โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  110.95K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) ซีนาร์ย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

มีตำนานเก่าเล่าสืบต่อกันมาแต่ครั้งโบราณ   ในกาลก่อนเมื่อครั้งที่แผ่นดินยังเชื่อมต่อเป็นผืนเดียวกัน   เหล่าทวยเทพและซาตานยังคงอาศัยอยู่ร่วมกันบนพื้นโลก   ทั้งสองฝ่ายต่างทำสงครามห้ำหั่นกันอยู่เนืองๆ ในมหาสงครามครั้งสุดท้ายความวินาศก็เกิดขึ้นแผ่นดินแทบจะกลายเป็นนรก

  

เมื่อทั้งสองฝ่ายเห็นว่าสงครามไม่มีทางถึงกาลสิ้นสุดและความสูญเสียนั้นมากมายนัก   ทั้งเทพและซาตานจึงได้ทำสัญญาร่วมกันเพื่อยุติความขัดแย้งทั้งปวง   ต่างตกลงกันว่าจะไม่ย่างกรายเข้ามาในแผ่นดินนี้อีกพร้อมทั้งปลดปล่อยดินแดนแห่งนี้ให้เป็นของมนุษย์   เมื่อพวกเขาจากไปแล้วจึงเหลือเพียงชาวเวทที่ยังคงอยู่เพื่อกอบกู้ผืนแผ่นดินที่พังพินาศ 

 

 

ชาวเวทคือผู้มีพลังมนตราถึงแม้จะมีต้นกำเนิดที่ไม่แน่ชัด   แต่ว่ากันว่าเขาเหล่านั้นคือลูกครึ่งมนุษย์กับเหล่าทวยเทพ   ในเมื่อมีเชื้อสายของมนุษย์อยู่ในกายพวกเขาจึงมีสิทธิ์ที่จะอยู่บนโลกนี้หรือเมืองสวรรค์ก็ได้ตามแต่ใจปรารถนา  

  

ในกาลนั้นชาวเวทได้ร่วมกันบูรณะโลกใบนี้ขึ้นมาอีกครั้ง   เริ่มจากออกตามหาและช่วยเหลือมนุษย์ที่รอดชีวิต   ปลูกพืชพรรณไปในทุกที่ๆ เดินผ่าน   บันดาลฝนตกครั้งใหญ่เพื่อเก็บกวาดชะล้างสิ่งชั่วร้ายที่หลงเหลือจากสงคราม   ภายหลังจากนั้นโลกก็กลับมาสวยงามดังเมืองสวรรค์แห่งที่สอง  

 

 

กาลเวลาผ่านไปมนุษย์ได้ทวีจำนวนขึ้น   พวกเขากระจายกันออกไปตามพื้นที่ต่างๆ และสร้างเมืองของตนเองขึ้นมา   เมื่อไม่มีเทพหรือซาตานคอยชี้นำอีกทั้งเหล่าชาวเวทเองเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจแล้วก็แอบเร้นกายหายเข้าไปในที่เร้นลับอันห่างไกลไม่มาคอยดูแล   มนุษย์จึงริเริ่มที่จะสร้างผู้นำขึ้นมาจากกลุ่มของพวกเขาเอง

  

วันเวลาแห่งความสุขสงบผ่านมาเนิ่นนาน   จนกระทั่งมาถึงยุคอีกยุคหนึ่งมันเป็นยุคที่จิตใจของมนุษย์นั้นตกต่ำลง   พวกเขาทำสงครามกันเองเพื่อแย่งชิงดินแดนและจับมนุษย์ด้วยกันมาเป็นทาส   การปล้นฆ่าถือเป็นเรื่องปรกติที่เกิดขึ้นได้ทุกหย่อมหญ้า   จิตใจของพวกเขาสกปรกมีแต่ความจงเกลียดจงชังต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง   ในเวลานี้จิตใจของมนุษย์นั้นดำมืดเช่นซาตาน   ท่ามกลางความโกลาหลที่เกิดขึ้นบรรดาชาวเวทต่างเฝ้ามองมนุษย์ด้วยความกังวลใจ   จนกระทั่งชาวเวทผู้หนึ่งได้ลุกขึ้น   เขาประกาศว่ามนุษย์คือสิ่งชั่วร้ายไม่สมควรอยู่บนโลกที่สวยงามแห่งนี้หลังจากคำประกาศนั้นเขาก็ได้สร้างกองทัพของตัวเองขึ้นมา   กองทัพที่ประกอบด้วยสัตว์ร้ายและเศษเดนจากความตาย  

 

 

ทุกค่ำคืนที่ไร้แสงเดือน   เขาจะนำกองทัพอันน่าสยดสยองนั้นออกกวาดล้างมนุษย์ไปทั่วทุกหัวระแหง   เป็นที่เล่าขานสืบต่อกันมาเนิ่นนานว่าหากค่ำคืนใดเขาปรากฏกาย   ดาวทุกดวงจะดับแสงลงด้วยเมฆหมอกแห่งความตาย   เสียงแตรปีศาจดังโหยหวนในความมืดมิดจากห้วงเหวลึกอันไกลแสนไกล   ในคืนพระจันทร์อับแสงแห่งการสังหารเช่นนี้มนุษย์ทุกคนต่างหลบลี้หนีเข้าไปในบ้าน   ลั่นบานประตูแน่นหนาด้วยความหวาดกลัว   ผู้คนต่างขนานนามเขาผู้นี้ว่าซาเหวจหลอด      

 

 

ครั้นเมื่อซาเหวจหลอดผ่านหมู่บ้านใดที่นั่นเป็นอันต้องลุกเป็นไฟผู้คนล้มตายจนหมดสิ้น   ไม่ถูกไฟคลอกดำเกรียมก็ถูกสัตว์ร้ายถลกหนังกัดกินเนื้ออย่างไร้ปราณี   ชื่อเสียงของซาเหวจหลอดเป็นที่เลื่องลือและน่าหวาดหวั่นยิ่งนักในช่วงของยุคนั้น   จนกระทั่งมีหนึ่งมนุษย์กล้าปรากฏกายขึ้นเขารวบรวมผู้คนเข้าต่อต้านกองทัพปีศาจร้ายจากความมืดมิด  

 

มนุษย์ที่เกลียดชังกันจึงหันกลับมาหากันอีกครั้งเพื่อปกป้องตัวเองจากความโหดร้ายที่เกิดขึ้น   แต่แม้จะพยายามสักเพียงใดมนุษย์ก็ไม่อาจโค่นซาเหวจหลอดลงได้   พวกเขาล้มตายลงมากมายในการต่อสู้แต่ละครั้ง   ถึงกระนั้นก็ไม่มีสักครั้งที่พวกเขาจะย่อท้อ   จนในที่สุดชาวเวทที่หลบซ่อนอยู่ก็ออกมาช่วยเหลือมนุษย์ทำสงครามกับซาเหวจหลอด   สงครามในครั้งนั้นกินเวลายาวนานมากแต่ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็สังหารซาเหวจหลอดลงจนได้   และแล้วโลกก็กลับสู่ความสงบสุขดังเช่นกาลก่อนที่เคยเป็น   

 

 

วันเวลาเหล่านั้นผ่านมาเนิ่นนาน   จนเรื่องเล่ากลายเป็นนิทานจากกองกระดูกแห่งความกล้าหาญเหลือเพียงเถ้าธุลีดิน   จนกระทั่งถึงค่ำคืนหนึ่ง  ณ  บ้านหลังเล็กๆ ตั้งอยู่โดดเดี่ยวกลางทุ่งกว้าง   ที่นั่นมีเสียงร้องของหญิงท้องแก่ใกล้คลอดดังแว่วออกมาเป็นระยะ   ภายในบ้านหลังนั้นสว่างไสวด้วยไฟจากเตาผิง   หมอกลางบ้านสองคนมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก   พวกนางกำลังช่วยกันกดหน้าท้องของหญิงตั้งครรภ์คนหนึ่งเพื่อให้เด็กคลอดออกมา  

 

สามีของนางแอบหลบอยู่ในมุมมืดของห้องข้างๆ ถึงแม้นี่จะไม่ใช่ท้องแรกแต่เขาก็ทนดูสภาพนั้นไม่ได้   เขาไม่อยากเห็นเลือดของหญิงอันเป็นที่รัก   ความจริงเขาหวาดกลัวการหลั่งเลือดมาสักระยะแล้ว   มือข้างหนึ่งของเด็กชายตัวน้อยยื่นมาเกาะขาของเขา   ชายหนุ่มทรุดกายลงกอดเด็กคนนั้นเอาไว้   ไม่กี่อึดใจหลังจากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงหมอกลางบ้านร้องเรียก 

 

“ มานี่สิอาเธอร์มาดูลูกสาวของเจ้าต้องขอบคุณสวรรค์ที่ทั้งแม่และเด็กแข็งแรงดี ”

 

อาเธอร์พ่นลมหายใจออกมาอย่างโลงอกเขาก้าวเข้าไปในห้อง   เปลวไฟที่คุโชนส่องให้เห็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ ผิวสีแดง   หมอกลางบ้านชรากำลังจุ่มนางลงในน้ำอุ่นเพื่อทำการล้างเนื้อล้างตัว   อาเธอร์มองปอยผมสีทองบนศรีษะน้อยๆ นั้นด้วยความปลื้มปริ่มเขาหลงรักเด็กคนนี้ตั้งแต่แรกเห็น   นางคงจะมีผมสีทองสวยงามเหมือนคาโลไรน์ผู้เป็นมารดาของนาง

           

 

หลังจากทำความสะอาดเด็กน้อยด้วยน้ำอุ่นแล้ว   หมอกลางบ้านก็พลิกร่างเด็กขึ้นตบเบาๆ เด็กน้อยอ้าปากกว้างแต่แทนที่จะได้ยินเสียงร้องให้โยเยของเด็ก   พวกเขากลับได้ยินเสียงกรีดร้องน่าสยดสยองเสียงนั้นดังแหวกอากาศผ่านเหนือหัวของพวกเขาไป   เสียงมีอำนาจประหลาดที่แทบจะทำให้เลือดจับแข็ง  อาเธอร์ผงะถอยเสียงนั้นบาดลึกเข้าไปในความทรงจำ   ความหวาดกลัวความสิ้นหวังเสียดแทงขึ้นกลางใจจนแทบหายใจไม่ออก   เสียงร้องปริศนาดังขึ้นอีกครั้งแต่ครั้งนี้มันดังห่างออกไปทางทิศเหนือ   ในทันใดนั้นก็เกิดมีฟ้าคำรามขึ้นมาอย่างปุบปับมันดังกึกก้องตามติดมาด้วยสายฟ้าสีแดงอำมหิตวิ่งปราดไปทั่วแผ่นฟ้า   และแล้วฝนก็เทโครมลงมา

 

“ ฝนใช่ไหมนี่ ”

 

หมอกลางบ้านคนหนึ่งพูดเหมือนไม่แน่ใจในสิ่งที่เกิดขึ้น

 

“ ข้าไม่เคยพบเห็นฝนตกในช่วงฤดูนี้เลย ”

 

หมอกลางบ้านอีกคนรำพึงใบหน้าของนางมีวี่แววของความกังวลใจปรากฏอยู่

 

“ มันประหลาด   เสียงร้องนั่นก็ด้วยตัวอะไรช่างร้องได้วิปริตแท้ ”

 

ใช่มันประหลาดอาเธอร์เองก็รู้สึกเช่นนั้น   เขาจับจ้องดูแสงสีแดงวูบวาบที่กระทบกับกรอบหน้าต่างอะไรที่แปลกกว่าฝนหลงฤดู   สายฟ้าสีแดงน่ากลัวนั่นเขาก็เคยเห็นมาแล้วอะไรล่ะที่มันแปลก   กลิ่น! ใช่แล้วกลิ่นนั่นเองกลิ่นคาวเลือดมันคละคลุ้งอยู่ในอากาศแต่มันมีที่มาจากไหนกัน   ในขณะที่กำลังสับสนบุตรชายของเขาก็ถลันออกไปนอกบ้านด้วยความตื่นเต้นที่เห็นสายฝนหลั่งลงมาตามประสาเด็กน้อย

 

“ ฟิโลโซเฟอร์อย่าเล่นน้ำค่ำๆ มืดๆ แบบนี้เจ้าจะไม่สบายเอานะ ”

 

อาเธอร์ตะโกนตามแต่เด็กชายก็พ้นประตูออกไปแล้ว   

ฝนยังคงตกลงมาอย่างหนักหนักอาเธอร์จึงตัดสินใจออกไปตาม  

แต่เด็กชายก็กลับเข้ามาก่อน

 

“ ท่านพ่อ! ท่านแม่! ทำไมฝนเหนียวๆ แถมยังเหม็นคาวด้วย ”

 

ฟิโลโซเฟอร์เบ้ปาก   

ทุกคนหันไปมองเขาแล้วร้องลั่นเมื่อเห็นเด็กชายเปียกโชกไปด้วยเลือด

 

 

สิบปีต่อมา   เด็กหญิงคนที่เกิดในบ้านหลังน้อยในคืนนั้นก็เติบโตขึ้นพวกเขาเรียกนางว่าคาโอเรีย   ในแทบทุกเช้านางจะออกมานั่งที่หน้าบ้านเพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้น   แสงแดดอ่อนๆ ส่องกระทบตัวบ้านเกิดเป็นเงาทอดยาวออกไปด้านหลัง   ห่างจากตัวบ้านเล็กน้อยมีรั้วไม้เตี้ยๆ ขึงรอบสวนผักของคาโลไรน์ผู้เป็นมารดาของนาง   ภายในสวนผักเล็กๆ แห่งนั้นเต็มไปด้วยพืชผักนาๆ พันธุ์เบียดกันขึ้นอย่างหนาแน่นและอุดมสมบูรณ์   

 

มันเป็นเช้าที่อากาศสดใส   ดอกไม้สีสดเบียดเสียดกันอยู่ริมรั้วแข่งกันผลิช่อรับแสงอาทิตย์ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ฟุ้งในอากาศ   คาโอเรียกำลังเฝ้ามองการพลิกฟื้นตื่นจากการหลับใหลของสรรพสิ่งรอบกาย   ในเวลานี้มีควันลอยขึ้นจากปล่องไฟเหนือหลังคา   กระทบเข้ากับอากาศเย็นยามเช้าเกิดเป็นไอสีขาวลอยอ้อยอิงรอบตัวบ้าน   ช่วงเวลาอันสงบเรียบง่ายนี้คาโลไรน์กำลังยุ่งอยู่กับการปรุงอาหารในครัว 

 

บ้านดินหลังน้อยของนางตั้งอยู่บนเนินเล็กๆ ล้อมรอบไปด้วยทุ่งหญ้า   ตัวบ้านนั้นบิดาของนางนำหินจากแม่น้ำครายมาก่อเป็นรูปวงกลม   ฉาบทับด้วยดินเหนียวผสมมูลสัตว์หลังคากระเบื้องดินเผาเรียงซ้อนกันเป็นรูปโดมโค้งต่ำเพื่อป้องกันไม่ให้หิมะตกทับถมกันบนนั้น   บ้านของนางจึงมีรูปร่างเหมือนดอกเห็ดสีส้มขนาดใหญ่ที่มีปล่องไฟผุดขึ้นเหนือดอกที่กำลังเบ่งบาน   หน้าต่างกระจกและประตูไม้โอ๊กทำให้มันกลายเป็นเห็ดที่มีดวงตาแวววาวและปากสีน้ำตาลอมแดง   ข้างๆ บ้านยังมีบ่อน้ำเล็กๆ ที่มีน้ำใสสะอาดพอใช้ได้ตลอดปี

           

ท่ามกลางทุ่งหญ้าสีเขียวสดเราจะพบดอกเห็ดสีส้มขนาดใหญ่กระจายเป็นจุดๆ แน่นอนมันคือบ้านหลังใดหลังหนึ่งนั่นเอง   ชาวเมืองซีนาร์ยมีวัฒนธรรมในการสร้างบ้านคล้ายๆ กัน   นั่นคือบ้านทุกหลังจะหันหน้าไปทางทิศตะวันออก   หน้าต่างที่มีเพียงสองบานก็ต้องหันไปทางทิศตะวันออกเช่นกัน   ส่วนทิศตะวันตกนั้นเป็นทิศต้องห้ามลมที่พัดมาจากทางนั้นจะหอบเอาความเจ็บป่วยและความชั่วร้ายมาด้วย   จึงไม่ควรมีช่องทางใดๆ ให้ลมพัดผ่านเข้ามา   ความเชื่อดังกล่าวไม่แน่ชัดว่าเกิดขึ้นเพราะเหตุใด   แต่ชาวเมืองซีนาร์ยก็ยึดถือเป็นแนวปฏิบัติมาหลายชั่วอายุคน   

 

เช่นเดียวกับการที่เด็กหญิงคนหนึ่งนั่งรับแสงแรกของรุ่งอรุณในขณะที่น้ำค้างยังไม่เหือดแห้งไปจากยอดหญ้าซึ่งเชื่อกันว่าจะทำให้ร่างกายแข็งแรง   แต่เหตุผลที่แท้จริงที่คาโอเรียมานั่งอยู่ตรงนี้ก็เพื่อรอการกลับมาของบิดาและพี่ชายของนาง   พวกเขาขับเกวียนออกไปตั้งแต่เช้ามืดก่อนที่นางจะตื่นเสียอีก   คาโอเรียเป็นบุตรสาวคนเล็กของบ้านหลังนี้หลายคนบอกว่านางโชคดีแต่นางก็ไม่รู้ว่านางโชคดีเพราะอะไร   และดูเหมือนไม่มีใครสนใจจะเล่าให้ฟังเรื่องราวในวันแรกเกิดของนางนั้นผู้คนมักจะหลีกเลี่ยงที่จะกล่าวถึง

 

 

นอกจากแสงแดดยามเช้าแล้วคาโอเรียยังชื่นชอบพ่อค้าเร่   เพราะคนเหล่านี้มักนำสิ่งแปลกใหม่ที่หาไม่ได้ในซีนาร์ยเข้ามา   พวกเขามักจะมาพร้อมกับเกวียนบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่และนำเครื่องเหล็กหรือแม้กระทั่งผ้าไหม   นอกจากนั้นก็ยังนำสินค้าหน้าตาแปลกประหลาดมาด้วย    แต่ไม่บ่อยนักที่เกวียนเหล่านั้นจะแวะเวียนผ่านประตูรั้วไม้สีขาวเข้ามาเพื่อให้คาโลไรน์เลือกซื้อของที่จำเป็น   อย่างหม้อโลหะหรือไม่ก็กับดักสัตว์สำหรับอาเธอร์   สิ่งของเหล่านี้ไม่มีผลิตในซีนาร์ยดินแดนแห่งนี้อุดมไปด้วยผลิตผลที่เติบโตขึ้นจากพื้นดินเท่านั้น

           

เด็กๆ ดูจะชอบใจเวลาที่มีพ่อค้าเร่ผ่านเข้ามา   คาโอเรียมักจะได้ตุ๊กตาผ้าบางทีก็สร้อยลูกปัดสีสดใส   ส่วนฟิโลโซเฟอร์พี่ชายของนางสนใจการเดินทางของพ่อค้าเร่มาก   เพราะเขามีความใฝ่ฝันว่าสักวันหนึ่งเขาจะออกเดินทางผจญภัยไปยังดินแดนที่เขาไม่เคยเห็น   ครั้งหนึ่งเขาเคยขอดาบเล็กๆ ทำจากโลหะแวววาวแม้จะเป็นแค่ดาบของเล่นแต่มารดาของเขาก็คัดค้าน   เขาจึงหันไปเล่นระเบิดเพลิงที่เป็นของเล่นเด็กอีกเช่นกันซึ่งเวลาจุดจะเกิดเปลวไฟสีเขียวลุกท่วมบ้าน   แต่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ กระนั้นก็ยังถูกคาโลไรน์โวยวายลั่นหาว่าเล่นอะไรแผลงๆ

 

            จากหน้าบ้านของคาโอเรียถ้าเดินตามถนนขึ้นไปทางเหนือประมาณสองไมล์ก็จะไปถึงตัวเมือง   ที่นั่นเป็นแหล่งแลกเปลี่ยนสินค้าที่สำคัญจึงพลุกพล่านไปด้วยผู้คนมากมายรวมทั้งพ่อค้าต่างเมืองด้วย   ชาวเมืองซีนาร์ยมีนิสัยที่ค่อนข้างจะเป็นมิตรจึงมีผู้คนต่างถิ่นแวะเวียนเข้ามาเสมอ   ในเมืองมีทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นห้องพักค้างแรม  ร้านค้าใหญ่น้อย   โรงเรียนและสถานพยาบาลขนาดใหญ่   อาคารทุกหลังล้วนเป็นรูปดอกเห็ดที่ผุดขึ้นมาอย่างเบียดเสียดไม่ต่างจากดงเห็ดยักษ์   แต่เป็นเห็ดยักษ์ที่มีสีสัน

 

โรงเรียนตั้งอยู่ห่างจากความแออัดของเมืองออกมาเล็กน้อย   ตัวอาคารมีรูปทรงแปลกตาเพราะสร้างเป็นแท่งรูปทรงขอนไม้ล้ม   มันเป็นโรงเรียนแห่งเดียวของเมืองนี้คาโอเรียและพี่ชายก็เรียนที่นี่ด้วยเช่นกัน   ข้างๆ รั้วโรงเรียนเป็นบ้านเก่าแก่ของแม่มดเฒ่า   นางมีชื่อเสียงมากในเรื่องการปรุงยาใครๆ ต่างก็เรียกนางว่าแม่มดขาว   นางเป็นแม่มดใจดีที่ช่วยรักษาชาวเมืองจากโรคประหลาดที่เกินกำลังของสถานพยาบาล   ไม่มีใครรู้ว่านางมีชื่อจริงว่าอย่างไรเพราะนางเองก็จำไม่ได้เสียแล้ว   ตลอดชีวิตอันยาวนานนางไม่เคยไปจากซีนาร์ยเลย   แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังได้พบเห็นเรื่องราวต่างๆ มากมาย   แต่ไม่เคยมีครั้งใดในชีวิตที่จะร้ายแรงเท่าเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดกับซีนาร์ย

 

 

ถนนสายหน้าบ้านนี้นอกจากพ่อค้าเร่แล้วชาวนาหลายคนยังใช้เส้นทางนี้ผ่านไปยังไร่นาของตน   ในบางครั้งอาจจะพบเข้ากับพวกนักเดินทางพวกเขาไม่ได้มาค้าขายและไม่ได้มาเยี่ยมเยือนใคร   เพียงแต่พวกเขาอาศัยเส้นทางนี้ผ่านไปเท่านั้นเอง   คนพวกนี้บางครั้งก็ร่วมเดินทางมาเป็นกลุ่มใหญ่แต่ก็มีไม่น้อยเลยที่เดินทางเพียงลำพังและที่สำคัญพวกเขามีอาวุธ   ในความเห็นของคาโอเรียพวกนักเดินทางเป็นกลุ่มคนที่น่ากลัวซึ่งมารดาของนางก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง   คาโลไรน์ให้เหตุผลว่าคนที่พกพาอาวุธอย่างเปิดเผยเป็นพวกป่าเถื่อนและมักมีกิริยาก้าวร้าวไม่สมควรที่จะให้เด็กๆ เข้าใกล้

 

 

เด็กหญิงคาโอเรียยังนั่งอยู่ที่เดิมปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า    เส้นผมสีทองของนางสะบัดเบาๆ ตามแรงลม   นางกำลังคิดถึงโรงเรียนมันปิดไปสองอาทิตย์แล้วตั้งแต่เด็กชายคู่แผดตระกูลเฟลดเดอร์ไรเสียชีวิตด้วยโรคประหลาด   และเด็กอีกหลายคนเริ่มมีอาการป่วยหลังจากนั้นก็ไม่มีใครยอมให้เด็กๆ ไปโรงเรียนอีก   ดูเหมือนว่าโรคนี้จะแพร่ระบาดเฉพาะในกลุ่มเด็กๆ ไม่มีใครเข้าใจว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น   เช่นเดียวกับที่นางไม่เข้าใจว่าทำไมจึงไม่มีเด็กใหม่ไปโรงเรียนทั้งที่นางไปเรียนได้สามปีแล้ว   แต่นางก็ยังเป็นระดับที่เด็กที่สุดในโรงเรียนอยู่ดี   นางไม่เคยรู้เลยว่าแท้จริงแล้วนางมีอายุน้อยที่สุดในเมือง   เพราะหลังจากค่ำคืนที่นางเกิดแล้วก็ไม่มีหญิงคนใดให้กำเนิดบุตรได้อีกเลย

 

ขณะกำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่นั้นก็มีเสียงม้าวิ่งตรงเข้ามา   นางหันไปมองด้วยความหวังว่าจะเห็นม้าแกลบคู่ตัวอ้วนพีเทียมมากับเกวียนลำใหญ่โดยมีอาเธอร์นั่งคุมเกวียนอยู่   ส่วนฟิโลโซเฟอร์พี่ชายของนางอาจจะนอนเอกเขนกอย่างเกียจคร้านอยู่บนกองฟืนที่ขนมา   แต่สิ่งที่เห็นกลับเป็นม้าศึกพันธุ์ดีลำตัวสีน้ำตาลเข้มมีดาวสีขาวประดับกึ่งกลางหน้าผาก   ผู้ที่นั่งมาบนหลังของมันคือชายแก่ร่างสูงเขาแต่งกายด้วยเสื้อคลุมเก่าๆ และขาดวิ่น   หมวกปลายแหลมถูกลมปะทะเอียงไปด้านหลังอย่างหมิ่นเหม่จนน่ากลัวว่าจะร่วงหล่นไปชั่วขณะใดขณะหนึ่ง   ชายแปลกหน้าควบม้ามาเต็มเหยียดคาโอเรียคิดว่าเขาคงจะผ่านหน้าบ้านของนางไป   แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่   ม้าตัวนั้นกระโจนข้ามรั้วไม้สีขาวเข้ามาโดยไม่สนใจประตูที่เปิดอ้าอยู่   มันพุ่งตรงเข้ามาใกล้จนคาโอเรียมองเห็นความเหี่ยวย่นบนใบหน้าที่ปรากฏอยู่ภายใต้เงามืดของหมวกใบนั้น   คาโอเรียลุกพรวดพราดขึ้นและด้วยการกระโจนเพียงครั้งเดียวนางก็ขึ้นไปอยู่บนบันไดหินขั้นที่สามที่ทอดไปสู่ประตูหน้า   เด็กหญิงวิ่งผ่านประตูเข้าไปหาที่กำบังหลังกระโปรงพลิ้วยาวของผู้เป็นมารดา

 

“ อะไรกันน่ะคาโอเรีย! เกิดอะไรขึ้น ”

 

คาโลไรน์เสียงดุ

 

“ เด็กผู้หญิงน่ะเขาไม่วิ่งวุ่นวายเป็นลิงน้อยกันหรอกนะ ”

 

“ มีใครบางคนเข้ามาในบ้านข้าไม่เคยพบเห็นคนผู้นี้มาก่อนเลยท่านแม่ ”

 

คาโลไรน์จ้องไปยังประตูที่เปิดค้างอยู่มือข้างหนึ่งยังคงถือเหล็กคีบเนื้อเอาไว้   นางนึกไม่ออกว่าใครจะแวะมาเยือนในช่วงเวลาเช้าตรู่เช่นนี้   แล้วชายชราก็ปรากฏกายขึ้นที่หน้าประตูเขาดึงหมวกออกเผยให้เห็นเส้นผมที่ขาวโพลน   หนวดเคราที่ยาวระถึงอกนั้นก็เป็นสีขาวดุจหิมะ   คาโอเรียยังคงหดอยู่หลังคาโลไรน์ในขณะที่ชายชราจ้องมองนางอย่างเปิดเผย

 

“ ท่านดีมีนพ่อมดอาวุโสแห่งโอรีเวีย ”

 

นางอุทานด้วยสีหน้าประหลาดใจ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา