เทพตกสวรรค์ ภาคทัณฑ์แห่งเทพ

-

เขียนโดย 秋冬夢春

วันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2562 เวลา 00.28 น.

  7 ตอน
  0 วิจารณ์
  6,071 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 10 เมษายน พ.ศ. 2562 01.23 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) พระผู้มีพระภาคพระองค์ที่1ในการอารักขา : พระนามพระสรณังกรพุทธเจ้า (มหาภิเนษกรมณ์)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

นับจากวันที่พระนิยตโพธิสัตว์เสด็จก้าวย่างพระบาททั้ง 7 และเปล่งพระสุรเสียงอันสนั่นลั่นเลื่อนไปทั้งทั่วสากลโลกธาตุนับหมื่นแล้วนั้น

คล้อยเวลาได้ 7 วันพระพุทธมารดาก็เสด็จทิวงคตสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์

.

.

กาลเวลาล่วงไปอย่างรวดเร็วนับจากวันนั้นก็ผันผ่านล่วงมาได้ 10000 ปีกาลเวลาเหมาะสมที่พระองค์จักเสด็จออกผนวช

สาส์นของท้าวมหาพรหมถูกส่งมาจากพรหมโลกลงสู่มือของเทพพลัดถิ่นผู้อารักขาพระโพธิสัตว์

ใจความของสาสน์ได้ว่า

 

“บัดนี้กาลสมควรที่พระองค์จักเสด็จออกผนวช

ขอท่านจงเร่งจัดการให้พระองค์เสด็จออกพระนคร

ให้เห็นเหล่าเทวฑูต 4 ที่เราจักเตรียมไว้ให้”

 

องค์ชายผู้พลัดถิ่นนามอมาเตระสึยูเมะเหวี่ยงสาสน์ขึ้นไปบนฟ้าเป็นอันรับทราบภารกิจที่ต้องกระทำ

สาสน์ลอยขึ้นไปไม่มีท่าทีว่าจะตกลงพุ่งขึ้นไปจนถึงขอบเขตของพรหมโลกแจ้งแด่ท้าวมหาพรหม

 

 

ครานั้น พระโพธิสัตว์ เริ่มมีพระอาการเบื่อหน่ายที่พระราชบิดาทรงสร้างปราสาทสามฤดู มีนางสนมคอยรับใช้มากมายจนวุ่นวาย

พระองค์มีจิตพระดำริในการที่จะเสด็จออกนอกพระนครเพื่อทอดพระเนตรหมู่ชาวบ้านพสกนิกรทั้งหลาย

เพื่อทอดพระเนตรความเป็นอยู่ว่าดีร้ายประการใด

 

พระองค์จึงกราบทูลต่อพระบิดาเพื่อเตรียมขบวนเสด็จออกสู่นอกพระนคร

“เสด็จพ่อ! ท่านมีความเห็นเช่นไรหากกรหม่อมจักทูลขอเดินทางออกไปชมการใช้วิถีชีวิตของพสกนิกร”

พระนิยตโพธิสัตว์เข้าเฝ้าพุทธบิดาเพื่อกราบทูล

 

“ได้สิ!! พ่อจักจัดขบวนให้เจ้าเพื่อเดินทางไปเยี่ยมชาวบ้านนอกกำแพงพระนครเอง!!”

พระเจ้าสุมาเลราชาทอดพระเนตรเห็นโอรสสนใจด้านการปกครองจึงพระทัยชื้นขึ้นมาเพียงนิดดำริว่าคำทำนายของพระอาจารย์คงไม่เป็นจริง

 

“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ”

พระนิยตโพธิสัตว์สดับดังนั้นจึงดีพระทัย

 

แต่ในมุมมืดของพระราชวังดวงตาสีแดงชาดกำลังครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่างอยู่ก่อนที่จะหลบหายไปเมื่อเวรยามของพระราชวังเดินผ่าน

อีกมินานพระองค์จักเสด็จออกพระราชวังการคุ้มกันรอบนอกจึงหนาแน่นขึ้นและเพิ่มความปลอดภัยบริเวณถนนสายที่จะเสด็จผ่าน

พระเจ้าสุมาเลราชามีรับสั่งให้นำเหล่าคนชราและคนเจ็บออกไปยังมัชฌิมาประเทศ(ชนบท)

มิหนำซ้ำยังให้คนหนุ่มสาวแสดงแต่อาการรื่นเริงมิให้มีความเศร้าหมองผิดหวัง

 

ทางด้านเหล่าเทพเองก็มิได้นิ่งนอนใจส่งเหล่าเทพตรวจการณ์ลงมาเพื่อตรวจสอบจุดที่จะเสด็จผ่านเพื่อส่งสมณฑูตลงมาให้พระองค์ทอดพระเนตรและเพื่อป้องกันการโจมตีจากเหล่ามารอสูรทั้งหลายที่อาจแผ้วพานต่อพระวรกายอันบริสุทธิ์

 

 

วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วถึงวันที่จะเสด็จประพาสนอกพระนคร

 

เหล่าทหารอารักขาถูกวางไว้อย่างหนาแน่นตามทางขบวนเสด็จเหล่าเทพเพิ่มการอารักขาตามท้องนภาและพื้นดินเพื่ออารักขาพระนิยตโพธิสัตว์

แต่ในขณะที่จักออกรถทหารนายหนึ่งที่ต้องอารักขาพระโพธิสัตว์บนราชรถกลับหายไป

 

“เจ้าช่วยหลับไปชั่วครู่เถิด~(กึ่ก)”

องค์ชายพลัดถิ่นปิดปากทหารนายนั้นก่อนที่จะร่ายมนต์สะกดหลับไหลเพื่อสวมรอยเป็นทหารอารักขาบนราชรถเสียเอง

 

“เท่านี้ก็คงได้แล้วสินะ!”

องค์ชายพลัดถิ่นแตะใบหน้าของตัวเองชั่วครู่ใบหน้าของทหารราชรถก็ปรากฏแทนที่

จากนั้นจึงค่อยเดินออกไปรวมตัวกับทหารราชรถที่เหลือ

 

การประพาสเต็มไปด้วยความรื่นเริงมีดนตรีประโคมดังไกลถึง 16 โยชน์ตลอดการเสด็จมีแต่ความสุขหาความทุกข์มิได้

และแล้วจุดที่เหล่าเทพส่งสมณฑูตทั้ง 4 ก็ใกล้การมาถึงของพาหนะประพาส

เหล่าเทพทั้งสี่แปลงกายแยกย้ายไปตามจุดที่กำหนดไว้เพื่อดึงความสนพระทัยของพระนิยตโพธิสัตว์

ซึ่งก็ได้ผล...

 

“ช้าก่อน!ชายตรงนั้นเรียกว่าสิ่งใดหรือ? ทำไมสันหลังของเขาจึงโค้งหง่อมเช่นนั้น

ผมเผ้ามิดูดกดำเช่นเรา? แล้วเหตุใดเขาจึงผอมแห้งเช่นนั้น?”

พระองค์ทอดพระเนตรเห็นสมณฑูตองค์ที่ 1 (คนชรา) จึงตรัสถามทหารที่อยู่ใกล้เคียง

 

“ข้าแต่พระองค์! นั่นเรียกว่าคนชราพระพุทธเจ้าข้า!”

องค์ชายในคราบของทหารอารักขาพูดตอบคำถามของพระโพธิสัตว์

 

“เหตุใดเขาจึงไม่น่าดูเช่นนั้นเล่า? เราเองก็ต้องแก่เช่นนั้นหรือ?”

พระโพธิสัตว์ตรัสถามต่อ

 

“ย่อมเป็นเช่นนั้นพระพุทธเจ้าข้า! ไม่ว่าจะเป็นข้าพระองค์หรือพระองค์

ย่อมต้องประสบกับความชราที่มิอาจเลี่ยงได้พระพุทธเจ้าข้า!”

องค์ชายตอบคำถามพระโพธิสัตว์

 

“อาห์เราไม่อยากดูเลยนายสารถีนำเราไปที่อื่นเถิดที่ที่มิมีการแต่งแต้มใดๆ”

พระโพธิสัตว์ตรัสกับนายสารถีผู้คุมราชรถ

องค์ชายหันไปมองคนชราผู้นั้นก่อนที่ชายชราจะมองตอบทั้งสองพยักหน้าให้กันอย่างรู้การณ์

 

 

ราชรถเดินทางมาถึงตำบลหนึ่งที่ไกลจากกำแพงเมืองพอควรไร้ซึ่งการแต่งแต้มสีสันบรรยากาศสนุกสนาน

พระองค์ทอดพระเนตรอย่างชื่นพระทัยที่เห็นพสกนิกรของพระองค์มีความอยู่ดีเป็นสุข

ชีวิตช่างสุขสบายเสียนี่กระไร หากไม่นับความชราที่พระองค์ทอดพระเนตรเห็นเมื่อครู่

แต่ทว่า......

 

“ช้าก่อน!! นั่น!! อะไรน่ะ!!!”

พระนิยตโพธิสัตว์ที่ประทับบนราชรถเสด็จทอดพระเนตรเห็นชายผู้หนึ่งกำลังนอนดิ้นทุรนทุรายจึงตรัสอุทานขึ้น

 

“นั่นคือคนเจ็บป่วยพระเจ้าค่ะ”

องค์ชายพลัดถิ่นตอบคำถามพระองค์

 

“วันหนึ่งเราก็จะเป็นเช่นนั้นใช่หรือไม่? แล้วมีทางใดที่เราจะไม่เป็นอย่างนั้นหรือไม่?”

พระโพธิสัตว์ตรัสถามองค์ชายพลัดถิ่นในคราบของนายทหารอารักขาราชรถ

 

“มิมีพระพุทธเจ้าข้า!! ทั้งข้าพระองค์และพระองค์พระบิดาของพระองค์ล้วนแต่จะต้องเจ็บป่วยไม่วันใดก็วันหนึ่งพระเจ้าค่ะ!!”

องค์ชายพลัดถิ่นตอบคำถามพระองค์

 

“อาห์~ทำไมกันนะ?เอ๊ะ!! หยุดรถก่อน!!!”

พระองค์ตรัสพึมพำเบาๆก่อนที่จะตรัสด้วยสุรเสียงอันดังให้หยุดราชรถ

 

“พระองค์!!! จักทำอะไรพระพุทธเจ้าข้า!!!”

นายทหารอารักขาราชรถวุ่นวายเมื่อเจ้าชายจักขยับพระวรกายลงจากราชรถด้วยพระอาการร้อนพระทัย

 

“เจ้าไปห้ามคนเขาหน่อยเถิด!!! เขากำลังจะเผาชายผู้นั้นนะ!!”

เจ้าชายตรัสกับนายทหารอารักขาราชรถ

 

“มิได้พระพุทธเจ้าข้า!!! ชายผู้นั้นถึงแก่ความมรณาพระพุทธเจ้าข้า!!”

องค์ชายพลัดถิ่นในคราบนายทหารราชรถกราบทูลแก่พระโพธิสัตว์

 

“ความมรณาคือสิ่งใด? ทำไมเขาจะต้องเผาคนที่ถึงความมรณาด้วย?”

เจ้าชายตรัสถามนายทหารราชรถด้วยพระอาการฉงน

ด้วยตั้งแต่ประสูติมาพระองค์ยังมิพบถึงสิ่งที่เรียกว่ามรณาเลยสักนิด

 

“มรณา คือ สิ่งที่ทุกชีวิตจักดับสิ้นลงพระพุทธเจ้าข้า!! ไร้ซึ่งความรู้สึก

ต่อให้ไฟนรกลนกายาก็มิอาจรับรู้ได้พระพุทธเจ้าข้า!!”

นายทหารราชรถกราบทูลแด่เจ้าชาย

 

“วันหนึ่งเราก็จะเป็นเช่นนั้นใช่หรือไม่? แล้วมีทางใดที่เราจะไม่เป็นอย่างนั้นหรือไม่?”

พระโพธิสัตว์ตรัสถามนายทหารอารักขาราชรถ

 

“มิมีพระพุทธเจ้าข้า!! ทั้งข้าพระองค์ และพระองค์ รวมถึงพระบิดาของพระองค์

ล้วนแต่จะต้องถึงแก่ความมรณาไม่วันใดก็วันหนึ่งพระเจ้าค่ะ!!”

องค์ชายพลัดถิ่นตอบคำถามพระองค์

 

“อาห์!! ทำไมคนเราต้องมีความชราความเจ็บความมรณากันด้วยนะ?

ไปเถิด~ พาเรากลับพระนครเถิดเราชมมามากพอแล้ว!!”

พระโพธิสัตว์ตรัสแก่นายทหารคุมราชรถ

บัดนี้พระหฤทัยของพระองค์น้อมไปทางการค้นหาวิธีอันซึ่งจะนำไปสู่การหลุดพ้นมากยิ่งขึ้น

 

 

เทพอารักขาพลัดถิ่นยืนมองเจ้าชายที่บัดนี้ทอดพระเนตรท้องฟ้ายามราตรีที่พร่างพราวไปด้วยดวงดาวเรือนแสน

นับจากวันที่เสด็จออกนอกกำแพงพระนครก็ผ่านมาหลายวันแต่พระทัยของพระองค์ยังคงครุ่นคิดเกี่ยวกับหนทางการหลุดพ้นจากความทุกข์เหล่านี้

 

“มีทางใดบ้างนะ? ที่เราจะหลุดพ้นจากความทุกข์เหล่านี้? ทางใดหนอ?”

ดำริของเจ้าชายดังก้องไปถึงหูทิพย์ของเทพผู้เฝ้าอารักขาอยู่ไม่ไกล

บัดนี้ใกล้กาลสมควรแล้วที่พระองค์จักต้องทอดพระเนตรเห็นสมณฑูตองค์ที่ 4 (สมณะ)

 

หลายวันต่อมาปราสาทฤดูฝนพระนครสุวิปุละชมพูทวีป

 

“สารถี~พาเราออกไปชมอุทยานหน่อยเถิดเราอยากชมธรรมชาติ”

เจ้าชายตรัสกับนายสารถีที่ถวายงานใกล้ๆ

 

“พระเจ้าข้า!! ข้าพระองค์จักไปเตรียมราชรถทันทีพระพุทธเจ้าข้า!!”

นายสารถีรับคำตรัสของเจ้าชายก่อนจะวิ่งไปยังโรงราชรถโดยเร็ว

ส่วนเทพอารักขาพระองค์นั้นกลับหายไปจากที่ที่สมควรอยู่หน้าที่บางอย่างที่สำคัญที่สุดกำลังรอเขาอยู่ หน้าที่ที่สำคัญที่สุด...

 

ราชรถเดินทางลัดเลาะไปตามถนนของราชอุทยานอันเขียวชอุ่มการเสด็จพระราชอุทยานช่วยให้เจ้าชายรู้สึกสบายพระทัยขึ้นมาเพียงนิด

แต่ในขณะที่พระองค์ผ่านธารน้ำแห่งหนึ่งในราชอุทยานพระองค์เหลือบไปเห็นบุรุษผู้หนึ่งนั่งอย่างสงบใต้ต้นไม้ใหญ่

การแต่งกายดูน่าเลื่อมใสผมเผ้าสะอาดหมดจดกิริยาท่าทางดูสง่างามอย่างยิ่ง

 

“นั่น!! นำราชรถเทียบใกล้ต้นไม้ต้นนั้น!! เราจักสนทนากับบุรุษผู้นั้น!!”

พระองค์สนพระทัยในบุรุษผู้นั้นจึงสั่งให้เจ้าพนักงานนำราชรถเทียบใกล้ๆต้นไม้

 

“คารวะ! เจ้าชายแห่งแคว้นสุวิปุละ!!”

นักบวชผู้นั้นพูดกับเจ้าชายที่ยืนอยู่ตรงหน้า

 

“ท่านรู้? เหตุใดท่านจึงมานั่งอยู่ตรงนี้เล่า? กิริยาท่าทางท่านก็ดูสง่างามท่านเป็นใครมาจากไหนงั้นหรือ?”

เจ้าชายถามนักบวชที่นั่งอยู่ตรงหน้าพระพักตร์ของพระองค์

 

“ข้าพระองค์ย่อมรู้~ เราเป็นนักบวชเราได้ละทิ้งซึ่งเชื้อชาติกำเนิดมาเสียแล้ว!!”

นักบวชตอบคำถามของพระโพธิสัตว์ที่ประทับอยู่เบื้องหน้า

 

“ท่านได้อะไรบ้างในการออกบวช?”

.

“เราค้นพบการใช้ชีวิตที่ไม่ผูกกับสิ่งใดการใช้ชีวิตที่สมถะเรียบง่าย”

.

“เหตุใดท่านจึงออกบวชเล่า?”

.

“เราอยากจะแสวงหาสัจธรรมอันจริงแท้ของธรรมชาติ~”

.

.

คำถามอันมากมายออกมาจากพระโอษฐ์ของเจ้าชายตรงหน้านักบวช ด้วยความสงสัย และด้วยพระปรีชาทางพระอัจฉริยะภาพของพระองค์ ทรงรู้ได้ทันทีว่า นี่ล่ะ! คือความหลุดพ้นจากกองทุกข์ที่เราตามหามานาน

 

ครานั้น โลกธาตุนับหมื่นสั่นไหว เหตุด้วยพระนิยตโพธิสัตว์ทรงพบสมณฑูต 4 และตัดสินพระทัยที่จะเสด็จ มหาภิเนษกรมณ์

เพื่อปราถนาที่จะพ้นจากกองทุกข์ และ บรรลุซึ่งพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ

 

เจ้าชายได้ตรัสถามนักบวชอีกหลายข้อคำถามจนกระทั่งตะวันบ่ายคล้อยใกล้ตกดินพระองค์จึงขอตัวลากลับพระราชวัง

ในตอนนี้พระหฤทัยของเจ้าชายเต็มเปี่ยมไปด้วยความปลื้มปิติตั้งพระปณิธานแน่วแน่ที่จะเสด็จ มหาภิเนษกรมณ์

 

เมื่อราชรถลับสายตาไปแล้วนักบวชผู้นั้นก็เลือนหายไปปรากฏกายเป็นเทพผู้อารักขาแทนที่

คมดาบคาตานะที่เขาตั้งปณิธานว่าจักมิชักมันออกมาอีก

บัดนี้กลับสะท้อนแสงจันทร์ที่พ้นขอบฟ้าคมดายสะท้อนกับแสงจันทร์สลัวๆในยามข้างแรม

 

“ข้ารู้!! ว่าเจ้ามองดูอยู่!! ออกมาซะ!!”

องค์ชายตวาดเสียงดังลั่น

 

“แหมๆๆเทพต่างถิ่นที่นี่จมูกไวเสียนี่กระไร~”

เสียงที่ลอยมาตามสายลมก่อนที่เงาสีขาวจะปรากฏกาย

 

หลังเงาสีขาวจางหายก็ปรากฏกายของชายที่มีผิวสีแดงเข้มดวงตาสีแดงก่ำดั่งเลือดนุ่งโจงกระเบนสีทองสวมมงกุฎสีทองสง่ามือทั้ง20มือด้านหลังถือศาตราวุธเต็มอัตรา

ท่ามกลางคืนเดือนดับทั้งสองเห็นใบหน้ากันไม่ชัดเจนนักแววตาสีแดงของทั้งคู่แข่งกันเรืองแสงในความมืดราวกันเชือดเฉือนกัน

 

“เจ้าจักทำอันใด? พญามาร!!!”

องค์ชายพลัดถิ่นถามไปด้วยเสียงที่เสียดแทงขั้วหัวใจ

 

“บอกเจ้าไปตอนนี้มันก็ไม่สนุกน่ะสิ!! หึๆๆๆๆๆๆฮ่าๆๆๆๆนี่ยังไม่ใช่เวลาของข้า!! แล้วเจ้าจะรู้ว่าข้าจะทำอะไร!!! ฮ่าๆๆๆๆ”

พญามารพูดกับองค์ชายพลัดถิ่นก่อนที่ร่างจะเลือนหายไปทิ้งไว้แต่เพียงเสียงหัวเราะที่น่าขนลุก

 

“ชิ! ข้าล่ะเกลียดจริงๆพวกมารต่างถิ่นไร้มารยาท!!”

องค์ชายพลัดถิ่นสบถออกมาด้วยความหัวเสีย

 

จากนั้นร่างก็เลือนหายไปท่ามกลางความมืดสลัวรอบๆไปปรากฏกายอีกทีที่หน้าพระราชวังฤดูฝนของเจ้าชายที่บัดนี้ตัดสินพระทัยแน่วแน่ที่จะเสด็จ

มหาภิเนษกรมณ์

 

“เอาเถอะ! ข้าจะรอแล้วกันตราบใดที่พระองค์ยังมิได้บรรลุซึ่งพระโพธิญาณข้าก็จักคอยระวังทุกฝีก้าว!!

มารตนใดอยากลิ้มลองรสชาติแห่งดาบคาตานะ ก็เชิญเข้ามา!!!”

องค์ชายพึมพำเบาๆก่อนจะหายไปในความมืด

 

 

สามราตรีถัดมา

พระนิยตโพธิสัตว์ประทับบนราชรถท่ามกลางเสียงร่ำไห้ ของเหล่าข้าราชบริพารและพสกนิกร ที่อาลัยในตัวพระองค์ บางคนร่ำไห้ราวใจจะขาด

บางคนทึ้งผมตัวเองเฉกเช่นคนไม่สมประกอบ

 

“อย่าร่ำให้ไปเลย~ พวกท่านทั้งหลาย~”

พระนิยตโพธิสัตว์ตรัสกับเหล่าบุคคลที่ตามเสด็จมาส่ง

 

เมื่อเวลาอันเหมาะสมมาถึงขบวนของพระองค์จึงเสด็จไปสู่ป่าใหญ่ริมแม่น้ำแห่งหนึ่ง

ในครานั้นเหล่าทหารอารักขาทั้งหมด 10 โกฏิที่ตามเสด็จมาส่งได้ขอออกบวชตามพระองค์เป็นเหล่าสาวกกลุ่มแรกในพระศาสนานั้น

องค์ชายพลัดถิ่นตามมาอารักขาพระองค์ด้วยเพราะในตอนนี้เทพทั้งหลายต่างมิได้ลงมารับเสด็จอันด้วยตระเตรียมการบางอย่างอยู่

 

ในการณ์นี้จึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษเพราะกลิ่นศีลที่หอมทวนลมของพระนิยตโพธิสัตว์นั้นดึงดูดเหล่าอสูรนับล้านๆตนได้

สายตาสีแดงชาติคอยสอดส่องหวาดระแวงทุกฝีก้าวเพราะเกรงว่าจักมีอันตรายแก่พระวรกายของพระนิยตโพธิสัตว์

 

พระองค์เสด็จมหาภิเนษกรมณ์ ณ ที่ริมแม่น้ำใหญ่แห่งหนึ่ง

ทรงทัดมวยเกศาตัดแล้วตั้งสัตยาอธิษฐานเสี่ยงทายโยนมวยเกศาที่ตัดแล้วนั้นขึ้นไปในอากาศ

 

“หากแม้นเรา จักบรรลุซึ่งพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้วไซร้

ขออย่าให้มวยผมนี้ร่วงลงสู่พื้นพสุธาเถิด”

 

กาลนั้นพระอินทร์เสด็จลงมาจากสวรรค์เพื่อนำพานทองที่ประณีตและงดงามอันหาที่สุดมิได้

มารอรับมวยพระเกศานี้เพื่อนำไปบรรจุในเจดีย์จุฬามณีที่ชั้นดาวดึงส์

 

เทพผู้พลัดถิ่นได้แค่เพียงมองพระอินทร์ลอยลับไปจนสุดสายตา

จากนั้นท้าวจตุโลกบาลพร้อมด้วยท้าวผกาพรหมเสด็จอัญเชิญเครื่องอัฐบริขาร 8

ที่เป็นประเพณีของพระพุทธเจ้าในอดีตทุกพระองค์ที่ผ่านมาจักต้องใช้เมื่อบรรลุซึ่งพระโพธิญาณ

 

พระนิยตโพธิสัตว์ทรงผ้ากาสาวพัสตร์เสด็จย่างพระบาทเดินไปยังทิศบูรพาด้วยท่วงท่าที่สง่างาม

พร้อมด้วยหมู่อดีตเหล่าทหารอารักขาจำนวน 10 โกฏิที่บัดนี้ครองผ้าออกบวชตามพระองค์

 

ในอนาคตกาลอันไม่ช้านี้โลกจักบังเกิดสมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระองค์ใหม่อีกไม่ช้านานอีกไม่ช้า………

________________________________________________________________________________________________________

ติดตามต่อตอนหน้า->>>>>>>>

น่าเบื่อไปหน่อย แต่ทนหน่อยเน่อ พยายามจะเบนเรื่องไปที่จุดพีคให้ได้มากที่สุด อีกนิดเดียว

______________________________________________________________________________________________

มหาภิเนษกรมณ์ แปลว่า การเสด็จออกเพื่อคุณอันยิ่งใหญ่

หมายถึง การเสด็จออกบวชของพระพุทธเจ้า เหตุที่เรียกเช่นนี้เพราะพระองค์ทรงออกบวชเพื่อแสวงหาโมกขธรรม คือ ความหลุดพ้นจากความทุกข์ ด้วยทรงเห็นว่า โมกขธรรมนี้จักเป็นเครื่องปลดทุกข์ให้แก่พระองค์และชาวโลกได้

ใช้ในการออกบวชของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ส่วนพระสาวกใช้ออกบวชเฉยๆ

_____________________________________________________________________________________________ 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา