เทพตกสวรรค์ ภาคทัณฑ์แห่งเทพ

-

เขียนโดย 秋冬夢春

วันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2562 เวลา 00.28 น.

  7 ตอน
  0 วิจารณ์
  6,186 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 10 เมษายน พ.ศ. 2562 01.23 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) ต้นเหตุ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

อันจะกล่าวย้อนไป 4 อสงไขย 10000 กัลป์ก่อนพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคที่ทรงพระนามว่าตัณหังกรพุทธเจ้า

สมัยที่พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า สัพพาภิภูพุทธเจ้า

อันตรธานหายไปกับกาลเวลาอสงไขยเข้าสู่ยุคเวลาพุทธันดร

 

ณ โลกันตนรก

“(เปรี๊ยะ!!!)(บึ้มมมมมมม!!!)” ผนึกแกนเวลาสีใสได้แตกกระจายออก ปลดปล่อยมารร้ายแห่งพระศาสนาที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงผนึกเอาไว้

ในส่วนที่ลึกที่สุดของโลกันตนรก

“ฆ่า!” เพียงชั่วพริบตาสิ่งนั้นได้สังหารสัตว์นรกทุกตัวและเหล่านิรยบาลทุกนายจนสิ้นโลกันตนรก

ซากศพพะเนินเท่ากองภูเขาเป็นสัญลักษณ์ของความโหดเหี้ยมของอสูรร้ายตนนี้

เหล่าเทพทั้งหลายยังมิรับรู้ถึงภัยอันตรายที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้าคงมัวหลงระเริงในกามามิรู้วันคืนเช้าค่ำลืมสิ้นแม้รสพระธรรมอมตะ

มารร้ายแห่งพระศาสนาได้ไล่สังหารเหล่านิรยบาลที่อยู่ในอเวจีมหานรกและเหล่าสัตว์นรกทุกตัวจนสิ้นอเวจีมหานรก มิเหลือสิ่งมีชีวิตใดอยู่เลย

เหล่าเทพก็ยังมิสะดุ้งสะเทือนแม้ความตายจะย่องเยื้องย่างเข้ามาเฉียดวิมานก็ตาม

“ฆ่า” จากนั้นในชั่วเศษกัลป์นรกก็ไร้ซึ่งสัตว์นรกและนายนิรยบาล

กว่าเหล่าเทพจะรู้ตัวก็สายเกินไปเสียแล้วสายเกินที่จะแก้ไขสายเกินที่จะทำอันใดได้

เพียงชั่วรอยต่อกัลป์ เทพเจ้าเหล่าชั้นจาตุมหาราชิกาจนถึงชั้นยามาโดนมารร้ายตนนี้สังหารจนสิ้นปราการทั้งหกที่พระอินทร์ทรงวางไว้ก่อนถึงดาวดึงส์แตกพ่ายไม่เป็นท่า

ในกาลนั้นแลพระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ทั้ง พระอนิยตโพธิสัตว์ก็ดี พระนิยตโพธิสัตว์ก็ดี พระปัจเจกโพธิสัตว์ก็ดี ทุกพระองค์ต่างถูกเหล่าพรหมเชิญทูลเสด็จไปยังสากลจักรวาลอื่นเป็นการชั่วคราว

เพราะภัยร้ายนี้อันตรายยิ่งต่อวรกายทิพย์ของพระโพธิสัตว์สวรรค์ชั้นดุสิตปิดตาย กองทัพเทพรวมพลได้ประมาณหนึ่งจึงยกทัพไปสกัดรับมารร้ายที่หน้าด่านของสวรรค์ชั้นดุสิต

“ฆ่า!” เพียงแค่ชั่วเศษกัลป์กองทัพเทพทั้งหมดถูกสังหารจนสิ้นโดยไม่แม้จะมีคมดาบอันใดทำร้ายมารร้ายตนนี้ได้เลยแม้แต่เสี้ยวเดียว

เพียงไม่นาน เทพ 8 ล้านองค์ในสวรรค์ชั้นดุสิตถูกสังหารสิ้นจนเหลือเพียงความว่างเปล่า

เหล่าพรหมต่างปรึกษากราบทูลองค์พระโพธิสัตว์ผู้ปราดเปรื่องเหตุภัยร้ายนี้หนใดจึงก่อเกิดทางใดหนอจะระงับเหตุอันได้

“ดูกร~เหล่าพรหมทั้งหลายภัยร้ายนี้ย่อมก่อเกิดย่อมมีดับสูญ

ดูกร~ผู้ใดเล่าจักระงับเรามิอาจลงเบื้องล่างได้ด้วยกาลมิเหมาะสม

ในกัลป์ขาลงปุถุชนขลาดเขลามัวเมากามาเราเห็นว่าจึงมิควร”

“ข้าแต่องค์โพธิสัตว์แล้วผู้ใดเล่าจักบรรเทาเพศภัยก่อนประลัยกัลป์?”

ท้าวมหาพรหมทูลถามแด่พระนิยตโพธิสัตว์

“ท่านจงไปเถิดบุตรชายกำเนิดแห่งจอมเทวี

องค์เทพีสุริยันต์แห่งแดนโพ้นทะเลท่านจงแต่งสาส์นเร่งรีบอย่านาน

จักมิทันกาลมหันตภัยไปเถิดทูลขอบุตรชายเทวีมา

ปราบภาคีเหล่าพวกมารร้ายวิกฤติกลับกลายจากร้ายเป็นดี!”

“ทราบแล้วพระพุทธเจ้าค่ะ! ขอเชิญทูลธเสด็จประทับ ณ ที่นี้เป็นการชั่วคราวหากกัลป์ขาขึ้นข้าพระพุทธเจ้าจักทูลถวายคำบังคมทูลลงเสด็จประทับพระธรรมวินิจฉัยเสมือนธรรมวินัยส่องไว้โลกา!”

ท้าวมหาพรหมทูลพระนิยตโพธิสัตว์

"ทราบแล้วหนอ มหาพรหม~

เราจักสมปราถนาบรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณคงอีกมินานเราจักเสด็จลง”

กาลนั้นสาส์นจากแดนชมพูทวีปถูกแต่งเพื่อส่งไปยังแดนหมู่เกาะที่รอดพ้นจากมหันตภัยร้ายปกครองโดยจอมเทวีสุริยันต์นามอมาเตระสึ

 

คืนหนึ่งในห้องบรรทมของเทพีอมาเตระสึ 

พระองค์ทรงฝันถึงแกะสีขาวและดำสองตัว ตัวนึงเป็นมิตร อีกตัวดุร้ายคอยหมายจะทำร้ายพระองค์ แลเมื่อพระองค์วางพระหัตถ์ลงบนศรีษะของแกะทั้งสอง

บัดนั้นก็ได้กำเนิดเทพองค์ใหม่แห่งสวรรค์นามว่า

“อมาเตระสึ ยูเมะ(ความฝันของเทพีอมาเตระสึ)”

เทพผู้มีรูปร่างลักษณะงดงามมีเรือนผมสีดำสนิทดวงตาสีแดงชาดสูงราวๆ180เซนติเมตรเบ้าหน้าที่แม้แต่สตรียังต้องละอายริมฝีปากเรียวกระชับ

“ข้าแต่เสด็จแม่งานของข้าไซร้คืออันใด? โปรดเร่งตอบใจคำถามแห่งข้า?”

เทพหนุ่มไซร้ถามมาดร

“งานเจ้าไซร้จงรอเถิดอีกมินานจะบังเกิดความหมายนามแท้แห่งเจ้า!”

เทพีอมาเตระสึตรัสตอบบุตรชาย

“ขอรับ!” องค์ชายรับคำก่อนจะทะยานออกไปนอกหน้าต่าง

เวลามิช้านานสาส์นแห่งชมพูทวีปถูกส่งมาถึงคะนึงหาบุตรชายจอมเทวีไปปราบมารร้ายแห่งพระศาสนาเพื่อเปิดทางให้พุทธศาสดาเสด็จลงมาตรัสธรรม

“อันว่ากาลนี้มีภัยร้ายภัยต่อวรกายแห่งองค์พุทธะอยากจะทูลขอบุตรชายแห่งท่านเพื่อปราบมารตนนี้ขอท่านปราณีส่งตัวให้เรา”

ในการนั้นคำสั่งบัญชาแห่งองค์เทวาผู้เรืองฤทธิ์บัญชาให้องค์ชายแห่งสวรรค์นามอมาเตระสึ ยูเมะออกไปทำหน้าที่สังหารมารร้ายเพื่อเปิดทางให้องค์พระบรมศาสดาลงมาตรัสรู้

“แม้นชีวันข้าจักมอดไหม้ แม้นตัวข้าต้องแตกสลาย จักขอยอมตาย เพื่อคงไว้ซึ่งพระบรมศาสดาพุทธชินสีห์!!”

องค์ชายกล่าวสั้นๆก่อนเก็บคมดาบคาตานะประหารเทพของตน ที่มาพร้อมไฟประหารเทพอันสามารถสังหารได้แม้กระทั่งพรหม

ดวงตาสีแดงชาดที่แสดงความดุร้ายราวกับสัตว์ป่าร่างผอมเพรียวในชุดยูกาตะสีดำทมิฬ ได้ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่ชมพูทวีปอันเป็นจุดหมายเพียงชั่วครู่ดินแดนกว้างขวางสุดลูกหูลูกตาก็ปรากฏสู่สายตาขององค์ชาย

 

ณ ชมพูทวีปรอยต่สวรรค์ชั้นนิมารนรดีและปรนิมมิตวัสวัตตี

“ฆ่า!”เหล่าเทพชั้นนิมานรดีถูกมารร้ายสังหารจนสิ้นมารร้ายแห่งพระศาสนายังคงสังหารเพื่อสนองต่อความอยากของตน

“หยุด!!(แกร๊ก!)” สุรเสียงบรรลือลั่นขององค์ชายผู้ห้าวหาญขัดขวางการสังหารเทพองค์หนึ่งในชั้นปรนิมมิตวัสวัตตี

“แกเป็นใคร?” เสียงอันแหบพร่าถามองค์ชาย

“ข้าก็คือข้า! ใยต้องท้าวความให้มาเล่า!!!” องค์ชายพูดก่อนจะสะบั้นท่อนแขนของมารร้ายทิ้งไปจนพลังงานสีดำทมิฬไหลออกมาราวกับน้ำป่าในวสัตฤดู

“อ๊ากกกกกก!!! แก! แก! แก! แกกกกกกกก!!! อ๊ากกกก!!” มารร้ายแสดงท่าทีอาฆาตแค้นจนอยากจะสังหารองต์ชายเต็มที่

“เข้ามา!!” กระบวกท่าการตั้งรับขององค์ชายหนักแน่นและสวนกลับอย่างแม่นยำ

คมดาบคาตานะสีเงินพระจันทร์ฟาดเข้ากับกรงเล็บอันแหลมยาวของมารร้ายเกิดเสียงดังก้องไปทั่วทุกสรรพจักรวาลลมกรรโชกรุนแรงสะเก็ดไฟที่ร้อนแรงจนจากการปะทะกับคมดาบปะทุขึ้น

การปะทะกันของสองสิ่งมีชีวิตที่อยู่เหนือความสามารถของเทพและมารทั่วไปทำลายสวรรค์ทั้ง5ชั้นจนราบเรียบเบื้องต่ำแด่ปลายเท้าอันมีภพภูมิอสูรนรกภูมิโลกันตนรกภูมิอสูรกายเป็นต้นแต่ถูกทำลายราบสิ้นเหลือเพียงความว่างเปล่า

ภพภูมิมนุษย์ถูกกวาดล้างจนสิ้นไม่มีมนุษย์คนใดเหลือรอดจากการปะทะของสองสิ่งมีชีวิตนี้อยู่เลยก่อเกิด สุญกัลป์ อันยาวนาน

พละกำลังที่เหลือล้นกระตุ้นให้ทั้งสองห้ำหั่นราวกับเสียสติ

เวลาผ่านไปถึง 38 กัลป์นับแต่พระศาสนาของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนาม สัพพาภิภูพุทธเจ้า อันตรธานหายไป

กระนั้นทั้งสองก็ยังมิหยุดฟาดฟันมุ่งหมายที่จะเอาชีวิตของกันและกัน

ในที่สุดเมื่อกัลป์ที่ 39 ย่างกรายเข้ามาถึงกาลเวลาถึงกัลป์ขาขึ้นเหมาะสมที่พระนิยตโพธิสัตว์จักลงมาตรัสรู้เพื่อประดิษฐานพระธรรมไว้ในโลกธาตุ

บัดนั้นองค์ชายผู้มีกำลังเหลือเพียงนิดสามารถใช้คมดาบประหารมารของตนสังหารมารร้ายลงได้แต่ทว่า…

“(ค่อก!!)(เปรี๊ยะ!!)กะ…กะ…แก!!!” องค์ชายกระอักเลือดเสียออกมามารร้ายนั้นได้สลัดส่วนหนึ่งของมันก่อนสิ้นชีพตรงเข้ามาที่ร่างขององค์ชายที่กำลังอ่อนแรง

มันเข้าครอบครองจิตส่วนหนึ่งขององค์ชายอย่างรวดเร็วเกินจะทันได้ทำการอันใด

บัดนี้มารตนนั้นได้กลายเป็นด้านมืดขององค์ชายเป็นที่แน่ชัด เทพผู้มีความนึกคิดที่ต่างกันสุดขั้วราวฟ้าและก้นมหาสมุทรลึก84000โยชน์

องค์ชายแบกสังขารที่อ่อนล้าและใกล้ทรุดโทรมของตนกลับแดนสวรรค์บ้านเกิดเสมือนว่าผู้เป็นมารดรนั้นมีพระทัยคิดกลั่นแกล้งองค์ชายผู้อาภัพผู้นี้

“สวรรค์ของเรามิต้อนรับเทพผู้มีมารเช่นเจ้า จงออกไปเสียเทพตกสวรรค์เอ๋ย!!”

เสมือนฟ้าฟาดกลางหฤทัยขององค์ชายที่กลายเป็นเทพตกสวรรค์โดนขับไล่ออกจากแดนเกิดไร้ซึ่งที่พักพิงไร้ซึ่งที่ยึดเหนี่ยวมิหนำซ้ำมารร้ายที่อยู่ในกายของตนอาจจะตื่นขึ้นมาเมื่อใดก็ได้

เมื่อดวงหทัยไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะพยุงกาย ร่างและจิตใจที่บอบช้ำจึงลอยละลิ่วตกลงสู่แผ่นดินชมพูทวีป

เขาไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะเหาะไปต่อในกาลนี้อย่างน้อยก็ของีบหลับเพียงสักชั่วครู่…ก็ยังดี

“(ตุบ!)” ร่างที่ลอยละลิ่วตกลงกระแทกพื้นดังตุ้บ! นอนสลบอยู่ริมแม่น้ำแห่งหนึ่งในที่แห่งใดก็มิอาจทราบได้

การหลับของเขาช่างยาวนานนับหมื่นปีกาลเวลาผันผ่านเหล่าพรหมทั้งหลายทูลเชิญพระนิยตโพธิสัตว์ลงมาตรัสรู้ซึ่งพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณประกอบพร้อมไปด้วยวิชชาและจรณะเพื่อถึงพร้อมในการประดิษฐานพระธรรมคำสอนลงยังโลกธาตุแห่งนี้

บัดนั้นคล้อยได้หมื่นปีหลังจากที่พระโพธิสัตว์เสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดุสิต

พระองค์ได้ตรัสรู้พระอมตธรรมโลกได้สั่นไหวเพื่อแซ่ซ้องสาธุการแด่การบังเกิดขึ้นของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใหม่

ทรงพระนาม พระตัณหังกรอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

ในกาลนั้นเทพตกสวรรค์ที่หลับไหลอยู่ได้ลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้ง

แม้กาลเวลาจะผันผ่านมานานนับหมื่นปีความบอบช้ำทางจิตใจก็มิอาจคลายลงได้โดยง่าย

เทวดาที่สถิตย์อยู่ไม่ไกลเท่าใดนักได้ชี้แนะให้ไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคที่บังเกิดขึ้นในโลกธาตุ

เทพตกสวรรค์เห็นสมควรจึงพาร่างกายและจิตใจที่บอบช้ำเหาะไปยังสถานที่ประทับของพระบรมศาสดาเพื่อเข้าเฝ้าทูลถามถึงหนทางที่จะคลายทุกข์

แต่ทว่า…จิตใจด้านมืดที่ถูกมารร้ายแห่งพระศาสนาครอบครองนั้นกลับคลุ้มคลั่งขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุแม้จะพยายามระงับแต่ก็สุดที่จะต้านทาน

“การที่ท่านตรัสรู้นั้นมิได้หมายความว่าท่านจะต้องเป็นบรมครูแห่งสัตว์โลกทั้งหลาย”

บทเอื้อนเอ่ยวาจาดูหมิ่นพระบรมศาสดาโดยมิได้ตั้งใจด้วยเหตุแห่งการคุ้มคลั่งของมารที่อยู่ภายในจิตใจ

ด้วยน้ำพระทัยที่เปี่ยมด้วยเมตตาแม้พระพุทธองค์นักทรงมิถือสาเอาความในวาจาที่กล่าวดูหมิ่นพระองค์ทรงตรัสตอบกลับไปเพียงประโยคหนึ่งเท่านั้น

“เช่นนั้น...เธอจงดูเอาเถิด”

แต่ทว่าโทษทัณฑ์ที่องค์ชายได้รับกลับหนักหนาสาหัสด้วยการดูหมิ่นมิอาจปล่อยล่วงเลยไปได้

ตราทัณฑ์อสงไขยที่ทาบถูกตีตราลงบนแผ่นหลัง เจ็บปวดเสียดแทงราวกับเข็มนับพัน

“มิมีวันร่วงโรยราเจ้าจักเป็นสิ่งที่เหนือกว่าวัฏสงสารหากแม้นมีมิครบ 84000 ธรรมขันธ์

เจ้าจักมิมีวันหลุดพ้นคอยแต่การอารักขาสมเด็จพระบรมศาสดาที่เจ้าดูหมิ่น

ตราทัณฑ์อสงไขยจักย้ำเตือนเจ้าให้เฝ้ารอพระศาสนา

เมื่อใดที่มีเสียงตรัสแห่งธรรมา 

ที่นั่นจักมีตัวเจ้าเป็นเงาแห่งองค์พระบรมศาสดา!”

สิ้นเสียงปริศนาร่างขององค์ชายก็ต้องโทษทัณฑ์ที่หนักหนายิ่งกว่าจมลงในกองอเวจีมหานรก

“เธอจักอารักขาพระศาสนา แต่จักมิใช่ในพระศาสนานี้แลพระศาสนาหน้าจงไปเถิดมหาบุรุษแห่งแดนพลัดพรากนับแต่กาลนี้ไปล่วงเข้าพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าในสารมัณฑกัลป์นี้แล

ทรงพระนามว่า สรณังกรพุทธเจ้า กาลนั้นแลเธอจักได้ลงมาทำหน้าที่ของเธอ”

“ทราบแล้วพระพุทธเจ้าข้า!!” เสียงตอบรับพระสุรเสียงของพระผู้มีพระภาคเจ้าขององค์ชายดังสนั่นไปทั่วบริเวณ

แม้น้ำตาจักนองเนืองใบหน้าแม้หยาดน้ำตาจักแห้งเหือดหายก็มิอาจหวนคืนไปแก้ไขอดีตที่ผันผ่านได้ แต่ต้องทัณฑ์นิรันดร์กาล

ในกาลนั้นโซ่แลผนึกอาคมจึงได้ถือกำเนิดในช่วงนั้นแลเพื่อรองรับการจองจำกายขององค์ชายเพื่อที่จักใช้รอการเสด็จลงมาตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคแต่ละพระองค์

สถานที่จองจำจักเป็นสถานที่ที่ลึกที่สุดในแดนที่องค์ชายถือกำเนิด ใต้พระราชวังสวรรค์แห่งแดนอาทิตย์อุทัยจักมีเทพผู้หลับไหลอยู่ทุกครั้งในช่วงพุทธันดรที่ผันผ่าน

ระยะเวลาผันผ่านนับอสงไขยต่อให้ไม่ว่าจักนานเท่าใดข้าก็จักรอคอยถึงวันนั้นวันที่พระผู้มีพระภาคเสด็จลงมาตรัสรู้พระธรรมอมตะ

เมื่อวันนั้นมาถึงจงระวังนามใหม่แห่งข้า ผู้เป็นเทพผู้พิทักษ์องค์สมเด็จพระบรมศาสดาชินสีห์

ตัวข้าจักหวนคืนในนาม “โอโรจิ ยูเมะ”

______________________________________________________________________________________________

*ในตอนนี้คือที่มาของชื่อเรื่องเทพตกสวรรค์ทัณฑ์นิรันดร์กาล

เทพตกสวรรค์คือองค์ชายที่มีมารแฝงอยู่ในจิต (โอโรจิเป็นชื่อที่องค์ชายใช้เรียกมาร)

ทัณฑ์นิรันดร์กาลคือทัณฑ์ที่ยาวนานที่เกิดจากการที่องค์ชายได้กล่าวดูหมิ่นพระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อครั้นอดีตกาล

______________________________________________________________________________________________

พระอนิยตโพธิสัตว์ = พระโพธิสัตว์ที่ยังไม่ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนมาเลย ความหมายคือยังไม่แน่นอนว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้า เพราะอาจจะเลิกล้มความปรารถนาเมื่อไรก็ได้

พระนิยตโพธิสัตว์ = พระโพธิสัตว์ที่ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนมาแล้ว เรียกว่า นิยตโพธิสัตว์ ตามความหมายคือจะได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นนอน เพราะถ้าถึงนิพพานต้องดำรงค์ฐานะเป็นพระพุทธเจ้าอย่างเดียว แต่ถ้าบารมีและเวลายังไม่สมบูรณ์ แม้ว่าจะพยายามปฏิบัติอย่างยิ่งยวดบังเกิดปัญญาอย่างเยี่ยมยอด ก็ไม่สามารถถึงนิพพานก่อนได้ แม้จะทุกข์ท้อแท้ จนคิดว่าเลิกที่จะเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว แต่แล้วในที่สุดมหากุศลที่เป็นอนุสัย ก็จะพุ่งกระจายขึ้นมาให้ตั้งมั่นและบำเพ็ญบารมีกันต่อ จนกว่าบารมีและเวลาสมบูรณ์

พระปัจเจกโพธิสัตว์ = พระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมีเพื่อให้ได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา