โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  113.63K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

162) ศพฟื้น

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

เด็กน้อยทั้งสามถูกร่างที่ตายไปแล้วล้อมเอาไว้   พวกมันคือผู้คนในยุคก่อนที่ตายในสงคราม   แต่ด้วยจิตที่หื่นกระหายในอำนาจวิญญาณจึงไม่ยอมเดินไปตามทางที่ถูกที่ควร   ต่างจองจำตนเองเอาไว้ในร่างที่แห้งกรังด้วยหวังจะคืนชีพในสักวันหนึ่ง   กลิ่นเนื้อกลิ่นของเด็กน้อยทั้งสามปลุกพวกมันขึ้นมา   จิตวิญญาณที่นิยมการเข่นฆ่าได้พาร่างเหล่านี้ตื่นขึ้น   เพื่อลิ้มลองรสเลือดอีกครั้ง

 

“ ศพคืนชีพ   ไหนว่าแพสทรูแลนด์มิใช่สุสานอย่างไรล่ะ   เหตุใดมีศพคืนชีพ ”

 

โลธอร์ท้วง

 

“ ในตำราบอกว่าเป็นเมืองเก่าจะเรียกว่าสุสานได้อย่างไรล่ะ ”

 

สหายร่างผอมตอบ

 

“ ตำราของเจ้ามันเห่ย ”

 

“ ใครจะไปนึกล่ะว่าจะเอาศพมาทิ้งมากมายโดยไม่ทำพิธีส่งวิญญาณให้เรียบร้อย   มันไม่เกี่ยวกับว่าที่นี่หรือที่ไหน   แต่ถ้าเก็บศพไม่ดีเรื่องศพฟื้นก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ”

 

“ ข้าว่าเรื่องนั้นเอาไว้ทะเลาะกันวันหลังก็ยังไม่สาย   ช่วงเวลานี้มาช่วยกันคิดหาทางแหวกออกไปจากวงล้อมผีดิบนี่ไม่ดีกว่าหรือ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์เตือน

 

“ มันไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น   ดูสินอกจากจะเดินเชื่องช้าแล้วร่างกายยังใกล้ผุพังเต็มที   อย่างนี้ไม่เรียกว่าผีดิบอย่างมากก็เป็นได้แค่ศพฟื้นชั้นต่ำ   ในการขุดเหมืองมีบ้างที่บังเอิญไปโผล่กลางสุสานเรื่องเล่าของปู่ทวดสนุกจะตาย ”

 

เด็กร่างอ้วนกล่าว

เขาถีบผีตนหนึ่งที่เดินเข้ามาใกล้จนล้มลงร่างแตกกระจาย

 

“ แต่จำนวนมากขนาดนี้ล้มทับเราคนละทีถึงขั้นจุกตายได้เลยนะ ”

 

อีเลียสแย้ง

 

“ แล้วใครจะปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนั้นเล่า ”

 

ว่าแล้วเจ้าเด็กร่างอ้วนก็ฉุดสหายออกวิ่ง

โดยเขาเป็นคนเปิดทางและฟิโลโซเฟอร์รั้งท้าย

 

เหล่าผีลืมกลบหลุมต่างล้มไม่เป็นท่า

เมื่อเด็กชายทั้งสามผ่านไป

 

ในที่สุดพวกเขาก็แหวกกลุ่มผีกลับเข้ามาในอาคาร

หลบซากแห้งตายมายังห้องอีกห้องหนึ่ง

จากสภาพดูอย่างไรก็ห้องจักเลี้ยง

ทั้งถ้วยจานราคาแพง

และโต๊ะยาวที่หล่อมาจากทองคำ

 

“ อยากให้เหมืองแถวบ้านข้าเป็นแบบนี้จริงมีทั้งทองคำและสุรา ”

 

โลธอร์ว่า

 

“ รวมศพฟื้นพวกนั้นด้วยหรือเปล่ามีราคาเหมือนกันนะ ”

 

อีเลียสแทงเข้าให้ด้วยคำพูด

 

“ ย่อมได้พวกนั้นกำจัดง่ายจะตายว่าแต่ตอนนี้เอาอย่างไรต่อไปดี ”

 

เจ้าของร่างอ้วนกลมว่า

พลางหยิบช้อนทองคำขึ้นมาพิจารณา

 

“ วางเอาไว้ที่เดิม ”

 

อีเลียสสั่งเสียงเฉียบขาด

 

“ ทำไมล่ะ   แพสทรูแลนด์ถูกทิ้งร้างก็เท่ากับสมบัติเหล่านี้ไม่มีเจ้าของและข้าไม่ได้ขโมย ”

 

“ แต่มันหนัก ”

 

คนผอมแห้งกว่ากัดฟันพูด

 

“ ในช่วงเวลาเป็นหรือตายยังจะหาอะไรมาถ่วงร่างบ้าไปแล้วหรืออย่างไร ”

 

“ แค่ช้อนไม่กี่อันมันไม่หนักหรอกรู้ไหม   ข้ากลัวว่าปีหน้าหากเกิดสงครามพวกเราจะไม่ได้เจอกันอีก   นี่จะช่วยให้เรามีงานเลี้ยงที่หรูหรา ”

 

โลธอร์ว่า

 

“ ข้ามีปัญญาจ่ายถ้าเจ้าอยากได้งานเลี้ยงนักล่ะก็ข้าจ่ายเอง ”

 

อีเลียสบอก

 

“ ข้าก็มี   แต่ข้าอยากจ่ายด้วยเงินของข้าเองไม่ใช่ขอพ่อแม่ ”

 

“ ด้วยการลักขโมยนี่นะ ”

 

“ ไม่มีเจ้าทุกข์เรียกว่าขโมยได้ด้วยหรือ ”

 

โลธอร์แย้ง

 

“ นั่นไงเจ้าทุกข์มาโน่นแล้ว ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ชี้ให้ดูประตูที่เปิดค้าง

ร่างผอมแห้งแทบจะเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก

กับดวงตาสีโปนๆ แทบถลนออกมานอกเบ้า

กำลังคืบคลานเข้ามา

 

“ เกรบ็อค ”

 

เด็กชายร่างผอมอุทานใบหน้าซีดเผือด

ความทรงจำสุดเลวร้ายในงานเลี้ยงแห่งโอรีเวีย

ตอนนั้นพวกเขามีนักสู้ยืนเคียงข้างมากมาย

แต่ตอนนี้มีแค่สาม

 

“ มันอีกแล้วหรือ ”

 

โลธอร์ส่งคบไฟให้เพื่อนรัก

พวกเขาพยายามยืนให้เงียบที่สุด

 

“ ยืนข้างหลังข้า ”

 

“ วันนั้นเจ้ายังห้าวอยู่เลยวันนี้เป็นอะไรไปล่ะ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์สงสัย

เพราะเขาเคยเห็นอีเลียสสู้กับสัตว์ประหลาดตัวนี้

 

“ ก็ตอนนั้นมีดารีลด้วยนี่นาแล้วผู้ใช้เวทมนตร์คนอื่นก็อยู่ไม่ไกล   ตอนนี้มีแค่เราแถมมาอยู่ในที่แบบนี้โดยไม่ได้รับอนุญาต   ถ้าเกิดตายไปคงมีแต่คนประณามข้าที่อยู่ในกฎระเบียบอย่างเคร่งครัดหากต้องมาตายทั้งอย่างนี้ถูกต้องที่ไหน   ขายหน้าวงศ์ตระกูลเป็นที่สุด ”

 

“ เจ้าไม่ตายหรอก ”

 

เด็กชายชาวซีนาร์ยพุ่งเข้าไปตัดหัวเกรบ็อคตัวแรกที่อยู่ใกล้ประตูที่สุด

แล้วใช้ดาบตัดผ้าม่านประดับผนังลงมาจุดเป็นกองไฟขวางประตูไว้

 

“ เจ้าเผาของล้ำค่าขนาดนั้นได้อย่างไรผ้าทอลายนั้นมีสัญลักษณ์แห่งเมืองแพสทรูแลนด์ ”

 

อีเลียสประท้วง

 

“ ตอนนี้มันเป็นแค่เศษผ้าจะมีราคามากไปกว่าเราทั้งสามได้อย่างไร   อีกอย่างถ้าข้าสามารถเอาขาโต๊ะทองคำมาใช้แทนฟืนได้ข้าทำไปนานแล้ว ”

 

เด็กชายว่า

เขาดึงห่อกำยานออกมาจากกระเป๋า

แล้วเทลงในกองไฟ

 

“ นั่นดารีลให้เจ้ามาด้วยหรือ   หมอนี่ลำเอียงสุดๆ ไม่ไหวเอาเสียเลย ”

 

โลธอร์ถาม

 

“ ข้าซื้อมาจากตลาดต่างหากล่ะ   ดารีลเคยบอกว่าเกรบ็อคไม่ถูกกับกลิ่นฉุนรุนแรง   ดังนั้นอะไรที่สร้างกลิ่นได้ก็มีประโยชน์ทั้งนั้น ”

 

“ แต่เจ้าปิดทางรอดของเรานะห้องนี้มีประตูเดียว ”

 

อีเลียสเตือน

 

เด็กชายตัวน้อยๆ มองไปรอบๆ แล้วเห็นเป็นจริงดังนั้น

เขาลองกระชากผ้าทอฝืนยาว

และพบว่ามันมั่นคงดี

 

ฟิโลโซเฟอร์ใช้ผ้าต่างเชือกปีนขึ้นไปยังระเบียงชั้นบน

ส่วนโลธอร์แม้จะอวบอ้วนสมบูรณ์แต่เขากลับสามารถปีนป่ายได้อย่างคล่องแคล่ว

 

มีเพียงอีเลียสเท่านั้นที่ไม่กล้าปีน

เขาใช้ชายผ้าทอผูกร่างไว้แล้วให้เพื่อนๆ ช่วยดึง

จึงรอดพ้นจากกรงเล็บของเกรบ็อคที่เริ่มฝ่ากองไฟเข้ามาได้

 

มีหลายตัวพยายามปีนผ้าม่านตามขึ้นมา

โลธอร์จึงคว้าคบไฟไปจุดใส่ผ้าและมันก็ลุกลามไปติดสัตว์ปีศาจเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว

พวกมันวิ่งพล่านไปชนกันและไฟก็ติดไปยังตัวที่เหลือ

เสียงกรีดร้องและเสียงตะกายเอาตัวรอดดังระงม

 

“ มิน่าหมอนั่นเตือนให้ระวังไฟพวกนี้ตัวอย่างกับทาน้ำมันติดไฟเร็วจนน่ากลัว ”

 

เด็กชายร่างอ้วนหมายถึงดารีล

 

“ เขาถูกขังในที่แบบนี้จริงหรือ   ให้ตายสินี่มันฆ่ากันชัดๆ ใครจะอยู่ได้พวกนั้นบ้าไปแล้วหรืออย่างไร ”

 

อีเลียสว่าบ้าง

 

เด็กชายชาวซีนาร์ยไม่กล่าวอะไร

เขาเพียงส่องไฟไปรอบๆ

 

“ เรารีบไปจากที่นี่กันก่อนที่จะโดนย่างสดดูสิไฟโหมแรงเกินไปแล้ว ”

 

อีเลียสเตือน

 

ดังนั้นเด็กๆ จึงหาทางไปต่อ

ด้านหน้านั้นคือระเบียงแคบๆ ที่มืดมิด

ความร้อนจากเปลวไฟที่พวกเขาทำขึ้นได้ปลุกให้ค้างคาวผีตื่นขึ้นมา

 

ไม่นานหลังจากนั้นมันก็พุ่งโจมตีเด็กๆ

จนพวกเขาต้องดึงหมวกฮู้ดลงมาปิดบังใบหน้า

ก้มตัวลงต่ำแล้ววิ่งหนีกระเจิดกระเจิง

 

และเป็นฟิโลโซเฟอร์ที่เกิดพลัดหลงกับเพื่อนๆ จนได้

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา