไปเดี๋ยวนี้แหละ!!!”

“เฮ้ย เดี๋ยว!!! ไอ้เจ้าบ้าเอ๊ย!!! ชิโอริเธอเตรียมตัวเลย ฉันต้องไปแล้ว!!!”

“เข้าใจแล้ว!!! พยายามเข้านะ ฉันจะทำอย่างสุดความสามารถ”

      ในตอนนี้ไดซิเกะและยูกะได้เข้าร่วมสนามรบแล้ว  ดูเหมือนว่าไดซึเกะจะร้อนใจมากเพราะสภาพของทุกคนในตอนนี้ไม่สู้ดีนัก  ตอนแรกเขายังคงลังเลอยู่เพราะยังไม่มีสัญญาณขากทางผู้กองเมลด์สักที่  แต่ไดซึเกะก็สลัดความลังเลทิ้งเมื่อผู้กองเมลด์พลาดท่าโดนฟันแขนซ้ายและเลือดไหลออกมาอย่างรุนแรง  และกำลังจะโดนเซทสึฟัน

      ไดซึเกะได้ตัดสินใจใช้สกิล ‘ทะลุขีดจำกัด’ มีแสงสีทองมาห่อหุ้มตัวไดซึเกะ  ทำให้เขาสามารถปัดดาบของเซทสึไปได้แล้วยังทำให้เขาเสียหลักได้ด้วย  ในจังหวะนั้นยูกะและไดซึเกะไม่ปล่อยให้หลุดลอยไปพวกเขาเข้าโจมตีเซทสึที่เสียหลักทันที่

      ในตอนนั้นเองที่เซทสึกระโดดตีลังกาเป็นวงกลมก่อนที่จะถีบไดซึเกะทำให้สามารถหลบการโจมตีของยูกะได้

“ไอ้เจ้าพวกบ้าเอ๊ย ข้ายังไม่ได้ให้สัญญาณเลยนะ”

“ไม่ได้หรอกครับ!!! คุณเมลด์โดนเมื่อกี้เข้าไปอาจไม่ได้ลืมตาขึ้นมาอีกเลยนะครับ!!!”

“ฮึ เด็กๆน้า  โดนเข้าไปก็ไม่ระคายผิวหรอกขอบอก”

“โดนเขาไปขนาดนั้นยังปากดีอยู่อีกนะเมลด์”

“อย่าแซวนะอลิเซีย  เธอก็ไม่ต่างกับฉันเท่าไหร่หรอก”

      หลังจากผู้กองเมลด์ยืนขึ้นแล้วก็เป็นการสนทนาระหว่างผู้กองเมลด์และไดซึเกะ และสักพักก็มีผู้กองอลิเซียที่เข้ามาร่วมบทสนาด้วยแม้บทสนทนาจะดูผ่อนคลายแต่สีหน้ากลับไม่ใช่อย่างนั้นเลย

“ข้ามีแผน  แต่ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่นัก”

“แปลกนะที่ ‘นักวางกลยุทธของอาณาจักร’ จะไม่มั่นใจในแผนที่ตัวเอง?”

“การหลบที่และสวนกลับที่ไม่ธรรมดาของเขานั้น  ทำให้แผนของข้าเป็นเพียงแค่แผนถ่วงเวลาเท่านั้นเอง”

      ความจริงแล้วอลิเซียนั้นก็มีหน้าอีกหน้าที่คือนักวางกลยุทธนั้นเอง  ด้วยความสามารถของเธอทำให้เป็นที่กล่าวขานว่าเป็นแผนที่ ‘สำเร็จสูงและสูญเสียต่ำ’  แต่การที่เธอบอกว่าแผนของเธอเป็นแค่ ‘แผนถ่วงเวลา’ สัมผัสได้เลยว่าเธอก็รู้สึกเจ็บใจอยู่ไม่น้อยเลย  หลังจากนั้นทุกคนก็มาฟังแผนของผู้กองอลิเซียและเริ่มทำตามแผนทันที่

      โดยแผนคือจะให้ผู้กองเมลด์และไดซึเกะเป็นตัวล่อเป้าแล้วผู้กองอลิเซียและยูกะจะเป็นคนโจมตีที่ช่องว่าง  แต่ว่าสถานการณ์ปัจจุบันก็ได้แสดงให้เห็นว่ายิ่งถ่วงเวลาก็จะยิ่งแย่ลง  สังเกตจากไดซึเกะและยูกะที่เริ่มแสดงอาการเหนื่อยและเริ่มมีบาดแผลบนร่างกายและชุดเกราะ  โดยตอนนี้หวังพึ่งเพียงแค่แผนสุดท้ายเท่านั้น

      ในตอนนี้ไดซึเกะกำลังทำสีหน้าจริงจังแตกต่างจากก่อนหน้านี้  ตอนนี้ ‘สัญชาตญาณ’ ได้ส่งสัญญาณอันตรายออกมาตลอด  เพราะการโจมตีที่ไม่ธรรมดาของทั้ง 4 คน  แม้พวกเขาจะเห็นว่าตัวเองกำลังแย่ลงเรื่อย  แต่กลับเป็นเซทสึต่างหากที่กำลังถึงขั้นวิกฤต  เพราะร่างกายของเขานั้นถึงขีดสุดแล้วจริงๆ

      ในตอนนี้นั้นไดซึเกะกำลังฟันเข้าใส่เซทสึ ขณะที่เซทสึมองด้วยหางตาและพลักดาบของผู้กองเมลด์และกำลังเตรียมการสวนกลับไดซึเกะ  แต่ในจังหวะนั้นกลับมียูกะโผล่เข้ามากำลังจะฟันที่จุดบอดของเขา  และเมื่อมองห่างออกไปก็มีกระสุนเวทพุ่งเข้าใส่  ในตอนนั้นเองที่ ‘สัญชาตญาณได้ทะลุขีดจำกัด’  ทำให้เซทสึสามารถตัดสินใจได้เฉียบคมขึ้น

      เขาหลบดาบของยูกะด้วยการเอี่ยวตัวทำให้ดาบพุ้งทะลุชุดเกราะไป  แล้วใช้จังหวะต่อมาใช้ดาบมาเปลี่ยนวิถีของเวทและฟันเวทแล้วถอยห่างออกมา เวทเคลื่อนที่ต่ออีกสักพักก่อนที่มันจะระเบิดและทำให้ไดซึเกะ,ผู้กองเมลด์และยูกะได้รับความเสียหายเล็กน้อยเพราะพวกเขามีพลังป้องกันเวทสูง

      ความจริงแล้วเขาไม่จำเป็นต้องหลบก็ได้เพราะสกิลเบอร์เซิร์กนั้นเพิ่มค่า ‘พลังป้องกันเวท’ ด้วยแต่เพราะว่า ‘พลังชีวิต’ ของเขาเหลือแค่ 1 ทำให้ไม่กล้าเสี่ยงแล้วยังใช้เวทนั้นโจมตีได้ด้วย

      เซทสึรีบวิ่งไปที่คนที่ปล่อยเวทในทันที่นั้นก็คือผู้กองอลิเซียนั้นเอง  เธอตกใจอย่างมากที่สามารถหลบแล้วยังสามารถใช้โจมตีได้ด้วย  สาเหตุที่ตกใจก็มาจากการที่เธอขึ้นชื่อในการใช้เวทโจมตีทำให้ศัตรูติด ‘สตั้น’ แถมจังหวะที่ใช้ยังเป๊ะมากจากประสบการณ์ที่เธอสั่งสมมา  ทำให้เธอตกใจมากว่าทุกที่

      แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาอย่างนั้นแม้เธอจะคิดในใจว่า ‘มีคนที่เหนือกว่าอาจารย์ด้วยเหรอเนี่ย!?’  แต่ว่ามันยังไม่ใช่เรื่องที่จะเหล่าในปัจจุบันดังนั้นจึงขอข้ามไปก่อน

      เธอตั้งท่ารับดาบในทันที่  ในตอนที่เซทสึกำลังง้างกำลังจะฟันเข้าก็ย่อตัวลงเล็กต่อยเข้าไปที่ท้องของอลิเซีย  เธอตั้งรับไม่ทันทำให้โดนไปเต็มๆและกระเด็นไปเล็กน้อยและนอนสำลักอยู่นั้น   เซทสึก็กระโดนกลิ้งออกมา  แล้ววินาทีถัดมาก็มี 3 ดาบพุ่งเข้าใส่ที่ๆเข้าอยู่เมื่อกี้นี้

‘วูบ...ตู้ม...ตู้ม’

      เกิดเสียงซาวเอฟเฟ็คขึ้นมา 2 เสียง เสียงแรกก็มาจากยูกะเธอใช้สกิล ‘ความไวเสียง’ ทำให้ดูเผินๆเหมือนเธอไปครั้งเดียวแต่ความเป็นจริงแล้วเธอฟันไป 10 ครั้งอีกเสียงหนึ่งคือเสียงจากไดซึเกะและผู้กองเมลด์

     ดาบที่ไดซึเกะถือก็คออาร์ติเฟ๊คของอาณาจักทีล้ำค่าที่สุดนั้นคือ ‘ดาบศักดิ์สิทธิ์’ ที่ผู้กล้าในตำนานเมื่อหลายร้อยปีก่อนเคยใช้  ตามที่เซทสึศึกษามาผู้กล้าคนนั้นคือผู้กล้าที่แข็งแกร่งและคนสุดท้ายในอาณาจักร  ผู้กล้าได้สร้างดาบนี้ขึ้นมาเองเพราะเขานั้นมีความสามารถในหารแปรธาตุด้วย  ตัวดาบแค่ใส่พลังเวทเข้าไปก็สามารถปล่อยพลังเวทออกมาได้แถมยังไม่มีวันหักอีกด้วย  ทำให้แค่ไดซึเกะใส่พลังเวทเข้าไปก็มีอาณุภาพพอๆกับเวทแสงระดับกลางแล้ว

     ส่วนผู้กองเมลด์ก็ทุ่มสุดตัว เขาโจมตีด้วยพลังทั้งหมดที่มีโดยการนำเวทธาตุลมพสานกับดาบแล้วฟันอย่างแรงจนหินระเบิดและแตกกระจุยกระจาย 

     ทั้ง 3 คนทำสีหน้าแปลกใจและหงุดหงิดเพราะว่ายังสามารถแก้ไขสถานการณ์อย่างงี้ได้ยังไงแต่ในที่สุดสิ่งที่พวกเขารอคอยก็มาถึง

“-จงพันธนาการศัตรู ‘พันธนาการนิรันดร์’ ”

“!!!...อึก!!!”

     มีโซ่จำนวนมากโผล่ขึ้นมาจากใต้ดินและพันธนาการเซทสึเอาไว้  ส่วนคนที่ร่ายเวทก็คือชิโอรินั้นเอง เมลด์ได้ทำการวางแผนให้ชิโอริใช้เวท ‘พันธนาการนิรันดร์’ ในตอนที่เกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมาแต่เพราะว่ามันเป็นเวทย์ระดับสูงของธาตุแสงทำให้ต้องใช้เวลาเตรียมตัวเพื่อร่ายเวทย์และจินตนาการที่ต้องเม่นยำ

     ความจริงแล้วฮีลเลอร์ไม่สามารถใช้เวทธาตุแสงระดับสูงอย่าง ‘พันธนาการนิรันดร์’ ได้แต่เป็นเพราะเธอมีธาตุที่เหมาะสมอย่างธาตุแสงทำให้เธอสามารถใช้ได้แต่มันก็ต้องแลกมากลับพลังเวทย์ทั้งหมดของเธอทำให้เธอล้มลงเพราะพลังเวทย์หมด

     นับเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจที่เซทสึไม่เข้าไปโจมตีชิโอริ  แต่เรื่องนั้นแม้แต่ตอนนี้เจ้าตัวก็ยังไม่เข้าใจเพราะถึงจะเห็นอยู่เต็ม 2 ตาว่ากำลังร่ายเวทย์อยู่แต่กลับไม่เข้าไปโจมตี

     นับว่าเป็นเวทย์ที่เล็งได้อย่างเหมาะสมเพราะเธอเล็งไปที่เท้าขณะกำลังจะลุกขึ้นหลังจากพยายามหลบการโจมตีก่อนหน้า  จากนั้น ‘พันธนาการนิรันดร์’ ก็ได้ดึงตัวเซทสึให้ยอมจำนนแต่โดยดี

     เซทสึใช้พลังทั้งหมดในการยันตัวเองไม่ให้ล้มลงไปและพยายามที่จะหลุดจากการพันธนาการ  ผู้กองเมลด์ที่รอจังหวะนี้มานานได้ทำการวิ่งมาอย่างรวดเร็วและพยายามเพิ่มความแข็งแกร่งทางร่างกายให้มากที่สุด  ได้กระโดดขึ้นและจับหัวของเซทกระแทกเข้ากับพื้นอย่างแรง

‘ตึม...’

“แฮกๆ...อลิเซียยยยยย!!!”

“ข้าศาวกของเทพเจ้าจงทำให้เขาเข้าสู่ห้วงแห่งความฝัน ‘นิทรา’ ”

“อึก...(สติมัน)...”

     หลังจากผู้กองเมลด์จับหัวของเซทสึกระแทกพื้นจนพื้นแตกละเอียดนั้นดูเหมือนว่าจะยังไม่ทำให้เซทสึสลบไป  ผู้กองเมลด์ได้รีบเรียกอลิเซียทันที่

     เธอใช้เวทธาตุแสงขั้นต้นคือ ‘นิทรา’ ที่จะทำให้อีกฝ่ายเข้าสู่โลกแห่งความฝันความจริงแล้วมันเป็นแค่เวทย์ที่ช่วยให้นอนหลับในตอนที่นอนไม่หลับเท่านั้น  แต่การที่สามารถใช้ได้ดีก็อยู่ในการคำนวณของผู้กองอลิเซียแล้ว  ในสภาพที่ยังคงไม่หายจุกจากการโดนต่อยท้อง

     สุดท้ายเซทสึก็สงบลงความจริงแล้วสกิลเบอร์เซิร์กหยุดทำงานตั้งแต่เขากลิ้งหลบออกมาเพราะร่างกายถึงขีดสุดจริงและพลังเวทย์หมดเกลี้ยง  นั้นก็เป็นเหตุทำให้เขาโดน ‘พันธนาการนิรันดร์’ โดยที่ไม่สามารถหลบได้

     ความจริงแล้วถือว่าค่อนข้างอันตรายเลยกับการทำอย่างนั้นของผู้กองเมลด์เพราะว่าเซทสึอาจตายคาที่ได้เลยแต่เพราะอะไรก็ไม่ทราบที่ทำให้เขายังไม่ตาย

“แฮกๆ...นี้มันเกินกว่าคำว่ามนุษย์ไปมากเลยนะ!”

“สงบสักที่นะ  แค่กๆ”

“ฮะๆ ไหวไหมนะ?”

“ดูสภาพตัวเองก่อนเถอะ  ขนาดทั้งท่านไดซึเกะและท่านยูกะสภาพเกราะยัง...”

“คงต้องขอบคุณเวทย์ของชิโอริละนะ  ไม่งั้นไม่จบไม่สิ้นแน่!!”

     หลังจากนั้นผู้กองเมลด์และผู้กองอลิเซียก็ดันเผลอนึกสภาพที่เซทสึมีค่าสเตตัสเท่าผู้กล้าอย่างไดซึเกะ  ทำให้พวกเขาได้แต่ข้นลุกอยู่ภายในใจและพึมพำออกมา “ราชาปีศาจตายคาที่แน่นอน”

     เวลาผ่านไปสักพักก็มีคนที่ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายแล้วเมื่อเห็นสภาพของหลายๆอย่าง  เลยรีบไปตามแพทย์หลวงมาทันที่  และทหารยามที่มาจับมัดเซทสึอย่างแน่นหนา

     แพทย์หลวงและฮีลเลอร์รีบทำหน้าที่ของตัวเองทันที่  และได้ทำการรีบนำพวกฮิโรชิเข้าห้องผ่าตัดทันที่เพราะเสียเลือดไปมาก

     สรุปเหตุการณ์ทั้งหมดผ่านไปเพียงประมาณครึ่งชั่วโมง คนบาดเจ็บสาหัส 3 คน บาดแผลฉกรรจ์ 42 คน สลบ 20 คน บาดเจ็บเล็กน้อย 4 คน และ ไร้ซึ่งบาดแผล(พลังเวทย์หมด) 1 คน ร่วมความเสียหาย 69 คน ไม่ร่วมผู้ก่อเหตุ กว่าทุกอย่างจะกลับมาเป็นปกติก็ต้องใช้เวลถึง 1 สัปดาห์

*

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา