โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  113.56K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

102) เพื่อเจ้าแล้วข้ายอมแลกทุกอย่าง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

เด็กชายฟิโลโซเฟอร์นอนเอาผ้านวมคลุมหัว   ไม่ใส่ใจกับเสียงสายลมที่ครางหวีดหวิว   หรือแม้แต่เคอร์คารอลที่บินโฉบไปมารอบๆ ตัวบ้าน   ขณะนี้เป็นเวลากลางวันหรือกลางคืนก็ไม่อาจรู้ได้   เพราะทุกอย่างตกอยู่ในความมืดมิดไร้ที่สิ้นสุด

 

สายลมแรงกระแทกเข้ากับตัวบ้านอีกครั้ง   ตามมาด้วยเสียงคล้ายกรงเล็บขนาดใหญ่   ครูดไปตามผนังด้านนอกของตัวบ้าน   ฟิโลโซเฟอร์ตวัดผ้าห่มออกจากร่าง

 

มองเห็นดารีลกำลังยกมือปิดหน้า   เกลือกกลิ้งร่างไปมาบนที่นอนด้วยท่าทางทุรนทุราย   แหวนรูปงูบนนิ้วของเขาส่องประกายประหลาด

 

เด็กชายรีบคลานเข้าไปหา   พยายามเรียกชื่อแต่ไร้การตอบรับ   ฟิโลโซเฟอร์จึงกดร่างบอบบางนั้นแนบลงบนเตียง   เพราะไม่อยากให้เขากลิ้งไปกระแทกกำแพงจนบาดเจ็บ  

 

สายฟ้าฟาดลงใกล้ๆ ดารีลเลื่อนมือมาปิดปาก   เด็กน้อยรู้ว่าเขากำลังจะกัดมือตัวเองจึงได้ดึงมือนั้นออก  

 

แล้วส่งข้อมือตัวเองให้แทน   เขารู้สึกถึงคมเขียวที่บาดลงในผิวจนเจ็บแปลบ   แต่นั่นหาใช่สาระสำคัญไม่

 

เสียงกรงเล็บลากยาวมาถึงหน้าประตูบ้าน   หนุ่มน้อยคนนั้นสะดุ้งเฮือก   พลางชี้นิ้วข้างที่สวมแหวนไปที่ประตู   เสียงทุกอย่างก็เงียบกริบลง   ดารีลนั้นเริ่มหอบหายใจหนักหน่วง   เลือดสีเข้มซึมมาถึงขอบริมฝีปาก

 

ฟิโลโซเฟอร์ครางเบาๆ เขาซับเลือดนั้นด้วยมืออันสั่นระริก  

 

พ่อมดน้อยกระพริบตาถี่

เหมือนว่าสตินั้นจะคืนมาแล้ว

 

“ ข้าไม่เป็นไร ”  

 

เขาบอกด้วยรอยยิ้มบางๆ

 

“ นี่เรากำลังรอความตายอยู่หรือเปล่า ”

 

เด็กชายเอ่ยถาม

 

“ เจ้าไม่ตายหรอก ”

 

ดารีลว่า

 

“ อย่างน้อย   ตราบที่ข้ายังอยู่เจ้าจะไม่เป็นอะไร ”

 

นี่คือคำตอบของความสงสัยทั้งปวง   ว่าเหตุใดเขาจึงยืนอยู่ได้ในขณะที่คนอื่นล้มลง   นั่นเป็นดารีลทุ่มพลังรักษาทั้งหมดมาที่เขา   เป็นครั้งแรกที่เด็กชายตัวน้อยนั้นรู้สึกว่าดารีลช่างโง่นัก   เขาควรปกป้องตัวเองให้แข็งแรงเอาไว้มิใช่หรือ   เพราะตัวเขานั้นสำคัญกว่าคนทั้งปวง  

 

 

ฟิโลโซเฟอร์ลุกขึ้นไปหยิบเสื้อคลุมมาสวม   เขาจะต้องออกไปข้างนอก   ถึงแม้จะรู้ว่าลมพายุนั้นรุนแรงเพียงใด   เขาไม่สนอะไรทั้งนั้นต่อให้มีสิบเคอร์คารอลยืนเรียงรายรอต้อนรับที่หน้าประตู   ก็ไม่ทำให้รู้สึกหวั่นไหวแม้แต่น้อย  

 

เด็กชายกลับขึ้นไปบนเตียง   คลุมผ้าให้ดารีลที่กำลังหลับ   เขาเกลี่ยเส้นผมออกไปจากใบหน้าขาวซีดนั้นอย่างแผ่วเบา   ในใจก็นึกสงสัยว่าใครกันช่างโหดร้าย   กล้าทำลายสิ่งที่งดงามที่สุดได้

 

ฟิโลโซเฟอร์บีบมือของดารีลด้วยความห่วงใย   แต่นั่นกลับกระตุ้นให้หนุ่มน้อยคนนั้นตื่น   เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าสวมชุดคลุมหนา   เขาก็คว้าข้อมือเอาไว้

 

“ จะไปไหน ”

 

“ ข้าจะไปตามคนมาช่วย ”

 

เด็กชายตอบ

 

“ ใคร   เจ้าไม่รู้หรือพ่อมดดีมีนไปต่างเมือง ”

 

“ ข้ารู้ ”

 

“ เจ้าจะไปหาใครกันแน่ ”

 

ดารีลมีท่าทีหวาดระแวง

 

เด็กชายก็เอาแต่ก้มหน้าไม่กล้าตอบคำถามนั้น

 

“ เช่นนั้น   บอกมาว่าจะไปที่แห่งใด ”

 

“ ข้าไปไม่ไกลหรอก   แค่หัวมุมถนนตรงสี่แยกเปลี่ยวร้างสักที่ ”

 

พ่อมดน้อยตกตะลึง

 

“ เจ้าจะไปหาสตรีชุดแดง   ข้าบอกเจ้าแล้ว ”

 

“ ใช่   เจ้าบอกข้า   เจ้าบอกว่าคำแนะนำของนางเชื่อถือได้   แม้เจือด้วยความประสงค์ร้ายก็ตามที   แต่ข้ามั่นใจว่าจะสามารถรับมือนางได้   ข้าตั้งใจเก็บนางไว้เป็นทางเลือกสุดท้าย   และตอนนี้เราก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ” 

 

เด็กชายขึ้นเสียง

 

“ นางไม่ใช่ทางเลือก   ไม่สมควรคิดถึงนางเสียด้วยซ้ำ   ข้าบอกว่าข้ายังไหวเจ้าไม่เชื่อหรือไง ”

 

ฟิโลโซเฟอร์น้ำตาร่วง

เขาพร้อมจะเชื่อดารีลทุกอย่าง

 

เว้นแต่เรื่องนี้เรื่องเดียว

ที่ไม่อาจทำใจให้เชื่อได้แล้ว

 

หนุ่มน้อยกำมือให้กระชับเข้า

ทำให้รับรู้ว่าเรี่ยวแรงนั้นบางเบาเพียงใด

เด็กชายใจหายวาบ

 

ดารีลเคยแข็งแกร่งเสมอ

เกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่

 

แต่ฟิโลโซเฟอร์ก็ไม่กล้าดึงมือนั้นออก

ทำได้แค่เพียงนิ่งอยู่

 

และคิดว่าเมื่อดารีลหลับ

เขาจะรีบไปให้เร็วที่สุด

 

เพื่อเจ้าแล้วข้ายอมแลกทุกอย่าง

 

เสียงร้องกรีดแหลมดังขึ้นอีกคราวนี้มันดังตรงหน้าประตูเลยทีเดียว

เหมือนบ้านทั้งหลังสั่นไหว

ไฟในเตาดับวูบเหลือเพียงถ่านแดงๆ ที่ยังพอให้แสงสวาง

 

ดารีลสูดลมหายใจเฮือก

เขาเริ่มทุรนทุรายอีกครั้ง

 

ฟิโลโซเฟอร์กดไหล่เพื่อนรักเอาไว้

ไม่อยากให้เขาดิ้นรนมากไปกว่านี้

ในใจรู้สึกเดือดดาลเป็นอย่างมาก

 

สิ่งที่อยู่ด้านนอกจะเป็นผู้ใช้มนต์ดำหรือปีศาจก็ตามแต่

เขาไม่กลัวแม้แต่น้อย

 

ในความมืดสลัวดารีลได้พูดบางอย่างกับเขา

แต่เสียงนั้นแผ่วเบาแทบไม่ได้ยิน

 

เด็กชายจึงก้มลงไปเอาหน้าแนบชิด

 

“ ดาบของเจ้าล่ะ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์คว้าดาบโบราณเล่มนั้น

ส่งให้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด

 

อัญมณีสีแดงที่ประดับตรงด้ามดาบส่องประกายสีแดงเข้มสุดอำมหิต

แต่เมื่อดารีลเอื้อมมือไปสัมผัส

ประกายนั้นก็เปลี่ยนไปเป็นสีแดงอบอุ่นงดงามในทันที

 

แล้วทุกอย่างก็หยุดลงอย่างกะทันหัน

ความมืดหายไปพร้อมกับแสงสว่างที่ปรากฏบนท้องฟ้า

 

ไฟในเตาก็กลับมาสว่างไสว

เสียงลมเสียงกรีดร้องหายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่

 

ฟิโลโซเฟอร์เปิดม่านหน้าต่างให้แสงแดดทอเข้ามา

แม้จะไม่ทำให้อุ่นมากนักแต่ก็ใจชื้นขึ้นได้

 

ดารีลนั้นหลับไปอีกครั้งด้วยลมหายใจที่สม่ำเสมอ

สีเลือดเริ่มกลับมาปรากฏบนใบหน้า

 

เด็กชายวางดาบเล่มนั้นไว้ใกล้ๆ เขา

จับสองมือวางประสานกันตรงช่วงท้อง

แล้วคลุมผ้าให้

 

ดารีลเวลาหลับนั้นเหมือนเด็ก

งดงามบริสุทธิ์และไร้เดียงสา

 

ต่างกับตอนตื่น

ที่ดูเคร่งขรึมและเจ้าระเบียบตลอดเวลา

 

เด็กชายชาวซีนาร์ยเดินไปเปิดประตูบ้าน

เขาต้องตกตะลึง

ที่เห็นทุ่งหญ้าสีเขียวฉาบไปด้วยน้ำแข็ง

 

แม้แต่บนกลังคาบ้านก็ยังมีน้ำแข็งงอกลงมาเป็นแท่งๆ

ราวกับเขี้ยวของปีศาจร้าย

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา