สาบสมิง

-

เขียนโดย ลูกคนเดียว

วันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 เวลา 10.39 น.

  30 ตอน
  3 วิจารณ์
  22.22K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2562 11.58 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

12) บทที่สิบสอง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

               ระกายังไม่ทันที่จะขึ้นนั่งบนหลังเจ้าดำ ม้าคู่ใจ มือหยาบกร้านมือหนึ่งก็จับบังเหียนเจ้าดำไว้ หล่อนหันมองตามก่อนจะพบดวงตาทะเล้น แล้วก็เห็นรอยยิ้มกว้างของชายหนุ่มซึ่งรับตำแหน่งหัวหน้าราชองครักษ์ อรชุนอยู่ในชุดทะมัดทะแมง

                “มีอะไรรึท่านอรชุน”

                “ไม่มีนี่” เขาตอบแต่ยังไม่คลายบังเหียนม้า เจ้าดำก็ยืนสงบนิ่ง ระกาเท้าเอวมอง

                “ถ้าไม่มีสิ่งใดก็ปล่อยบังเหียนสิ ข้าจะได้รีบไป”

                “เจ้าจะรีบไปไหนล่ะระกา”

                “ไปไหนมันก็เรื่องของข้า ไม่เกี่ยวกับท่านราชองครักษ์หรอก”

                เขาหัวเราะยอมปล่อยสายบังเหียนม้า

                “ข้ามาตามนัด สงสัยเจ้าคงลืม”

                “ข้าไม่ได้ลืม แต่ยังไม่ถึงเวลานัด ข้ายังมีงานบางอย่างต้องรีบทำ”

                “เจ้าจะทำสิ่งใดล่ะระกา ข้าเองก็ว่างนักเลยอยากจะขอติดตามไปกับเจ้าด้วย”

                หญิงสาวถอนใจ

                “ท่านชอบยุ่งเกี่ยวมากความกับเรื่องคนอื่นนัก”

                “หากเป็นผู้อื่นข้าคงไม่สน แต่นี่เป็นเรื่องของนางในดวงใจ ข้าจำเป็นต้องยุ่งเกี่ยว”

                ระกาหน้าแดงแล้วรีบปรับสีหน้าเป็นปกติ

                “ได้ ถ้าท่านว่างมากนัก ข้าเองก็อยากจะรู้ฝีมือดาบของท่านราชองครักษ์ยิ่งนัก”

                “เกี่ยวอะไรกับฝีมือเชิงอาวุธของข้าเล่า”

                หล่อนหัวเราะหึๆ เหวี่ยงตัวขี้นหลังม้า

                “เพราะข้าจะไปจับโจรน่ะสิ”

                แล้วระกาก็ตบคอม้าเบาๆ เจ้าดำทะยานพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว อรชุนยืนมองยิ้มๆ เสียงเจื้อยแจ้วของหล่อนดังตามหลังมา

                “เก่งจริงก็ตามมา”

                หัวหน้าราชองครักษ์หนุ่มซึ่งอยู่ในช่วงวันหยุดพอดี นอกจากนั้นวันนี้เขายังนัดหมายกับหล่อนเที่ยวชมตลาดด้วยกัน แม้จะยังไม่ถึงเวลานั้นแต่อรชุนก็อดตื่นเต้นไม่ได้ เขาจึงออกมาเดินเปะปะจนพบหล่อนซึ่งออกจากมหาวิหารพยัคฆาโดยบังเอิญเมื่อเห็นว่าม้าของหล่อนใกล้จะลับตาแล้ว อรชุนจึงเป่าปากยาว ม้าสีขาวพุ่งทะยานมาด้วยความเร็ว เขารอจังหวะที่ม้าตัวนั้นช้าลงเล็กน้อย ทหารหนุ่มดีดตัวขึ้นหลังม้าแล้วควบขับตามหญิงสาวทันที

                ระกาขี่ม้าอย่างชำนาญจนเขาชื่นชมอยู่ในใจ อรชุนเร่งทะยานม้าจนกระทั่งวิ่งคู่อยู่กับหล่อน ระกาหันมองหน้าเขาเล็กน้อย แล้วเร่งเจ้าดำอีก ม้าดำปรอดก็พุ่งล้ำหน้าม้าของอรชุนอีกเท่าตัว แต่เพียงพริบตาเดียวม้าสีขาวของอรชุนก็เคียงข้างอีกครั้ง หล่อนพยายามเร่งเจ้าดำอีกแต่คราวนี้เหมือนว่ามันเองก็จะเริ่มเหนื่อยอ่อนลงแล้ว

                “ม้าที่ดี”

                อรชุนกล่าวชม

                “ยังไม่ดีเท่าม้าของหัวหน้าราชองครักษ์หรอก”

                เขาหัวเราะการประชดนั้น

                “วันนี้ข้าเป็นเพียงชายหนุ่มธรรมดาที่ขอติดตามเจ้าไป หาใช่หัวหน้าราชองครักษ์ไม่”

                หล่อนยิ้มผ่อนฝีเท้าม้าลง เจ้าม้าขาวก็ผ่อนตามโดยที่อรชุนไม่ต้องสั่ง

                “งั้นท่าน อ้อ ไม่สิ งั้นเจ้าก็จงฟังข้าให้ดี โค้งหน้าจะเป็นที่อยู่ของโจรร้ายกลุ่มหนึ่ง เมื่อคืนพวกมันปล้นชิงชาวบ้านแต่ข้าช่วยไว้ได้ทัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังจับตัวหญิงสาวนางหนึ่งปได้ วันนี้มันจึงนัดข้าให้เอาค่าไถมามอบให้มันที่นี่”

                “น่าสนใจดีนี่ เจ้าเองก็สร้างเรื่องได้ไม่น้อย แล้วเจ้ามีเงินสำหรับไถ่ตัวนางหรือไง”

                “ไม่มี” แล้วหล่อนก็ยิ้มอย่างกระหายเลือดชี้ไปที่ฝักดาบของตนซึ่งสะพายหลังอยู่ “แต่ข้ามีดาบ”

                อรชุนผงกหัวยิ้มไม่กล่าวคำใด ทั้งคู่รั้งม้าเมื่อเห็นชายฉกรรจ์สี่ห้าคนยืนจับกลุ่มอยู่ที่นั่น บริเวณนั้นเป็นโค้งใหญ่ ร่มรื่นด้วยมีไม้ใหญ่ขึ้นมาก หญิงสาวคนหนึ่งถูกมัดอยู่ที่โคนประดู่ใหญ่ ชายหน้าเหี้ยมถือดาบเฝ้าไว้

                “หกคน” เขากระซิบ ระกาพยักหน้ากระซิบตอบ “คนละสาม”

                “ข้าให้เจ้าคนเดียวเลย” อรชุนหัวเราะลงจากหลังม้า เขาจูงม้าไปนั่งหลบพักใต้เงาไม้ริมทาง ไม่สนใจหล่อนอีก ระกาขบฟันแน่น กระโจนลงจากหลังเจ้าดำ

                “ค่าไถ่เล่า”

                หัวหน้าโจรร่างยักษ์ตะโกนถาม หล่อนยกชูถุงผ้าสีดำเข้มพลางเดินเข้าใกล้จนกระทั่งถึงระยะที่มั่นใจก็หยุด

                “ปล่อยคน”

                ขุนโจรยิ้มลูบคาง มันพยักหน้าทางอรชุน

                “เจ้านั่นเล่า”

                “คนบ้าผู้นี้ตามข้ามาเอง รับรองมันไม่มีกำลังขวัญสู้กับพวกท่านแน่ ปล่อยคน”

                เจ้าโจรส่ายหน้ายังคงยิ้ม

                “ค่าไถ่ก่อน”

                ระกากัดริมฝีปาก หล่อนขว้างถุงเงินไปให้ พอทุกคนสนใจที่ถุงเงินนั้น มีดขนาดเล็กเล่มหนึ่งก็พุ่งวาบเข้าหาเจ้าโจรที่อยู่ใกล้หญิงสาวมากที่สุด คมมีดปักสวบบริเวณอก เจ้านั่นล้มลงตายโดยไม่ได้ร้อง พริบตาต่อมาหล่อนก็กระชากดาบจากกลางหลังพุ่งวาบเข้าใส่ดจรอีกคนซึ่งกำลังยืนมองอย่างงงๆ แค่ดาบเดียวระกาก็ส่งวิญญาณมันลงนรก โจรที่เหลือขยับตัว มีคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหมายจะฟันหล่อน ระกาปัดดาบนั้นแล้วแทงสวนเข้าที่ท้องน้อยล้มตายลง ส่วนหัวหน้าโจรเองก็ชักดาบกระโจนเข้ามาไล่ฟันหล่อน ฝีมือดาบของนายโจรมีชั้นเชิงพอตัว หญิงสาวปัดป่ายสามสี่ครั้งก่อนฟันถูกต้นแขน โจรร้ายคำราม

                “ฆ่าผู้หญิงทิ้ง”

                ชายหน้าเหี้ยมคนหนึ่งวิ่งเข้าหาตัวประกัน เงื้อมีดสุดตัวแต่ก็ค้างอยู่เพียงแค่นั้น มีดสั้นเล่มหนึ่งเสียบทะลุหน้าอก จนตายมันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครคือคนสังหารมัน ส่วนอีกคนเห็นท่าไม่ดีหันหลังกวัดแกว่งดาบป้องกันตัว ระกาเห็นเหตุการณ์นั้นชัดเจน หล่อนกำลังรุกไล่หัวหน้าโจร มีดนั้นเป็นฝีมือของอรชุน เขาขว้างมีดใส่โจรทั้งที่อยู่ห่างมากกว่าหล่อน ซ้ำยังอยู่ในท่านั่งขัดสมาธิ หญิงสาวขมวดคิ้ว อรชุนช่างเป็นศัตรูที่น่ากลัว แล้วเขาก็ยืนขึ้นเต็มสัดส่วน หยิบดาบจากหลังม้าเดินตรงทื่อเข้าหาลูกน้องโจรคนสุดท้าย เจ้านั่นยกดาบขึ้นเสมออกแล้วฟาดใส่หัวหน้าราชองครักษ์ทันที อรชุนเพียงสะบัดดาบปัดป่าย เขาฟาดลูกน้องโจรด้วยสันดาบจนตัวมันเป็นรอยแดงทั้งตัว

                ระกาเห็นดังนั้นจึงรุกไล่นายโจรจนถึงที่สุด ชายร่างยักษ์ไม่คิดไม่ฝันว่าหญิงสาวจะปราดเปรียวและชำนาญอาวุธมากถึงขนาดนี้ มันรับมือเป็นพัลวันจนแทบจะไม่ไหว ช่วงหนึ่งมีจังหวะนายโจรเอี้ยวตัวหลบหมายวิ่งหนี และนั่นคือจุดจบของมัน ระกาสะบัดดาบเดียว หัวนายโจรก็หลุดกองบนพื้น หล่อนกระโจนเข้ามาหมายฟันโจรคนสุดท้ายซึ่งกำลังนั่งคุกเข่าพนมมือขอชีวิตจากอรชุน แต่แล้วดาบของหล่อนก็ต้องเฉไป ชายหนุ่มไม่ยอมให้สังหารมัน แม้ว่าหล่อนจะพยายามอีกหลายครั้ง ฟันจากทุกทิศทาง อรชุนก็สะบัดดาบกันได้โดยไม่หนักแรง ระกาหอบเล็กน้อย หล่อนหยุดถือดาบนิ่ง

                “ทำไม”

                “ที่นี่มีคนตายมากเกินไปแล้ว” เสียงของเขาราบเรียบ

                “แต่มันเป็นโจร”

                “ข้ารู้ แต่มันสำนึกผิดแล้ว ใช่หรือไม่”

                สมุนโจรรีบตอบ

                “ข้าสำนึกผิดแล้ว ต่อไปข้าจะกลับตัวเป็นคนดี ไม่เป็นโจรอีก”

                “คำพูดโจรเชื่อถือไม่ได้”

                “ให้โอกาสมัน” อรชุนพูดเพียงสี่คำก่อนเดินไปตัดเชือกปลดปล่อยหญิงสาว หล่อนขอบคุณเขา ส่วนระกายังยืนมองจ้องร่างนั่งคุกเข่าของสมุนโจร

                “เจ้าไปได้ แต่หากข้าเห็นเจ้าทำผิดอีก ข้าจะสังหารเจ้าพร้อมทั้งตามล่าสังหารครอบครัวเจ้าทุกคน”

                มันรีบขอบคุณหล่อนแล้ววิ่งหนีไป แม้แต่ดาบประจำตัวก็ไม่เอา พอระกาหันกลับมา อรชุนก็ยืนยิ้มรอคอยอยู่แล้ว

                “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้ามิใช่คนอำมหิต”

                “เจ้าอาจจะคิดผิด”

                “ไม่หรอก ข้าดูคนไม่เคยผิด” แล้วเขาก็บุ้ยปากไปทางหญิงสาวที่ทั้งคู่เพิ่งช่วยเหลือไว้ได้

                “เจ้ายังต้องไปส่งนางอีก หลังจากนั้นเจ้ายังมีนัดกับข้า”

                “ข้ารู้แล้ว” ระกาจูงมือหญิงสาวพาขึ้นหลังเจ้าดำ ส่วนเขาก็ขึ้นหลังม้าขาว ทั้งสองย่างเหยาะม้าเคียงคู่กัน

                แล้วเสียงครวญครางด้วยความทรมานก็ดังขึ้นในอนุสติของจอมขวัญ ภาพทั้งหมดขาดหายไปเหมือนกับจอภาพยนต์ที่ดับวูบ เป็นเวลาเดียวกับที่ชัชวาลขว้างตระกรุดใส่เสือร้าย ลูกสาวตระกูลจอมกรีดร้องดังลั่นจนการแสดงทุกอย่างชะงัก ทุกคนหันมามองหล่อน ชานนท์เผ่นพรวดเข้ามาประคองร่างที่กำลังจะล้มกองบนพื้น เขาจับตัวหล่อนไว้ จอมขวัญหลับตาขมุบขมิบ

                “คุณขวัญเป็นอะไรไปครับ”

                พอได้ยินเสียงร้อง หล่อนก็ลืมตาขึ้นแล้วเบิกตากว้างอย่างฉงนปนตกใจ แล้วชานนท์ก้ได้ยินคำพูดสุดท้ายของหญิงสาว

                “อรชุน”

                ทุกสิ่งทุกอย่างขาดหายไปจากการรับรู้ของหล่อน

 

                หลังเที่ยงเล็กน้อย จอมภพกับชัชวาลก็อยู่ในสภาพพร้อมสำหรับการออกเดินทางตามล่าเจ้าเสือปิศาจ ทั้งคู่เดินตัดป่าจนกระทั่งบรรจบกับจุดวางห้างบนกระบกใหญ่ ซากวัวยังเหลืออยู่อีกครึ่งตัว ร่องรอยการต่อสู้เมื่อคืนปรากฎทั่วไปหมด จอมภพปาดเหงื่อเงยมองลูกน้องคนสนิทซึ่งในเวลานี้แปรสภาพมาเป็นพรานจำเป็น ชัชวาลกำลังตรวจทางที่เขาเห็นเสือตัวนั้นเดินโซเซหนีไป

                “ว่าไงชัช เจอรอยมันไหม”

                “เจอครับนาย ถึงไม่ชัดก็พอตามได้ครับ”

                ทั้งที่สะพายกระเป๋าเดินป่าใบใหญ่หนักอึ้ง จอมภพก็วิ่งเข้ามาอย่างสนใจ

                “นี่รอยตีนมันครับนาย มันเองก็ดูท่าจะเจ็บไม่น้อย”

                รอยตีนนั้นจางจนเกือบมองไม่เห็นเพราะว่าดินแข็ง เขากวาดสายตาสู่ทางด่านสัตว์เล็กๆนั้น ต้นไม้หนาทึบขึ้นบังเต็มไปหมด ทั้งคู่สบตากัน พอจอมภพพยักหน้า ชัชวาลก็กระชับปืนลูกซองแล้วก้าวตามทางนั้นอย่างระมัดระวังถึงขีดสุด รอยกระเสือกกระสนของเจ้าสัตว์ร้ายนำพาทั้งคู่เข้าสู่ตอนลึกของดงไม้ มันพยายามจับทางด่าน หลบเลี่ยงพุ่มรก แม้จะบาดเจ็บ แต่เสือที่มีวิญญาณร้ายสิงสู่กลับเคลื่อนไหวจนเกือบจะเหมือนปกติ มีเพียงช่วงแรกเท่านั้นที่ดูเหมือนมันอ่อนเพลียจากบาดแผล หลังจากผ่านประมาณสี่ห้ากิโลเมตร เสือตัวนั้นคล้ายจะแข็งแรงดังเดิม มันพาคนทั้งคู่ขึ้นสู่สันเขาสูงชันตอนหนึ่งของทิวเขายาวเหยียด

                ครั้งหนึ่งชัชวาลหยุดพัก นายเขาเลยถือโอกาสนั่งหายใจ

                “มันกำลังพาเราขึ้นสันเขา” ลูกน้องเขาพูดเบาๆ ดวงตาแข็งกร้าวมองทอดตามหินขรุขระ

                “มันอาจจะดักรอเล่นงานเราอยู่บนนั้น”

                “เป็นไปได้ แต่นายก็รู้ว่าลูกปืนธรรมดาทำอะไรมันไม่ได้”

                “แล้วแกจะให้ทำยังไงล่ะชัช”

                ชายหนุ่มล้วงเข้าในกระเป๋าเดินป่าของตัวเอง เขาหยิบกระสุนปืนขึ้นมาสามนัด ยื่นส่งให้ จอมภพรับมาแล้วมองด้วยสายตาสงสัย

                “กระสุนอาคม หลวงพ่อให้ผมไว้ก่อนออกบวช มีแค่กระสุนอาคมเท่านั้นที่พอจะทำอันตรายมันได้”

                เขาก้มลงมองลูกกระสุนในมือ กระสุนลูกซองทั้งสามนัดไม่ได้มีสิ่งใดผิดปกติจากกระสุนทั่วไป

                “นายเอาไรเฟิลมาให้ผมแล้วเอาลูกซองไป เวลาเจอมัน นายจะได้ฆ่ามันได้”

                เจ้านายของเขาใคร่ครวญเล็กน้อยก่อนแลกเปลี่ยนอาวุธกัน

                “แกแน่ใจว่าจะได้ผลนะชัช ฉันยังไม่อยากกลายเป็นอาหารเสือ”

                “ผมรับรองครับนาย แต่นายต้องใช้อย่างระวังนะครับ สามนัดนั้นหมายถึงชีวิตของเรา”

                “ไม่ต้องห่วงชัช อย่างน้อยนัดนึงต้องเด็ดหัวใจมัน”

                เขาเพียงก้มหัวรับ พอหายเหนื่อย ทั้งคู่ก็ออกเดินต่อ อีกเกือบครึ่งชั่วโมงต่อมา จอมภพก็พบว่าตัวเองกำลังเดินบนสันเขาตอนหนึ่งที่ค่อนข้างสูง ฝั่งซ้ายของเขาเป็นยอดไม้ระดับต่ำ ส่วนฝั่งขวาบางช่วงเป็นก้อนหินใหญ่ สภาพป่าเบญจพรรณค่อนข้างโปร่งพอสมควร ชัชวาลยังคงเดินนำหน้าอย่างระวัง ทุกสิ่งทุกอย่างตกอยู่ในสายตาของเขาตลอด ช่วงหนึ่งกลิ่นสาบสางลอยตามลมมาจากทางด้านขวาหลังแนวหิน ทั้งคู่ชะงัก หันสบตากันอย่างพอจะเข้าใจในสถานการณ์ ชัชวาลพาเดินย่องเงียบจนกระทั่งเกือบจะถึงจุดที่หมายตา ร่างของเจ้าเสือร้ายก็กระโจนสวนพรวดออกมา ด้วยความตกใจ จอมภพจึงยิงทั้งที่ยังเห็นเป้าหมายไม่ชัดเจน หินถูกกระสุนปืนกระแทกขาวเว่อ ส่วนเจ้าเสือนรกเผ่นไปทางเหวชัน มันวิ่งอย่างเร็วพริบตาเดียวก็ลับหาย ชัชวาลมองเจ้านายเขาอย่างหนักใจ ปกติจอมภพแม้จะเป็นคนอารมณ์ร้อนแต่เมื่อถึงคราวจำเป็น พี่ชายของจอมขวัญผู้นี้มักจะควบคุมตัวเองได้เสมอ ยกเว้นครั้งนี้ แต่เขารู้ดีว่าพูดไปก็คงไม่เกิดประโยชน์

                “มันกำลังหลอกล่อเรา”

                “ครับนาย”

                “มันรู้ว่าเรามีกระสุนอาคม มันต้องการให้เราใช้กระสุนอาคมจนหมด แต่มันรู้ได้ยังไงมันเดาใจเราถูกได้ยังไงกันชัช”

                ชัชวาลคิดตาม

                “วิญญาณดวงนั้นคงบอกมันครับนาย”

                จอมภพหัวเราะเหี้ยมๆ

                “สนุกแล้วล่ะชัช แล้วจะได้รู้กันว่าแกหรือฉันจะชนะ ไอ้เสือผี”

                เขามองทางที่เสือร้ายหนีไปด้วยสายตาเคียดแค้น

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา