สาบสมิง

-

เขียนโดย ลูกคนเดียว

วันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 เวลา 10.39 น.

  30 ตอน
  3 วิจารณ์
  22.33K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2562 11.58 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

26) บทที่ยี่สิบหก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

               หลังจากชานนท์แยกทางกับหัวหน้าของเขาที่หน้าโรงพยาบาลแล้ว ชายหนุ่มก็มุ่งตรงมาที่วัดหนองเสือร้องโดยทันทีถึงแม้ว่าจะเป็นเวลาที่ดึกมากแล้วก็ตาม กัมปนาทกำลังเดินทางไปคุยรายละเอียดต่างๆกับตำรวจและจอมพลที่ไร่ของเจ้าพ่อหนองเสือร้องซึ่งตอนนี้กำลังเกรี้ยวกราดและเสียใจเป็นอย่างมาก

                บรรยากาศภายในวัดเงียบงันวังเวง หมาวัดที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดมองรถเขาอย่างประหลาดใจ บางตัวก็เห่ากรรโชก ชานนท์จอดรถบริเวณหน้ากุฏิของท่านเจ้าอาวาส กัมปนาทเป็นคนบอกตำแหน่งกับเขาเอง เมื่อลงมาจากรถ สาบสางอันคุ้นเคยก็ลอยมาตามลม ชานนท์ใจหายวาบเหลียวมองรอบด้านแต่ทุกสิ่งยังคงปกติอยู่ในเงาตะคุ่มของสิ่งปลูกสร้างรอบด้าน เพียงครู่เดียวกลิ่นนั้นก็จางหาย ผู้ช่วยหนุ่มถอนหายใจหนักแล้วก้าวเท้าขึ้นไปบนกุฏิซึ่งยังคงมีแสงสว่างจากหลอดไฟลอดออกมาอยู่

                ยังไม่ทันที่เขาจะเคาะประตู เสียงอ่อนนุ่มก็ดังขึ้น

                “เข้ามาสิโยม อาตมารอพบอยู่นานแล้ว”

                เขาไม่รอช้าผลักเปิดบานประตู ภิกษุรูปหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิเหมือนรอคอยเขาอยู่ก่อนแล้ว ใบหน้าของท่านดูอ่อนโยนและมีราศีอย่างประหลาด เขาก้มกราบท่านแล้วนั่งสงบเรียบร้อย หลวงพ่อเจ้าอาวาสจึงเอ่ยขึ้น

                “ทุกอย่างเป็นกรรมนะโยม ไม่มีใครหนีพ้นกรรมที่ตัวเองสร้างขึ้นมาหรอก”

                “ผมทราบครับหลวงพ่อ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็จำเป็นต้องได้อาวุธนั้นไป”

                “โยมควรจะปล่อยวางและอภัยให้กับเขาด้วยความเมตตา”

                “วิญญาณร้ายแบบนั้นไม่เข้าใจคำว่าเมตตาหรอกครับหลวงพ่อ”

                “แต่โยมก็ควรจะให้โอกาสเขาได้แก้ตัวไม่ใช่หรือไง”

                “ผมพยายามแล้วครับ แต่เขาโหดร้ายเกินไป”

                “เวรย่อมระงับได้ด้วยการไม่จองเวรนะโยม”

                คราวนี้ชานนท์นั่งนิ่งไม่พูดอะไร หลวงพ่อเจ้าอาวาสได้แต่ถอนหายใจ

                “ทุกอย่างมีกรรมเป็นตัวกำหนด อาตมาเองก็คงฝืนกงล้อแห่งกรรมที่กำลังหมุนวนไม่ได้”

                “ผมขอโทษครับหลวงพ่อ”

                ท่านอมยิ้ม

                “โยมไม่ผิดหรอก แรงกรรมต่างหากที่ชักนำให้ทุกอย่างเป็นไปแบบนี้”

                แล้วท่านก็ก้มกราบพระพุทธรูปบนโต๊ะหมู่บูชาก่อนจะหันมาบอกเขา

                “ตามอาตมามาสิแล้วโยมจะได้พบในสิ่งที่โยมต้องการ”

 

                โบสถ์วัดหนองเสือร้องตั้งตระหง่านอยู่เกือบจะกลางบริเวณวัด ความมืดมิดปกคลุมไปทั่วมีเพียงแสงไฟทางเดินน้อยนิดส่องสว่างให้เห็นตัวโบสถ์เป็นเงาตะคุ่ม ลมดึกพัดจนชายหนุ่มหนาวสะท้านแต่ท่านเจ้าอาวาสกลับเดินอย่างปกติ เขาพยายามสูดกลิ่นหาความผืดปกติแต่ก็ไม่พบ มีเพียงกลิ่นหอมเอียนของดอกไม้บางชนิดเท่านั้นที่ลอยมาพร้อมกับลมดึก

                หลวงพ่อเปิดประตูโบสถ์ออกช้าๆ เสียงไม้เสียดสีกันดังเอี๊ยดอ๊าดดังก้องไปในความมืด ภายในนั้นมืดสนิท โบสถ์แห่งนี้สร้างขึ้นในรูปแบบที่เรียกว่าโบสถ์แบบมหาอุดคือมีแค่ประตูทางเข้าออกเท่านั้น ไม่มีแม้เพียงหน้าต่างสักบาน หลวงพ่อจุดเทียนขึ้นแล้วจึงนั่งลงกราบพระประธาน ชานนท์ทำตาม เสียงสวดมนต์ดังมาจากท่านสักครู่ใหญ่ทุกอย่างจึงสงบดังเดิม ท่านเจ้าอาวาสหันกลับมามองเขา

                “สิ่งที่โยมต้องการอยู่ภายในโบสถ์นี้ แต่อาตมาอยากถามโยมอีกครั้งว่าโยมแน่ใจแล้วใช่ไหม”

                “ครับหลวงพ่อ ผมต้องการที่จะหยุดเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นในอำเภอนี้ครับ”

                ทานเจ้าอาวาสถอนหายใจหลับตานิ่งไปครู่แล้วจึงลุกขึ้นเดินอ้อมไปทางด้านหลังพระประธานองค์ใหญ่ ท่านทำเสียงกุกกักก่อนจะกลับออกมาพร้อมทั้งกล่องไม้ในมือ ท่านวางกล่องนั้นเบื้องหน้าของเขา

                “ท่านดำนำมาฝากไว้กับอาตมา อาตมาเห็นว่าสิ่งนี้มีความชั่วร้ายและอาคมที่กล้าแข็งจึงจำเป็นต้องใช้พระพุทธคุณกำราบเอาไว้”

                ชานนท์อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปคลำกล่องไม้นั้น

                “ขอให้โยมจงใข้ของสิ่งนี้ด้วยความระมัดระวัง ศาสตราวุธนี้อาบเลือดมามากมาย อาถรรพ์ร้ายแรงนัก”

                “ผมจะใช้มันในทางที่ถูกที่ควรครับหลวงพ่อ”

                “โยมลองเปิดดูสิ”

                ชานนท์ทำตาม เขาเลื่อนฝากล่องออกแล้วจึงพบกับอาวุธเพียงอย่างเดียวที่จะทำลายวิญญาณชั่วร้ายได้ ด้ามจับเป็นทองคำเหลืองอร่ามสะท้อนกับแสงเทียน ส่วนตัวใบมีดยังคงคมกริบและเงาวับ เขาเอื้อมมือไปลูบช้าๆ ตัวมีดสั่นสะท้าน หลังจากนั้นเรื่องราวต่างๆในอดีตกาลอันไกลโพ้นก็เข้ามาสู่สมองของเขา ชายหนุ่มเห็นสุวรรณนคร ระกา การทรยศของศารทูล รวมไปถึงความล่มสลายของมหานครที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์มนุษย์ เขามีสีหน้ายินดีสลับเศร้าหมอง บางครั้งก็โกรธเกรี้ยว บางครั้งก็ดูเลื่อนลอยจนกระทั่งท่านเจ้าอาวาสเอื้อมมือมาจับมือของเขาไว้

                “ทุกสิ่งมันผ่านไปแล้วนะโยม อย่าคิดอะไรให้มาก”

                เหมือนมีแสงสว่างสีเหลืองบริสุทธิ์สาดเข้ามาที่ตัวของเขา ชานนท์คืนสติแล้วปล่อยมีดอย่างฉับพลัน เขาสะบัดหน้าอย่างงุนงง พอจะเข้าใจถึงคำว่ากรรมของหลวงพ่อแล้ว

                “รีบไปเถอะโยม โยมมีเวลาไม่มากนัก”

                “ครับหลวงพ่อ ขอบคุณมากครับ”

                เขาก้มกราบลาท่านแล้วรีบปิดฝากล่องอย่างรีบร้อน เสียงหลวงพ่อก็ดังมาเป็นประโยคสุดท้าย

                “แต่ถ้าหากว่าโยมสามารถหยุดการจองเวรจองกรรมนี้ได้ ขอให้โยมจงทำอย่าได้รีรอนะ มันจะเป็นผลดีกับพวกโยมทุกคน”

                “ครับหลวงพ่อ”

                ชานนท์รับคำแล้วก้าวออกไป ท่านเจ้าอาวาสถอนหายใจ

                “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม”

                ท่านหลับตาแล้วกำหนดจิตทำสมาธิพลางภาวนาให้เรื่องทุกอย่างจบลงด้วยดี

 

                ชานนท์สาวเท้ายาวๆตรงไปที่รถยนต์ เขาปลื้มปิติและมองเห็นหนทางในการจัดการอาถรรพ์ร้ายแรงทั้งหมดทั้งมวลแล้ว ขณะเดียวกันชายหนุ่มก็ยังได้เห็นมูลเหตุแห่งความพยาบาทข้ามภพข้ามชาติของศารทูล ผู้ช่วยหนุ่มรีบเดินจนกระทั่งลืมสังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้นในบริเวณนั้น สุนัขหลายตัวซึ่งเคยนอนอยู่หลบหายไปหมดแล้ว อากาศก็เยือกเย็นลงจนหนาวจับขั้วหัวใจ เสียงลมพัดต้นไม้ใหญ่ดังแว่วมาให้ได้ยิน นกแสกร้องขึ้นดังสนั่นจนเขาสะดุ้ง ชานนท์มองตามนกตัวขาวๆที่กำลังบินหายไปในความมืด เขาเพิ่งจะรู้สึกถึงอันตรายตอนที่ได้กลิ่นสาบสาง

                กลิ่นสาบนั้นเริ่มจากแผ่วจางจนกระทั่งเข้มข้นขึ้นจนได้กลิ่นชัดเจน ชายหนุ่มออกวิ่งพร้อมกันกับที่เบื้องหลังมีเสียงฝีเท้าเผ่นตามมา เขาหันกลับไปดูแล้วก็ต้องพยายามวิ่งให้เร็วขึ้นอีก เสือสมิงตัวร้ายกำลังกวดเข้ามาจนเข้าใกล้ทุกขณะ อีกไม่ถึงยี่สิบเมตรก็จะถึงรถยนต์ แต่เจ้าเสือตัวนั้นไวกว่า มันกระโจนพรวดเดียวก็ข้ามหัวของเขาแล้วไปยืนจังก้าดักหน้าแยกเขี้ยวขู่คำรามต่ำ นัยน์ตาทั้งคู่เป็นประกายแดงฉานสะท้อนกับแสงไฟถนน ชานนท์ชะงักกึก ในที่สุดเขาก็ได้เผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจอีกครั้ง

                เสือสมิงจ้องหน้าของเขาในขณะที่ชายหนุ่มพยายามเดินสืบเท้าออกทางด้านขวาของตัวเองอย่างเชื่องช้า ตลอดเวลาลมพัดพาเอากลิ่นสาบของเสือร้ายคละคลุ้งไปทั่ว แล้วในช่วงจังหวะที่เขากำลังก้าวเท้าอยู่นั้นเอง เจ้าเสือผีสิงก็ลงมือ มันกระโจนแล้วสยายเล็บอันแหลมคม เป้าหมายอยุ่บริเวณใบหน้าตลอดจนหน้าอกของเขา ชายหนุ่มรวบรวมสติแล้วใช้ความว่องไวพลิกตัวกลิ้งหลบไปได้

                ชานนท์ลุกขึ้นอย่างไว ส่วนเจ้าสมิงหลังจากจู่โจมพลาด มันก็พลิกตัวกลับด้วยความเร็วประดุจงูพลิกตัวแล้วพุ่งทะยานเข้ามาหาเขาอีกครั้ง กล่องใส่มีดอาคมสั่นสะเทือนเล็กน้อย เขาจึงเปิดฝาแล้วดึงมีดโบราณมากำแน่น อาวุธเพียงอย่างเดียวที่เขามี ชานนท์ตัดสินใจแทงมีดสวนในนาทีที่เจ้าเสือผีเข้าถึงตัว เขาได้ยินเสียงมันร้องดังลั่น เสียงร้องที่ทำให้ขนแขนของเขาลุกชัน มันเป็นเสียงร้องของชายฉกรรจ์ที่ได้รับความเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัส เจ้าสมิงถูกเหวี่ยงกระเด็นไปทางหนึ่ง คมมีดเพียงแต่ถากบริเวณซอกคอของมันเท่านั้น แต่กระนั้นก็ดูเหมือนว่ามันจะเชื่องช้าลง

                เจ้าเสือร้ายหยุดยืนห่างจากเขาประมาณสองเมตร ชานนท์เองก็กำด้ามมีดแน่นกว่าเดิม ถ้าหากมันยังเข้ามาอีก เขาหมายมั่นจุดสำคัญของมันไว้แล้ว แต่เหมือนมันจะรู้ เจ้าเสือผีหันหลังกลับแล้วกระโดดหายเข้าไปในความมืดระหว่างศาลาอเนกประสงค์กับต้นไทรใหญ่ บริเวณนั้นแสงไฟสาดไม่ถึงและชายหนุ่มเองก็ไม่กล้าหาญพอที่จะตามเข้าไป

                หลังจากแน่ใจว่ามันไปแน่แล้ว ชานนท์จึงรีบวิ่งไปขึ้นรถ พรุงนี้เช้าเขามีงานสำคัญในการตามหาตัวของจอมขวัญรออยู่ เขาบอกกับตนเองว่าต่อให้ต้องเสี่ยงอันตรายบุกน้ำลุยไฟหรือเผชิญหน้ากับสมิงสักร้อยตัว เขาก็จะต้องหาและพาตัวหญิงสาวกลับมาให้ได้อย่างปลอดภัย

 

                ชานนท์ไม่รู้เลยว่าบาดแผลที่เขาได้สร้างไว้ให้กับเสือสมิงจะทำให้มันคลุ้มคลั่งอย่างหนัก เจ้าเสือผีออกไล่ล่าสังหารชาวบ้านไปอีกไม่ต่ำกว่าห้าศพในคืนเดียว สองศพคือนายตำรวจที่ได้รับการติดต่อให้ช่วยเหลือในการลาดตระเวณคุ้มครองชาวบ้านหนองเสือร้อง นอกจากนั้นเจ้าสมิงยังหลอกล่อจนกระทั่งผู้ชายคนหนึ่งเผลอยิงมัน แต่มันหลบ กระสุนมรณะจึงพุ่งทะยานเข้าสู่ถังจ่ายน้ำมันภายในปั๊มน้ำมันขนาดเล็กใจกลางตัวอำเภอ เสียงระเบิดดังสนั่น แล้วพระเพลิงก็ไหม้ลามไปในชั่วพริบตา อาคารบ้านเรือนรอบด้านต่างตกอยู่ในทะเลเพลิง แสงจากไฟไหม้จับท้องฟ้าจนสว่างจ้า เจ้าหน้าดับเพลิงรวมทั้งชาวหนองเสือร้องออกมาช่วยกันดับไฟอย่างวุ่นวายอยู่เกือบสามชั่วโมง เพลิงจึงสงบลงได้ แต่ความเสียหายกระจายเป็นวงกว้างเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด ไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของอำเภอหนองเสือร้อง ส่วนตัวต้นเหตุอย่างเสือสมิงกลับหายไปตั้งแต่เสียงระเบิดดังขึ้น

 

                จอมภพรู้สึกตัวตื่นขึ้นเพราะแสงแดดแยงตา ร่างกายของเขาปวดร้าวและขัดยอก หัวสมองก็ปวดราวกับจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ นอกจากนั้นชายหนุ่มยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นคาวเลือดจางๆ เขายันตัวลุกขึ้นจากท่านอนคว่ำก่อนจะโซเซจนล้มลงอีกครั้ง ลูกชายคนโตของจอมพลกัดฟันแล้วดึงตัวขึ้นนั่งได้ในที่สุด เขากุมหัวแล้วพยายามนึกถึงเหตุการณ์ในช่วงกลางคืน จอมภพจำได้ว่าเขานั่งกินดื่มอยู่กับชัชวาลตอนหัวค่ำ แต่เรื่องราวหลังจากนั้นกลับเลือนลางสิ้นดี เขาหันมองนาฬิกาซึ่งอยู่หน้ากระจกแล้วก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นภาพของตัวเอง เสื้อผ้าของเขาทั้งขาดรุงรัง มีร่องรอยคราบดินสกปรก แล้วก็ยังมีรอยแดงคล้ำคล้ายเลือดเปื้อนเต็มไปหมด เขาลุกขึ้นแล้วเผ่นพรวดไปที่หน้ากระจกโดยเร็ว

                ยิ่งใกล้ก็ยิ่งชัดเจน สภาพของเขาไม่แตกต่างจากทหารที่เพิ่งกลับจากสมรภูมิรบแม้แต่น้อย ทั้งสกปรกและบาดเจ็บ จอมภพลองจับแผลเล็กๆเหล่านั้นแล้วร้องครางแผ่วเบา ความรู้สึกมึนงงสับสนท่วมท้น แต่ก่อนที่เขาจะได้สำรวจตัวเองมากกว่านี้ก็มีเสียงทุบประตูพร้อมทั้งเสียงตะโกนของพ่อดังขึ้น

                “ไอ้ภพ ไอ้ภพ ถ้าแกยังไม่ตายก็รีบสหัวออกมาหาฉันไวๆ”

                เขาตอบรับก่อนจะเดินไปเปิดประตู บิดาของเขาถลันเข้ามาด้วยใบหน้าเคร่งเครียดตกใจ

                “แกหายหัวไปไหนมาทั้งคืน แกรู้ไหมว่าที่นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นบ้าง”

                “เมื่อคืนผมนอนอยู่ห้อง ไม่ได้ไปไหนนะพ่อ”

                จอมพลกวาดตามองสำรวจลูกชายคนเดียว

                “อยู่ห้องแล้วทำไมสภาพเหมือนไปกัดกับหมามาล่ะ ช่างแกเถอะ แกจะหายหัวไปไหนก็ช่าง” จอมพลหยุดพูดคล้ายจะรวบรวมสมาธิ “เมื่อคืนนี้ขวัญหายตัวไป ส่วนป้านวลถูกฆ่าตายอยู่ในสวน”

                “อะไรนะพ่อ”

                เขาตะโกนลั่นแล้วจับแขนบิดาเขย่าจนร่างชราสั่นไปมา จอมพลปัดมือลูกชายออก

                “เดี๋ยวฉันจะเล่าให้ฟังบนรถ แกรีบไปเตรียมตัว ฉันจะส่งแกไปเดินป่าตามหายายขวัญ”

                ถึงจะยังไม่เข้าใจอะไรมากนักแต่จอมภพก็รีบผลัดเปลี่ยนเครื่องแต่งกายแล้วยัดเสื้อผ้าใส่กระเป๋าอย่างรวดเร็ว เขาแอบยิบปืนพกสั้นพร้อมกระสุนอีกกล่องใส่ลงไปตามวิสัยนักเลงแล้วจึงวิ่งตามจอมพลซึ่งเดินไปโดยไม่รอ

 

                จอมพลขับรถด้วยตนเอง ส่วนลูกชายนั่งฟังเรื่องเล่าคร่าวๆของเหตุการณ์เมื่อคืน จนบิดาของเขาสรุปจบในตอนท้าย

                “เมื่อคืนนี้ที่อำเภอเรายังกับนรกแตก มีคนตายเพียบ ไฟไหม้ ปั๊มน้ำมันระเบิด แล้วน้องสาวแกยังมาหายตัวไปอีก”

                “หายไปไหนครับพ่อ” เขาถามน้ำเสียงเคร่งขรึม

                “ไม่รู้ แต่เหมือนว่าจะมีคนเห็นว่าขวัญเดินตามใครบางคนเข้าป่าไป”

                “ใครครับพ่อ แล้วชัชไปไหนทำไมถึงไม่ดูแลบ้าน”

                จอมพลถอนหายใจ

                “ชัชวาลเป็นคนพาตัวน้องสาวแกไปเอง”

                จอมภพคอแข็ง เงียบงันไป แต่ดวงตาของกลับลุกโพลงด้วยไฟแค้น เขาพูดกับตัวเอง

                “มึงทรยศกูจนได้ ถ้ามึงไม่ตายด้วยน้ำมือกู อย่าเรียกกูเป็นคนอีกเลย”

                “พ่อเลยจะให้แกตามเข้าป่าไปหาน้องด้วย พ่อไม่ไว้ใจพวกอุทยาน”

                “ได้พ่อ พ่อไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะเอาทั้งขวัญแล้วก็ไอ้ชัชวาลกลับมาให้ได้”

                “แกต้องระวังตัวนะภพ เรื่องนี้มันแปลกๆ”

                จอมพลพูดมาเป็นคำสุดท้ายก่อนที่จะเลี้ยวรถเข้าสู่บริเวณอุทยานแห่งชาติหนองเสือร้อง

 

                การประชุมตามหาหญิงสาวที่หายไประหว่างเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติ ทหาร ตำรวจ และชุดกู้ภัยกำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น แต่ทั้งหมดก็ต้องชะงักเล็กน้อยเมื่อพ่อลูกเดินเข้ามานั่งลงในที่ประชุม กัมปนาทกับชานนท์รีบลุกมาพูดคุยกับจอมพล เมื่อบิดาของจอมขวัญบอกถึงความต้องการ สีหน้าของกัมปนาทก็บ่งบอกถึงความหนักใจทันที

                “มันจะอันตรายเกินไปนะครับ อีกอย่างผมกลัวว่าคุณจอมภพก็เป็นอันตราย เรายังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

                “ผมยังยืนยันคำเดิมว่าจะให้จอมภพเข้าไปค้นหากับทีมของหัวหน้าด้วย”

                “เป็นไปไม่ได้ครับ มันอันตรายแล้วก็อยู่นอกเหนือจากอำนาจของผม”

                “ถึงคุณจะไม่ให้ผมไปด้วย ผมก็ต้องเข้าไปเองอยู่ดี” จอมภพพูดขึ้น เขามองกัมปนาทด้วยดวงตาแข็งกร้าว

                “งั้นผมอาจจะต้องจับตัวคุณไว้ก่อน เพื่อความปลอดภัยของคุณเอง”

                “คุณจะไม่ทำอย่างนั้นคุณกัมปนาท”

                จอมพลพูดเสียงเรียบ เขาโทรศัพท์หาใครสักคนครู่หนึ่งแล้วจึงยื่นให้กัมปนาท หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหนองเสือร้องรับไปแล้วสีหน้าก็เคร่งเครียดหนักกว่าเดิม เขาเดินเลี่ยงออกไปพูดคนเดียวเกือบห้านาทีจึงเดินกลับมาด้วยสีหน้าบึ้งตึงต่างจากชายชรา

                “ผมเตือนคุณแล้วนะคุณจอมพล เมื่อคุณไม่ฟังกัน หากเกิดอะไรขึ้นก็อยู่นอกเหนือความรับผิดชอบของผม”

                “ไม่ต้องห่วงหัวหน้า ลูกชายผมดูแลตัวเองได้ดีพอ”

                ชายชราตอบด้วยใบหน้าที่แสดงอาการเหนือกว่าอย่างชัดเจน กัมปนาทหันมาพยักหน้ากับชานนท์

                “นนท์ คุณจอมภพจะไปกับชุดของนนท์ ผมให้เวลาเตรียมตัวอีกครึ่งชั่วโมงแล้วเราจะเริ่มภารกิจค้นหา”

                ชานนท์ชิดเท้ารับคำ ส่วนหัวหน้าของเขาเดินหัวเสียจากไป ชายหนุ่มหันไปสบตากับพี่ชายของหญิงคนรัก ดวงตาของจอมภพดูช่างประหลาดและน่ากลัวพิลึก

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา