หลินเยว่ชิง บุปผาหมื่นมารยา(สนพ.B2S)

-

เขียนโดย ถานเซียง

วันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2562 เวลา 17.00 น.

  8 ตอน
  1 วิจารณ์
  6,676 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2562 08.56 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) มิอาจหวนคืน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

            ร่างเล็กยังคงหลับใหลอยู่มิยอมตื่น แม้ตัวจะหลับแต่หางตานั้นกลับมีน้ำตาไหลรินไม่หยุด หลินเฟยเทียนได้แต่เวทนาในโชคชะตาของหลานสาวผู้นี้ หลังจากคนของเขาได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือจากฉีหวางที่มาจากป่าทางด้านทิศเหนือของเมืองหลวง

             หลินเฟยเทียนก็รีบรุดไปยังสถานที่เกิดเหตุทันที เมื่อไปถึงก็พบว่าขบวนรถม้าของน้องชายถูกลอบโจมตี เลือดสีแดงที่เจิ่งนองอยู่บนพื้นย้อมหิมะสีขาวให้แดงฉาน เขาเข้าไปตรวจในรถม้าแต่ไม่พบเจอน้องสะใภ้และหลานสาว

              ร่างสูงสั่งให้คนกระจายกำลังกันออกค้นหา เขาสั่งให้บุตรชายคนโตไปยังป่าอีกด้านหนึ่ง ส่วนตัวเขาเองก็ไปทางป่าที่มีเสียงการต่อสู้เกิดขึ้น ถึงจะเร่งรีบเท่าไหร่ก็ยังไม่ทันการอยู่ดี

             เมื่อเขาไปถึงเฟยหลิงก็แทบจะยืนไม่ไหวแล้ว ร่างกายมีแต่บาดแผลจากการถูกฟันแทง แล้วยังจะอาวุธที่อาบยาพิษของนักฆ่าเหล่านั้นอีก เหล่าทหารองครักษ์ที่ตามอารักขาก็ล้มตายกันเกือบหมด นักฆ่ากลุ่มนี้ต้องเป็นคนของยุทธภพแน่นอน หากเป็นทหารด้วยกันแล้วจะไม่มีการใช้ยาพิษเกิดขึ้น ร่างสูงเข้าไปรับเอาร่างที่เหมือนผักของน้องชายมาประคองไว้ แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวไปไหนองครักษ์ก็มาแจ้งว่าน้องสะใภ้ถูกยิงด้วยธนูเงินตัดขั้วหัวใจสิ้นลมไปแล้ว

            หลินเฟยเทียนรีบแบกร่างของหลินเฟยหลิงไปไว้ที่รถม้าก่อนจะรีบเร่งไปดูน้องสะใภ้ เมื่อไปถึง เขาเห็นร่างไร้ลมหายใจของน้องสะใภ้นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นหิมะอันหนาวเหน็บ ธนูเงินยังปักอยู่กลางแผ่นหลัง ร่างสูงเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกมาคลุมร่างของน้องสะใภ้ ก่อนจะช้อนอุ้มนางขึ้นมาแล้วนำไปวางที่รถม้าคันเดียวกันกับที่น้องชายของเขาหลับใหลอยู่

            “เสด็จพ่อ ลูกจะพาน้องหญิงกลับไปที่ตำหนักบูรพาได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” หลินหยางจิ้งเอ่ยถามบิดา เขาอุ้มร่างเล็กที่ยังคงสลบไสลของหลินเยว่ชิงไว้ในอ้อมแขน

           “พาน้องกลับไปด้วยกัน เสด็จอาของเจ้าก็พากลับไปรักษาที่ตำหนักบูรพาเช่นกัน” กล่าวจบหลินเฟยเทียนก็กระโดดขึ้นมาคู่ใจแล้วควบขี่ออกไป

           หลินหยางจิ้งพาน้องน้อยของเขาไปขึ้นรถม้าที่เตรียมไว้แล้วเดินทางกลับตำหนักบูรพาทันที

            ข่าวการลอบสังหารฉีหวางแม่ทัพปราบอุดรทำให้เกินคลื่นลมในราชสำนัก ยิ่งการลอบสังหารครั้งนี้ทำให้ฉีหวางบาดเจ็บสาหัส ฉีหวางเฟยสวรรคต ทำให้ชาวบ้านล้วนสาปแช่งผู้ลงมืออย่างอุกอาจเช่นนี้

            ฉีหวางแม้จะเป็นอ๋องเลือดนักรบแต่ก็ไม่เคยมีทหารนายใดในสังกัดกองทัพพยัคฆ์ทมิฬที่ไประรานชาวบ้าน อีกทั้งในพื้นที่ชายแดนเขตเหนือ หลินเฟยหลิงได้ช่วยเหลือแก้ไข้ปัญหาเรื่องน้ำท่วมภัยแล้งในแก้ชาวบ้าน จนประชาชนแถบนั้นต่างยกย่องชื่นชมฉีหวางกันถ้วนทั่ว

            ในท้องพระโรงแคว้นหลินแทบลุกเป็นไฟ เมื่อประเด็นถกเถียงเป็นเรื่องการลอบสังหารรัชทายาทลำดับที่ 2 ของแคว้น ผู้ที่ได้ผลประโยชน์หากหลินเฟยหลิงตายก็มีมาก และผู้ที่เสียประโยชน์จากเรื่องนี้ก็มีมากเช่นกัน หนึ่งในผู้ที่ได้รับผลกระทบครั้งนี้ก็คือ หลินเฟยเทียน รัชทายาทลำดับที่ 1 แห่งแคว้นหลิน

             หลินเฟยเทียนนั่งในตำแหน่งรัชทายาทได้อย่างมั่นคงจนถึงทุกวันนี้ ต้องยอมรับว่าเป็นเพราะมีหลินเฟยหลิงคอยสนับสนุนเขา หลินเฟยหลิงคุมกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดของแคว้นไว้ในมือ และที่ชายหนุ่มยอมรับตำแหน่งรัชทายาทลำดับที่ 2 ก็เพื่อคอยกันพวกโลภมากที่จะโจมตีพี่ชายของตน

             หลินเฟยเทียนและหลินเฟยหลิงเป็นพี่น้องที่อายุห่างกันหกปี และถูกเลี้ยงดูมาด้วยกันจึงมีความสนิทสนมรักใคร่กันมาก ด้วยเป็นพี่น้องร่วมอุทรเดียวกัน

             หลินเฟยหลิงยังคงหลับใหลไม่ได้สติอยู่ที่ตำหนักบูรพา แต่ต่อให้ฉีหวางยังไม่ฟื้นแต่พิธีศพของฉีหวางเฟยยังต้องจัด หลินเฟยเทียนยอมให้จัดพิธิศพครั้งนี้ที่ตำหนักบูรพา โดยมีหลิวฮองเฮาเป็นผู้ดำเนินการ ถึงแม้จะมีขุนนางบางคนที่คัดค้านต้องการให้กลับไปจัดพิธีศพที่จวนฉีหวาง แต่นี่เป็นรับสั่งโดยตรงจากหลินเฟยหลงฮ่องเต้ผู้ใดจะกล้าขัดพระประสงค์กัน

            หลิวฮองเฮาเมื่อเห็นร่างไร้สติของโอรสองค์เล็กที่มีแต่บาดแผลเต็มตัว ทำให้พระนางถึงกับปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายใคร ยิ่งเมื่อมองไปเห็นหลานสาวตัวน้อยที่ยังคงไม่ได้สติเช่นกันทำให้พระนางปวดใจยิ่งนัก

            “หมอหลวงบอกหรือไม่ ว่าเมื่อใดชิงเอ๋อร์จะฟื้น” หลิวฮองเฮาตรัสถามไท่จื่อแคว้นหลิน

             “ทูลเสด็จแม่ หมอหลวงบอกว่าชิงเอ๋อร์หลับไปเพราะเหนื่อยล้า และความเครียดจากเหตุการณ์ลอบสังหารทำให้ร่างกายต้องพักผ่อนให้มาก คาดว่าพรุ่งนี้น่าจะตื่นพ่ะย่ะค่ะ” หลินเฟยเทียนมองร่างเล็กที่หลับใหลอยู่บนเตียง ดวงหน้าที่เคยสดใส แก้มแดงๆ ตอนนี้กลับขาวซีด

             หลิวฮองเฮาเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาจากข้างแก้มของหลานสาวออก “ให้คนดูแลหลานให้ดี หากชิงเอ๋อร์ตื่นมาแล้ว ไท่จื่อก็ให้คนไปแจ้งแม่ด้วย”

             “พ่ะย่ะค่ะ”

             สิ้นคำตอบรับจากไท่จื่อ หลิวฮองเฮาก็ออกไปจัดการพิธีศพให้ลูกสะใภ้คนเล็กของนางทันที นางรักและเอ็นดูลูกสะใภ้คนนี้ไม่ต่างจากบุตรสาวตัวเอง ตัวหลิวฮองเฮาเองก็เสียใจจากการจากไปของเหอไฉ่อิ่งมากเช่นกัน

             เช้าของวันรุ่งขึ้นร่างเล็กที่หลับใหลมาตลอดสองวันเริ่มขยับเปลือกตายุกยิกเหมือนต้องการจะตื่นจากฝันร้าย เสี่ยวอวี้ที่รับใช้อยู่ข้างกายท่านหญิงน้อยไม่ห่าง เห็นร่างเล็กกำลังจะตื่นนางก็ถลาไปเกาะขอบเตียงอย่างดีใจที่ท่านหญิงของนางตื่นขึ้นมาเสียที

            หลินเยว่ชิงเมื่อลืมตาขึ้นมาก็เห็นว่ารอบกายช่างไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย ร่างเล็กเหลือบไปเห็นเสี่ยวอวี้ที่มองมาด้วยสายตาโล่งใจก็ให้เกิดสงสัย

            “ที่นี่ที่ไหนรึ?  ข้าฝันแปลกๆ ด้วยล่ะพี่เสี่ยวอวี้ ข้าฝันว่าอาเหนียงจากข้าไปแล้ว” ทันทีที่กล่าวจบแก้มกลมๆ ขาวๆ นั้นก็อาบไปด้วยน้ำตา

             เสี่ยวอวี้ที่ได้ฟังวาจาของท่านหญิงน้อยกล่าวออกมาเช่นนั้น ก็ดวงตาแดงก่ำเหมือนจะร้องไห้ เด็กสาวจึงตัดสินใจบอกความจริงออกไป “ที่นี่คือตำหนักบูรพาเพคะ แล้วท่านหญิงก็ไม่ได้ฝันไป หวางเฟยทรงไม่อยู่แล้วจริงๆ เพคะ”

             สิ้นคำกล่าวสองนายบ่าวก็กอดกันร่ำไห้ออกมาอยู่ครู่ใหญ่ หลินเยว่ชิงเมื่อเริ่มตั้งสติได้ก็ถามหาบิดาทันที “อาเตี่ยเล่า อาเตี่ยอยู่ที่ใด?”

            “หวางเย่ทรงบาดเจ็บสาหัสเพคะ ตอนนี้รักษาตัวอยู่ห้องข้างๆ ท่านหญิง หากท่านหญิงอยากไปเยี่ยมหวางเย่ บ่าวว่า..ให้บ่าวเช็ดตัวแล้วผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ให้ท่านหญิงใหม่ก่อนนะเพคะ”

             หลินเยว่ชิงก้มมองสภาพตัวเอง ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ดวงตาบวมปูดจากการร้องไห้อย่างหนัก น้ำที่ไม่ได้อาบมาสองวัน สภาพของนางในตอนนี้คงออกไปพบเจอผู้ใดไม่ได้จริงๆ นั้นแหละ

             “อืม เอาสิ” หลินเยว่ชิงปล่อยให้เสี่ยวอวี้ปรนิบัติ จับนางเช็ดตัวผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เสียใหม่

             “หิวหรือไม่เจ้าคะ? บ่าวจะได้ไปยกอาหารมาให้ ท่านหญิงไม่ได้ทานอะไรมาสองวันแล้ว”

              “เอาไว้ก่อนแล้วกัน ข้าอยากไปหาอาเตี่ยก่อน”

             ร่างเล็กของดรุณีน้อยวัย 5 หนาวเดินมาด้วยการจับประคองจากนางกำนัลคนสนิท หลินเยว่ชิงแทบจะไม่มีแรงเดินเองได้ แต่นางก็ฝืนร่างกายเพื่อที่จะมาพบอาเตี่ยให้ได้

            เมื่อมาถึงห้องที่บิดาพักรักษาตัวอยู่ หลินเยว่ชิงก็ไม่รอช้า นางให้เสี่ยวอวี้รีบพาเข้าไปภายในทันที สิ่งแรกที่สัมผัสได้เมื่อก้าวเท้าเข้าไปในห้องนี้คือ กลิ่นยาสมุนไพรที่ฉุนจนทำให้แสบจมูกลอยคละคลุ้งอยู่ทั่วห้อง หมอหลวงหลายคนกำลังตรวจร่างไร้สติของบิดานางที่นอนหลับใหลอยู่บนเตียง เสียงพูดคุยถกเถียงกันของหมอหลวงดังมาเป็นระยะๆ น้ำเสียงตวาดลั่นของเสด็จลุงไท่จื่อที่บ่งบอกถึงโทสะ

           หลินเยว่ชิงก้าวเท้าน้อยๆ ของนางเข้าไปใกล้เตียงนอนหลังใหญ่ เด็กน้อยมองตรงไปข้างหน้าเพื่อต้องการที่จะมองเพียงอาเตี่ยเท่านั้น

           หลินเฟยเทียนที่กำลังโมโหหมอหลวงอยู่นั้นก็เหลือบมาเห็นหลานสาวตัวน้อย ร่างสูงรีบพุ่งเข้ามาอุ้มร่างเล็กขึ้นมาด้วยกลัวนางจะล้มลง

           “ชิงเอ๋อร์ฟื้นแล้วรึ? ดี ดียิ่งนัก เหตุใดหลานไม่พักผ่อนต่อลุกขึ้นมาทำไม?” หลินเฟยเทียนเอ่ยถามหลานสาวตัวน้อยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะปรายตาไปคาดโทษกับนางกำนัลคนสนิทของเด็กน้อย

          “…” มีเพียงความเงียบงันที่ตอบกลับมาจากร่างเล็ก สายตาก็นางยังคงจ้องมองร่างอาเตี่ยตาไม่กระพริบ อาเตี่ยของนางยังคงหลับใหลอยู่ แต่บนร่างกายแทบจะไม่มีที่ว่างจากบาดแผลเลย

           “อาเตี่ย!” เสียงเรียกแผ่วเบาดังมาจากร่างเล็ก นางพยายามดิ้นดุกดิกเพื่อขอลงจากอ้อมแขนของเสด็จลุง

           หลินเฟยเทียนเมื่อเห็นเด็กน้อยพยายามที่จะไปหาน้องชายของตน เขาก็วางร่างเล็กของหลานสาวตัวน้อยให้นั่งอยู่บนเตียงข้างผู้เป็นบิดา ก่อนจะสั่งให้หมอหลวงและนางกำนัลถอยออกมา

           หลินเยว่ชิงเม้มปากแน่นสั่นระริก ดวงตาแดงก่ำขึ้นมาอีกครั้ง หยดน้ำสีใสไหลคลอหน่วย นางเอื้อมมือน้อยๆ ที่กำลังสั่นเทาไปหาบิดา นางไม่รู้ว่าจะวางมือของตนไว้ที่ใด ร่างกายอาเตี่ยมีแต่บาดแผลเต็มไปหมดจนนางกลัวว่าหากนางจับต้องอาเตี่ยจะเจ็บปวด

           “อาเตี่ย! เจ็บมากหรือไม่เจ้าคะ? ฮึก! ฮึก!” เจ้าของมือเล็กที่กำลังลูบแก้มของบิดาเบาๆ เอ่ยถามเสียงสั่นเจือสะอื้น

           “อาเตี่ย ต้องรีบตื่นขึ้นมาอยู่กับชิงเอ๋อร์นะ ชิงเอ๋อร์ไม่อยากอยู่คนเดียว ฮึก ฮึก.. อาเหนียงก็ไม่อยู่แล้ว อาเตี่ยรีบตื่นไวๆ นะเจ้าคะ” ร่างเล็กยังคงเอ่ยเว้าวอนขอให้บิดารีบลืมตาแล้วกลับมาหานาง

           “ชิงเอ๋อร์สัญญาว่าจะเป็นเด็กดี ฮึก ไม่ดื้อไม่ซน..ฮึก เพราะงั้นอาเตี่ยต้องอยู่กับชิงเอ๋อร์นะ อย่าทิ้งชิงเอ๋อร์ไว้คนเดียว”

           เสียงอ้อนวอนเจือสะอื้นของท่านหญิงน้อยทำให้ผู้ที่อยู่ในห้องต่างรู้สึกปวดใจไปตามๆ กัน ท่านหญิงยังเยาว์นักหากต้องมาสูญเสียบิดามารดาไปพร้อมกันเช่นนี้ นับว่าสวรรค์ช่างโหดร้ายยิ่งนัก

            หลินเฟยเทียนมองดูหลานสาวและน้องชายด้วยความปวดใจ ขอบตาของร่างสูงร้อนผ่าวขึ้นมา หมอหลวงบอกเขาว่าชีวิตของเฟยหลิงไม่มีทางจะรักษาไว้ได้อีกแล้ว พิษร้ายที่สะสมมานานหลายปี แล้วยังมีพิษใหม่ที่ได้รับจากคมดาบครั้งนี้อีก ทำให้ไม่มียารักษา และพิษบาดแผลเหล่านั้นอีกเล่า ที่น้องชายเขาทนมาได้จนถึงตอนนี้ ต้องนับว่าเหนือการคาดหมายแล้ว แม้ร่างจะไร้สติแต่ยังมีลมหายใจที่แผ่วเบาอยู่ แต่น่ากลัวว่าลมหายใจนี้จะปลิดปลิวไปได้ทุกเมื่อ

             หลินเฟยเทียนเข้าไปหาหลานสาวตัวน้อยของเขา ก่อนจะบอกให้นางไปเตรียมตัวเพื่อจัดพิธิศพให้น้องสะใภ้ “ชิงเอ๋อร์ หลานต้องไปที่โถงตำหนักใหญ่กับลุง หลานต้องไปจัดพิธีศพให้อาเหนียงของหลาน ไม่ต้องห่วงนะ อาเตี่ยของหลานมีหมอหลวงคอยดูแลออยู่ เราไปกันเถอะ”

หลินเฟยเทียนกล่าวจบก็เอื้อมมือไปรอรับหลานสาว  หลินเยว่ชิงยอมให้เสด็จลุงอุ้มไปอย่างว่าง่าย นางยังคงมองร่างของอาเตี่ยตาไม่กระพริบจนตนเองถูกอุ้มหายลับออกไปจากห้อง

              โถงกลางของตำหนักบูรพาประดับไปด้วยผ้าขาวดำทั่วทั้งตำหนัก ด้านในสุดของโถงเป็นที่ตั้งพระศพของฉีหวางเฟย ผู้ที่นั่งอยู่ข้างโลกศพในเวลานี้คือ ราชครูเหอ เหอไฉ่ซ่ง และหลิวฮองเฮา

             หลินเฟยเทียนอุ้มร่างเล็กของหลานสาวเดินตรงไปหาเสด็จแม่ของตน ก่อนจะวางร่างไร้เรี่ยวแรงของเด็กน้อยลงตรงหน้าโลงศพแล้วก้าวถอยไปสามก้าว หลิวฮองเฮาก็เข้ามาอยู่ข้างกายหลินเยว่ชิงแทนที่โอรสองค์โตทันที

            “ชิงเอ๋อร์ จุดธูปกล่าวลาเสด็จแม่เสียสิ” หลิวฮองเฮาส่งธูปให้หลานสาวที่นั่งอยู่หน้าโลงศพขนาดใหญ่อันวิจิตงดงาม มีป้ายวิญญาณเลี่ยมทองขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงหน้าโลงศพนั้น

             “อาเหนียง ฮึก ฮึก ฮือๆ” มีเพียงเสียงร่ำไห้ปานจะขาดใจ ไม่มีวาจาใดๆ ให้ได้ยินจากร่างเล็กที่ราวกับจะแตกสลายไปได้ทุกเมื่อ

              ร่างเล็กของหลินเยว่ชิงสั่นสะท้านอย่างหนักจากการร้องไห้ เสียงสะอึกสะอื้นทำให้ผู้เป็นย่าถึงกับร่ำไห้ออกมาด้วย หลิวฮองเฮากอดปลอบหลานสาวไว้ด้วยอ้อมแขนที่สั่นเทา  พิธีศพของฉีหวางเฟยผ่านพ้นไปด้วยความโศกเศร้าของทุกคน

             หลินเยว่ชิงที่ยังตั้งรับกับทุกอย่างไม่ทัน นางเป็นเหมือนหุ่นไม้ที่คล้ายกับไม่มีความรู้สึก ทุกวันเด็กน้อยจะไปนอนเฝ้าอาเตี่ยที่ห้อง เสี่ยวอวี้ต้องคอยบังคับให้ท่านหญิงน้อยของนางทานอาหารและหลับนอนบ้าง เพราะท่านหญิงเอาแต่นั่งเฝ้าหวางเย่ไม่ยอมแตะต้องสิ่งใดเลยแม้แต่น้อย

 

              คืนนี้ก็เป็นอีกคืนที่อากาศหนาวเหน็บ หิมะก็ยังคงโปรยปรายลงมา และวันนี้อาจจะเป็นวันที่หิมะตกครั้งสุดท้ายก่อนจะสิ้นฤดูเหมันต์ ภายในห้องพักรักษาตัวของหลินเฟยหลิง ร่างเล็กที่เริ่มซูบผอมลงไปของเด็กน้อยวัย 5 หนาว ยังคงนั่งนิ่งอยู่บนเตียงนอนหลังใหญ่ ดวงหน้าที่เคยกลมแป้นแดงระเรื่อนั้นบัดนี้กลับซูบซีด ดวงตากลมโตคลอไปด้วยหยาดน้ำตาอยู่ตลอด

              หลินเยว่ชิงจับมือหนาหยาบด้านที่เกิดจากการจับกระบี่มาเป็นเวลานานของบิดาไว้ นางต้องการยืนยันว่าอาเตี่ยยังคงอยู่กับนางเมื่อได้จับมือที่ยังอุ่นนี้  ร่างเล็กที่ฝืนตัวเองจนไม่ไหวก็หลับไปทั้งที่ยังจับมือบิดาไว้มั่น

              หลินเยว่ชิงหลับไปนานเพียงใดมิรู้ นางสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก แต่ว่ามืออุ่นของอาเตี่ยที่เคยกอบกุมไว้บัดนี้กลับเย็นเฉียบ หลินเยว่ชิงตกใจกรีดร้องออกมาก เสียงเรียกหาบิดาของนางดังไปทั่วจนปลุกหมอหลวงและนางกำนัลที่คอยให้การรักษารีบลนลานเข้ามาดูทันที

              “อาเตี่ย!! ฮือๆ อาเตี่ย! ไม่ๆ อย่าทิ้งชิงเอ๋อร์ไปอีกคน” ร่างเล็กยังคงกรีดร้องอยู่อย่างนั้น หมอหลวงชราท่านหนึ่งรีบเข้ามาจับชีพจรของฉีหวาง

               หลินเฟยเทียนได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากห้องพักรักษาตัวของน้องชาย เขารีบตรงไปยังห้องนั้นทันที เสียงกรีดร้องที่ดังออกมาจากด้านในเสียดแทงหัวใจคนฟังได้เป็นอย่างดี หลินเฟยเทียนเดินตรงไปยังเตียงของฉีหวางโดยไม่สนใจข้ารับใช้ที่กำลังถวายพระพรอยู่ เขาเห็นหมอหลวงชราจับชีพจรของเฟยหลิงก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ ร่างสูงของไท่จื่อแคว้นหลินซวนเซเล็กน้อยกับการสูญเสียครั้งนี้ แม้จะทำใจมาบ้างแล้วแต่เมื่อมันเกิดขึ้นจริงก็เกินจะรับไหว

               “ส่งข่าวไปที่วังหลวง ฉีหวาง หลินเฟยหลิงสิ้นพระชนม์แล้ว” น้ำเสียงที่เอ่ยคำสั่งกับองครักษ์คนสนิทสั่นเครือเล็กน้อย

              “พ่ะย่ะค่ะ!”

              คืนนั้นวังหลวงก็เกิดความโกลาหลวุ่นวายขึ้นอีกครั้งเพราะข่าวการสิ้นพระชนม์ของฉีหวาง เสียงระฆังดังเหง่งหง่างไปทั่วเมืองหนานเกิง เป็นสัญญาณบอกว่าได้สูญเสียเชื้อพระวงศ์คนสำคัญไป พิธีศพถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติท่ามกลางความโศกเศร้าของผู้คนทั่วเมืองหลวง

             ร่างเล็กยังคงนั่งนิ่งราวกับร่างไร้วิญญาณอยู่หน้าป้ายหลุมศพของผู้เป็นบิดามารดา หลินเยว่ชิงมองป้ายวิญญาณอันใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาเหม่อลอย ไม่มีเสียงร่ำไห้ใดๆ หลุดออกมาจากปากเล็กๆ นั้น มีเพียงดวงตาที่ยังคลอไปด้วยหยาดน้ำตา

             หลินเยว่ชิงไม่รู้ว่าตนกลับมาถึงตำหนักบูรพาได้อย่างไร ผู้ใดเป็นคนอุ้มนางออกมาจากสุสานหลวงนางจำมิได้ กว่าจะรู้ตัวอีกทีร่างเล็กถูกวางลงบนเตียงใหญ่ในตำหนักรับรองแล้ว ยังคงมีเสี่ยวอวี้ที่นั่งอยู่ข้างเตียงไม่ห่างไปไหน

             ร่างเล็กนั่งซบหน้ากอดเข่าอยู่ที่มุมหนึ่งของเตียงนอนหลังใหญ่ เสียงร่ำไห้แผ่วเบาดังมาจากเด็กน้อยที่กอดตัวเองอย่างสั่นเทา  เหมันตฤดูในปีนี้ให้ความเหน็บหนาวกว่าทุกปี โดยเฉพาะความเหน็บหนาวในใจของท่านหญิงน้อยแห่งจวนฉีหวาง สายลมเหมันต์กำลังพัดผ่านไปเตรียมพร้อมรับวสันต์ฤดูที่จะมาเยือน ความหนาวเหน็บกำลังจะสลายไปสายลมอ่อนโยนจะพัดเข้ามาแทน แต่มีเพียงใจของหลินเยว่ชิงเท่านั้นที่ได้ถูกแช่แข็งไปพร้อมกับหิมะในฤดูเหมันต์นี้

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา