Secret Love ลิขิตรัก

-

เขียนโดย PMIX

วันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 เวลา 14.06 น.

  12 ตอน
  0 วิจารณ์
  10.93K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 14.29 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) เผชิญหน้าพายุอารมณ์ /1

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

       อัครเมฆ ปันสา บึ่งรถจักรยานยนต์คันใหญ่สีดำที่พ่อซื้อให้ตอนขึ้นมัธยมปลายที่ใช้ขี่ไปโรงเรียนประจำ ไปตามทาง ในหัวสมองอะไรต่อมิอะไรวิ่งเข้ามาไม่ได้หยุดหย่อน


     นี่เราจะทำอย่างไรต่อไปกับชีวิต ?

    ที่บ้าน เราแทบไม่อยากอยู่ ใช่ว่าจะไม่รักแม่หรือเกลียดพ่อ หรือก็เปล่า แต่มันเหมือนฟางเส้นบางๆที่มัดเราไว้กับพ่อได้ขาดลงแล้วในวันนี้
    
         

      วันที่เราสอบเอนท์ไม่ติดนี้แล้ว
 
    
"คำที่พ่อเคยพูดเอาไว้ เหมือนเป็นคำขาดและคำประกาศิต ที่ฝังอยู่ในใจของเราเอง"

       
      


    
เรื่องมันเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่แพรไหม คนที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนบอกเลิก การเรียนของเขาเริ่มแย่ลง
         
   
แม้ว่า..จะตั้งใจเรียนในห้อง แต่บางครั้ง ก็ไม่มีจิตใจ มันคอยแต่จะเลื่อนลอย ยิ่งเห็นหน้าคนเคยรักไปอี๋อ๋อกับคนรักใหม่ของเธอ เขายิ่งรู้สึกปวดแปลบ

       
     ผลการเรียนเทรมนั้นจึงตกลง เขาไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ หรือแม้แต่ทำข้อสอบ วันประกาศผลสอบปลายภาคเรียนแรก แทบไม่อยากให้พ่อดูสมุดพก  แต่มันเป็นธรรมเนียมไปแล้ว ที่แม่จะต้องส่งสมุดพกให้พ่อได้รับทราบ วันนั้นเองจึงเป็นวันที่เริ่มต้นคำประกาศิต
       
             

     หลังจากรับประทานอาหารเย็นมื้อที่เขากลืนยากมื้อหนึ่งในชีวิต แม่ก็ถามขึ้นมาถึงผลการเรียน เขาเงยหน้าขึ้นมามองหน้าชายหัวหน้าครอบครัวที่นั่งประจันหน้าอยู่ คุณหมอสุชาติยังมองมา ทำหน้านิ่งเฉย เหมือนกำลังพิจารณาอาการเจ็บป่วยของคนไข้ เขารู้สึกเหมือนมีโซ่ตรวนอันใหญ่รัดคอไว้ก็ไม่ปาน

  
     จำต้องลุกขึ้นเดินลากเท้า ในใจนั้นรู้อยู่แล้วว่าจะเจอกับคำสบประมาทจากผู้เป็นพ่อ

               
 "นี่มันอะไรกัน.....ตาเอ....นี่ แกได้เกรดสอง สามวิชา เกรดหนึ่ง สี่วิชา เกรดสาม ตัวเดียว.. อะไรเนี้ยห๊า!!คำสุดท้ายเขาก็เห็นสมุดพกลงไปกองกับพื้นแล้ว 
        
             
     สายตาของเขาจับอยู่ที่สมุดพกอยู่อย่างนั้น หัวใจเจ็บแปลบ แม่เข้าไปเก็บสมุดพก นำมันมาแนบกับอก เหมือนกลัวมันจะหลุดหาย

    เขายังนิ่ง เหมือนจะจุดอารมณ์พ่อให้คุกรุ่นขึ้น
        
              
   “นี่ฉันจะทำยังไงกับแกดี? ”

         
    เขากัดกรามแน่น เย็นไว้ เย็นไว้!!
             
    พยายามไม่ต่อกร ยิ่งทำให้อารมณ์ฝ่ายนั้นเดือดยิ่งกว่ากาน้ำที่ส่งเสียงวี่ๆ เวลาน้ำเดือด เหลือบขึ้นมองหน้าพ่อ มันแดงเหมือนถ่านไฟ หากเอาน้ำราดควันคงขึ้นโขมง

                 
                        

        "จะมีสักกี่บ้านที่มีลูกอย่างกับแก ล่ะ...ห๊า!!เสียงนั้นคำรามก้อง

                
          "จะมีสักกี่บ้านที่ต้องทน กับลูกดื้อด้านอย่างแก”

                  
                             
 
 "แล้วบ้านอื่น เค้าจะมีพ่ออย่างนี้กันไหมล่ะครับ?”

         
            
     เสียงฉาด..เขารู้สึกชาตรงแก้มซ้ายตอนนั้นคงจะมีรอยสี่นิ้วฟาดผ่านแก้มแล้ว

                
                         
         
"ใครสั่ง ใครสอนแก ให้ย้อนฉัน” 

        
    หญิงวัยสามสิบห้า ปรี่เข้ามาหาบังเขาไว้ มีน้ำตาอาบแก้ม    หล่อนโอบกอดไว้อย่างหวงแหน

  "พี่ชาติ ทำไมถึงกับต้องลงไม้ลงมือกับลูกด้วย” พูดเหลียวไปมองสามีหล่อนทั้งที่ยังโอบบังลูกชายคนเดียว

                  


  "ก็ลูกเธอมัน” พ่อถมึงตาให้ได้โตขึ้นกว่าเดิม   “มันอวดดีนักนี่!!

     
 รู้สึกว่าตัวเองสั่น   เสียงสะอึกข้างๆหูยิ่งทำให้ใจไหว

            
                         
 "ไป!.. ลูกไป ตาเอ ไปข้างบนกับแม่” หญิงผู้บอบบางกอดลูก ออกห่างพญาราชสีห์

     

"โอ๋มันเข้าไปสิ!! ถ้ามันเอนท์ไม่ติด ก็ไปช่วยมันเลี้ยงควายซะด้วยล่ะ ไม่ต้องลง..ต้องเรียนมันแล้ว!!” เสียงนั้นไล่ตามหลัง


       



     เขาขี่รถจักรยานยนต์มาถึงบ้านอย่างไม่รู้ตัว ทั้งที่ใจยังไม่อยากจะให้ถึงเลย ไม่อยากจะเข้าบ้าน แต่ก็ไม่รู้จะไปที่ไหน

        
     หญิงคนนั้นลดหนังสือพิมพ์ลงเมื่อได้ยินเสียงรถลูกชายเข้าบ้านมา ชายหนุ่มก้มหน้างุดๆเข้าบ้าน เหมือนว่าไม่เห็นแม่ของเขา

               

           "ลูก!! เอ...ลูก..” ทั้งที่ได้ยินเสียงเรียกแต่ไกล แต่ก็แกล้งทำเป็นหูทวนลมเสีย

        
          
     ใช่!! เขารู้สึกว่าไม่อยากจะพูดอะไรทั้งนั้นในตอนนี้ ไม่อยากจะโดนซักไซ้ ขอเวลาสักนิด ให้ได้เรียบเรียงความคิด และเตรียมคำตอบ และแม่คงเข้าใจนิสัยลูก จึงได้ปล่อย ไม่ตามเขาเข้ามา

          
           
 
     บ่าย.. คล้อยเข้ามาเต็มที พระอาทิตย์เริ่มอ่อนแสงลง ความร้อนอบอ้าวยังคงปกครุมไปทั่วบริเวณ
          

     เสียงรถยนต์แล่นเข้าบ้าน แน่แล้วนั่นเป็นเสียงรถของพ่อ ใจเขาหดเหลือเล็กที่สุด ห่อเหี่ยวเต็มที วันนี้หมอใหญ่คงไม่ได้อยู่เวร ปกติถ้าอยู่เวรจะกลับดึก หรือเช้าของอีกวันซะด้วยซ้ำ

     



 ก๊อก......ก๊อก.....ก๊อก

      
   "เอ.....หลับเหรอลูก?” แม่ของเขาเปิดประตูเข้ามาในห้อง แสงสว่างจากภายนอกสาดเข้ามาภายในห้อง เด็กหนุ่มนั่งอยู่บนเก้าอี้ฟุบตัวอยู่บนโต๊ะ

            
                       
 "เปล่าครับ”คนพูดยังไม่ยอมเงยหน้า

           
                           
 "อยู่ทำไมมืดๆล่ะลูก?”เสียงนั้นอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความห่วงใย

             
                       
 "ไม่ต้องเปิดนะครับแม่!!” รู้ว่า แม่ต้องกำลังควานหาสวิทย์ไฟ

               


         "ลงไปทานข้าวเถอะ! พ่อเขารออยู่นะ.. ลูกเอ”เสียงนั้นแผ่ว

          
   
     เขาเงยหน้าขึ้นหันมาทางผู้เป็นแม่ ที่ยืนคาประตูอยู่ตรงนั้น

          "ผมไม่หิว!!” ตอบตรงข้ามกับท้องที่ตอนนี้มันร้องให้รีบเอาอาหารลงไปให้ย่อยอยู่ เพราะยังไม่ได้แตะอาหารเลยตั้งแต่เที่ยง

             
                         
 "พ่อรอลูกอยู่นะจ๊ะ วันนี้พ่อเค้าแวะซื้อไก่ย่างเจ้าประจำ ที่ลูกชอบมาด้วยน่ะ” แม่อ้างถึงไก่ย่างร้านที่เคยแวะซื้อประจำตอนที่ไปเที่ยวกับพ่อและแม่ ขากลับจะซื้อไก่ย่างร้านนี้กลับมาด้วย เขาชอบมาก แต่มันเป็นอดีตที่คงไม่มีทางย้อนกลับมาได้อีก

                

 "แม่ครับ ผมขออยู่หอนะครับ”เขามองดูฝ่าความสลัว เงาตะคุ่มที่ยืนอยู่ตรงประตูเดินมานั่งบนเตียงที่ประจำเวลาแม่มาห้องเขา แสงจากภายนอกสาดมาเผยให้เห็นหน้าที่อ่อนระโหยของคุณจันทร์แรม

                 
         

"อะไรกัน ลูกเอ แล้วเรื่องเรียนล่ะ?”

                    
                           

 "แม่น่าจะรู้นะครับ ว่าผมเอนท์ไม่ติด”เขาพูดเสียงเครือ ด้วยสงสารแม่ที่ทำให้ผิดหวัง ร่างนั้นนิ่งงัน "ผมยังไม่รู้จะทำยังไงดี ผมคงจะหางานทำไปก่อน หาที่เรียนภาคค่ำ หรือไม่ก็ปีหน้าค่อยสอบใหม่นะครับแม่”

          
              
 "อย่าเลย!!..ลูกแม่จะพูดกับพ่อให้นะลูก” ไม่พูดเปล่าๆ เดินมาหา มือข้างที่ใส่แหวนเพชรนั้นวางที่บ่าเขา"พ่อเขาก็พูดด้วยความโกรธไปอย่างนั้นเอง.. ลูกก็ อย่าถือมาใส่ใจเลยจ๊ะ”

                   
                          
 "ผมตัดสินใจแล้วครับแม่” เขายืนกราน


         

      แม่เดินกลับออกจากห้องไป ประตูยังคงแง้มอย่างนั้น และคงกำลังนำเรื่องไปปรึกษากับคุณหมอใหญ่แน่ เขาจึงได้ยินบางประโยคแต่ไกล

     "เออ ไปบอกมันด้วยนะ..ว่าหยิ่งจองหองนัก.. ก็หยิ่งให้มันได้ตลอด!!
              



                   คุณหมอสุชาติ พูดเสียงดัง...ดังอย่างไม่อายชาวบ้าน

                                                                    …....................


          



 หกเดือนต่อมา...

          
      รถไฟขบวนนั้น เคลื่อนผ่านไปแล้วหลายสถานี บางสถานีมีคนขึ้น ลง แต่บางแห่งแค่ชะลออย่าง ช้าๆ แต่ไม่มีผู้โดยสารขึ้น หรือลงเลย


     
     พระอาทิตย์ ทาบทาฟ้าให้เป็นสีส้มเข้ม คล้อยบ่ายแล้ว..หลังจากที่รถไฟ ลอดผ่านถ้ำที่แจ่มใสทราบจากป้าของเธอว่า "นี่แหละ ถ้ำขุนตาลล่ะ" เธอรู้สึกกึ่งตื่นเต้น กึ่งกลัว
      


     มือนั้นจับป้าของเธอไว้แน่น แจ่มใสไม่ค่อยปลื้มกับความมืดแคบสักเท่าไหร่นัก เธอไม่รู้ว่าทำไม มันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่จำความได้ คิดเองว่าคง จะตั้งแต่ตอนรถพลิกคว่ำยังฝังใจมาตั้งแต่เด็ก จำได้เพียงเลือนๆ ลางๆ ว่า มันมืดมาก แล้ว มันก็หมุนไปหมด มีเสียงกรีดร้อง   
      

     รู้ว่าแม่กอดเธอไว้แน่น เธอร้องไห้ และแม่บอกว่า "ไม่ต้องกลัว" จำได้ เท่านั้น 

อิ่มใจ เห็นหลานตัวเกร็ง ก็พยายามโอบเด็กสาวไว้ อย่างทะนุถนอม

  "ไม่เป็นไรนะ ลูก” หล่อนมักเรียก แจ่มใส ว่าลูกอย่างเคยชิน ยามปลอบ หรือเวลาเอาใจอย่างอ่อนโยน

         


     ชาวบ้านรู้ดีว่า ถึงจะปากจัด ตระหนี่ขี้เหนียว แต่แกมีจุดอ่อนที่หลาน "แกรักของแก" จนชาวบ้านลือ

                
  หลานข้าใครอย่าแตะเลยนะ ยายอิ่มนี่ อะไรของมันนักหนา เอาใจกันสุดๆ

        
        

    แจ่มใสยังอดนึกขันปน โมโหป้าไม่ได้

    ตอนนั้น แจ่มใส อยู่ ปอ. สอง เห็นจะได้ วันนั้นเป็นวันฟ้าเปิด เล่นกับเพื่อนกลางสนาม เกิดทะเลาะกับเพื่อนทำให้สะเก็ดแผลจากการหกล้มที่ใกล้จะหายของเธอหลุด เลือดออก กลับไปถึงบ้าน พอป้ารู้เรื่องก็ไปด่านักเรียนคนหนึ่งจนร้องไห้ 
         
        
    เธอต้องโดนครูตำหนิ ว่าเป็นเด็กขี้ ฟ้อง แล้วที่เจ็บแสบที่สุดคือ ป้าไปด่าผิดคน


    


    ไม่มีคำตอบจากคนกลัว

        "ดูสิ!!..มือเย็นเฉียบเชียว” อิ่มใจ ประคองหลานไว้ในอ้อมกอดอย่างแม่ไก่ กกลูกเจี๊ยบ

        
                

     ผ่าน.. พ้นลำปางมาไกลแล้ว รถไฟ ลัดเลาะผ่านทิวแมกไม้ บนออบเขา ผ่านหมู่ บ้าน พระอาทิตย์ ลับทิวยอดปลายไม้ไปแล้ว     
         
     
  

    ความมืด..ปกครุมไปทั่วบริเวณนอกรถไฟ มีเพียงแสงไฟจากในตัวรถเท่านั้นที่สาดแสงลอดออกไปทางนอกหน้าต่าง คืนนี้เป็นคืนเดือนมืด ลมพัดเย็นเอื่อยไปตลอดทาง

 

       
  
    
เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว ตลอดเส้นทางนอกจากผู้โดยสารแล้ว ยังมีแม่ค้าขึ้นมาเร่ขายของเป็นระยะๆ

      
    ไก่ย่างข้าวเหนียว ตั้งแต่บ่าย พาให้อยู่ท้องเหมือนกัน เพราะไม่รู้รถเสบียงอยู่ทางไหน เรียกว่านอกจากห้องน้ำ แล้วก็แทบจะไม่ได้ลุกไปไหนเลย

             
    นมกล่อง น้ำอัดลมนั้นคนขายจะแช่ไว้ในกระติกใบใหญ่ สีต่างๆ แล้วแต่ผู้ค้าจะหามาที่มีน้ำแข็งเกือบเต็ม แทรกตัวเบียดผู้โดยสาร ไม่มีตั๋วนั่งก็ต้องยืนโหนกัน ดูคล้ายชะนีโหนกิ่งไม้

      

     ป้าอิ่ม สั่นศรีษะ บอกปัดแม่ค้าผลไม้ดอง เป็นครั้งที่ แปดสิบ เห็นจะได้ ถ้านับรวมกับ แม่ค้าข้าวกล่อง และพ่อค้าขายลูกอม ยาดมด้วย แกคงหมดอารมณ์จะอ่านหนังสือนิยาย ตั้งแต่แม่ค้าขายน้ำหวาน น้ำชาใส่ถุงนั้นแล้ว
        

     แจ่มใส อดยิ้มไม่ได้ เด็กสาวใช้เพลงจากหูฟังเป็นเพื่อน ค่อยๆซบลงกับไหล่ป้า




                แล้วม่อยหลับไป ด้วยความอ่อนเพลีย

                           
                                  ****************

 

             




 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา