ถูกอัญเชิญไปต่างโลกด้วยความสามารถสุดเทพ

-

เขียนโดย CNS26

วันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 21.50 น.

  6 ตอน
  0 วิจารณ์
  5,814 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 20 มกราคม พ.ศ. 2562 11.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) มหาวงกตแอเรียส(1)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

“อืม~”

“มีอะไรรึเปล่าชิโอริ?”

“อ๊ะ! ไม่มีอะไรหรอกยูกะจัง”

      หลังจากเหตุการณ์ที่เซทสึอาละวาดก็ผ่านมาเกือบ 1 เดือนแล้ว หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นทำให้มีหลายๆคนหวาดกลัวการจับอาวุธอีกครั้งเพราะเสียขวัญเป็นอย่างมากและไม่กล้าไปเหยียบลานฝึกซ้อม

      แต่ในสถานการณ์อย่างนี้ผู้กล้าอย่างไดซึเกะ,ผู้กองทั้ง 2 และชิโอริกับยูกะก็ทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยมเรียกขวัญและกำลังใจกลับมาได้ ทำให้เริ่มมีคนกลับมาฝึกมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่รู้ทำไมหลังจากสัปดาห์ที่ 2 ผ่านไปจำนวนกลับเพิ่มอย่างรวดเร็วและขยันฝึกกันมากกว่าปกติอย่างกับไปดูดอะไรมา

      แต่เพราะมันเป็นประโยชน์กับการฝึกเลยไม่ได้เกิดคำถามอะไรมากมาย กลับมาที่ปัจจุบัน ณ ตอนนี้ขบวนผู้กล้าและอัศวินของอาณาจักรได้มารวมกลุ่มกันที่หน้าประตูของปราสาทเพื่อมุ่งหน้าไปที่ ‘มหาวงกตแอเรียส’ เพื่อ ‘ฝึกรบจริง’

      ย้อนกลับไปเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนผู้กองอลิเซียได้แจ้งให้ทุกๆคนทราบว่าจะต้องไปฝึกรบจริงที่ ‘มหาวงกตแอเรียส’ ซึ่งอยู่ที่ ‘เมืองมหาวงกตแอเรียส’ ต้องใช้เวลา 1 วันในการเดินทางด้วยรถม้าโดยไม่หยุดพักฉะนั้นในระยะนี้จะฝึกอย่างอื่นนอกจากฝึกต่อสู้ด้วย นั้นคือสิ่งที่ผู้กองอลิเซียพูดเอาไว้

      ถ้าคนที่เคยอ่านประวัติศาสตร์ของโลกนี้มาก่อนจะรู้ว่าในตำนานของอาณาจักรแห่งนี้เคยมีผู้กล้านามว่า ‘แอเรียส’ อยู่ทำให้เกิดข้อสังสัยระหว่างเขากับมหาวงกตว่ามีความเกี่ยวข้องกันรึเปล่า

      ตามตำนานที่กล่าวไว้ว่ากันว่าเขาคือคนที่สังหารกองทัพปีศาจกว่า 300,000 ตนด้วยตัวคนเดียวใน ‘สงครามของพระเจ้า’ ที่เป็นสงครามระหว่าง 3 เผ่าพันธุ์และจากหนังสือต่างๆที่พูดถึงเขากล่าวว่าเขาคือ ‘ผู้กล้าที่แข็งแกร่งที่สุด’ และ ‘ผู้กล้าคนสุดท้ายของมวลมนุษยชาติ’ อีกด้วย

      กลับมาที่เรื่องมหาวงกตแอเรียส สาตุที่เรียกว่ามหาวงกตก็มาจากการที่ค้นพบมหาวงกตนี้เมื่อหลายร้อยปีก่อนและยังเป็นเขาวงกต ‘ไร้จุดจบ’ ไม่ใช่ว่ามันไม่มีจุดสิ้นสุดแต่เพราะไม่มีเคยมีกลุ่มใดลงไปจนถึงชั้นลึกที่สุดของมหาวงกตแห่งนี้ ส่วนชั้นที่ลึกที่สุดที่เคยบันทึกไว้คือชั้นที่ 75

ซึ่งถูกสำรวจโดยนักผจญภัยระดับ ‘ทอง’ จำนวน 30 คนเมื่อหลายสิบปีก่อน

      ส่วนสาเหตุที่ไม่ไปฝึกที่ ‘ป่ามอนสเตอร์’ ที่อยู่ทางฝั่งตะวันตกของทวีปก็เพราะว่ายังไม่มีความแน่นอนใน ‘จำนวน’ และ ‘ระดับ’ ของมอนสเตอรืทำให้อาจเป็นความเสี่ยงเลยเลือกมหาวงกตแอเรียสเพราะมอนสเตอร์จะแข็งแกร่งขึ้นตามชั้นที่ลงไป ซึ่งถือว่าเป็นตัววัดความแข็งแกร่งที่ดีเลยที่เดียว

      แล้ววันนี้ก็เป็นวันที่นัดกันเอาไว้ ตอนนี้ทั้งเพื่อนร่วมชั้นและอัศวินก็มากันเกือบครบแล้วและมีทั้งเพื่อนร่วมชั้นที่ ‘ตื่นเต้น’ และ ‘ดีใจ’ ที่จะได้แสดงศักยภาพแต่ก็ยังมีคนที่เป็น ‘กังวล’ อยู่เหมือนกันแถมหนึ่งในนั้นยังเป็น ‘เทพธิดาของโรงเรียน’ อย่างชิโอริอีกด้วย!

      ทำให้เพื่อนรักอย่างยูกะที่สังเกตเห็นถึงความกังวลในใจของเพื่อนรักจึงเดินเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วง แต่ก็ได้การตอบกลับมาแบบปกติแทนทำให้ยูกะคิดว่าต้องมีอะไรบางอย่างแน่นอน

“เหรอ? แต่หน้าเธอมันฟ้องอยู่นะ?”

“เอ๊ะ! เห๊ะๆลอดพ้นจากสายตายูกะจังไม่ได้เหมือนเดิมเลยน้า~”

“? แล้วกังวลเรื่องอะไรอยู่ละ? คงไม่ใช่เรื่องผู้ชายหรอกน้า~”

“อืมใช่แล้วละ?”

“ฮะๆนั้นสินะคง...! ห๊ะ! เดี๋ยวๆ! อะแฮ่ม!...แล้วใครเหรอคนนั้นนะ?!”

“ยูคิคุงนะ?”

“ห๊ะ!...”

“เสียงดังตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะยูกะจัง?”

“ก-ก็มัน...อะแฮ่ม!...แล้วทำไมถึงอยากเจอเขาละ?”

“? ก็ไม่เห็นเขามาเป็นเดือนแล้วนี้นะ...อีกอย่างฉันก็ยังไม่ได้ขอโทษเขาเลย...หืม~เป็นอะไรนะยูกะจัง?”

“…เฮ้อ~ไม่มีอะไรหรอกยัยต็อง!”

      ยูกะรับรู้ว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆจากสีหน้าของเพื่อนรัก เมื่อชิโอริได้ยินดังนั้นเธอเลยคิดว่าคงไม่สามารถปกปิดความลับกับเพื่อนรักคนนี้ได้

      ยูกะสงสัยนิดหน่อยกับความหมายในคำพูดของยูกะแต่เธอก็ไม่ได้สนใจอะไร เธอจึงแซวเรื่องผู้ชายกับเพื่อนรักของเธอแต่คำตอบที่ได้กลับมาทำให้เธอตกใจจนเผลอตะโกนเสียงดังเมื่อรู้ตัวอีกที่เธอก็พยายามกลับมาสำรวมท่าทางแล้วถามต่อแต่ก็ยังไม่สามารถเก็บอาการตกใจไปได้ทั้งหมด

      ชิโอริรู้สึกแปลกใจกับท่าทางที่ผิดปกติเพราะเพื่อนรักของเธอจะไม่เคยมีท่าทางแปลกๆแบบนี้ออกมาเธอเลยตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่สงสัยและนั้นก็ยิ่งทำให้เพื่อนรักของเธอประหลาดใจยิ่งขึ้นจนส่งเสียงดังกว่าเมื่อกี้เสียอีกทำให้ ชิโอริตักเตือนเพื่อนรักของเธอที่มีท่าทีเปลี่ยนไป

      ยูกะรีบปรับอารมณ์อย่างรวดเร็วแต่ก็ไม่สามารถกลบความอายที่ก่อขึ้นได้ทำให้หน้าของเธอยังแดงแปร๊ดอยู่ทำให้เธอรีบเปลี่ยนหัวข้อกลับมาที่เรื่องเดิมอย่างรวดเร็วเพราะภายในใจเธอยังคงสงสัยว่า ‘หรือว่ามันถึงเวลาแล้ว?’

      แต่คำตอบที่ได้กลับมากลับเป็นความใสซื่อบริสุทธิ์ตามแบบฉบับชิโอริทำให้ยูกะทำหน้าอิดโรยอย่างมากจนลงไปนั่งยองๆทำให้ชิโอริคิดว่า ‘สงสัยยูกะจังจะกังวลเรื่องการเดินทางอยู่แน่เลย?’ ส่วนยูกะก็ได้แต่ส่งสายตาไปที่ชิโอริเพื่อยืนยันบางอย่างจนได้คำตอบที่ต้องการแล้วทำการลุกขึ้นและหยิกแก้มของเธอ เพราะรู้นิสัยของชิโอริดีทำให้ไม่ได้ถาม ‘เรื่องอย่างว่า’ ต่อเพราะชิโอริคือ ‘เทพธิดาผู้ห่วงใยผู้คน’ ละนะแต่ความจริงแล้วยูกะก็รู้สึกแปลกใจที่ถึงเพื่อนรักของเธอจะพูดออกมาอย่างบริสุทธิ์ใจ แต่ก็ยังแปลกที่ท่าทางกับใบหน้าแสดงออกมาให้กับเซทสึ(ชื่อเต็มคือยูคิ เซทสึ)ออกไปใน ‘ทางนั้น’ ซะมากกว่าแต่ก็คงเป็นเรื่องของอนาคตเธอจึงได้แต่กุ้มขมับว่า ‘จะใช่รึเปล่าน้า~? แต่ต่อให้ใช่แต่คนอย่างชิโอรินะๆจะรู้ตัว?’ ช่างเป็นความเป็นห่วงที่มากกกว่าคำว่าเพื่อนรักจริงๆ

      หลังจากนั้นก็มีพวกผู้ชายที่มาคุยกับชิโอริและยูกะโดยที่ชิโอริคิดว่านี้คือการมาคุยกันเพื่อฆ่าเวลาแต่ความจริงคือคำพูดนั้นไม่ใช่สุดๆ ทำให้ผู้หญิงที่อยู่ในบริเวณนั้นส่งสายตามาด้วยความเย็นยะเยือกติดลบศูนย์องศา

      แต่ก็ทำเป็นไม่ได้สนใจอะไรทั้งๆที่เหงื่อท่วมตัวแล้วในตอนนี้ ในตอนนั้นเองที่ไดซึเกะได้เข้าร่วมวงสนทนาด้วย ที่เขามาเข้าร่วมช้าก็เพราะก่อนหน้านี้เขาต้องไปคุยเรื่องต่างๆเกี่ยวกับการเดินทางกับผู้กองเมลด์และผู้กองอลิเซียทำให้ได้เข้าร่วมบทสนทนาที่หลัง

      ส่วนผลลัพธ์ก็คือพวกผู้ชายที่กำลังจีบอยู่หนีหายกันอย่างรวดเร็วทำให้ไดซึเกะเศร้าเล็กน้อยเพราะการสนทนาเมื่อสักครู่จบลงต่อหน้าต่อตา ส่วนสาเหตุที่ทำให้พวกผู้ชายหนีไดซึเกะก็มาจากการที่เขานั้นหล่อที่สุดในห้องเรียนและที่แห่งนี้ และยังเป็นเพื่อนสมัยเด็กกับทั้ง 2 คนทำให้คิดว่าไม่มีสิทธิ์แน่นอน อีกอย่างก็คือความแข็งแกร่งของไดซึเกะในตอนนี้เรียกได้ว่าสูสีกับผู้กองเมลด์ที่มีฉายาอย่าง ‘ปรมจารย์การต่อสู้ระยะประชิด’แล้ว และนี้คือค่าสเตตัสในปัจจุบันของไดซึเกะ...

 

 

ชื่อ :   ทาคากิ ไดซึเกะ                                                 เพศ :   ชาย

อายุ :    17                         เลเวล :  15                         อาชีพที่เหมาะสม :  ผู้กล้า

พลังโจมตี :  250

พลังชีวิต :  250

พลังป้องกัน :  250

ความคล่องแคล้ว :  250

พลังเวท :  250

พลังป้องกันเวท :  250
สกิล :  เหมาะกับทุกธาตุ,ต้านทานเวทมนย์ทุกธาตุ[+ธาตุแสง],ต้านทานการโจมตีทางกายภาพ,ต้านทานเวทย์มนต์ทุกธาตุ[+ธาตุแสง],การฟัน,พละกำลังแขน,อ่านการโจมตีศัตรู,ฟื้นฟูพลังเวทเร็ว,ตรวจจับศัตรู,ตรวจจับเวทย์,ปล่อยท่าพิเศษ,เข้าใจภาษา

      โคตรโหด!โคตรโกง! เรียกได้ว่าด้วยเลเวลแค่นี้ยังมีค่าสเตตัสที่สูงขนาดนี้ การเอาชนะจอมมารในอนาคตคงไม่ใช่แคความฝันอีกต่อไป

‘เกร๊ง’  ‘เกร๊ง’  ‘เกร๊ง’

      จู่ๆก็เกิดเสียงโลหะขนาดใหญ่กระทบกันแล้วยังมีเสียง ‘ครืด...’ เหมือนอะไรบางอย่างถูกลากมาด้วย และไม่รู้ทำไมพวกเพื่อนร่วมชั้นและอัศวินต่างก็ยิ้มกันอย่างน่ารังเกียจจริงๆ แล้วพอมองตามเสียงไปก็จะพบกับ...ชายสวม ‘ชุดเกราะขนาดใหญ่ตั้งแต่หัวจรดเท้า’ พร้อมกับลากรถม้านับ 10 คันมาด้วย! และพวกอัศวินก็เดินจูงม้าขนาบข้างรถม้าด้วย

      แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาจริงๆไม่ใช่ทั้งรถม้าที่ตกแต่งอย่างอลังการหรืออัศวินที่เดินจูงม้ามาอย่างสง่างาม แต่เป็น ‘ชุดเกราะยักษ์’ เพราะทุกครั้งที่เคลื่อนไหวจะมีเสียงเกราะกระทบกันดังก้องไปใกล้จนทำให้เผลอคิดว่า ‘ขยับเกราะใหญ่ขนาดนั้นได้ยังไงกัน?’

“เอาละดูเหมือนทุกอย่างจะพร้อมแล้วนะ? ก่อนอื่นก็ขอเช็คชื่อก่อนออกเดินทางทุกคนตั้งแถวเดี๋ยวนี้!”

“ครับ/ค่ะ!”

      ผู้ที่ออกมากล่าวเพื่อหยุดความตกตะลึงที่อยู่ตรงหน้านั้นก็คือผู้กองเมลด์ แม้กระทั้งเขาและผู้กองอลิเซียก็เกือบจะหลุดปากพูดออกมาว่า ‘อะไรวะนั้น!...’ แต่ก็ต้องทำตัวให้สมกับที่เป็นผู้นำเข้าไว้จึงบอกให้ทุกคนเข้าแถวเพื่อเช็คชื่อ พอเสร็จสิ้นก็ให้นักเรียนทุกคนเข้าไปนั่งในรถม้าเพื่อเตรียมตัวออกเดินทางสู่ ‘เมืองมหาวงกตแอเรียส’

      ณ เมืองมหาวงกตแอเรียสได้มีรถม้าจำนวนมากมาจอดที่เมืองซึ่งก็คือรถม้าขบวนผู้กล้านั้นเอง รถม้าเดินทางมาถึงช่วงเวลาพระอาทิตย์เกือบจะลับขอบฟ้าพอดี

      ทุกคนที่มาถึงต่างพากันยืดเส้นยืดสายเพื่อคลายอาการเส้นตึงเพราะนั่งรถมาเป็นเวลานาน และมีบางคนที่เริ่มพูดคุยเรื่องประสบการณ์การนั่งรถม้าครั้งแรกนั้นรู้สึกยังไงเพราะยังไงยานพาหนะในยุคปัจจุบันมันสะดวกสบายกว่าแน่นอน

      นั้นทำให้ทุกคนเหนื่อยล้ากันเป็นอย่างมาก แม้ว่าจะไม่ต้องระวังตัวระหว่างการเดินทางแต่เพราะ ‘ความไม่สะดวกสบาย’ ทำให้ยากที่จะหลับลงหรือพักผ่อนได้

      หลังจากมาถึงผู้กองเมลด์ก็พาเข้าโรงแรมที่ขึ้นตรงกับอาณาจักรเพื่อรับประทานอาหารและพักผ่อนที่นี้ หลังจากกินข้าวกันเสร็จผู้กองเมลด์ก็ได้แจ้งกำหนดการณ์ในวันพรุ่งนี้ ฉะนั้นก็หมายความว่าช่วงหลังจากนี้จนกว่าจะถึงกำหนดการณ์คือช่วง ‘free time’ แต่คงไม่มีใครออกมาเที่ยวชมเมืองแน่นอนเพราะทั้งมืดและยังอ่อนล้าจาจกการเดินทาง ประกอบกับพรุ่งนี้ต้องลงมหาวงกตคงไม่ใช่เรื่องฉลาดเท่าไหร่ท่าจะทำอย่างว่ามาจนไม่มีแรงในวันรุ่งขึ้น

      ณ ช่วงเวลากลางดึกถ้าให้เทียบเป็นเวลาโลกของเราก็คงประมาณ 22.00 น. ถือว่าดึกมากสำหรับโลกนี้ ถ้าเป็นเหมือนปกติก็คงจะมีเพียงแค่เสียงลม เสียงแมลงและเสียงผู้คนจากผับบาร์อาจทำให้บุคคลที่ไมดอาศัยอยู่แถวนี้รู้สึกรำคาญเสียงเพราะไม่สามารถนอนด้วยเสียงดังขนาดนี้ได้

      แน่นอนว่าคืนนี้ก็เป็นเหมือนคืนอื่นๆเสียงเดิมๆที่ดังแบบเดิมๆ แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปคือ ณ คอกม้าซึ่งเป็นที่ให้คนที่เข้าพักในโรงแรมแห่งนี้นำม้าหรือรถม้ามาจอดได้ ตอนนี้แสงจันทร์กลับสะท้อนให้เห็นหญิงสาวที่มีผมสีดำเงางามสะท้อนกับแสงจันทร์ ใบหน้านั้นถ้าคนมาพบเห็นเข้าคงเผลอคิดว่าเป็นเทพธิดาบางองค์เป็นแน่ แต่สิ่งที่ยืนยันว่าเธอคือหญิงสาวก็คือเสื้อผ้าของเธอถึงจะดูเรียบง่ายเหมือนชุดชาวบ้านทั่วไปแต่เพราะรูปร่างและลักษณะเสื้อที่เป็นชุดนอนทำให้ดูน่าหลงใหลเป็นอย่างมากและหญิงสาวคนนั้นกำลังแอบย่องเข้ามาใกล้กับคอกม้าแห่งนี้

      เธอมองไปทางซ้ายทางขว้าเพื่อตรวจสอบว่ามีคนอยู่รอบๆรึเปล่าก่อนจะค่อยๆแง้มประตูออกเมื่อเธอพยายามจดจ้องไปทั่วคอกม้าก็เห็นบางอย่างเธอจึงเปิดประตูออกด้วยความดีใจเกินไปจนเกิดเสียงดังแต่ด้วยความรีบร้อนทำให้รีบผลักประตูกลับที่เดิมทำให้ประตูปิดด้วยเสียงที่ดังลั่น...

‘แอ๊ด...’  ‘ตึง!’

“ว้ายยย!...”

      หญิงสาว...ไม่สิต้องเรียกว่า ‘อาคายามะ ชิโอริ’ เธอมีสีหน้าลนลานมาตั้งแต่ตอนลอบเข้ามาที่นี้แต่พอเธอส่งเสียงอย่างนั้นออกไปทำให้เธอเขินจนแก้มแดงแปร๊ดและหันกลับไปมอง ‘เขา’ พร้อมกับคิดว่า ‘รู้ตัวรึเปล่านะ?...’ ส่วนคำตอบคือชายคนนั้นจ้องมาที่เธอมาสักพักหนึ่งโดยไม่ขยับตัวสักพักแล้วทำให้เธอยิ่งเขินอายและไม่กล้าสบตาโดยตรง

      เขายังคงจ้องชิโอริโดยไม่มีการตอบสนองอะไรทั้งสิ้นราวกับ ‘หุ่นยนต์’ ยังไงยังงั้น  ชิโอริเริ่มเกิดความลังเลขึ้นมาในใจดูได้จากการที่เธอเริ่มมองประตูเป็นระยะๆ  เพราะแค่ถูกจ้องเธอก็ทำตัวไม่ถูกและตัวเริ่มสั่นเล็กน้อย

      แต่เหมือนเธอจะนึกอะไรขึ้นมาได้สักอย่างเธอจึงกำมือแน่นเพี่อสยบอาการสั่นของเธอและพยายามหายใจอย่างช้าๆเพื่อให้ใจเย็นลงก่อนจะมีสายตาที่แน่วแน่โดยจุดหมายก็คือ ‘เขาคนนั้น’ แล้วก้าวเดินไปหาเขา  เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาแล้วเธอก็เตรียมใจเล็กน้อยและเริ่มบทสนทนา...

“ส-สวัสดีตอนเย็น...ไม่สิต้องตอนกลางคืนนี้นะ!...เอ่อสวัสดีตอนกลางคืนยูคิคุง...”

“…”

“อ๊ะ!...ขอโทษนะ! ทั้งๆที่ยังไม่รู้เลยว่าเธอใช่ยูคิคุงรึเปล่า!?...ต-แต่ฉันคิดว่าเธอคือยูคิคุงแน่นอนถ้าไม่ใช่ก็ต้องขอโทษด้วยนะ”

“…”

      ถึงจะแสดงความประหม่าและเขินอายออกมาแต่ในที่สุดก็แสดงออกถึงจุดประสงค์ในการมาแล้ว  นั้นก็คือการมาพูดคุยกับเซทสึ...เรียกว่าขอโทษน่าจะถูกกว่าละนะ  แต่เพราะไม่รู้ว่าใช่เซทสึรึเปล่าแต่เพราะความลนลานจนทำให้เผลอคิดว่าใช่ไป

      ก็อย่างที่หลายๆคนคิดว่าชายที่สวมชุดเกราะที่จ้องมองตามชิโอริราวกับหุ่นยนต์ก็คือ ‘เซทสึ’ ส่วนสาเหตุที่เขาไม่สามารถตอบสนองอะไรได้ราวกับหุ่นยนต์ก็เป็นผลมาจาก สถานที่ก่อนหน้านี้ที่เขาถูกทดลองมาสารพัดกับตัวระบายความเครียดทำให้ตัวเขานั้นสูญเสียทุกๆสิ่งรวมถึงประสาทสัมผัสและความเป็นมนุษย์

      ถ้าถามว่าทำไมเธอถึงเดาได้ว่าชายสวมชุดเกราะคือเซทสึก็มาจากการที่เธอเข้าไปถามกับเพื่อนร่วมชั้นว่า ‘เออ แล้วยูคิคุงละ?’ ส่วนการตอบกลับนั้นเรียกได้ว่าเหมือนกับไอดอลพูดอะไรบางอย่างแล้วแฟนคลับพากันพูดตอบกลับไป  แต่สิ่งที่แตกต่างคือไม่ใช่แฟนคลับแต่เป็น ‘คนที่ชอบ’ แต่เธอก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพวกผู้ชายถึงพยายามแย่งกันตอบอย่างนี้(?) แต่เพราะเธอมีประสบการณ์ด้านนั้นเท่ากับ 0 มันจึงไม่แปลกที่ยูกะจะกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้

      แต่ก็เป็นเรื่องของอนาคตดังนั้นจะขอสรุปจากการหาข้อมูลว่า ‘ชายสวมชุดเกราะน่าจะเป็นเซทสึ’ เพราะตัวเธอยังไม่เชื่อสักเท่าไรว่าชุดเกราะเดินได้จะเป็นเซทสึกับอีกอย่างคือบางคนก็ตอบแบบเลี่ยงๆทำให้ไม่แน่ใจสักเท่าไร

      เมื่อเธอรู้ว่ามีโอกาศที่จะได้ ‘ขอโทษและพูดคุย’ กับเซทสึทำให้เธอตัดสินใจมาหาเขานั้นเอง  ความจริงแล้วเธอรู้เรื่องนี้ตั้งแต่ช่วงออกจากปราสาท  แต่เพราะว่าระหว่างพักรับประทานอาหารกลางวันซึ่งเป็นโอกาศเดียว  แต่ก็ไม่สามารถไปคุยได้เนื่องจากมียูกะกับไดซึเกะและพวกผู้ชายมาดูแลทำให้ไม่มีเวลาแอบไปหาเซทสึ...ต้องไปขอโทษสิถึงจะถูก

      ทางด้านเซทสึก็ไม่มีการตอบสนองอะไรแม้ว่าชิโอริจะมีท่าทีลนลาน  ทำให้ชิโอริยิ่งสับสนจนนึกบทสนทนาไม่ออกและก็นั่งจ้องหน้ากันไปอีกสักพัก

“เออ~ ยูคิคุงถ้าได้ยินก็ตอบสะหน่อยสิ...หรือว้าเธอยังโกรธฉันอยู่!...อือก็สมควรแล้วละนะฉันนะ”

“...”

“ง-งั้นยูคิคุงช่วย...ยื่นหน้ามา!?...”

“…”

      เมื่อชิโอริไม่สามารถทนกับบรรยากาศได้ทำให้เธอเผลอพูดสิ่งที่คิดออกมา แต่เหมือนเธอจะคิดว่าไม่ควรพูดออกไปทำให้เธอลุกลี้ลุกลน แต่มันก็สามารถช่วยให้บทสนทนาดำเนินต่อไปได้

      ก่อนอื่นคงต้องขออธิบายว่าทำไมชิโอริถึงรู้สึกผิดกับเซทสึจนถึงขนาดอยากขอโทษ  ถ้าจำกันได้ก็จะรู้ว่าในช่วงที่เซทสึอาละวาดคนที่หยุดเซทสึไว้ได้ก็คือชิโอรินั้นเอง  เธอได้ใช้เวทย์ ‘พันธนาการนิรันดร์’ กับเซทสึซึ่งเป็นเวทย์ธาตุแสงขั้นสูง  ถ้าเป็นคนทั่วๆไปคงจะแค่รู้สึกผิดหรือไม่รู้สึกผิดเลยเพราะว่าความจริงคนก่อความวุ่นวายก็คือตัวเซทสึเองถึงเจ้าตัวจะไม่ใช่คนเริ่มก็เถอะ  แต่เพราะว่านี้คือชิโอริ ‘เทพธิดาของโรงเรียน’ ทำให้เธอรู้สึกผิดมากๆ  โดยเฉพาะการที่ที่เซทสึไม่สื่อสารกับเธอยิ่งทำให้เธอรู้สึกผิดเข้าไปใหญ่

      เธอจึงเผลอพูดความต้องการ-เออ สิ่งที่น่าอายเป็นอย่างมากออกไป  ในตอนที่เธอกำลังจะพูดแก้ตัวเซทสึกลับทำให้ชิโอริรู้สึกแปลกใจ  เพราะเซทสึลุกขึ้นและย่อตัวลงให้เท่ากับชิโอริเพราะเขานั้นมีส่วนสูงที่มากกว่าและยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆทันที่

      ถ้าเป็นปกติคงไม่มีใครจับผิดการกระทำอย่างนี้แต่เพราะว่าเซทสึนั้นทำตามในทันที  ทำให้ชิโอริรู้สึกเหมือนคาใจอะไรบางอย่าง

‘ทำไมเขาถึงทำทันทีเลยละ? ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไม่ตอบสนอง  แต่ตอนนี้กลับทำตามทันที...’

“หรือว่า...ยูคิคุงเธอจะ...”

“อ้าวนั้นชิโอรินี่น่า?! มาทำอะไรในคอกม้านี้เหรอ? พรุ่งนี้เราต้องลงมหาวงกตนะครับ ฉะนั้นไปพักผ่อนไม่ดีกว่าเหรอ?”

“อ๊ะ!? ฮิโรชิคุง! ม-ไม่มีอะไรหรอกจ๊ะ ฉันแค่มาหาเซทสึคุงนะ”

“หื้อ!? อ้าวคนๆนั้นคือ ‘เซทสึ’ เหรอ เพิ่งจะรู้นะเนี่ย?!”

“ม-ไม่ใช่นะ...ถึงจะไมแน่ใจแต่!...พูดอะไรของฉันเนี่ย! เอาเป็นว่าฉันไปนอนแล้วละ ช่วยเก็บความลับให้หน่อยนะฮิโรชิคุง”

“ครับๆ”

‘แอ๊ด’  ‘ตึง’

“เฮอะ! ทำไมนางฟ้าอย่างเธอถึงได้มาสนใจขยะอย่างแกกันวะไม่เข้าใจเลย!”

      ในตอนที่เหมือนชิโอริจะรู้ความจริงบางอย่างนั้น ก็มีคนเปิดประตูเข้ามา  ซึ่งคนที่เข้ามาก็คือ ‘ฮิโรชิ’ นั้นเอง มันเข้ามาพูดด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงที่ถ้าเซทสึรู้เข้าคงจะขนลุกสู้เลยละ มันพยายามใช้คำพูดเพื่อบอกให้ชิโอริกลับไปที่ห้องนอนและดูเหมืนจะได้ผลดีซะด้วย

      แต่หลังจากที่ชิโอริออกไปซักพัก ธาตุแท้ของมันก็เผยออกมาให้เห็น มันกลับไปใช้คำพูดแบบเดิมและยังกระทืบเซทสึเหมือนอย่างที่เคยทำ  เรียกได้ว่าเปลี่ยนจากหลังมือเป็นหลังตีนเลยก็ว่าได้

“เหอะ! ช่างมันเถอะ ไหนๆตอนแรกก็กะว่าจะมาแค่ระบายความเครียดอยู่แล้ว แต่แกดันได้ในสิ่งที่ไม่คู่ควรนี้นะ~ โทษของแกก็คือ ‘ตาย’ เท่านั้น”

“… ‘อึก’ …”

“ตอนแรกกูก็อุตสาห์ใจดีกะจะให้มึงมีชีวิตต่ออยู่หรอก แต่มึงนะ ‘ตาย’ ไปในขุมนรกก็ไม่เลวหรอกนะ 5555555”

      ความจริงแล้วสาเหตุที่ฮิโรชิมาบังเอิญเจอชิโอริเข้าก็มาจากการที่มันกระวนกระวายเรื่องมหาวงกตในวันพรุ่งนี้  ทำให้มันต้องออกมาเดินเล่นเพื่อให้ตัวเองง่วงนอนและก็กะจะไป ‘ออกกำลังกายคลายเครียดกับเซทสึ’  แล้วมันก็บังเอิญเจอชิโอริพอดิบพอดี  สภาพในตอนนั้นของชิโอริถูกบันทึกเข้าส่วนลึกของมันในทันที

      ‘ก็อยากจะทักอยู่หรอกแต่ก็อยากรู้ว่าเธอจะไปไหนกันนะ?’ นี้คือสิ่งที่มันคิด  มันก็เลยสโตกเกอร์ชิโอริ  แล้วมันก็ได้มาเห็นภาพที่เจ็บปวดหัวใจเพราะหญิงที่ตนชอบกลับมาอยู่กับขยะ(ในความคิดของฮิโรชิ)  เพื่อยังไม่ชัดเจนพอฮิโรชิชอบชิโอรินั้นแหละส่วนเหตุผลคงไม่ต้องบอกหรอกนะ?

      กลับมาที่ฮิโรชิหลังจากที่ชิโอริกลับห้องไปแล้ว  มันได้หยิบขวดยาขนาดเล็กที่ภายในบรรจุของเหลวสีขาวขุ่นเอาไว้  มันยกหมวกเกราะของเซทสึขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้สามารถ ‘ยัดยา’ เข้าปากเซทสึได้

      เซทสึที่ไม่สามารถขัดขืนและทำอะไรได้ก็กลืนของเหลวลงไปถึงจะไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่มันคงไม่ใช่อะไรอย่าง ‘ยา’ แน่นอนหลังจากนั้นฮิโรชิก็เดินจากไปทิ้งไว้เพียงเสียงสะใจกับเซทสึที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมไม่เปลี่ยนแปลง

      เช้าวันต่อมาซึ่งก็คือวันที่เพื่อนร่วมชั้นทุกคนจะได้สู้กับมอนสเตอร์เป็นครั้งแรก  ทุกคนมารวมตัวกันในช่วงเวลาเช้าตรู่แล้วมุ่งหน้าไปที่มหาวงกตในทันทีที่คนมากันครบแล้ว  ตามที่ดูสภาพของทุกๆคนนั้นจะมีเพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้นที่ยังคงดูอ่อนเพลียจากเมื่อวาน  แต่ที่น่าแปลกใจคือคนที่ได้ ‘เดินเท้าตั้งแต่ไทรัสจนถึงเมืองมหาวงกตแอเรียส’ และยังแบกสำภาระมากกว่าหรืออาจจะเกือบทั้งหมดของทุกคนมากลับดูเป็นปกติ(?) แถมอีกนิดคนๆนั้นยังมีชุดเกราะที่น่าจะหนักมากกว่า 30 กิโลกรัมอีกด้วย เขาคนนั้นก็คือเซทสึกลับกำลังแบกสัมภาระของทุกคน! เดิมตามทุกคนมา

      ณ มหาวงกตแอเรียสในตอนแรกใครหลายคนนั้นวาดฝันเอาไว้ว่าน่าจะเป็นที่ๆดูอันตรายแผ่รังสีอำมหิตออกมา  แต่ความจริงแล้วกลับครึกครืนอย่างกับตลาดในเมืองเพราะมีร้านค้าแผงลอยตั้งอยู่เต็มไปหมดจนทำให้เผลอคิดว่า ‘ระวังตำรวจลงนะคร้าบบ~’ แต่ในโลกนี้ต้องเรียกว่าทหารสินะ(?)และถ้าถามถึงราคาสินค้าคงต้องให้นึกถึงสินค้าในสนามบินละกัน  เพราะมันแพงกว่าปกติหลายเท่าตัว! สาเหตุที่มันราคาแพงก็มาจากการที่มันคือทางเข้าของมหาวงกตเลยสามารถโก่งราคาได้เต็มที่  แต่ก็ยังได้อารมณ์แบบร้านค้าตรงที่สามารถต่อรองราคาได้

      แต่สิ่งที่เป็นจุดเด่นของมหาวงกตคือบันไดที่ลึกลงไปในดินตามที่ได้ยินมาถูกพบราวๆ 500 ปีก่อนตามที่เคยพูดไว้  ซึ่งหลักฐานการลงไปถึงชั้นที่ลึกที่สุดตามที่เคยบันทึกในมหาวงกตแบบปกติซึ่งในปัจจุบันไม่เหลืออยู่แล้วคือ ‘ในชั้นที่ลึกที่สุดจะมีคอร์ของวงกตถ้าทำลายหรือนำออกมาวงกตนั้นจะสลายไปตามการเวลา’ ตามนั้น  ส่วนชั้นที่คาดว่าน่าจะลึกที่สุดของมหาวงกตแอเรียสคือ ‘100 ชั้น’

ณ ชั้นที่ 1

“จี๊ด...จี๊ด...จี๊ด”

“กองหลังยิงเวทย์ได้”

“ได้ครับ/ค่ะ-‘บอลไฟ’ !”

“จี๊ด...จี๊ด...จี๊ด”

      ณ ชั้นที่ 1 ของมหาวงกตแอเรียสก็อย่างที่คาดการณ์กันเอาไว้  ชั้นที่ 1 คงจะง่ายเกินไปสำหรับ ‘กลุ่มผู้กล้าพลังโคตรโกง’ เพราะมอนสเตอร์ในชั้นนืที่ชื่อว่า ‘แรทแมน’ ได้ ‘สูญพันธุ์’ ไปจากชั้นนี้เรียบร้อย 

      ส่วนมอนสเตอร์ที่มีชื่อว่า ‘แรทแมน’ ลักษณะภายนอกก็ดูไม่ต่างจากหนูปกติเท่าไหร่แค่ตัวมันใหญ่กว่าปกติ 1-2 เท่าแค่นั้นเอง(?)  มันมาพร้อมกับดวงตาสีแดงก่ำและร่างกาย...เออคงต้องเรียกว่า ‘ซิกแพ็ค’ และ ‘มัดกล้ามเนื้อ’ ทั่วทั้งร่างกายของมันแถมตอนที่เข้ามายังพบหนูตัวหนึ่งทำท่า ‘SIDE CHEST’ ที่พวกนักกล้ามชอบทำกันพร้อมกับยิ้มให้

      ส่วนปฏิกิริยาของเพื่อนร่วมชั้นคือความรู้สึกที่เคยตื่นเต้น,กังวลหรืออะไรก็ตามได้ปลิวกระเด็นหายไปราวกับภาพที่อยู่ข้างหน้ามัน ‘สะเทือนใจ’ อย่างมาก  ในระหว่างที่กำลังบรรยายมันก็เปลี่ยนท่าไปเรื่อยๆ  ถ้าให้คนเล่นกล้ามมาเห็นอาจจะเผลอพูดว่า ‘ช่างเป็นหนูที่โพสท์ได้อย่างสวยงาม!’ แต่เพราะนี้คือเพื่อนร่วมชั้นความหมายกับคำพูดเลยสลับกลับด้านอย่างยิ่งยวดเลยทำให้เกิดเสียงพึมพำว่า ‘สิ่งนี้ไม่ควรมีอยู่บนโลก...’ และกลายเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไป

      แต่แน่นอนว่าการเข้ามาในมหาวงกตโดยไม่วางแผนนั้นไม่ต่างจากคนโง่ที่เดินเข้าไปในกรงสวนสัตว์โดยไม่รู้ว่าในกรงนั้นมีอะไรอยู่  แน่นอนว่าวางแผนมาแล้วเป็นอย่างดีโดยคนที่วางแผนก็คือผู้กองอลิเซียที่ได้รับการขนานนามว่า ‘นักวางกลยุทธของอาณาจักร’

      โดยแผนของผู้กองอลิเซียคือ ‘การให้ชินกับการต่อสู้จริงให้เร็วที่สุด’ ทำให้เธอใช้แผนที่เป็นพื้นฐานและใช้งานจริงใน ‘สนามรบ’ โดยจะให้แนวหน้าอย่างไดซึเกะและยูกะเข้าปะทะกับศัตรูเพื่อกำจัดและลดกำลังของศัตรูและยังมีหน้าที่คอยปกป้องกองหลังอีกด้วย  ส่วนแนวหลังจะมีหน้าที่ปิดงานหรือช่วยเหลือแนวหน้าตามสถานการณ์  แม้จะเป็นแผนที่เรียบง่ายแต่ก็มีประสิทธิภาพอย่างมาก

“อืมก็ต้องขอชื่นชมกับการต่อสู้ครั้งแรกที่สามารถทำได้ดีขนาดนี้  แต่ว่าไม่ว่าจะแนวหน้าหรือแนวหลังพวกเจ้าไม่ควรใช้พลังมากเกินไปนะ?  นอกจากจะสิ้นเปลื้องพลังโดยใช่เหตุแล้วยังทำให้การสำรวจล้าช้าและประสิทธิภาพลดลงอีกด้วย  ดังนั้นหลังจากนี้ก็คิดให้ดีก่อนใช่ละ?”

“ครับ/ค่ะ”

       หลังจากแรทแมนได้สูญสิ้นเผ่าพันธุ์  ผู้กองเมลด์เลยมากล่าวชื่นชมและแนะแนวเล็กๆน้อยให้  ทำให้ทุกคนได้เรียนรู้อะไรไปด้วย  สมกับเป็นผู้นำที่ดีเลือกที่จะใช้การตักเตือนมากกว่าการดุด่า  ส่วนผู้กองอลิเซียก็ได้ข้อมูลเล็กๆน้อยๆจากการต่อสู้นี้  ทำให้สามารถต่อยอดเป็นรูปแบบแผนการอื่นๆที่จะใช้ในอนาคตได้

      หลังจากนั้นก็ลงมาลึกขึ้นเรื่อยๆโดยในระหว่างลงก็มีข้อผิดผิดพลาดเล็กๆน้อยๆเหมือนเดิมแต่ผู้กองทั้ง 2 ก็คอยไกด์ให้เสมอทำให้ทุกคนต่างพัฒนาขึ้นเรื่อยๆอย่างตอนที่แนวหน้าและแนวหลังเหนื่อยก็ให้คนอื่นมาแทนตำแหน่งเพราะการเหนื่อยโดยไม่ได้พักผ่อนถือเป็นอันตรายรูปแบบหนึ่งเลยก็ว่าได้

ณ ชั้นที่ 25 

      ตอนนี้ก็ลงมาถึงชั้นที่ 25 แล้วโดยชั้นนี้ถือเป็นตัววัดความสามารถแล้วว่ากลุ่มนั้นหรือคนนั้นมีพลังในระดับไหน  ถ้าให้เทียบชั้นนี้กับความสามารถของนักผจญภัยคงจะเป็น ‘ระดับสูง’ หรือ ‘กลุ่มที่มีประสบการณ์’ ซึ่งชั้นนี้ก็คือเป้าหมายของผู้กองอลิเซียที่ตั้งเอาไว้ว่าจะต้องผ่านให้ได้

      เพราะทุกคนรู้ว่าชั้นนี้คือเป้าหมายในครั้งนี้เลยทำให้มีความรู้สึกเหมือนสอบยังไงยังงั้น  แต่เพราะที่ผ่านมาสู้โดยให้ผู้กองทั้ง 2 ออกคำสั่งตลอด  เมื่อผู้กองทั้ง 2 เห็นว่าน่าจะซึมซับไปมากพอสมควรแล้วชั้นนี้จึงต้องเป็นหน้าที่ของพวกเพื่อนร่วมชั้นโดยไม่มีอัศวินและผู้กองมาคอยช่วยเหมือนที่ผ่านมา

      หลังจากเดินลงมาจากบันไดทุกคนก็ระมัดระวังตัวกันอย่างจริงจังเพราะผู้กองทั้ง 2 ไม่บอกแม้กระทั้งข้อมูลของชั้น  เพื่อไว้ในสถานการณ์ที่ไม่มีข้อมูลของศัตรูแต่เพราะทุกคนยังเป็นมือใหม่อยู่ทำให้พอผ่านไปซักพักทุกคนก็เลิกตั้งท่าเตรียมหันมาคุยกันอย่างสบายๆแทน  ทำให้ผู้กองทั้ง 2 ไม่ค่อยจะพอใจนักแต่เพราะว่าพูดไปว่า ‘จะไม่ช่วย’ ทำให้ทำได้แค่มองดูอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ

      แล้วหลังจากเดินกันมานานพอสมควรก็เจอกับห้องขนาดใหญ่ที่มีความกว้างขว้างไม่ต่ำกว่า 30 เมตร  ทำให้ทุกคนกลับมาตั้งท่าเตรียมเหมือนเดิมก็ขอชื่นชมที่สามารถปรับตัวตามสถานการณ์ได้ละนะ

‘แกร๊ก’  ‘แกร๊ก’  ‘แกร๊ก’

“หืม?...! ทุกคนระวังข้างบน!?”

“มีอะ...! ทุกคนหลบเร็ว!”

‘ตึง!!!’

“ก-เกือบไปแล้ว! ขอบใจนะยูกะ”

“ก่อนจะมาขอบคุณจัดการ ‘ไอ้นั้น’ ก่อนไหม?”

“อา! นั้นสินะ”

      หลังจากระมัดระวังตัวกันสักพักนิสัยเสียก่อนหน้านี้ก็เพลอทำงานขึ้นมา  ทุกคนในที่นี้ยกเว้นยูกะได้ทำสิ่งที่ไม่สมควรอย่างการเลิกตั้งท่าเตรียมทำให้ทั้งยูกะและผู้กองทั้ง 2 อยากจะพูดออกมาว่า ‘จริงจังหน่อยสิ นี้มันมหาวงกตนะ?!’

      แต่ก่อนจะได้พูดออกไปก็มีเสียงเหมือนอะไรบางอย่างข้างบนเพดานและมีหินตกลงมา  คนที่สังเกตเรื่องนี้ก่อนใครก็คือยูกะนั้นเองหลังจากที่เธอพบว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ข้างบนเธอก็ตะโกนบอกทันที  แล้วก็มีเสียงมาสนันสนุนยูกะอีกนั้นคือเสียงของไดซึเกะนั้นเอง  หลังจากที่เขาสงสัยกับความตื่นตระหนกของเพื่อนสนิทและหันไปตามคำพูดของเพื่อนสนิทเขาก็รีบสั่งให้ทุกคนถอยออกมา

      ยังโชคดีที่ไม่มีใครบาดเจ็บ  ก็คงต้องขอบคุณสเตตัสที่สูงทำให้ทุกคนถอยได้ทันท่วงทีเพราะสิ่งๆนั้นพุ่งลงมาพอดีกับตอนที่ไดซึเกะตะโกนออกไปราวกับเล็งจังหวะได้อย่างเหมาะสมทำให้มีหลายๆคนยังสับสนอยู่

      มอนสเตอร์ที่โจมตีเข้ามาในตอนที่ทุกคนไม่ได้ระวังตัวก็คือลิง  แต่ก็ไม่เชิงเรียกว่าลิงเพราะขนาดของแขนกับขานั้นกลับใหญ่กว่าตัวหลายเท่านักทำให้มันมีขนาดที่น่าจะใหญ่กว่ากอลิลลาแต่ขนาดหัวกับตัวนั้นเทียบเท่ากับลิงชิมแปนซี...ช่างเป็นร่างกายที่ย้อนแย้งอะไรอย่างนี้แถมพวกมันยังมีถึง 3 ตัวด้วยกัน

      แต่ในตอนนี้เพื่อนร่วมชั้นทุกคนทั้งๆที่ควรจะจดจ่อกับกับการต่อสู้หรือมีอาการตกใจกลับคิดว่า ‘มหาวงกตนี้มันจะแปลกไปหน่อยไหม?’ ก็พอเข้าใจความรู้สึกละนะส่วน ‘แปลกตรงไหน?’ คงไม่ติองพูดหรอกมั้ง

      อย่างน้อยที่สุดในตอนนี้ทุกคนก็ได้รับอีก 1 บทเรียนแล้วนั้นก็คือ ‘ความไม่ประมาท’ ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรมีและปฏิบัติอย่างยิ่งเพราะที่รอดมาได้โดยไม่บาดเจ็บก็มาจากค่าสเตตัสล้วนๆ  แน่นอนว่าถ้ามีค่าสเตตัสแบบปกติก็คงจะมีคนบาดเจ็บไม่มากก็น้อย  สิ่งนี้ทำให้ผู้รับหน้าที่ผู้นำอย่างไดซึเกะรู้สึกเจ็บใจกับความผิดผลาดเล็กๆน้อยๆของตัวเองที่อาจจะให้ผลลัพธ์ที่ไม่สมควรจะเกิดขึ้นมาได้

“ทุกคนไปล้อมลิงไว้โดยให้ทำเหมือนกับก่อนหน้านี้!”

“รับทราบ!”

      ไดซึเกะรีบสั่งให้ทุกคนล้อมลิง 3 ตัวไว้โดยให้แนวหน้าคอยทำหน้าที่เหมือนก่อนหน้านี้คือปกป้องแนวหลังซึ่งถ้าให้บอกถึงจุดประสงค์ของแผนจริงๆคือปกป้องแนวหลังไม่ใช่การสู้กับมอนสเตอร์  เหตุผลคือศัตรูส่วนมากนั้นจะค่าสเตตัสที่ค่อนข้างสูงทำให้การโจมตีโดยใช้เวทย์ขนาดใหญ่เพื่อทะลวงพลังป้องกันเวทย์หรือการกระหนำยิงเวทย์ก็ให้ผลที่ดีกว่าการให้แนวหน้าไปโจมตีสุ่มสี่สุ่มห้าที่อาจไม่ได้อะไรจากการทำอย่างนั้นเลยแต่ว่าเวทย์ขนาดใหญ่ก็ไม่ได้ใช้ง่ายๆเลยจำเป็นต้องใช้ทั้งเวลาและพลังเวทย์  สรุปง่ายๆคือแนวหน้าเปรียบเสมือน ‘โล่ที่มีอาวุธติดอยู่’ ส่วนแนวหลังคือ ‘อาวุธที่เอาไว้ปิดฉากศัตรู’ อะไรประมาณนั้น

      และตอนนี้ทุกคนก็ได้เข้าล้อมลิงเป็นวงกลมเรียบร้อยแล้ว  ทุกคนต่างมีสายตาที่มุ่งมั่นไม่ประมาทเหมือนก่อนหน้านี้ส่วนแนวหลังก็เริ่มร่ายเวทย์แล้ว  สถานการณ์อยู่ในสภาวะตึงเครียดต่างฝ่ายต่างจ้องตากันทำให้ไม่กล้าแม้แต่จะขยับแม้แต่นิดเดียว

      ส่วนลิงนั้นหลังจากที่หันหน้ามองไปรอบๆและประสานสายตากับหลายๆคนในที่สุดมันก็มีการเคลื่อนไหวหลังจากที่มันสบตากับพวกเดียวกันเอง  มันย่อตัวลงและเกิดเสียงดังขึ้น...

‘ตู้ม!!!’  ‘ตู้ม!!!’  ‘ตู้ม!!!’

      บริเวณใต้เท้าของลิงจู่ๆมันก็ระเบิดดัง ‘ตู้ม!!!’ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่พื้นกลับแตกอย่างกับโดนอะไรทุบ  แต่สิ่งที่น่าตกใจกว่าคือมันพุ่งเข้าใส่แนวหน้าด้วยความเร็วที่สุดยอด!  โดย 1 ในสามตัวพุ่งไปทางยูกะและไดซึเกะส่วนอีกตัวพุ่งไปหาคนอีกคนหรือถ้าให้พูดชื่อคงจะเป็นฮิโรชิ

      ก่อนอื่นต้องขออธิบายเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่จู่ๆพื้นที่ใต้เท้าของลิงจึงระเบิดและลิงยังพุ่งมาด้วยความเร็วที่ไม่น่าจะเป็นไปได้  ถ้าให้พูดในระดับการวิจัยของนักวิจัยของโลกนี้ก็คงยังครุมเครือเพราะว่าไม่มีตัวอย่างทดลองที่ ‘สมบูรณ์’ เพราะมอนสเตอร์เป็นสิ่งมีชีวิตที่อันตรายทำให้ไม่สามารถมีตัวอย่างวิจัยได้ไกลเหมือน...คงรู้กันอยู่     

      ก็ขออธิบายเลยว่ามอนสเตอร์หรืออีกชื่อก็คือสัตว์เวทย์จะกำเนิดมาจากพลังเวทย์ซึ่งในที่นี่พลังเวทย์นี้ยังเป็นแหล่งพลังงานให้แก่มอนสเตอร์และมันก็อยู่ภายในตัวของมอนสเตอร์  เรียกว่าแกนพลังเวทย์แต่ขอเรียกสั้นๆว่า ‘คอร์’ โดยมันกำเนิดได้หลายรูปแบบส่วนมากจะกำเนิดในที่ๆมีพลังเวทย์เข้มข้นสูงซึ่งก็คือคอร์ ‘กำเนิดมาจากพลังเวทย์’ ดังนั้นตัวคอร์ก็คือ ‘พลังเวทย์แบบมีรูปร่าง’ เพราะตามปกติแล้วไม่มีอะไรที่สามารถมองเห็นพลังเวทย์ได้ด้วยตาเปล่า  ส่วนมอนสเตอร์ในมหาวงกตก็กำเนิดมาจาก ‘พลังเวทย์ในมหาวงกต’ ส่วนหน้าที่หลักอีกอย่างคือ ‘การใช้เวทย์มนต์’ เพราะตัวมันมีพลังเวทย์อยู่ในตัวจึงสามารถทำให้สามารถใช้เวทย์ได้แต่ที่พิเศษคือเวทย์ที่ใช้คือ ‘เวทย์เฉพาะตัว’ ที่มีในมอนสเตอร์นั้นๆเท่านั้นกล่าวคือ ‘มีเพียงมอนสเตอร์นั้นเท่านั้นที่สามารถใช้เวทย์นี้ได้’ แต่อย่างที่เคยกล่าวไว้ว่ามอนสเตอร์สามารถใช้ ‘เวทย์ได้โดยตรง’ หรือก็คือ ‘ไม่ต้องอาศัยตัวกลาง’ ซึ่งมันก็คือเวทย์เฉพาะตัวนั้นเองแต่มันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย  ข้อดีก็อย่างที่กล่าวไปแล้วส่วนข้อเสียคือ ‘มันไม่สามารถใช้เวทย์อื่นได้นอกจากเวทย์เฉพาะตัว’ เพราะว่าคอร์นั้นทำงานเหมือน ‘ระบบจดจำและถ่ายทอด’ หรือก็คือถ้าได้เรียนรู้เวทย์หนึ่งแล้วเวทย์นั้นก็จะกลายเป็นเวทย์เฉพาะตัวไม่สามารถใช้เวทย์อื่นได้อีกแม้กระทั่งรุ่นเหลน,โหลนก็ไม่สามารถใช้เวทย์อื่นได้จึงเป็นข้อเสียที่สมราคาดีแต่อีกอย่างที่เรียกได้ว่ายุติธรรมคือ ‘พลังเวทย์หมดเท่ากับตาย’ เพราะว่าคอร์นั้นกำเนิดมาจากพลังเวทย์และคอร์ยังเป็นพลังงานให้กับมอนสเตอร์สรุปคือคอร์ก็เปรียบเสมือนหัวใจที่ถ้าหยุดเต้นก็เท่ากับตาย  ขอจบการอธิบายแบบคร่าวๆ(?)เพียงเท่านี้

      หลังจากอธิบายเสร็จแล้วก็ขอกลับเข้าเรื่อง  ความจริงแล้วมอนสเตอร์ทุกตัวไม่ได้มีเวทย์เฉพาะตัวอย่างเช่นแรทแมนก็ไม่ได้มีพลังที่ทำให้มี ‘กล้ามแต่อย่างใด’ ทำให้ทุกคนไม่รู้ว่ามอนสเตอร์มีเวทย์เฉพาะตัวเลยสักนิด...ก็นะฝึกต่อสู้อย่างเดียวตงจะมีความรู้นะ

      ส่วนเวทย์เฉพาะตัวของลิงคือ ‘พุ่ง’ มันคือท่าที่จะรวมพลังเวทย์ไว้และเมื่อปล่อยออกมาก็จะทำให้พุ่งไปทิศทางที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วความหมายก็ตรงตัวอยู่แล้วละนะ  ด้วยความแรงทำให้พื้นระเบิดไปแต่ถ้าคนที่มีสติหรือมีความรู้มาก่อนคงเอาตัวรอดได้แต่ก็ไม่ใช่ทุกคน

‘ฉับ’

“เจี๊ย!...”

      และ 1 ในผู้มีสติก็ได้ทำการสังหารลิงไปแล้ว  เธอไม่มีความตื่นตระหนกใดๆเหมือนกับเหตุการณ์ก่อนหน้าที่ไม่อาจทำให้เธอเสียสมาธิเธอนั้นเปรียบเสมือนสายน้ำที่ไม่ว่าจะมีอะไรมาก็ตามก็ไม่อาจทำให้เธอหยุดหรือสับสนได้และเธอคนนั้นก็คือยูกะนั้นเอง  หลังจากที่ลิงพุ่งเข้าใส่เธอด้วยเวทย์เฉพาะตัวเธอก็ไม่มีอาการใดๆทั้งสิ้นเธอเอามือไปจับดาบตั้งท่าเตรียมและเมื่อลิงเข้าประชิดตัวเธอมันก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารได้ด้วยสัญชาตญาณมันเลยคิดจะหลบแต่ในวินาทีนั้นเธอกลับประชิดตัวมันอย่างกับวาร์ปได้และเธอก็ปลิดชีพมันอย่างรวดเร็วขนาดที่ลิงยังร้องไม่สุดเสียงสมแล้วที่เป็น ‘ซามูไรหญิงของโรงเรียน’ ทุกๆสิ่งยิ่งชัดเจนขึ้นหลังจากมายังโลกนี้  เรียกได้ว่าเป็นตัวเลือกที่ผิดผลาดสำหรับลิงที่กล้ามาแหยมด้วย

      ส่วนไดซึเกะนั้นและฮิโรชินั้นไม่เหมือนยูกะเพราะทั้ง 2 คนนั้นไม่มีความสงบในจิตใจเลยแม้แต่น้อยทำให้พวกเขานั้นตั้งท่าทั้งๆที่สมองนั้นคิดอะไรไม่ออกเลย  โดยเฉพาะฮิโรชิที่ในตอนนี้ตัวสั่นเป็นร่างทรงเลยแต่เพราะทั้ง 2 คนนั้นคิดว่าตัวเองมีค่าสเตตัสที่สูงน่าจะสามารถจัดการได้เหมือนยูกะ

      ส่วนผลลัพธ์คือ...ลิงนั้นถ้าให้เปรียบเทียบแล้วละก็มันคือสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาเป็นอันดับต้นๆของโลกฉะนั้นแม้แต่ต่างโลกลิงก็ยังคือลิงอยู่ดี  เมื่อมันเห็นว่าอีกฝ่ายตั้งท่าแล้วมีโอกาศที่ตัวเองจะถูกฆ่าได้จากตัวอย่างก่อนหน้า  มันเลยทำการลงพื้นก่อนและใช้เวทย์เฉพาะตัวอีกรอบตีลังกาเป็นเส้นพาราโบลาอันงดงาม!!!

      ขออธิบายลำดับการแสดงอันงดงามของลิงดังนี้  1.วิ่งมา  2.ลงพื้นก่อนจังหวะนึง  3.ใช้เวทย์เฉพาะตัวที่ขาหน้า  4.ทำท่าหกสูง  5.กระโดดข้ามไปอย่างงดงาม  จบ

      แน่นอนในที่นั่นทุกคนล้วนตกตะลึงกับการกระโดดแบบนั้นแม้กระทั่งผู้กองและอัศวินยังอ้าปากค้างกับภาพที่เห็นอยู่  ส่วนไดซึเกะและฮิโรชิได้สติกลับมาหลังจากนั้นไม่กี่วินาทีแต่เวลาแค่นั้นก็ถือว่าอาจเกิดความเสียหายถึงตายได้พวกเขาจึงรีบไปจุดที่ลิงจะแลนดิ้งลง

      ส่วนเป้าหมายของลิงทั้ง 2 ตัวที่มาโดยไม่ได้นัดหมายคือฮีลเลอร์สาวที่มีฉายาว่า ‘เทพธิดาโรงเรียน’ หรือก็คือชิโอรินั้นเองแน่นอนว่าแนวหลังที่อยู่ด้วยนั้นตั้งใจจะใช้เวทย์เพื่อหยุดการเคลื่อนไหวแต่เพราะท่าทางและหน้าตาของมันทำให้พวกเธอสยองจนยืนขาตายไปตามๆกัน

      เมื่อยูกะเห็นดังนั้นจึงรีบร่ายเวทย์ ‘ก้าวพริบตา’ ซึ่งจะเป็นเวทย์ที่ทำให้ผู้ใช้ไปยังอีกที่ๆหนึ่งได้อย่างรวดเร็วถึงจะคล้ายกับ ‘พุ่ง’ ของลิงแต่กลับต่างกันในทุกๆด้านอย่างขาดลอย  สังเกตได้จากก่อนหน้านี้ที่เธอใช้เพื่อปลิดชีวิตลิง  แต่ไม่ว่าเธอจะไปเร็วสักแค่ไหนก็ไม่ทันแล้วเพราะลิงนั้นอยู่ในระยะโจมตีแล้วทำให้ยูกะรู้สึกเจ็บใจกับความไร้ความสามารถของตัวเองที่ไม่สามารถปกป้องเพื่อนรักได้แต่...

“กรี๊ดดดดด!!! ช่วยด้วยยยย!!!”

‘เคร้ง!’

“เจี๊ยก?!” 

‘กร็อบ!’

“เจี๊ยกกกกก!!!”

‘ตึ้ม!’  ‘แผละ!’

“ว้ายยยย!!!”

      ในวินาทีที่ลิงง้างปากเตรียมจะกัดชิโอริทำให้สัญชาตญาณส่งสัญญาณให้เธอยกไม้คฑาขึ้นมาป้องกันด้วยความหวาดกลัวทำให้เธอปิดตาจนสนิทเพราะไม่อยากเห็นภาพที่น่ากลัวตรงหน้า  แต่กลับมีเสียงของโลหะกระทบกับของแข็งดังขึ้นเมื่อเธอลืมตาขึ้นมาก็พบกับชายสวมชุดเกราะหรือก็คือเซทสึใช้แขนบังชิโอรทำให้ลิงกัดไปที่เกราะแขนของเซทสึแทน

      ลิงส่งเสียงร้องด้วยความตกใจแต่มันก็ทำได้แค่นั้นเพราะวินาทีต่อมาเซทสึก็คว้าขาของลิงและมีเสียงดัง ‘กร็อบ!’ ดังขึ้นแล้วเกิดเสียงกรี๊ดร้องของลิงแต่เขาก็ไม่สนใจเขาทุ้มลิงลงกับพื้นและ...เหยียบหัวของมันจนเกิดเสียงที่น่ากลัวขึ้นและส่วนที่เคยเป็นหัวกลับกลายเป็น ‘ปุ๋ย’ ไปซะแล้ว  ส่วนเลือดก็กระเด็นมาโดนคนแถวๆนั้นทำให้ทุกคนต่างสับสนและกรี๊ดร้องกับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า

      เซทสึยกศพขึ้นทำให้เลือดหยดลงมาตามแรงโน้มถ่วงดัง ‘แหม๊ะๆ’ ทำให้เริ่มมีหลายคนคลื่นไส้กับภาพที่เห็นตรงหน้า  เซทสึโน้มตัวไปข้างหลังเล็กน้อยก่อนจะขว้างศพใส่ลิงอีกตัวที่ยังคงลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ  ปกติมันคงจะหลบได้แต่สิ่งที่มันเห็นเรียกได้ว่าแปลกประหลาดเกินจนสติหลุดไปชั่วขณะ

“เจี๊ยกกกกก!!!”

      มันส่งเสียงร้องเพราะความเจ็บปวดและกระแทกกับพนังห้องก่อนที่ร่างกายทั้ง 2 จะค่อยๆไหลลงมาอย่างช้าๆ  ถ้าคนที่ดูอยู่ไกลๆจะคิดว่าลิงลุกขึ้นมาไม่ได้เพราะศพทับอยู่แต่ความจริงคือทั้งกระดูกซี่โครงและกระโหลกนั้นหักและร้าวไปแล้วเรียบร้อย

      หลังจากนั้นก็คือสิ่งที่ทุกคนรู้กันนั้นคือ ‘ล้มแล้วต้องซ้ำ’ ทำให้ภาพที่ออกมาไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่  โดยที่คนที่เข้าไปซ้ำคนแรกก็ไม่ใช่ใครนอกจากฮิโรชิและมันยังทำท่าทางดูหมิ่นลิงทั้งๆที่ตัวเองหวาดกลัวลิงจนสั่นเป็นร่างทรงและไม่มีปัญญาหยุดลิงด้วยซ้ำ

      ส่วนยูกะนั้นไม่แม้แต่จะหันมองลิงหรือเซทสึที่อยู่ข้างหน้าเธอมีแต่ความกังวลว่าเพื่อนรักของเธอจะเป็นอะไรรึป่าว

“ชิโอริเป็นอะไรรึปล่าว!?”

“ฉันไม่เป็นไรยูกะจังโชคดีที่มีคนมาช่วยทันนะ”

“แน่ใจเหรอ!? อาจจะมีโดยไม่รู้ตัวก็ได้นะมันจะยิ่งแย่นะถ้าแผลติดเชื่อนะ!?”

“อืม รู้อยู่แล้วเลยเช็คดูแล้วไม่มีจริงๆนะดูนี้สิ”

“แต่ว่านะ...!?”

“ยูกะจังวันนี้ก็แปลกๆนะเนี่ย?”

      ถึงชิโอริจะบอกทุกครั้งว่าตัวเองไม่เป็นไรและเปิดแขนเสื้อให้ดูแต่ยูกะก็ยังไม่คลายความกังวลสักที่ทำให้ชิโอริคิดว่าวันนี้เพื่อนรักของเธอก็ดูแปลกอีกหนึ่งวัน

      หลังจากที่หลายๆอยากสงบลงแล้ว(รวมถึงยูกะ)ผู้กองทั้ง 2 ก็ได้ประกาศการจบการฝึกแต่เพียงเท่านี้และได้ว่ากล่าวตักเตือนแบบโคตรน่ากลัวอย่างไดซึเกะและฮิโรชิก็โดนผู้กองเมลด์เขกกระบาลไปหนึ่งดอกและให้นั่งสำนึกผิดพร้อมกับฟังคำตักเตือน  ส่วนชิโอริและแนวหลังรวมถึงแนวหน้าต่างได้เห็นภาพลักษณ์อีกแบบของผู้กองอลิเซียทำให้หลังจากนั้นทุกคนต่างเชื่อฟังผู้กองทั้ง 2 มากขึ้นโดยเฉพาะผู้กองอลิเซียที่อาจเทียบขั้นกับอาจารย์คิมูระได้เลย

      เพราะทุกคนดูเหน็ดเหนื่อยและตักเตือนไปมากพอสมควรเลยถึงเวลาพักกินมื้อเที่ยง(เพราะไม่รู้เวลาเลยถือว่าเป็นมื้อเที่ยง)ทำให้ทุกคนแอบรู้สึกดีใจอยู่ภายในแต่เพราะหลังจากพักก็ต้องกลับขึ้นพื้นโลกทำให้ทุกคนเริ่มไม่ประมาทอย่างน้อยก็ได้รับบทเรียนเพิ่มอีก 1 บทเรียนแต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ดูเหมือนจะมีเสียงเอะอะโวยวายมากเป็นพิเศษ...

“เฮ้ย! เร็วๆเข้าสิวะกูหิวแล้วนะโว้ย!”

“…”

“เหอะ! ยังดีนะที่แกมีประโยชน์ตรงที่ ‘เป็นเบ้’ ไม่งั้นแกตายตั้งแต่ชั้นแรกแล้วก็แกมัน ‘กระจอกนี่น่า’ 5555”

“ไม่เอาน่า~ อย่าพูดแทงใจดำมันอย่างนั้นสิ  แต่มันก็ไม่ได้ยินอยู่แล้วนี่ว่า? 5555”

“เฮ้! ตรงนั้นนะเอะอะ อะไรกันนะ?”

“ชิ!”  ‘เคร้ง!’

“…”

“โธ่! ไม่อยากเชื่อเลยเจ้าพวกนั้น นายนะ...?”

      ณ ตรงนั้นมีคนรวมอยู่ทั้งสิ้น 4 คนโดยที่มี 3 คนกำลังสั่งให้อีกคนที่แบกสัมภาระของทุกคนไว้ให้เอาอาหารออกมา  และแน่นอนว่ากลุ่มนี้นั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากฮิโรชิ,ชิโนซากิและโยชิทากะนั้นเองส่วนคนที่ต้องแบกของของพวกมันก็คือเซทสึนั้นเอง  ถึงแม้ว่าจะโดนมันดูถูกและทำกับเขาเหมือนเป็นแค่เบ้แต่เขาก็ไม่สามารถตอบโต้ได้อยู่ดี  แต่จู่ๆก็มีเสียงของผู้หญิงดังขึ้นเมื่อพวกมันหันไปมองก็พบกับยูกะและชิโอริ  เมื่อพวกมันเห็นว่ามีคนมามันเลยไม่สบอารมณ์และยิ่งเป็นผู้หญิงที่ตนชอบก็ยิ่งม่สบอารมณ์เข้าไปใหญ่มันเลยปากระติกน้ำใส่หัวเซทสึไปหนึ่งที

      ที่ยูกะกับชิโอริเดินเข้ามาห้ามก็เกิดจากการที่พวกเธอได้ยินสียงดังมาจากที่ไหนแล้วพอหันไปมองหาเสียงก็พบกับพวกมันที่กำลังใช้งานเซทสึและอีกอย่างคือเพื่อนรักอย่างชิโอริสะกิดไหล่ของเธอและเข้ามากระซิบว่าให้ไปช่วยเธอเลยไม่สามารถปฏิเสธได้  แต่เมื่อจะถามถึงสุขภาพของชายทีนั่งอยู่แต่เธอก็รู้สึกเหมือนคนที่อยู่ข้างหน้านั้นไม่ต่างจากหุ่นยนต์เธอเลยคิดว่า ‘มีชีวิตอยู่รึเปล่าเนี่ย?’

      ส่วนชิโอรินั้นทำท่าเหมือนอยากจะทำอะไรบางอย่างมาตั้งแต่เมื่อกี้ยูกะเลยเผลอนึกไปถึงเรื่องก่อนเดินทางทำให้เธอลองพินิจพิเคราะห์อยู่สักพักแต่เพราะมันไม่มีคำตอบอะไรเลยเลือกที่จะถามเพื่อนรักดีกว่า

“นี้ชิโอริหรือว่าคนๆนี้คือยูคิเหรอ?”

“อืม~ฉันก็ไม่แน่ใจหรอกจนกว่าจะได้คุยละนะ”

“ไม่ปฏิเสธด้วยเหะ? งั้นเชิญเธอคุยเลยเดี๋ยวฉันไปหาผู้กองอลิเซียก่อน”

“อืม ขอบคุณนะยูกะจัง”

      แต่เมื่อถามไปแล้วก็ได้คำตอบที่ดูคลุมเครือแต่เพราะเพื่อนรักก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไรทำให้คิดว่าจะต้องมีเหตุผลอยู่แน่ๆ  จึงคิดว่าจะไม่อยู่เป็น ‘กขค.’ ดีกว่าเลยไปหาผู้กองอลิเซีย

      ชิโอริที่มองดูเพื่อนรักที่เดินไปพร้อมกับดาบที่อยู่ตรงเอวแล้วคิดว่า ‘ยูกะจังนี้ดูเหมือนผู้ช...คงโกรธแหง่มถ้าได้ยินฉะนั้นขอเงียบเอาไว้ก่อน ฮิๆ’ คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คิดอย่างงั้นเพราะแม้แต่ที่โรงเรียนยังมีผู้หญิงมาสารภาพกับยูกะอยู่บ่อยๆทำให้เธอนั้นป๊อปทั้งชายและหญิงแถมยังมีบางคนเรียกเธอว่า ‘ท่านพี่’ ทั้งๆที่อายุมากกว่าด้วยแต่เพราะไม่ใช่เรื่องสำคัญเลยจะขอเล่าที่หลัง

      เพราะตอนนี้หญิงสาวกำลังเตรียมเพื่อที่ก้าวเข้าสู่สนามรบ!...หยอกนะครับหยอกเพราะว่าตอนนี้ใจของชิโอรินั้นเต้นรั่วมากๆทำให้เธอพยายามหยุดหัวใจที่เต้นรั่วขนาดนี้ให้ได้ ใบหน้าเริ่มร้อนผ่าวและหน้าอกก็รู้สึกแน่นแปลกๆตอนนี้แค่จะพูดยังปากสั่นเลย  ชิโอริไม่รู้ว่าที่ตัวเองเป็นอย่างนี้เพราะอะไรแต่ถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไปคงจะเป็นเหมือนเมื่อคืนแน่ๆ  เธอเลยนั่งคุกเข่าและจับไปที่หน้าอกและพยายามหายใจอย่างช้าๆและตั้งสมาธิให้มั่นและพูดออกไป

“สวัสดีค่ะ คุณคือยูคิหรือเปล่าคะ?”

“…”

“…”

“…”

“ใช่...จริงๆสินะ? นี้ยูคิคุงทำไมเธอถึงไม่คุยอะไรกับฉันเลยละ? หรือว่าเธอจะโกรธ...ไม่สิคงจะเกลียดฉันสินะก็วันนั้นฉันนะ...นี้ยูคิฉันต้องขอ... ”

“….”  ‘แหม๊ะๆ’

“ยูคิคุง! เป็นอะไรรึเปล่าเจ็บตรงไหนเหรอ!?”

“…”

“เทพธิดาของทุกสรรพสิ่งโปรดส่งมอบพลังของท่านเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดของคนผู้นั้น จงรับฟังเสียงร้องของเทพธิดา ‘ฟื้นฟูต่อเนื่อง’ ”

      ชิโอริได้ถามคำถามที่ตนสงสัยและคิดมาตลอดตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้แต่ก็เหมือนเดิมไม่มีการตอบสนองอะไรกลับมา  เธอจัดระเบียบตัวเองใหม่เล็กน้อยก่อนจะมองเข้าไปในหมวกเกราะของเซทสึแต่เพราะในหมวกนั้นมืดมากทำให้มองไม่เห็นทั้งใบหน้าและดวงตาแต่เธอก็คงจ้องมองต่อไปจนเธอสามารถยืนยันได้ว่าเขาคือเซทสึทำให้เกิดคำถามว่ารู้ได้ยังไงกัน?!

      ถึงเธอจะมั่นใจว่าชายสวมเกราะคือเซทสึแต่เหมือนเธอจะยังมีความลังและสงสัยอีกมากมายทำให้แม้ใจจะมั่นใจแต่สมองของเธอกลับบอกว่าไม่ใช่  แต่ในตอนที่คิดว่าทำไมถึงไม่คุยด้วยสมองของเธอกลับนึกถึงสิ่งที่เธอไม่อยากให้เกิดมากที่สุดนั้นก็คือ ‘หรือว่าจะเกลียดฉันซะแล้ว?’

      ก็อย่างที่เคยกล่าวไว้ว่าชิโอรินั้นต้องการที่จะขอโทษเซทสึเรื่องเหตุการณ์ในวันนั้นเพราะเธอคิดว่าเป็นเพราะตัวเธอเองที่ทำให้เซทสึไปอยู่ไหนมาก็ไม่รู้เป็นเดือน  ทำให้เธอรู้สึกผิดมากๆเพราะทั้งน้ำเสียงและใบหน้าที่งดงามตอนนี้กลับเศร้าหมองเป็นอย่างมาก  ความจริงแล้วเหตุการณ์ในวันนั้นถ้าเป็นคนอื่นอาจจะรู้สึกผิดหรือไม่รู้สึกอะไรด้วยซ้ำแต่เพราะนี้คือ ‘เทพธิดาของโรงเรียน’ ผู้ที่มีจิตใจอ่อนโยนและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ทำให้เธอรู้สึกเศร้าจากใจจริงและอาจจะมีเหตุผลอื่นอีกด้วย

      แต่ในตอนที่กำลังจะเอ่ยคำขอโทษกลับมีเสียงเหมือนหยดน้ำหยดกระทบพื้นแต่มันคงจะดีกว่านี้ถ้าหยดน้ำนั่นไม่ใช่ ‘เลือด’ เพราะตอนนี้มีเลือดหยดออกมาจากหมวกเกราะของเซทสึอยู่ทำให้ชิโอริกังวลเป็นอย่างมากกับอาการของเซทสึเธอจึงเข้าไปสำรวจร่างกายของเซทสึพลางสอบถามถึงอาการของเซทสึแต่เพราะเธอรู้อยู่แล้วว่าน่าจะไม่มีการตอบสนองอะไรเหมือนเดิมและก็เป็นอย่างนั้นจริงๆด้วยเธอจึงร่ายเวทย์ฟื้นฟูของเธอในทันที่

      ‘ฟื้นฟูต่อเนื่อง’ เป็นเวทย์ขั้นกลางของสายฮีลเลอร์ซึ่งก็ตามชื่อมันคือเวทย์ที่จะรักษาผู้บาดเจ็บอย่างต่อเนื่องจนกว่าระยะเวลาของสกิลจะหมดลงซึ่งมันสามารถฟื้นฟูค่าสเตตัสทั้งพลังชีวิตและพลังเวทย์แถมยังสามารถแก้สถานะผิดปกติระดับต้นและทำให้ผ่อนคลายได้อีก  สาเหตุที่เธอใช้เวทย์นี้เพราะนี้คือเวทย์ฮีลที่สูงที่สุดที่เธอสามารถใช้ได้แถมยังช่วยฟื้นฟูอะไรหลายๆอย่างทำให้รู้สึกว่าใช้เวทย์ได้อย่างเหมาะสมแต่ถ้าเป็นคนทั่วไปการใช้เวทย์ขั้นกลางทั้งๆที่ยังไม่รู้ถึงอาการนั้นถือว่าสิ้นเปลืองเพราะต้องใช้ทั้งพลังเวทย์และระยะเวลาร่ายนานมากแต่เพราะนี้คือชิโอริผู้มีค่าสเตตัสสุดโกงเลยทำให้ถือว่าไม่ได้เสียหายอะไรมากนัก

       มีแสงมาห่อหุ้มตัวของเซทสึไว้ซึ่งนั้นก็คือ ‘เวทย์ฟื้นฟูต่อเนื่อง’ ถ้ามองจากมุมมองภายนอกแล้วการที่มีหญิงสาวมาร่ายเวทย์ให้แม้ว่าตัวเวทย์จะไม่ได้ทำให้รู้สึกอะไรมากมายแต่การที่มีและยิ่งเป็นชิโอริก็ทำให้สัมผัสได้ถึงออร่าของความอบอุ่นจนทำให้ผู้ชายหลายๆคนรวมถึงกลุ่มของฮิโรชิรู้สึกเคียดแค้นเซทสึอยู่ไม่น้อยเลย

      แต่ความเป็นจริงกลับไม่ได้สวยงามดั่งที่วาดฝันไว้เพราะทั้งร่างกายและจิตใจของเซทสึนั้นเละไม่มีชิ้นดีแถมยังมีพิษที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในร่างกายทำให้ผลของเวทย์นั้นเรียกว่าแทบไม่ต่างกับเวทย์ธาตุแสงอย่าง ‘แสง’ ที่แค่ให้กำเนิดแสงเฉยๆแต่เพราะนี้คือชิโอริผู้มีค่าสเตตัสสุดโกงทำให้ไม่สามารถพูดได้ว่าสูญเปล่าได้เต็มปากแต่มันก็แค่นิดเดียวจริงๆละนะ

      แสงค่อยๆจางหายไปเป็นตัวบงบอกถึงการสิ้นสุดระยะเวลาของเวทย์  ชิโอริก็ยังคงจ้องเซทสึอยู่ที่เดิมตั้งต้นอยู่ดีแต่สิ่งที่ต่างออกไปคือเธอนั้นเรียกได้ว่าไม่เหมือนเดิมใบหน้านั้นไม่เหลือแล้วซึ่งความสุขเพราะในดวงตานั้นดูเศร้าเหลือเกินซึ่งมันไม่ใช่ชิโอริที่ทุกคนรู้จักที่จะยิ้มอย่างอบอุ่นอยู่เสมอ

“เซทสึคุงคือฉัน...?!”

“…”

      ถึงแม้จะไม่มีการตอบสนองเหมือนเดิมแต่การที่เซทสึนั้นขยับตัวนิดๆหน่อยๆก็ทำให้ชิโอริรู้สึกดีขึ้นแล้ว  ในตอนนั้นเธอจึงคิดว่า ‘อ๊ะ! ต้องเช็คอาการด้วยนี้!’ เธอจึงยื่นมือออกไปจับมือกับเซทสึ

        แต่จู่ๆเธอก็หน้าแดงขึ้นมาอย่างกระทันหันไม่รู้ว่าเพราะจับมือกับเซทสึหรือว่าเพราะเผลอไปเรียกชื่อแต่ดูเหมือนจะเป็นทั้ง 2 อย่าง  เธอนั้นเริ่มบิดตัวอย่างเขินอายและหลบสายตาแต่ก็หันไปมองเป็นระยะสภาพของชิโอริในตอนนี้นั้นไม่ธรรมดาจริงๆ!

      แต่ไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่จึงเอามืออีกข้างไปไว้ที่ไหล่ก่อนจะค่อยๆเลื่อนขึ้นไปที่หมวกเกราะและลูบแก้ม(ยังมีหมวกอยู่นะ)ของเซทสึและเธอนั้นก็ค่อยๆขยับตัวเข้ามาที่ละนิดละหน่อย  ในตอนนี้เธอได้เปลี่ยนจากท่านั่งคุกเข่าเป็นคลานและหัวก็ค่อยๆเข้าใกล้หมวกมากขึ้นทำให้ตอนนี้นั้นเห็นทั้งใบหน้าและรูปร่างได้ชัดยิ่งกว่าที่ผ่านมา  ถ้าเมื่อกี้บอกว่าไม่ธรรมดาแล้วในตอนนี้เรียกได้ว่าต่อให้ตายก็ไม่เสียใจแล้ว!

      บรรยากาศเริ่มเปลี่ยนไปเรื่อยๆและเริ่มมีคนสังเกตเห็นทั้งคู่มากขึ้นส่วนคนที่เห็นตั้งแต่ต้นก็เริ่มแสดงอาการที่แตกต่างกันไปมีทั้งรู้สึกอิจฉา,เขินอาย,อยากฆ่าและอีกมากมายสารพัดแต่ก็ไม่มีใครที่ทำท่าจะไปหยุดสักคน  ในวินาทีที่ชิโอริกำลังจะถอดหมวกของเซทสึออกก็ได้มีคนมาห้ามไว้!...

“ชิโอริจะเป็นยัง...ห๊ะ! เดี๋ยวๆ! นั้นมันไม่ใช่การคุยแล้ว!”

“หืม?! มีอะไรเหรอยูกะ?”

“ ‘ก้าวพริบตา’ !”

“ไป...ซะแล้วแหะ?”

      หลังจากที่ยูกะคุยกับผู้กองอลิเซียเสร็จแล้วกำลังจะไปคุยกับไดซึเกะแต่ก็อดเป็นห่วงเพื่อนสนิทไม่ได้อยู่ดีเลยหันไปมองส่วนภาพที่ได้กลับมากลับตรงกันข้ามกับภาพที่วาดเอาไว้อย่างสิ้นเชิง ‘ชิโอริน่ากลัวง๊ะ!’ นั้นคือสิ่งที่เธอคิดหลังจากเห็นภาพลักษณ์ที่แตกต่างจากปกติอย่างสิ้นเชิงจึงรีบใช้สกิล ‘ก้าวพริบตา’ ทันที!  ทิ้งให้ไดซึเกะยังคงมึนงงกับสถานการณ์

  “หยุดน้าาา! ทั้ง 2 คน”

“อ๊ะ!? ยูกะจังกลับมาเร็วจังมีอะไรเหรอ?”

“?!”

“?”

“ยัง-จะ-มี-หน้า-มา-ถาม-อีกนะ!!!”

“เฮ็บฮะยูกะจัง(เจ็บนะยูกะจัง)”

“คุยบ้านเธอทำอย่างนี้เหรอห๊า!?”

“ฮือ~เจ็บง้า~ ฉันแค่ดูอาการของเซท...ยูคิคุงเองนะ”

“?...เฮ้อ~ช่างมันเถอะนะ ‘ยัยต็องสายรุก’ ”

“ว่ากันเกินไปรึเปล่ายูกะจังตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะ! แถมรุกเนี่ยฉัน อ๊ะ!...”

“อืม ตามนั้น?!”

“!+@#$%^&*”

“เฮ้อ~ ‘ยังอีกยาวไกลละนะ’ ?!”

      ชิโอริที่สังเกตุเห็นเพื่อนรักกำลังมาหาด้วยความเร็วแสงจึงเกิดความสงสัยว่า ‘คุยเสร็จแล้วเหรอ?’ โดยไม่ได้คิดว่าเป็นเพราะเจ้าตัวเลยสักนิด  ยูกะที่เห็นว่าชิโอริตอบแบบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยทำให้เธอหมันไส้เลยหยิกแก้มของชิโอริเป็นบทเรียนแถมด้วยการบอกสามัญสำนึกอีกด้วย  แต่ชิโอริก็แค่บอกว่าเจ็บแก้มกับบอกว่าแค่ดูอาการเองนะ?  แถมเกือบเผลอเรียกชื่ออีกต่างหาก

      ยูกะรู้สึกติดใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่เพราะตอนนี้คิดว่า ‘นี้มันเหนื่อยกว่าการต่อสู้กับมอนอีกนะ’ เธอเลยไม่รู้จะสรรหาคำพูดอะไรดีเลยด่าไปแบบตรงๆเลยดีกว่า  ชิโอริรู้สึกโกรธที่เพื่อนรักเรียกตัวเองว่า ‘ต็อง’ มาตั้งแต่เมื่อวานและยังว่าเป็น ‘สายรุก’ อีกทั้งๆที่ตนเองจำไม่ได้ว่าไปรุกใส่ใคร...แต่สุดท้ายก็บังเอิญนึกถึงก่อนหน้านี้หลังจากที่เงียบไปครู่นึงเพราะสมองต้องการการประมวลผลผลที่ได้ออกมาก็นั้นแหละ  ชิโอริเลยหันไปหายูกะเพื่อยืนยันยูกะเลยตอบออกมาตรงๆด้วยสีหน้าเอือมละอา

      พอได้ยืนยัน ‘ใช่แล้วแถมรุกหนักมากด้วยนะ?!’ ทำให้เธอหน้าแดงแปร๊ดแล้วก็พูดไม่เป็นภาษาซะแล้วและเมื่อมองไปรอบๆทุกคนก็พยักหน้าเห็นด้วยกับยูกะ  ทำให้เธออายระดับทะลุปรอทและรีบไปหลบหลังยูกะอย่างรวดเร็ว  พอยูกะหันไปมองเพื่อนรักของตนและจินตนาการเรื่องในอนาคตก็ทำให้เธอคิดว่ามันต้องยาวไกลมากอย่างแน่นอน

      หลังจากนั้นชิโอริก็ยังคงหน้าแดงแปร๊ดหลบอยู่หลังยูกะเหมือนเดิมแต่แค่เปลี่ยนสถานที่แล้ว  ถึงยูกะอยากจะถามว่า ‘คิดยังไงถึงทำอย่างนั้น?’ แต่เธอรู้ดีว่าถ้าถามตอนนี้ชิโอริคงนอนลงไปกลิ้งกับพื้นแน่นอนเลยเงียบเอาไว้

      ตอนนี้แบ่งกลุ่มคนออกได้เป็น 2 ด้านคือด้านที่มองชิโอรด้วยความรู้สึกด้านบวกทำให้ชิโอริยิ่งอายเข้าไปใหญ่กับอีกด้านคือสายตาด้านลบที่มองเซทสึเพื่อคิดว่าจะลงโทษยังไงดีด้วยสายตาที่อาฆาตอย่างถึงที่สุด

      แน่นอนว่าทำไมคนที่เป็นคนทรมาณเซทสึถึงไม่รู้ว่าชายสวมชุดเกราะเพราะพวกมันคือคนเสนอไอเดียไปนั้นเองโดยแกนนำคือฮิโรชิที่คิดจะใช้เซทสึเป็น ‘เบ้แบกกระเป๋า’ และ ‘โล่’ ไม่ได้เข้าใจผิดหรืออ่านผิดแต่อย่างใดเพราะฮิโรชิมันตั้งใจเอาไว้แต่แรกแล้วเพราะถ้าเกิดว่ามอนสเตอร์มันแข็งแกร่งเกินไปก็สามารถใช้ ‘โล่’ เพื่อซื้อเวลาเพื่อสวนกลับหรือหนีก็ยังได้  ส่วนนักวิจัยก็คิดว่าเป็นโอกาศที่ดีด้วยเลยให้ยืมตัวไปแต่แน่นอนว่าพอกลับไปถึงปราสาทเมื่อไหร่นรกก็จะกลับมาเยือนและพอมีกำหนดการณ์ฝึกแบบนี้อีกก็จะให้ไปทำหน้าที่เดิมอีกวนลูปไปอย่างนี้จนกว่าร่างกายหรือชีวิตเซทสึจะดับสิ้นลงถ้าให้พูดจากใจจริงเลยคือ ‘ตายยังดีกว่า’

      แต่โชคชะตานั้นเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงเหมือนกับมหาวงกตที่มักจะหยิบยื่นบางสิ่งที่จะเปลี่ยนทุกๆสิ่งไปตลอดกาลไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่ต้องการหรือไม่ต้องการเป็นทั้ง ‘โอกาศ’ และ ‘ความสิ้นหวัง’

      ในตอนนี้ได้มีคน 3 คนลุกขึ้นไม่รู้ว่านัดกันไว้รึเปล่าแต่ทั้ง 3 นั้นมีจุดมุ่งหมายไปในทิศทางเดียวกันโดยที่ไม่มีใครทำหน้าอารมณ์ดีซักคน ฮิโรชิที่ใช้ดาบ  ชิโนซากิที่ใช้โล่และโยชิทากะที่เป็นนักเวทย์ในตอนนี้ต่างเดินไป...ไม่สิคงเป็น ‘พุ่ง’ เข้าใส่คงจะถูกกว่าส่วนเป้าหมายก็อย่างที่รู้ๆกันนั้นคือเซทสึนั้นเอง

      ในตอนแรกพวกมันยังคงใจเย็นอยู่เพราะมีผู้หญิงที่ตนชอบอยู่แต่จู่ๆก็เหมือนมีมารมากระซิบข้างหูทำให้จู่ๆก็เลือดขึ้นหน้าและเข้าโจมตีเซทสึ  เผื่อคนถามจะขอแยกเป็นคนๆให้ละกันเริ่มจากฮิโรชิชอบชิโอริ  ชิโนซากิก็ชอบชิโอริเหมือนกัน  ส่วนโยชิทากะนั้นแตกต่างเพราะชอบยูกะ

      โดยคนที่เริ่มการหมาหมู่คือชิโนซากิมันใช้โล่อาร์ติแฟ๊คกระแทกใส่เซทสึ  มันแรงซะจนกำแพงด้านหลังร้าวเลย  ฮิโรชิและโยชิทากะก็ใช้วิธีการ ‘ล้มแล้วต้องซ้ำ’ โดยทั้งคู่นั้นต่างยิงเวทย์ใส่เซทสึอาจมีคนสงสัยว่าทำไมฮิโรชิถึงใช้เวทย์ได้ทั้งๆที่เป็นนักดาบสาเหตุมาจากการที่มันมีความเหมาะสมกับเวทย์ธาตุดินมันเลยสามารถใช้เวทย์ธาตุดินได้ส่วนโยชิทากะเป็นนักเวทย์อยู่แล้วเลยสามารถใช้ได้แต่มันก็มีธาตุเหมาะสมอย่างลมทำให้มันเน้นหนักไปทางเวทย์ลมซะมากกว่า

      จากตอนแรกแค่กำแพงร้าวแต่ในตอนนี้นั้นเริ่มขยายวงกว้างและเริ่มมีหลายๆจุดที่พังทลายไปส่วนเซทสึตอนนี้ก็ตัวติดกับกำแพงจนลึกเข้าไปส่วนชิโนซากิก็คอยส่งสัญญาณบอกให้อีก 2 คนหยุดและเข้าไปกระแทกซ้ำ

‘ตึง!’  ‘ตูม!’  ‘ตึง!’

      ตอนนี้ทั้งเสียงและแรงสั้นสะเทือนเรียกได้ว่าน่ากลัวมากเลยทีเดียว  แน่นอนว่าเกิดเสียงและแรงสั่นสะเทือนขนาดนี้ทุกคนย่อมรู้ตัวเป็นธรรมดาทั้งผู้กองเมลด์และอลิเซียร่วมถึงคนอื่นๆก็ช่วยกันพยายามห้ามไว้แต่ก็ทำได้แค่ตะโกนออกไปเพราะถ้าไปหยุดตอนนี้มันอันตรายเกินไปเพราะทั้งอาร์ติแฟ๊คที่ใช้และเวทย์ต่างก็ทำให้เกิดบาดแผลฉกรรจ์แถมพวกมันยังขาดสติไปแล้วตอนนี้ทำให้เสียงตะโกนก็ไม่สามารถเข้าหูได้เลยแต่ก็มีพวกที่ไม่ได้คิดจะช่วยตั้งแต่แรกแล้วและแน่นอนว่าคนพวกนั้นคือพวกที่เคยทรมาณเซทสึแต่ก็ต้องตีเนียนทำเป็นตะโกนไปเพื่อไม่ให้คนที่ยังไม่รู้สงสัย

      แล้วในตอนนั้นเองที่จิ๊กซอชิ้นสุดท้ายได้ลงล็อกพอดี ‘โชคชะตาไม่อาจแก้ไขได้’ คือคำพูดที่จะมอบให้กับ ณ ปัจจุบันและอนาคตข้างหน้า

      ในตอนที่พวกมันจะโจมตีต่อด้านหลังกำแพงของเซทสึกลับมีแสงสีเขียวปรากฏออกมา  พวกมันหยุดมือในทันที่เพราะสัมผัสได้ถึงความงดงามจากแสงของมัน  พวกมันรีบดึงเซทสึออกอย่างไม่ใยดีแล้วรีบขุดหาต้นตอของแสงสีเขียวจนเจอกับอัญมณีสีเขียวคล้ายมรกต

“โอ้~~~~~~~~~!!!”

“ว้าว~~ดูนี้ซิครับมันคือ...”

“เห้ยๆ! เดี๋ยวก็โดนยึดของกลางหรอก!! ”

      ถึงแม้พวกมันจะเป็นผู้ชายที่ไม่รู้จักของสวยงามแต่อัญมณีนี้ช่างดึงดูดเหลือเกิน  แน่นอนว่าคนอื่นๆรู้สึสงสัยว่าทำไมพวกมันจึงหยุดและกำลังจะรีบเข้าไปรวบตัวแต่ก็โดนอัญมณีเม็ดไม่สิคงเป็น ‘ก้อน’ เพราะว่ามันมีขนาดเท่ากำมือ  ดึงดูดไปอีกและขอข้ามมุกคนยิงหมาไปละกัน

“อืม สวยมากเลย”

      แต่จู่ๆก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นซึ่งเจ้าของเสียงก็คือชิโอรินั้นเอง  แค่คำพูดแค่ประโยคเดียวแต่กลับมีพลังที่มหาศาลผู้ชายทุกคนต่างมองไปที่อัญมณีและจินตนการถึงอะไรบางอย่างทำให้ทุกคนต่างโถมเข้าใส่อัญมณีหวังจะเอามาให้ได้  ส่วนผู้ชายบางส่วนก็หวังที่จะเอาอัญมณีนี้ไปให้ผู้หญิงที่ตนชอบทำให้มันดูคล้ายๆกับซอมบี้ยังไงยังงั้น

      แต่ชิโอริก็แค่สนใจเฉยๆไม่ได้อยากได้อะไรมากมายแต่แน่นอนว่าถ้ามีคนให้ก็ต้องขอรับไว้โดยเฉพาะถ้าเป็น...ให้เจ้าตัวพูดเองคงจะดีกว่า  แต่มันไม่ใช่เวลาอย่างนั้นเพราะเซทสึนั้นถ้าดูจากก่อนหน้าน่าจะบาดเจ็บสาหัสเธอจึงรีบไปปฐมพยาบาลและใช้ยาฟื้นฟูระดับสูงถ้าให้เทียบกับเวทย์ก็อาจจะมากกว่าเวทย์สายฮีลระดับสูงหลายๆตัวอีก  แน่นอนมันก็ต้องแลกมาด้วยมูลค่าที่มหาศาลซึ่งถือว่าโชคดีที่ทุกคนมั่วแต่สนใจอัญมณีทำให้ไม่มีคนแค้นเซทสึเพิ่มขึ้นอีกเพราะใช้ยาที่โคตรจะสำคัญไป

      ผู้กองทั้ง 2 ที่ตอนแรกดูจะเป็นกังวลกับเหตุการณ์ก่อนหน้าได้แต่รู้สึกเหนื่อยใจกับการที่ลูกศิษย์และลูกน้องของตัวเองถูกอัญมณีล่อลวงไปทั้งๆที่ยังไม่ได้ตรวจสอบเพราะว่าความจริงแล้วที่มหาวงกตแห่งนี้มีกับดักอยู่ซึ่งแต่ละอันจะทำงานแตกต่างกันไป  อย่างอัญมณีอย่างนี้ถ้าแตะอาจจะมีวงเวทย์เกิดขึ้นและเริ่มการทำงานของเวทย์บางอย่างแต่เพราะจับกันขนาดนี้ยังไม่เป็นไรก็คงเป็นแค่อัญมณีเฉยๆ  สาเหตุที่คิดอย่างนี้มาจากบางครั้งก็มีนักผจญภัยพบแร่หรืออัญมณีอยู่บ่อยๆจึงคิดว่าคงไม่ใช่อันตรายอะไร

      แต่เพราะตนเป็นคนสอนว่า ‘อย่าประมาท’ ทำให้การที่จะประมาทกเล็กๆน้อยๆกับเรื่องอย่างนี้อาจไม่ใช่เรื่องที่ดีนักเลยคิดว่าตรวจไว้ก่อนละกัน  จึงหยิบ ‘สเกาสโคป’ ขึ้นมาส่องดู  สเกาสโคปก็คือเครื่องมือที่เอาไว้ดูการไหลของพลังเวทย์ฉะนั้นถ้าเอาไปส่องกับวงเวทย์หรือกับดักก็จะสามารถมองเห็นการไหลของพลังเวทย์ทำให้ยืนยันได้ว่ามันคือกับดักและแน่นอนว่ามันดูอย่างอื่นนอกจากนี้อีกด้วยส่วนคำตอบคือ

“หืม?! ทุกคนถอยออกมานั้นมันกับดัก!!!”

“เอ๊ะ?!”

‘แกร๊ก’

“ถอยออกมาเลยเดี๋ยวนี้!!!”

“ไม่ทันแล้ว อึก!!!”

      ผู้กองอลิเซียที่เป็นคนส่องสเกาสโคปนั้นกลับพบว่ามีพลังเวทย์มหาศาลไหลออกมาจากอัญมณีอันนั้นและพอมองลึกเข้าไปอีกก็พบกับวงเวทย์ทำให้รู้ได้ทันที่ว่านั้นคือกับดักส่วนถ้าถามว่าทำไมมันถึงไม่ทำงานทั้งๆที่โดนจับไปขนาดนั้นคำตอบคือมันยังไม่ถูกกระตุ้นให้ทำงานถ้าให้เดาคงจะต้องทำอะไรอย่างอื่นนอกจากแตะก่อนถึงจะทำงานในที่นี้คือดึงออกจากแหล่งกำเนิดพลังเวทย์หรือก็คือกำแพงนั้นแหละซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆซะด้วย  ช่างเป็นกับดักที่เอาไว้ล่อพวกโลภจริงๆเลย

      ผู้กองอลิเซียรีบสั่งให้ทุกคนถอยออกมาทันทีแต่มันสายเกินไปแล้วฮิโรชิได้ดึงอัญมณีออกมาแล้วแล้วมันก็ค่อยๆเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีดำในทันที่และมีวงเวทย์สีแดงอยู่ข้างใน  ฮิโรชิเลยพยายามจะขว้างมันออกไปให้ห่างๆแต่พลาดทำให้อัญมณีหล่นลงกระแทกพื้นแตก  ผู้กองเมลด์จึงรีบสั่งให้ถอยออกมาโดยไม่ต้องสนใจอีกหนึ่งเสียงแต่มันก็สายเกินแก้แล้วเกิดวงเวทย์สีแดงขยายเป็นวงกว้างจนทั่วทั้งห้องในทันทีและมีแสงสว่างวาบเหมือนตอนที่ถูกย้ายมายังโลกใบนี้พอแสงสว่างสีแดงหายไปก็เหลือไว้เพียงอัญมณีสีดำที่ไม่มีใครต้องการ

*

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา