DREAMS COME TRUE จากฝัน...ถึงเธอ

10.0

เขียนโดย winnerella

วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 12.04 น.

  17 บท
  0 วิจารณ์
  13.85K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 17.42 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

14) ไดอารี่

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

“ปอ จะไปไหน ให้พี่ไปส่งไหม”
เสียงพี่ธารยังทักผมเหมือนเดิมในวันนี้ เมื่อเห็นผมลงมาจากหอ เหมือนกับว่าพี่เขามานั่งรอผมทุกๆเช้า
“ไม่เป็นไรครับ” น้ำเสียงและสีหน้าของผมทำให้คนตรงหน้ารับรู้ ผมหันหน้าหลบสายตาของพี่ธาร
“เป็นอะไรหรือเปล่า ปอ”
“เปล่าครับ”
“ถ้าไม่เป็นไร ก็หันมามองหน้าพี่สิ” ทันทีที่พี่ธารพูดจบ ก็กระชากแขนของผมจนลำตัว และใบหน้าผมหันไปเผชิญหน้ากับพี่ธาร
“ผมเจ็บนะ”
“พะ พี่ขอโทษ วันนี้เราเป็นอะไรทำไมดูแปลกๆ”
“ผมก็เป็นปกติแบบนี้ของผม พี่แหละเป็นอะไร!” ผมพูดตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้น มือหนาของคนตรงหน้าผมปล่อยจากแขนของผมทันที
“ผมว่าพี่เลิกยุ่งกับผมเถอะครับ ถือว่าผมขอ”
“...” คำขอร้องของผมทำ ให้สีหน้าพี่ธารเปลี่ยนไป ดูสับสนกับสิ่งที่ผมทำ
“ผมขอตัว ไอ้ดิวรอผม”
ผมรีบวิ่งออกมาจากสถานนี้ โดยไม่ได้หันกลับไปมองว่าคนข้างหลังผมจะรู้สึกอย่างไร ผมรู้สึกเจ็บเหมือนกันที่ทำแบบนั้นลงไป ผมวิ่งออกมาทั้งๆที่ไม่ได้มีไอ้ดิวรอผมหรอกครับ มันออกไปซ้อมลีดตั้งแต่เช้า ผมต้องพูดโกหกแบบนั้นไปเพื่อจะได้ไม่ต้องทนอยู่กับสถานการณ์ที่อึดอัดแบบนี้ วันนี้ผมเลยต้องนั่งรถเมล์มหา’ลัยมาเพื่อไปทำงานที่ใต้ถุนคณะ
“ปอวันนี้เป็นอะไรหรือเปล่าดูไม่ค่อยสดใสเลย” พาวถามผมด้วยสายตาที่เป็นห่วง
“เมื่อคืนเรานอนไม่ค่อยหลับ ไอ้ดิวมันกรนดังไปหน่อย”
ผมต้องหาขออ้างที่ทำให้คนไม่สงสัยผมไปมากกว่านี้ ผมต้องขอโทษไอ้ดิวด้วยที่ต้องอ้างมัน ในใจผมกลับรู้สึกผิดมากเหมือนกันที่ทำแบบนั้นกับพี่ธาร
“ถ้าไม่ไหวไปพักก่อนได้นะ”
“สบายมาก ทำงานกันเถอะ”

ติ๊ง
เสียงแจ้งเตือนจากเฟซบุ๊กดังตลอดเกือบทุกวัน ในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา พี่ธารมักจะทักผมตลอด ผมได้เต่เพียงเปิดอ่านข้อความนั้นโดยที่ไม่ได้ตอบอะไรเลย
...สามวันที่แล้ว...
Thara thuntiyakul ปอ เป็นอะไร
ปอตอบพี่หน่อย
...สองวันที่แล้ว...
Thara thuntiyakul ปอ พี่ขอร้อง เราเป็นอะไร
ตอบพี่หน่อย พี่เป็นห่วง
...หนึ่งวันที่แล้ว...
Thara thuntiyakul ปอ อย่าเงียบแบบนี้เลย พี่ขอร้อง
พี่เป็นห่วงจริงๆนะ
แม้แต่ข้อความล่าสุดนี้ผมก็ยังไม่ได้ตอบพี่ธารเหมือนเดิม ผมไม่ได้โกรธพี่หรอกครับ ผมแค่กลัวความรู้สึกตัวเองที่คิดไปคนเดียว
...หนึ่งนาทีที่แล้ว...
Thara thuntiyakul ปอ เป็นอะไรบอกพี่ได้ไหม
ส่งสติกเกอร์ให้พี่ก็ได้ ถ้าเราไม่ได้เป็นอะไร
พี่เป็นห่วงเราจริงๆ
ผมได้แต่อ่านข้อความนี้ แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร ผมรู้สึกเสียใจที่ผมทำกับพี่ธารแบบนี้
“ไอ้ปอ กูถามจริงมึงไม่คิดจะตอบพี่เขาหน่อยหรอว่ะ” ไอ้ดิวพูดถามผม เมื่อเห็นผมอ่านข้อความในแชทเฟซบุ๊กแต่ไม่ตอบข้อความของพี่ธารเลย มันคงสังเกตเห็นผมหลายครั้งแล้วจนครั้งนี้ไม่คงทนไม่ไหวกับการกระทำของผม
“คะ คือ”
“ไอ้ปอมึงฟังกูให้ดีนะ ของบางอย่างถ้าเราเสียมันไปแล้ว มันจะแก้ไขอะไรไม่ได้เลยนะ...” คำพูดของมันทำให้ผมต้องหันมาตั้งใจฟังมัน
“กูจะเปรียบเทียบให้มึงฟังง่ายๆ สมมติว่ามึงทำแก้วแตก มึงพยายามที่จะเก็บเศษแก้วที่กระจายตามพื้นขึ้นมาเพื่อประกอบใหม่ ใช่ มึงประกอบมันขึ้นมาได้ แต่มึงจะได้แก้วที่ไม่สมบูรณ์ สู้มึงรักษาแก้วนั้นให้ดีๆ ไม่ทำแตกมันจะดีกว่าไหม”
“...” ผมได้แต่นั่งนิ่งบนขอบเตียง ไม่ได้พูดอะไรตอบมันไป นี่เป็นครั้งแรกที่เพื่อนสนิทผมอย่างไอ้ดิวมันพูดได้ดีทีเดียว
“ตอนนี้อยู่ที่ตัวมึงเอง ความรู้สึกของมึงเองแล้วล่ะ กูคงบอกมึงได้แค่นี้”
ใช่ ตอนนี้ทุกอย่างมันคงขึ้นอยู่ความรู้สึกของผม อยู่ที่ตัวผมเองเท่านั้น ที่จะจบกับปัญหานี้ ทำไมช่วงนี้ผมเจอปัญหาเยอะจัง ไหนจะเรื่องความจริงที่ผมต้องการจะรู้ว่าป่านคือใคร มีความสัมพันธ์อะไรกับผม ผมยังต้องมาเจอความรู้สึกแบบนี้เกี่ยวกับเรื่องพี่ธารอีก ทำไมกัน...

สิ่งที่เหล่าเฟรชชี่ปีหนึ่งต่างตั้งหน้าตั้งตารอค่อยมาเป็นเดือนๆ งานเฟชรชี่ไนท์ได้เริ่มขึ้นในค่ำคืนวันศุกร์นี้ เหล่าน้องใหม่ต่างแต่งกายด้วยชุดพละอันเป็นเอกลักษณ์ของมหา’ลัยเรา งานเริ่มประมาณทุ่มหนึ่ง แต่เวลาห้าโมงเย็นก็เริ่มมีคนทยอยกันมาที่โดมขนาดใหญ่กลางมหา’ลัยแห่งนี้ เพื่อที่จะช่วยกันเตรียมฉากที่จะแสดงดาวเดือนในแต่ละคณะ ทั้งฉาก ทั้งอุปกรณ์ประกอบการแสดงมันมีเยอะมาก อลังการงานสร้างกันทั้งนั้น แต่ละคณะต่างจะเอามาฝาดฟันกันในค่ำคืนนี้
“โห่มึงดูดิ คณะวิศวะแม่งเจ๋งว่ะ”
“เดี๋ยวมึงรอดูของคณะเราก่อน ก็เจ๋งไม่แพ้กัน”
ความแต่ที่ไอ้ดิวต้องซ้อมลีดตลอดเกือบทุกวัน ทำให้มันไม่ได้รับรู้เรื่องราวทำฉากอะไรเท่าไร ลีดคณะเริ่มซ้อมหนักขึ้นเรื่อยๆเพื่องานพาวเวอร์เชียร์ที่จะเกิดขึ้นในปลายเทอมนี้ จนทุกวันนี้ผมไม่ค่อยได้คุยอะไรกับไอ้ดิวเท่าไรเลย มันต้องไปซ้อมตั้งแต่เช้ากลับมาบางวันเห็นมันเหนื่อยผมก็ไม่ค่อยอยากไปกวนมัน บางวันมันกลับมาดึกมากผมก็หลับไปแล้ว
พวกเรามาถึงกันก็ประมาณเกือบจะหกโมงเย็นแล้ว เราต่างช่วยกันขนของที่เตรียมมาไปวางไว้ตามจุดที่ถูกกำหนด บรรยากาศรอบโดมเต็มไปด้วยบูทต่างๆ ทั้งขายของกิน ขายของที่ระลึกต่าง และที่ขาดไม่ได้คือแท่งไฟเรืองแสงที่เอาไว้ใช้สร้างสีสันเวลาดูคอนเสิร์ต
“ไอ้ดิว งั้นกูว่าเราแยกกันตรงนี้ก็ได้ ไปซื้อของกินแล้วค่อยมาเจอกัน”
“เออ เดี๋ยวกูไปดูบูทแท่งไฟก่อนและกัน เจอกันเพื่อน”
“เจอกัน
ผมแยกย้ายไปกับไอ้ดิวเพื่อไปเดินซื้ออาหารของใครของมันก่อนจะเข้าไปในโดม เรานัดเจอกันที่ทางเข้าของโดมประมาณหกโมงครึ่ง ผมเดินไปดูบูทของกินก่อนเป็นอย่างแรกเพราะผมรู้สึกหิวมากตอนนี้ ผมยืนกินอยู่ข้างโดม เห็นคนเริ่มมุงกันเยอะตรงหน้าโดม ผมจึงเดินไปดู
ผมเห็นเจ้าหน้าที่ขนโครงเหล็กเพื่อตั้งป้ายไวนิลขนาดใหญ่ ผมเดาว่าน่าจะเป็นป้ายประชาสัมพันธ์อะไรสักอย่าง แต่สิ่งที่ทำให้ผมสนใจอย่างมากนั้นก็คือข้อความและรูปบนป้ายไวนิลนั้น
งานครั้งนี้สิ่งที่ถูกให้ความสนใจไม่ใช่เพียงการประกวดดาวเดือนเท่านั้นครับ ป้ายไวนิลขนาดใหญ่พอที่จะเห็นจากระยะสามร้อยเมตร มันคือป้ายของศิลปินที่จะขึ้นเล่นคอนเสิร์ตให้เราได้มันในค่ำคืนนี้ นั้นก็คือ วงมีน(MEAN) ซึ่งก็เป็นวงดนตรีที่ผมชอบมาก ทุกเพลงที่ปล่อยออกมาเพราะและความหมายดีทุกเพลง ตั้งแต่มอปลายผมจะฟังเพลงจากวงนี้ตลอด จนกลายเป็นว่าวงมีนก็คือส่วนหนึ่งของชีวิตผมไปแล้ว ผมตื่นเต้นจนอยากจะให้ถึงเวลาคอนเสิร์ตเร็วๆ
"ไอ้ปอ" เสียงตะโกนของไอ้ดิวดังมาแต่ไกล
ผมหันไปหาเสียงเรียกนั้น ผมเพ่งตาอยู่นานก่อนจะเห็นสิ่งที่มันถือมา มันคือป้ายสีดำขนาดใหญ่พอที่จะใช้สองมือถือได้ สิ่งที่อยู่บนป้ายนั้นเป็นแท่งไฟเรืองแสงขนาดเล็กที่ถูกดัดเป็นตัวอักษร ผมมองไกลๆไม่ค่อยชัดว่าข้อความบนป้ายนั้นคืออะไร จนมันเดินเขามาไกลๆ ผมจึงรู้ว่า แท่งไฟเรืองเเสงที่ถูกดัดเป็นอักษรนั้นคือคำว่า 'แพรว' แถมมันยังบวกลูกเล่นด้วยสีสะท้อนแสงตรงมุมป้าย ว่า 'สู้ สู้'อีก
"เป็นไงไอ้ปอ กูเจ๋งไหม แพรวต้องเห็นในความพยายามของกู"
"..." ผมได้แต่พยักหน้า เพื่อให้มันได้ใจชื่นกับสิ่งที่มันทำสักหน่อย แต่ในใจของผมอยากจะพูดว่า มึงบ้าไปแล้ว
เมื่อถึงเวลาหนึ่งทุ่มตรง กิจกรรมเฟรชชี่ไนท์ในคำคืนนี้ได้เริ่มขึ้น ทุกที่นั่งภายในโดมต่างเต็มไปด้วยผู้คนจากหลากหลายคณะ โดยเราจะนั่งตามที่มหา’ลัยจัดให้เป็นคณะใครคณะมัน ภายในโดมมืดสนิทมีเพียงแสงไฟสปอร์ตไลท์ที่สาดส่องลงไปที่กลางเวทีที่มีพิธีกรดำเนินรายการพูดคุยทักท้าย บอกกำหนดการก่อนเริ่มกิจกรรมในค่ำคืนนี้
แท่งไฟเรืองแสงนับพันๆแท่งสีสันสดใสต่างถูกจุดขึ้นเมื่อกิจกรรมประกวดดาวเดือนนั้นได้เริ่มขึ้น เรานั่งดูการแสดงของแต่ละคณะที่ได้เตรียมกันมา ขอบอกเลยว่าฟาดฟันกันจริงๆ การแสดงแต่ละคณะดำเนินไปเรื่อยๆจนถึงคณะแพทย์ของเรา
ทันทีที่แพรวเดินออกมาหน้าเวที ไอ้ดิวรีบหยิบป้ายไฟที่มันเพิ่งจะให้เจ้าของร้านขายแท่งไฟทำให้ก่อนเข้างานชูขึ้น แล้วตะโกน "แพรว สู้ สู้ ๆๆๆๆๆ" ดังนั้นสู้กับเสียงเชียร์จากคนรอบข้าง โดยไม่รู้ว่าเสียงเชียร์ของมันจะส่งไปถึงแพรวหรือเปล่า
ผมไม่แปลกใจเลยครับ ที่แพรวจะได้รับเสียงเชียร์จากคนเยอะขนาดนี้ วันนี้แพรวแสดงได้ดีและโดนเด่นมาก ประกอบกับหน้าตาอันน่ารักของแพรวแล้วใครๆก็หลง ไม่ใช่เพียงแค่เพื่อนร่วมคณะเท่านั้นที่ส่งเสียงเชียร์ แต่คนในโดมกลับช่วยกันส่งเสียงเชียร์ร่วมกันดังสนั่นไปทั่วโดมแห่งนี้ การแสดงของดาวเดือนแต่ละคณะจบสิ้นลง ขั้นตอนต่อไปก็คือการรอประกาศผลผู้เข้ารอบสามคนสุดท้ายทั้งดาวและเดือน
"วินาทีนี้ทุกคนคงลุ้นกันมากใช่ไหมละครับ ว่าใคร คณะไหนบ้างจะผ่านเข้ารอบตอบคำถามสามคนสุดท้าย" เสียงพิธีกรพูดขึ้นมาท่ามกลางเสียงเชียร์ที่ดังไม่ขาดสาย
"เราจะมาเริ่มที่เดือนก่อนนะครับ คนแรกที่ผ่านเข้ารอบได้แก่ คณะ รัฐศาสตร์" เสียงเชียร์ดังสู้กับเสียงที่ประกาศ พีธีกรประกาศรายชื่อผู้เข้ารอบไปเรื่อยๆ สรุปแล้วคณะที่ได้เข้ารอบคือ รัฐศาสตร์ วิศวะ และ สถาปัตถ์ คณะเราเลยพลาดในส่วนของเดือน ไม่วายเสียงเหน็บแนมจากไอ้ดิวที่นั่งข้างผมก็ดังขึ้น
"เห็นป่ะ ถ้าให้กูเป็นเดือนแต่แรก แม่งผ่านเข้ารอบไปแหละ"
"..." ผมได้แต่นั่งเงียบๆให้ เสียงนั้นผ่านหูซ้ายทะลุหูขวาของผมไป คนอะไรแม่งหลงตัวเองได้ขนาดนี้
"ต่อไปอย่าหยุดครับ ผู้ที่ผ่านเข้ารอบตอบคำถามสามคนสุดท้ายของดาวในปีนี้ ได้แก่ ..." เสียงคนในโดมทุกคนเงียบสนิทเพื่อรอฟังรายชื่อคณะที่จะถูกประกาศจากพิธีกรบนเวที
"คณะแรกคือ คณะแพทยศาสตร์ครับโผมมม" ทันทีที่ได้ยินเสียงประกาศคณะแพทย์ คนในโดมถึงกับลุกขึ้นส่งเสียงเชียร์และปรบมือดังมาก จนพิธีกรต้องบอกให้หยุดเพื่อจะประกาศรายชื่อคณะอื่นที่ผ่านเข้ารอบต่อไป
สรุปแล้วคณะที่ผ่านเข้าในส่วนของดาวได้แก่ คณะแพทยศาสตร์ คณะทันตแพทย์ และคณะนิเทศศาสตร์
รอบตอบคำถามได้เริ่มขึ้นจากนั้นไม่นาน ทุกคนล้วนได้คำถามที่เหมือนกันนั้นก็คือ 'ทำไมถึงเลือกเรียนคณะที่ตนเองเรียน' โดยคนที่ไม่ได้ตอบคำถามจะต้องใส่หูฟังเพื่อป้องกันเสียงจากภายนอกกันไม่ให้ได้ยินคำตอบจากคณะก่อนหน้า เหล่าเดือนและดาวต่างพลัดกันมาตอบคำถาม จนมาถึงแพรว
"สวัสดีค่ะ ดิฉันชื่อนางสาวพัชริดา นิธิษร ตัวแทนจากคณะแพทยศาสตร์" แค่แนะนำตัวเสียงเชียร์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง จนพิธีกรต้องออกมาพูดว่าเงียบสักครู่ รอฟังน้องเขาพูดหน่อย
"ทำไมถึงเลือกเรียนคณะที่ตนเองเรียน ตัวดิฉันเองไม่อยากจะบอกว่าการเป็นแพทย์นั้นสามารถช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ได้เพียงอย่างเดียว ดิฉันว่าทุกอาชีพสามารถช่วยเพื่อนมนุษย์ได้ เพียงแต่หน้าที่ของแต่ละอาชีพนั้นต่างกัน อย่างตัวดิฉันเองหน้าก็คือรักษาคนที่เจ็บป่วย สถาปัตถ์เองหน้าที่ก็ช่วยดูแลโครงสร้างออกแบบสิ่งของต่างๆให้เรา หรือแม้แต่ทหารก็ช่วยปกป้องประเทศ จะเห็นว่าทุกอาชีพต่อให้ต่างกันก็ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ได้เหมือนกัน"
คำตอบของแพรวนั้นต่างสร้างเสียงปรบมือจากทุกคนในโดมได้เป็นอย่างมาก ผมเองก็ชอบในความมีไหวพริบของแพรวในการตอบคำถาม หลังจากตอบถามเสร็จประมาณสิบห้านาที ช่วงเวลาประกาศผลดาวเดือนของมหา’ลัยประจำปีนี้ก็มาถึง ตำแหน่งเดือนมหา’ลัยตกเป็นของคณะวิศวะ ส่วนตำแหน่งดาวก็เป็นตามที่ทุกคนคาดไว้ หนีไม่พ้นแพรว คณะแพทย์ของเรานั้นเอง ทุกต่างดีใจกระโดดโลดเต้นกัน นานๆทีคณะเราจะได้ตำแหน่งดาวมหา’ลัยกับเขาบ้าง เพราะครั้งล่าสุดก็เกือบจะหกปีที่แล้ว แต่คนที่ดีใจที่สุดก็คงนี้ไม่พ้น ไอ้ดิว...
“เป็นไงล่ะกูบอกแล้ว ดาวมหา’ลัยปีนี้ต้องเป็นแพรว”
ผมได้แต่สงสัยกับสิ่งที่มันพูดเมื่อกี้ มันบอกผมตอนไหนว่ะ ผมเห็นแต่มันชมตัวเองว่าถ้ามันได้ลงประกวดมันได้เดือนมหา’ลัยไปแล้ว
“เออๆ” ผมได้แต่ตอบรับคำพูดของมันเพราะรำคาญจะแย่อยู่แล้ว
เสียงทำนองของเพลงดังขึ้นหลังจากประกาศผลไม่นาน ผมคุ้นกับทำนองนั้นดีครับ คอนเสิร์ตของวงมีนกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ช่วงเวลาที่ทุกคนต่างรอคอยมันมาถึงแล้ว ทุกคนในโดมต่างกระโดดและร้องเพลงกันอย่างสนุกสนานตามทำนองเพลง เหมือนได้ปลดทุกสิ่งทุกอย่างในวันนี้ สิ่งที่เราเหล่าเฟรชชี่ต้องเหนื่อยกันมาเป็นเดือนๆเพื่อเตรียมตัวสำหรับกิจกรรมในวันนี้ได้จบเสร็จสิ้นลง ต่อไปสิ่งที่พวกเราทุกคนปีหนึ่งต้องเจอในอีกประมาณสามอาทิตย์ข้างหน้าจะมาถึง นั้นคือ สอบมิดเทอม...
หลังจากคอนเสิร์ตจบลง ผมกับไอ้ดิวก็ขับรถกับมาที่หอ วันนี้พวกเราเหนื่อยมาก หลังจากกลับเราต่างกันแยกย้ายไปอาบน้ำเตรียมตัวนอน ไอ้ดิวพอมันอาบน้ำเสร็จมันก็หลับทันที เหลือแต่ผมที่ยังคงนั่งอยู่ตรงโต๊ะอ่านหนังสือ แสงไฟโคมไฟที่โต๊ะส่องสว่าง พอให้เห็นสิ่งของบนโต๊ะ โดยไม่ได้รบกวนคนที่นอนหลับอยู่
ผมเปิดไลน์เพื่อจะบอกแม่ให้มารับผมพรุ่งนี้
เส้นปอ คุณแม่ครับ พรุ่งนี้มารับผมกลับบ้านหน่อยนะครับ 23.03 น.
มาตอนบ่ายๆก็ได้ครับ 23.03 น.
ฝันดีครับ 23.04 น.
ผมมองดูตัวเลขบอกเวลาที่ผมส่งข้อความไปมันก็ดึกมากแล้ว แม่คงหลับไปแล้ว ผมเพียงพิมพ์ข้อความนั้นหวังว่าแม่จะอ่านพรุ่งนี้เช้านะ
ผมยังคงนั่งเล่นอยู่ที่โต๊ะอ่านหนังสือของผม จริงๆวันนี้ผมเหนื่อยมากเลยครับ อยากจะล้มตัวลงนอนเต็มที่แล้ว แต่ผมก็อยากจะเขียนไดอารี่ของผมในวันนี้
‘วันที่ 13 กรกฎาคม 2562
วันนี้ได้เข้าร่วมกิจกรรมเฟรชชี่ไนท์ ดูการประกวดดาวเดือน
สรุปแล้ว คณะเราได้...’
ตุ้บ!!!
เสียงสิ่งของบางอย่างตกลงไปกับพื้น ทำให้ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากการหลับใหล สายตาของผมดูมัว มองของที่ตกได้ไม่ชัด ผมใช้มือควานหาของที่ตกลงไปก่อนจะรู้ว่ามันเป็นมือถือของผม ตัวเลขแสดงเวลาของหน้าจอมันบอกว่าตอนนี้เวลาตีหนึ่งแล้ว ผมหลับไปตอนไหนนี้ ผมมองไปยังไดอารี่บนโต๊ะ ข้อความหยุดถึงแค่ ‘คณะเราได้...’ เท่านั้น ผมอาจจะง่วงมากจริงๆ
หลังจากนั้นผมจึงปิดโคมไฟ ปล่อยให้ไดอารี่หน้านั้นทิ้งข้อความไว้เพียงเท่านี้ก่อน ตอนนี้ผมง่วงมากแล้ว ก่อนที่ผมจะหลับตา เสียงเตือนจากเฟซบุ๊กก็ดังขึ้น ผมเพียงยกหน้าจอมือถือผมขึ้นมาดู
Thara thuntiyakul ได้โพสต์บนไทม์ไลน์ของคุณ เมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้ว
ผมรีบกดเข้าไปดู โพสต์นั้นมันเป็นรูปภาพของต้นหูกวางของโรงเรียนที่เราไปทำกิจกรรมอาสาเมื่อตอนปิดเทอมพร้อมแคปชั่นว่า
Thara thuntiyakul พี่คิดถึง ... แล้วปอล่ะคิดถึงไหม
ผมได้แต่เพียงกดไลค์รูปนั้น จากนั้นผมก็หลับไป

แสดแดงยามเช้าแสดส่องมาที่ห้องนอนของผม ทำให้ผมลืมตาตื่น วันนี้เป็นวันที่ไอ้ดิวไม่ต้องไปซ้อมลีดมันยังคงนอนอยู่บนเตียง ผมจึงเดินลงจากหอไปซื้อข้าวเช้า โดยที่จะไม่ลืมที่จะซื้อเผื่อมันด้วย มันคงอยากนอนยาวๆไม่อยากลงไปไหนแน่ๆ อุตส่าห์ได้พักจากการซ้อมลีด
ผมกินข้าวเสร็จก็ซื้อข้าวผัดกะเพราไข่ดาวไปฝากมัน เมื่อถึงห้องนอนผมก็เห็นเจ้าตัวตื่นแล้ว กำลังทำสีหน้าไม่ค่อยดีกับมือถือของมัน แต่ผมก็ไม่ได้ถามอะไรมัน
“อ่ะ กูซื้อข้าวมาฝาก ว่างไว้ตรงนี้นะ”
“อือ ขอบใจ”
ผมก็จัดข้าวของต่างๆเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน โชคดีที่ผมเปิดไลน์แล้วพบว่าแม่ตอบกลับมาว่าจะมารับช่วงบ่าย

กริ๊งงง
“ฮาโหลครับแม่”
"ปอลูก แม่รออยู่หน้าหอแล้วนะ"
"ครับๆ ผมกำลังลงไป" มือยุ่งกับการจัดของ เสื้อผ้าที่จะขนเอาไปซักที่บ้าน มือถือของผมจึงต้องคาไว้อยู่บนไล่แนบกับหูของผม
"ไอ้ดิว เดี๋ยวกูกลับบ้านก่อนนะ สองวันนี้มึงอยู่คนเดียวนะ กูกลับมาอีกทีก็วันอาทิตย์เย็น"
"อืม" มันเพียงตอบผมแค่เสียงเบาๆในคอ ผมไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร ตั้งแต่เมื่อเช้าที่มันดูมือถือ มันดูท่าทางแปลกๆ แต่ก็พอจะเดาได้ว่าอาจจะเป็นเรื่องแพรว ในใจก็อยากจะถามมันว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็มาคิดอีกทีให้มันพร้อมมันคงจะบอกเอง ตอนนี้เรื่องที่ผมต้องทำมันสำคัญกว่าที่ต้องกลับบ้านไปหาไดอารี่
สิ่งแรกที่ผมทำทันทีที่เจอแม่คือ หอมแก้มครับ เราแทบไม่ได้เจอกันเลยเดือนกว่าๆ แต่ก็โทรศัพท์หากันอยู่ตลอดในช่วงเย็นของทุกวัน บางวันถ้าเกิดแม่ทำงานยุ่งก็อาจจะแค่พิมพ์ไลน์ทิ้งไว้อย่างน้อยก็มีข้อความที่ส่งถึงกันในทุกๆวัน
"ทำไมถึงอยากกลับบ้านละ หะ เจ้าปอ"
"ก็ผมคิดถึงแม่ ไง"
"แหม่ ปากหวาน เย็นนี้อยากกินอะไร เดี๋ยวแม่ทำให้"
"ผมขอไข่เจียวใส่ดอกอัญชัน"
เราขับรถกลับมาบ้าน อย่างที่บอกบ้านเราก็อยู่ไกลจากมหา’ลัยพอสมควร ระยะเวลาในการเดินทางไปมาแต่ละครั้งก็ใช้เวลานาน จึงมีเวลาเยอะที่ทำให้เราได้พูดคุยเรื่องต่างๆระหว่างทาง
"เออ แม่ครับ สมุดไดอารี่เก่าๆของผมเก็บไว้ไหนหรอครับ"
"เอ๋ ถ้าเก่ามากๆ แม่ก็ทิ้งไปแล้วนะ แต่ก็มีเก็บอยู่บ้าง มันน่าจะอยู่ในชั้นเก็บของที่ห้องเก็บของใต้บันไดละมั้งจ๊ะ"
"อ่อครับ"
"ว่าแต่ จะเอาไปทำอะไรหรอ"
"เปล่าๆครับ ผมแค่คิดถึงมัน เลยอยากอ่านเท่านั้นเอง"
เมื่อถึงบ้านเราสองแม่ลูกก็แยกย้ายกัน ผมก็แยกตัวกับแม่ไปเก็บของที่บนห้อง ส่วนแม่ก็เตรียมทำอาหารอยู่ในครัว ผมเอากระเป๋าโยนไว้บนโต๊ะอ่านหนังสือ หยิบมือถือขึ้นมาดู ผมพอจะจำสิ่งที่พี่ธารโพสต์ให้เมื่อคืนได้ดี ผมเลือกที่จะยังไม่สนใจมันตอนนี้ เพราะสิ่งที่ผมให้ความสนใจขณะนี้มากที่สุดคือค้นหาไดอารี่
ผมตัดสินใจวางมือถือไว้บนห้อง ไม่ลืมที่จะหยิบไดอารี่ของผมที่ใช้เขียนอยู่ตอนนี้ติดมือมาด้วย ก่อนจะเดินลงมาที่ห้องเก็บของใต้บันไดบ้าน
ห้องเก็บของนี้มันเป็นห้องใต้บันไดเล็กๆ ที่มีประตูสีขวาดูเก่าๆมีลอยขีดขวนบ้างเล็กน้อยซึ่งเป็นฝีมือผมตอนเด็กๆ ภายในห้องมีเพียงทางเดินเล็กๆที่พอสำหรับคนเดียวเดินอยู่ตรงกลางระหว่างชั้นไม้เก่าๆขนาบสองข้าง ซึ่งมีประมาณสามชั้น แต่ละชั้นก็มีพวกกล่องกระดาษวางซ้อนๆกันเต็มทุกพื้นที่ของชั้นไม้เหล่านั้น
ผมค่อยๆ เปิดกล่องหาที่ละกล่องๆ ที่ภายในนั้นบรรจุของที่ใช้ได้บ้างไม่ได้บ้างอยู่ ผมใช้เวลาหาประมาณเกือบยี่สิบนาที ก่อนจะพบกล่องกระดาษใบหนึ่ง ที่ฝากล่องมันมีข้อความว่า 'เอกสาร' ถูกเขียนด้วยหมึกสีดำจางๆ ผมเปิดฝากกล่องขึ้นมาก่อนจะเห็นสิ่งที่ต้องการ.... ไดอารี่
เล่มบนสุดเป็นไดอารี่ที่หน้าแรกของข้อความมันระบุด้านบนว่า วันที่ 2 มกราคม 2561 มันเป็นสมุดไดอารี่ของปีที่แล้ว ผมพยายามเปิดไล่ไปทีละหน้าๆ เพื่อหาสิ่งที่ผมต้องการ หัวกระดาษมันยังคงไม่มีวันที่เหมือนเดิม มีเพียงคำขึ้นต้นที่บอกว่าข้อความนี้คือ ความฝัน
'ความฝัน...
ฉันเห็นคนที่ฉันรักนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ใต้เงาของต้นหูกวางต้นเดิม
ในมือของฉันถือชาไทยสองแก้ว ฉันคิดว่าจะเอาไปให้พี่เขา ฉันเดินไปนั่งข้างๆ
ฉันยื่นชาไทยให้กับเขา แต่เขาดูท่าทางไม่ชอบชาไทยที่ฉันซื้อเลย
ฉันรู้สึกน้อยใจนะ แต่สุดท้ายเขาก็ดื่มชาไทยที่ฉันซื้อให้'
...ใจผมสั่น ...
'ความฝัน...
วันนี้เราสองคนมากินข้าวเย็นกันที่บ้านฉัน
คุณย่าฉันเป็นคนทำอาหารให้เรากิน
ไข่เจียวใส่ดอกอัญชันยังคงเป็นของโปรดของฉันเสมอ
คนที่ฉันรัก ก็ชอบเหมือนกันนะ'
...เสียงหัวใจดังขึ้นอย่างชัดเจน...
'ความฝัน...
ฉันนั่งซ้อนจักรยานคันเก่า คนที่ชั้นรักเป็นคนขี่
ทางหน้าโรงเรียนมันเป็นดินลูกรัง มีหลุมบางประปรายตลอดทาง
ฉันไม่รู้จะเอามือไว้ตรงไหน ฉันทำเพียงกำกระโปรงที่หน้าขาของฉัน
ก่อนที่ฉันจะรู้สึกถึงมือหนาอุ่นๆ จับข้อมือฉันอ้อมเอวของคนข้างหน้า
ฉันซบใบหน้าของฉันไปที่แผ่นหลังอันกว้างใหญ่
"กอดแน่นๆนะ เดี๋ยวตก" ประโยคที่ทำให้ฉันรู้สึกถึงความห่วงใย'
ในหัวของผมได้แต่นึกถึงเรื่องราวที่คล้ายกันที่เพิ่งเกิดขึ้นกับผม คนที่ดึงมือผมไปกอดเอว พี่ธาร...
ผมไล่เปิดไปเรื่อยๆ พร้อมกับฉีกสมุดในหน้าของความฝันทั้งหมดออกมากองรวมกัน เรื่องราวความฝันที่ผมเขียนลงไป บางข้อความของความฝันก็เป็นเรื่องที่ผมเพิ่งฝันไป บางเรื่องก็เป็นเรื่องราวที่ผมเคยฝันแต่ผมจำไม่ได้ อาจเป็นเพราะมันนานเกินกว่าที่ความทรงจำของผมจะจดจำมันได้ ข้อความของความฝันบางอันก็ถูกเขียนซ้ำไปมาในไดอารี่ของผม เนินเขา ธารน้ำ ใต้ต้นหูกวาง เรื่องราวพวกนี้เป็นที่สิ่งล้วนเคยเกิดขึ้นในชีวิตผม แม้กระทั่ง ชาไทย กับการซ้อนรถพี่ธาร
ผมค้นกล่องนั้นไปอีกจนพบสมุดไดอารี่ของผมอีกเล่มหนึ่ง หน้าแรกข้อความขึ้นต้นมันถูกเขียนว่า
วันที่ 13 กุมพาพันธ์ 2560 ผมเปิดทีละหน้าเหมือนเดิมจนเจอความฝันหนึ่งที่ผมจำได้ดี มันเป็นครั้งแรกที่ความฝันของผมได้รู้จักชื่อของเจ้าความฝันนั้นจริงๆ และคนที่เธอรัก
'ความฝัน...
ฉันนั่งทำสร้อยข้อมือที่มีจี้รูปดาวไว้สองอัน ฉันจะให้คนที่ฉันรักหนึ่งอัน
ฉันดึงข้อมือของเขามาสวมสร้อยข้อมือที่ฉันทำ
แขนสองข้างเรายกขึ้นสูง ดาวดวงน้อยๆแกว่งไกวตามการสั่นไหว
ดวงดาวสองดวงนี้จะคู่กันไปตลอดนะ ...'
ต่อให้ข้อความของความฝันที่ผมเขียนจะจบลงเท่านี้ แต่ผมจำประโยคต่อจากนั้นได้ดี...
...'ป่านรักพี่ธารนะ' ประโยคที่ผมได้ยินในความฝัน
ค้นลงไปในกล่องกระดาษอันเดิม ไดอารี่ที่หน้าปกหายไปเกือบครึ่ง กระดาษจากเดิมสีขาวตอนนี้มันกลายเป็นสีเหลือง สีของข้อความเริ่มซีดจาง ตัวเลขของวันที่และเดือนของหน้าแรกไดอารี่ไม่สามารถอ่านออกได้ มีเพียงปีที่พอทำให้รู้ว่านี้คือไออารี่เมื่อห้าปีที่แล้ว
... 2559
'ความฝัน...
ฉันเป็นคนไม่ค่อยแข็งแรงตั้งแต่เด็ก เวลาทำกิจกรรมอะไรหนักๆฉันมักจะเหนื่อย
คุณย่าเคยบอกฉันว่า ตอนเด็กๆฉันเคยผ่าตัดหัวใจ
ฉันมีแผลเป็นที่กลางหน้าอก
ฉันไม่เคยบอกใครเลยเรื่องนี้ มีเพียงคุณย่าเท่านั้นที่รู้
ส่วนคนที่ฉันรักเขารู้เพียงว่าฉันไม่ค่อยแข็งแรงเท่านั้นเอง'
แผลเป็น... เสียงสะท้อนดังภายในหัวของผม ผมรู้สึกเจ็บที่แผลเป็นของผม ทำไมครั้งนี้มันเจ็บมากขนาดนี้ มือของผมที่สัมผัสแผลเป็นผ่านเสื้อมันไม่สามารถบรรเทาความเจ็บได้เหมือนเดิม
'ความฝัน...
ฉันนั่งที่เนินเขาหลังโรงเรียนที่ประจำของเรา
ธารน้ำที่ไหลเชื่อมต่อจากน้ำตกยังคงไหลช้าอย่างช้าๆ
เสียงนกร้องดังคอยอยู่เป็นเพื่อนเราสองคน
ฉันพูดกับคนที่ฉันรัก ฉันอยากมีน้องชายเหลือเกิน
แต่ทำไงได้ ฉันเป็นลูกคนเดียว'
เป็นอีกครั้งที่น้ำตาผมไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ทำไมผมถึงอ่อนไหวกับข้อความบนกระดาษหน้านี้ ผมนั่งนิ่ง มีแต่ความรู้สึกสับสนภายในหัวผม ผมตั้งสติ เพื่อจะค้นกล่องนั้นอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะพบว่าภายในกล่องเหลือเพียงแฟ้มสีเลือดหมูเก่าๆเล่มหนึ่งอยู่ก้นกล่อง มันไม่เหลือไดอารี่ให้ผมหาความจริงอีกแล้ว
ผมพยายามเก็บไดอารี่ที่ผมฉีก พร้อมสมุดต่างๆที่ถูกรื้อค้นเข้าไปในกล่องอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะเจอมุมของรูปถ่ายรูปหนึ่งที่โผล่ออกมาจากแฟ้มสีเลือดหมู ผมว่างสิ่งที่ผมถือ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบแฟ้มนั้นขึ้นมาจากก้นกล่องเพื่อเปิดมัน
สิ่งที่ผมเห็น คือรูปถ่ายของเด็กทารกทั้งสองคนที่มีหน้าอกติดกัน พร้อมกับชายหญิงคู่หนึ่งหน้าตายังหนุ่มสาว ผมรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นคือแม่ของผม แสดงว่าผู้ชายคนนี้ คือ พ่อของผม จริงๆ ใช่ไหม
น้ำตาผมไหลออกมาเรื่อยๆ ผมไม่สามารถอดกลั้นความรู้สึกทั้งหมดของผมได้เลย ร่างกายผมไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ผมอ่อนแรงเหลือเกิน มือผมสั่นขณะเปิดแฟ้มเล่มนี้ไปเรื่อยๆ ภายในนั้นมีเอกสารต่างๆมาก สีของข้อความอาจดูซีดๆตามกาลเวลาแต่ยังสามารถอ่านออกได้
'ใบสูติบัตร แฝดชาย ปอ
เด็กชาย ธาวิน ฤทัยภัทร เกิดเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2545'
ผมเปิดไปหน้าถนัดไป...
'ใบสูติบัตร แฝดหญิง ป่าน
เด็กหญิง ธารมิกา ฤทัยภัทร เกิดเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2545'
เหมือนทุกอย่างบนโลกนี้มันพังทลาย ผมทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงกับเรื่องนี้ ผมรู้สึกโกรธที่ผมเป็นคนเดียวที่ไม่ได้รับรู้เรื่องราว ผมมีแฝด แฝดที่เคยตัวติดกัน เคยผูกพันธ์กัน แต่กลับไม่เคยได้เจอกันเลย ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ป่านอยู่ที่ไหน ผมอยากเจอเหลือเกิน ผมได้แต่เปิดแฟ้มเล่มนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนพบจดหมายฉบับหนึ่ง หน้าซองมันระบุชื่อถึงแม่ผม ใจผมสั่นไม่เป็นจังหวะ เมื่อพยายามจะเปิดดูข้อความในซองจดหมายนั้น
'วันที่ 30 พฤษภาคม 2559
ถึงฝ้าย
นี่แม่เองนะ หลังจากที่ชลจากเธอไปมันคงทำให้เธอเสียใจไม่น้อย
แม่มีเรื่องหนึ่งอยากจะบอก ป่านจากไปแล้วนะ...’
เพียงแค่ผมอ่านสองบรรทัดแรกของจดหมายฉบับนี้ น้ำตาผมไหลออกมามากขึ้นเรื่อยๆ ผมรู้สึกเศร้าที่รู้ว่าคนที่ผมตามหาไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว ผมตั้งสติฝืนอ่านข้อความในจดหมายฉบับนี้ต่อไป
‘... การติดเชื้อไวรัสมันรุนแรง
ไม่สามารถจะเยื้อชีวิตได้แล้ว
แม่รู้เธอคงทำใจไม่ได้กับเรื่องนี้ งานศพของป่านต้องทำเพียงเงียบๆ
เพราะทางโรงพยาบาลกลัวมีการแพร่กระจายของเชื้อไปมากกว่านี้
แม่ขอให้เธอเข้มเเข็งนะ
ดูแลเจ้าปอให้ดี แม่ไม่รู้ว่าตอนนี้โตไปขนาดไหนเเล้วเนาะ
เข้มแข็งนะ สักวันเมื่อทุกอย่างพร้อม เราคงได้เจอกัน
แม่ยังรักฝ้ายเสมอนะ
สายนที'
ความทรงจำเมื่อห้าปีที่แล้วมันกลับมา ผมจำได้ดีมีอยู่ช่วงหนึ่งที่แม่ เปลี่ยนไปจากคนที่ร่าเริงคุยเก่ง กับเริ่มเก็บตัวดูความสุขในชีวิตหายไป ในวันนี้ผมรู้แล้วว่ามันเป็นเพราะอะไร
ห้าปีที่ผ่านมา ผมฝันถึงเรื่องราวของป่าน ป่านคงอยากจะบอกว่าตอนนั้นป่านได้จากไปแล้ว อยากให้ผมเก็บความทรงจำของคนที่เธอรักไว้
‘สัญญานะ’
เสียงของป่านดังเข้ามาในหัวของผมครั้งหนึ่ง ผมจำได้ดีความฝันของเธอที่สัญญากับคนที่เธอรัก... พี่ธาร ว่าจะเป็นหมอให้ได้จะอยู่เคียงข้างกันไปตลอด แต่เรื่องราวของเธอน่าเศร้าที่ต้องจากกับพี่ธารไป ความรู้สึกของป่านผ่านเข้ามาในใจของผมทั้งหมด ความรัก ความคิดถึง ความผูกพันธ์ ตอนนี้ผมรับรู้สิ่งที่เธอต้องการจะบอก และผมก็รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
'รักพี่ธารนะ'
ผมยังสับสนว่าแท้จริงแล้ว ความรู้สึกที่มีให้กับพี่ธารนั้นมันเป็นความรู้สึกของป่านหรือมันเป็นความรู้สึกของผมจริงๆ
สิ่งที่ผมได้ทำไปกับพี่ธารนั้น พี่ธารจะโกรธผมหรือเปล่า
พี่ธารจะเกลียดผมไหม
ผมกลัว ความรู้สึกตัวเอง...

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา