สายสืบสุดอึด

-

เขียนโดย Vorapoch

วันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2562 เวลา 22.42 น.

  10 ตอน
  0 วิจารณ์
  7,897 อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

10) บทที่ 10

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

          “ดี...”

          ถิรนัยมีท่าทีผ่อนคลายหลังจากเคลียร์กับลูกน้องที่นั่งอยู่ตรงหน้าทั้ง 2 แล้ว  ก่อนที่จะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วว่าเสียงจริงจัง

          “ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้พวกแกทั้งคู่ก็ไปเริ่มงานกับคุณเจตน์ได้เลย  ส่วนรายละเอียดกับขอบเขตการดำเนินงานอะไรต่างๆนั้น  คุณเจตน์จะกำหนดให้เอง  และพรุ่งนี้เขาจะส่งคนมารับหวังใจว่าพวกแกคงจะเข้าใจตรงกันนะ?”

          “ครับผม...”

          คู่หูต่างวัยรับคำอย่างแข็งขัน

“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ฉันก็หมดเรื่องของงานกับพวกแกแค่นี้แหละ  เอาเป็นว่าวันนี้อนุญาตให้พวกแกไปพักผ่อนกันก่อนได้  แต่ที่สำคัญต้องพยายามบอกคนรู้จักและทางบ้านยังไงก็ได้  ว่าแกได้ไปทำงานต่างประเทศเท่านั้น  ห้ามบอกเรื่องไปทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายไปโดยเด็ดขาด  ทุกอย่างคือความลับ  หวังว่าคงจะเข้าใจล่ะ”

“ครับผม”

คู่หูต่างรุ่นรับคำเสียงหนักแน่นกับหัวหน้างานของตน  ก่อนที่จะออกจากห้องของหัวหน้างานพวกตนและก็แยกย้ายกันกลับที่พักของใครของมันก็ในทันที...

*        *        *

          ตอนเช้าอีกวัน  หลังจากที่โด่งระบือและโอบกิจมาถึงที่สำนักงานสายสืบพิเศษเพื่อรอการมารับของเจตน์ตามที่นัดหมายเอาไว้แล้ว  และพวกเขาก็รอกันไม่นานเลย  อย่างชนิดที่เรียกว่าดื่มกาแฟไม่ทันหมดแก้วเลยด้วยซ้ำไป  คนของเจตน์ก็มารับพอดี

          ไม่ต้องมีการสั่งการอะไรซ้ำอีกสำหรับหัวหน้างานกับลูกน้อง  เพราะต่างรู้ก็หน้าที่กันดีอยู่แล้ว  จึงทำให้คู่หูน้าหลานของหน่วยสายสืบพิเศษไปกับคนของเจตน์ที่ส่งมารับอย่างไม่ต้องซักถามอะไรให้มากความกันอีก  เพราะถึงคิดจะถามอะไรคนที่ถูกใช้ให้มารับก็คงตอบไม่ได้อยู่ดี

          ไม่นานโด่งระบือและโอบกิจก็ได้มาพบกับเจตน์ที่เซฟต์เฮ้าส์แห่งหนึ่งซึ่งอีกฝ่ายจัดเอาไว้เป็นที่ประชุมลับในเบื้องต้นระหว่างพวกเขาเพื่อการซักซ่อมในสิ่งที่จะต้องดำเนินการต่อไป  พอมาถึงห้องแล้ว 2 คู่หูต่างวัยก็รอผู้ที่เรียกตนเองเพื่อให้ทำงานไม่นานนัก

          “สวัสดีครับคุณทั้งสอง  หวังใจว่าผมคงจะไม่ช้าจนเกินไปนะ?”

          “ไม่หรอกครับท่าน”

          โด่งระบือรับคำขรึมๆ  ขณะที่โอบกิจไม่พูดอะไรยิ้มรับเฉยๆ  ขณะที่ผู้ที่เรียกสายสืบพิเศษทั้ง 2 มาช่วยงานก็ผายมือ

          “ถ้าอย่างนั้นก็ขอเชิญคุณเจ้าหน้าที่โด่งระบือกับคุณโอบกิจนั่งตรงนี้เลยครับ  เดี๋ยวผมจะว่าแผนการที่จะให้ทำการต่อไปทั้งหมดให้ฟัง”

          “ครับผม”

          รับคำอย่างแข็งขันทั้งคู่

          จากนั้นเจตน์ก็เล่าแผนการต่างๆที่จะให้ 2 คู่หูต่างวัยจากหน่วยสายสืบพิเศษ  ดำเนินการต่อไปโดยที่ภายในห้องนั้นไม่มีใครมารับรู้อะไรทั้งสิ้น  เพราะมีเพียงแค่เจ้าของสถานที่ซึ่งก็คือเจตน์กับ  โด่งระบือและโอบกิจเท่านั้น

*        *        *

      จากนั้นอีกวันที่บริษัท  เจตน์กรุ๊ป  จำกัด (มหาชน)  เช้าวันนี้ค่อนข้างจะคึกคักเป็นพิเศษเนื่องจากว่ามีการประกาศล่วงหน้าแล้วว่า  ทายาทแสนล้านคนเดียวของท่านประธานใหญ่ของบริษัทจะมาเริ่มทำงาน

          หลังจากเจ้าหน้าที่บริษัทหลายสิบคนของบริษัทได้ยืนเฝ้ารอ  ไม่นานนักประธานใหญ่ของบริษัท  ซึ่งก็คือคุณเจตน์ก็ปรากฏตัวขึ้นด้วยรถเข็นระบบขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์โดยเจ้าของรถที่นั่งอยู่เป็นคนขับเคลื่อนมาเอง  พอมาถึงก็เปิดยิ้มกว้างกับพนักงานทุกคนที่มารอรับพร้อมกับรับไหว้ไปด้วย

          และพอทักทายกันเรียบร้อยแล้ว  เจตน์ก็กระแอมขึ้นมาเสียก่อนเพื่อเป็นการเรียกเสียงของตนเองและเป็นรวบรวมความคิดขึ้นมาเสียก่อนว่าตนเองจะต้องพูดอะไรออกมาบ้าง  จากนั้นก็เอ่ยจริงจัง

          “ผมคิดว่าพนักงานทุกคนคงจะทราบจากประกาศข่าวกันไปบ้างแล้วว่า  ทายาทคนเดียวของผมเรียนจบและได้กลับมาจากเมืองนอกแล้ว...”

          ว่าได้เพียงนั้นแล้วประธานกรรมการใหญ่ของบริษัท  เจตน์กรุ๊ป  จำกัด (มหาชน)  ก็หันไปมองโดยรอบ  คล้ายกำลังชั่งใจพร้อมกับใช้สายตาสำรวจเพื่อหาคนที่จะมาคิดร้ายกับทายาทคนเดียวของตนเองให้ได้  แต่หลังจากที่กวาดสายไปโดยรอบแล้วก็เอ่ยต่อเนื่อง

          “อาจจะจำกันไม่ค่อยจะได้โดยเฉพาะคนที่เคยเห็นตัวเขาเมื่อตอนเป็นเด็กวัยรุ่น  เนื่องจากเขาไปใช้ชีวิตที่เมืองนอกมาโดยตลอด  เอาเป็นว่าผมขอแนะนำอย่างเป็นทางการล่ะนะ...ทุกคนครับนี่คือจรัสพงศ์บุตรชายคนเดียวของผมซึ่งก็คงจะต้องรับงานทำต่อจากผมไปในอนาคต”

          จบคำโด่งระบือซึ่งตอนนี้กำลังอยู่ในคราบของจรัสพงศ์ทายาทคนเดียวของนักธุรกิจแสนล้านก็เคลื่อนตัวมายืนข้างๆเจตน์  ทีแรกเขายังค่อนข้างจะเกร็งกับการที่จะต้องกลายเป็นทายาทมหาเศรษฐีอยู่เหมือนกัน  เพราะแม้ที่ผ่านมาด้วยอาชีพสายสืบพิเศษของตนเองที่ต้องแฝงตัวไปเป็นใครต่อใครมาหลากหลายชีวิตแล้วก็ตามที

          แต่กับการต้องมาเป็นทายาทของคนรวยระดับนี้  เขาไม่เคยต้องทำมาก่อนมันก็เลยทำให้ไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวอย่างไรถึงจะเข้ากับบทบาทที่ได้รับในตอนนี้ได้อย่างแนบเนียนที่สุด  แต่พอได้เม้มปากและกลั่นใจนิดหนึ่งแล้วโด่งระบือก็ค่อยๆเงยหน้าขึ้นจากการที่ก้มหน้าไปครู่หนึ่งตอนที่เดินเข้ามายืนข้างๆคนที่มอบงานให้ทำ

          ด้วยท่าทางที่ดูเนี๊ยบเฉียบเริ่มจากใบหน้าที่ถูกโกนหนวดและเคราจนเกลี้ยงเกลา  เนื่องจากตอนที่เป็นโด่งวิบากนั้นเขาโกนแค่หนวดที่มันขึ้นเหนือริมฝีปากทิ้งไปเท่านั้น  ส่วนเคราอ่อนๆข้างแก้มและใต้คางนั้นไม่ค่อยได้รับโกนทิ้งให้ดูดีเลย  เพราะโด่งระบือคิดเอาเองเสมอว่าเป็นลูกผู้ชายชาตรีนั้นจะต้องมีเคราอ่อนๆ  จึงจะดูมาดเท่

          แต่ตอนนี้ด้วยคำสั่งและแผนการของเจตน์ได้เล่ารายละเอียดเกี่ยวกับบุตรชายของตนเองว่าเป็นชายหนุ่มประเภทเนี๊ยบทุกกระเบียดนิ้ว  เจ้าหน้าที่สายสืบพิเศษอย่างเขาก็เลยไม่มีทางเลือก  นอกจากจะต้องกระทำการตัวเองให้เหมือนกับคนที่ตนเองมาสวมบทบาทให้ได้มากที่สุดเท่านั้น

          ใบหน้าจึงเกลี้ยงเกลา  และแถมทรงผมซึ่งโดยปกตินั้นโด่งระบือคนเดิมก็จะไม่ค่อยจะได้ใช้หวีเพื่อจัดการกับทรงผมตนเองเท่าไหร่เลย  แต่คราวนี้เขาก็ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองด้วยชโลมเยลเอาไว้จนทั่วทั้งศีรษะจากนั้นก็จะทำการหวีจนเรียบแปร๋เลยก็ว่าได้  และเพิ่มมาดที่ดูเปลี่ยนไปกว่าเดิมอีกนั่นก็คือการสวมแว่นตากระจกใสกรอบทองคำซึ่งทางผู้ให้มาทำงานนี้ได้เตรียมเอาไว้ให้แล้วนั่นเอง

          จึงทำให้มาดของอดีตสายสืบของหน่วยสืบพิเศษแทบจะไม่เหลือเค้าเดิมเลยแม้แต่น้อย  หลังจากชั่งใจได้ครู่หนึ่งเขาก็เงยหน้าขึ้นมองไปโดยรอบตรงหน้า  ซึ่งมีเจ้าหน้าที่บริษัท  เจตน์กรุ๊ป  จำกัด (มหาชน)  ยืนอยู่เรียงรายไปหมด  ก่อนที่จะยกมือไหว้พร้อมกับเอ่ยทักทาย

                “กราบสวัสดีทุกๆท่านครับ...”

                “สวัสดีคะ…”

                “สวัสดีครับ…”

                เสียงตอบรับกลับมาอย่างทันที  ที่เขาเอ่ยคำจบลง  จากนั้นเขาก็เอ่ยต่อเนื่อง

                “ผมต้องขอขอบพระคุณมากเลยนะครับที่ทุกท่านให้การต้อนรับตัวผมเป็นอย่างดี  ที่ผมมาในวันนี้ก็เพื่อจะมาเริ่มทำงานเหมือนกับทุกๆท่านแหละครับ  อย่าได้มองว่าเป็นเรื่องสำคัญหรือวิเศษพิเศษมากกว่าพนักงานทั่วไปเลยครับ  ขอให้คิดเสียว่าผมเป็นน้องใหม่ในการทำงานให้กับบริษัทก็แล้วกันนะครับ…ขอบคุณมากครับ”

                เสียงปรบมือกราวใหญ่ดังขึ้นทันทีเมื่อโด่งวิบากในมาดของจรัสพงศ์ว่าจบลง  และขณะที่เอ่ยคำพูดอยู่นั้น  สายตาของสายสืบพิเศษก็สอดส่ายมองไปทั่วเพื่อหาข้อพิรุธว่าจะมีใครที่จะมาคิดร้ายกับจรัสพงศ์ตัวจริงได้หรือไม่โดยตลอดขณะที่เอ่ยคำอยู่นั้น

                และพอเสียงปรบมือหยุดลงแล้ว  เจตน์ซึ่งอยู่บนรถเข็นที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์  ก็ยกมือขึ้นและเอ่ยจริงจังอีก

                “ยังไงผมก็ขอฝากเจ้าลูกชายคนเดียวของผมด้วยก็แล้วกันนะ  เพราะแม้จะร่ำเรียนมามากก็จริง  แต่การทำงานนั้นก็ต้องใช้ประสบการณ์จากชีวิตจริงๆเสียมากกว่า  ใครมีอะไรจะชี้แนะหรือแนะนำอย่างไรก็เต็มที่ได้เลย  ไม่ต้องเกรงใจว่าเป็นลูกของประธาน  โดยเริ่มแรกของการทำงานนี้ผมจะให้เจ้าจ๋ายหรือจรัสพงศ์นั้นไปทดลองงานทุกแผนกเลยก็แล้วกันนะ”

                ว่าจบประธานใหญ่ของบริษัทก็หันไปมองโดยรอบ  ก่อนที่จะว่าเพิ่มเติมอีก...

 

                (หมายเหตุ : รีดฯท่านใดที่ติดตามอ่านงานของไรท์ฯอยู่  ต้องการมีข้อตำหนิติเตียนหรือเสนอแนะอย่างไร  หรือเพียงแค่จะทักทายเฉยๆก็แชทมาได้เลยครับที่กลุ่มนิยายพวงพลอยในเฟสฯ  หรือจะเข้ามาร่วมกลุ่มกันก็ได้นะครับ  ไรท์อยากทราบผลตอบรับการเขียนงานให้ท่านอ่านกันว่าเป็นอย่างไรถูกใจหรือไม่ประการใด  ทักเข้ามานะ...)

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา