โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  113.61K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) อำลา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

คาโลไรน์ยื่นห่อผ้าสีน้ำตาลให้กับพ่อมดเฒ่า  

ข้างในบรรจุด้วยอาหารและผลไม้แห้ง

 

“ โปรดรับสิ่งนี้ไว้เถิดมันเป็นอาหารที่ข้าพอจะจัดหาให้ท่านได้ในเวลานี้ ”

 

“ โอ! ในที่สุดก็มีเสบียงเส้นทางของข้าไม่มีร้านอาหารให้แวะได้บ่อยๆ หรอกนะขอบใจเจ้ามาก   จริงสิข้ามีของฝากมาให้เด็กๆ ด้วย ”

 

ประโยคหลังพ่อมดพูดเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้

เขาดึงธนูคันเล็กออกมาจากเสื้อคลุมมอบให้แก่ฟิโลโซเฟอร์ 

เด็กชายรับไว้ด้วยมืออันสั่นเทานี่เป็นอาวุธชิ้นแรกของเขาถ้าไม่นับดาบไม้ที่เขาเหลาเอง

 

“ ข้าทำมันขึ้นมานานแล้วตั้งใจมอบให้เจ้าเป็นของขวัญทันทีที่เราพบกัน   คันธนูน่ะทำจากไม้แอสเชียวนะและจงรู้ไว้ด้วยว่าด้วยคาถาของข้าลูกศรที่ถูกปล่อยจากธนูคันนี้มันสามารถพุ่งเข้าหาเป้าหมายได้เองแม้เจ้าจะยิงฝ่าไปในความมืดมันก็จะไม่พลาดเป้า   แต่เจ้าจงเล็งให้ดีเสียก่อนเพราะคาถานี้จะเสื่อมไปเมื่อเจ้าโตเป็นหนุ่มถึงเวลานั้นแล้วเจ้าอาจกลายเป็นมือธนูที่แย่ที่สุดแห่งยุค ”

 

พ่อมดบอกเขาด้วยน้ำเสียงเอ็นดูแล้วจึงก็หันมาทางคาโอเรีย

 

“ ข้าไม่รู้มาก่อนว่ามีเด็กหญิงตัวน้อยๆ อยู่ในบ้านหลังนี้ด้วยแต่เอาเถิด ”

 

เขาหยิบหินสีดำก้อนเล็กๆ ออกมา

 

“ อัญมณีแห่งแดนสนธยาจะให้แสงสว่างแก่เจ้าในยามที่ความมืดปกคลุม   แม่มดขาวบนเทือกเขาคีรีออสมอบให้ข้าแต่ข้าคิดว่าถ้ามันอยู่กับเจ้าดูจะเหมาะกว่า   สิ่งนี้หาใช่อาวุธไม่แต่นำความแข็งแกร่งมาให้ท่านได้นางบอกข้าเช่นนั้น   แต่ข้าก็ไม่เคยพบสิ่งใดนอกจากแสงสว่างที่อบอุ่น ”

 

“ นางให้ท่านแล้วท่านนำมาให้ข้าเช่นนี้นางจะไม่เสียใจหรือ ”

 

คาโอเรียว่าด้วยสีหน้ากังวล

 

“ โอ้ที่นางให้มิใช่นางชื่นชอบข้าหรอกนะเจ้าอย่าเข้าใจผิดไป   อีกอย่างนางหลงใหลเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักเช่นเจ้าถ้านางรู้เข้าจะยินดีเสียด้วยซ้ำ ”

 

พ่อมดกำหินไว้ในอุ้งมือพอคลายออกก็บังเกิดแสงสีเงินสว่างเรื่อเรืองขึ้น   

เขากำมืออีกครั้งหินที่เปล่งแสงสว่างไสวก็ดับวูบลง   

 

คาโอเรียรับมันไปด้วยความตื่นเต้น 

ลูวิ่งเข้ามาดมๆ ดูว่านั่นจะใช่อาหารของมันหรือไม่ 

เด็กหญิงกำหินก้อนนั้นแต่พอคลายมือออกมันก็ยังเป็นหินสีดำหม่นมัวเช่นเดิม

 

“  ข้าไม่มีเวทมนตร์อันใด ”

 

นางพูดเสียงละห้อย

 

“  ไม่จำเป็นต้องใช้เวทมนตร์เลยสิ่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยนักเวทยุคโบราณ  ออกแบบมาให้มนุษย์สามารถใช้การได้   เจ้าต้องการเพียงแค่ความเชื่อมั่นและจิตใจที่แข็งแกร่งเท่านั้น ”

 

พ่อมดลูบผมคาโอเรียแล้วลุกขึ้น

 

“ เอาล่ะถึงเวลาที่ต้องไปแล้วแม้ระยะทางยังอีกยาวไกล   แต่เมื่อคนได้กินอิ่มม้าได้หยุดพักการไปถึงจุดหมายคงเป็นไปได้ง่าย   ว่าแต่สะพานข้ามแม่น้ำครายที่ใกล้ที่สุดอยู่ตรงไหนกัน ”

 

เขาหันไปทางอาเธอร์

 

“ ซีนาร์ยอยู่ฝั่งตรงข้ามกับดงมรณะสะพานที่เคยใช้ข้ามไปมาถูกเผาทำลายเมื่อหลายปีที่แล้วก็ในช่วงสงครามนั่นแหละ   มีปีศาจกลุ่มหนึ่งพยายามข้ามแม่น้ำโดยใช้สะพานนั่นพวกเราจึงช่วยกันทำลายมันเสีย   หลังจากนั้นก็ไม่มีใครกลายใกล้แถวนั้นอีกข้าคิดว่ามันคงจะใช้การไม่ได้   เคยมีคนคิดจะซ่อมมันอยู่เหมือนกันแต่ดงมรณะมันดูน่ากลัวพิกลชาวบ้านเลยเปลี่ยนใจทิ้งเอาไว้อย่างนั้น   ท่านคงต้องเลียบลำน้ำขึ้นเหนือไปเรื่อยๆ จนกว่าจะพบสะพานของเมืองอันดอรีสสักแห่ง   ที่นั่นท่านสามารถข้ามไปได้อย่างปลอดภัย ”

 

พ่อมดพยักหน้า   

เขาสวมหมวกเก่าๆ ใบเดิมผมหงอกขาวลุ่ยลงมารกรุงรัง   

หลังจากสำรวจดูความเรียบร้อยแล้วเขาก็หันมาทางคาโลไรน์

 

“ ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อใหญ่ที่อร่อยที่สุดในแดนนี้ ”

 

คาโลไรน์ก้มหัวตอบอย่างนอบน้อม 

 

“ ท่านชมเกินไปแล้วท่านดีมีน   ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากจะรบกวนท่านที่บ้านคนเลี้ยงแกะริมเนินทางโน้นมีเด็กชายนอนป่วยอยู่   อาการเหมือนจะเป็นไข้ป่าแต่ตามหมอมากี่คนก็รักษาไม่หาย   ถ้าท่านผ่านไปทางนั้นได้โปรดแวะไปดูเขาทีเถิดพวกชาวเมืองก็หวั่นๆ กันว่าเขาอาจจะเป็นโรคระบาด   ข้าเองก็ไม่อยากให้เด็กๆ เข้าไปใกล้ ”

 

พ่อมดรับปากพลางกระโดดขึ้นบนหลังม้า

 

“ ท่านผู้เฒ่าต้องกลับมาหาพวกเราอีกนะ ”

 

เด็กทั้งสองตะโกนตามหลังพ่อมดดีมีนที่กำลังขี่ม้าห้างออกไปเรื่อยๆ

           

 

 

“ ท่านพ่อเมืองโอรีเวียนี่รุ่งเรืองมากเลยหรือ ”

 

เด็กชายถามขึ้นในค่ำคืนนั้น

 

“ จะว่าอย่างนั้นก็ได้โอรีเวียเป็นเมืองเก่าแก่ที่เต็มไปด้วยผู้กล้านักรบและเหล่าผู้วิเศษ   ที่นั่นไม่มีกษัตริย์ปกครองหากแต่อยู่ในความดูแลของสภาพ่อมด   คนที่มีอำนาจและความร่ำรวยเท่านั้นจึงจะถูกยกย่องในสังคมเมืองโอรีเวีย   เจ้าแห่งสภาพ่อมดนั้นได้รับการยกย่องเป็นอย่างมาก   แม้กษัตริย์แห่งเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดยังต้องก้มหัวให้ ”

 

อาเธอร์พูดพลางทรุดกายลงนั่นข้างประตู

เขาพยายามนึกถึงสิ่งอื่นใดที่ห่างไกลจากโอรีเวีย

แต่บุตรชายก็ยังไม่สิ้นความอยากรู้

 

“ หมายถึงทุกเมืองต่างเป็นเมืองขึ้นของโอรีเวียใช่หรือไม่ ”

 

“ ไม่ถึงขนาดนั้นแค่แสดงความเคารพยำเกรงเท่านั้นและโอรีเวียเองก็อำนวยประโยชน์ต่อเมืองต่างๆ อยู่เสมอ ”

 

“ อ้อ ”

 

เด็กชายพยักหน้าว่าเข้าใจแล้ว

 

“ แล้วโรงเรียนที่ท่านพ่อเคยเรียนเป็นยังไงหรือคงใหญ่โตมากเลยล่ะสิ ”

 

“ โอ! นี่ลูกถามเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว   คาโลไรน์เราจะทำอย่างไรดีกับฟักทองนั่น ”

 

อาเธอร์รู้สึกอึดอัดจนทนไม่ไหวจึงหาทางเปลี่ยนเรื่องคุย

เขาชี้ไปที่ฟักทองลูกใหญ่ที่เขาหิ้วติดมือมาจากสวน

บนนั้นมีกระต่ายขนสีขาวฟูฟ่องนั่งหมอบอยู่อย่างแสดงความเป็นเจ้าของ

 

“ ยัดไส้กระต่ายคงจะอร่อย ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ออกความเห็นอย่างคึกคะนอง

 

คาโอเรียคว้ามันขึ้นมาแนบอกสายตามองพี่ชายอย่างขุ่นเคือง

           

หลังอาหารมื้อเย็นอาเธอร์พาลูกทั้งสองออกมานั่งชมจันทร์ที่ลานหญ้าหน้าบ้าน  เขาชี้ให้เด็กๆ ดูทางช้างเผือกแล้วเล่านิทานเก่าแก่ให้ฟัง

   

“ ถ้าข้าโตกว่านี้ข้าจะไปโอรีเวีย ”

 

เด็กชายพูดขึ้นเช่นนั้นเพราะหัวใจยังติดพันอยู่ไม่หาย

 

“ เหตุใดเจ้าจึงอยากไปโอรีเวียนักล่ะ ”

 

คนเป็นพ่อถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

 

“ เพราะว่า ”

 

เด็กน้อยนิ่งไปเหมือนกำลังใช้ความคิด

 

“ ที่นั่นมีคนเก่งมากมายท่านพ่อบอกเช่นนั้นและข้าก็อยากพบกับพวกเขา   บางทีข้าอาจมีเพื่อนดีๆ ที่จะร่วมเดินทางไปพร้อมกับข้า   เหมือนนิทานที่ท่านพ่อเล่าให้ฟังมันน่าตื่นเต้นดีมิใช่หรือ ”

 

อาเธอร์จ้องมองบุตรชาย

ภายใต้แสงจันทร์เด็กน้อยมีนัยน์ตาเด็ดเดี่ยวมือของเขายังกำธนูที่พ่อมดให้มา   อะไรบางอย่างในตัวของเด็กคนนี้ทำให้เขาคิดถึงแอสเธอลาส   แต่ฟิโลโซเฟอร์นั้นยังไร้เดียงสากว่าอาจจะเป็นเพราะสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันถึงความคิดจะเหมือนกัน   แต่การแสดงออกทำให้รู้ว่าเป็นคนละคน   น้องชายของเขานั้นมุ่งมั่นมุทะลุแต่ก็ไม่ได้ตรงไปตรงมาในแบบที่เด็กชายคนนี้กำลังเป็นอยู่   

 

 

ตระกูลของอาเธอร์เป็นนักรบมาแต่ครั้งบรรพชน   เคยสร้างชื่อในสงครามใหญ่ๆ หลายต่อหลายครั้ง   แม้ในสงครามแห่งพันธะสัญญาที่เพิ่งผ่านพ้นก็ไม่ได้ทำให้ชื่อเสียงของตระกูลถูกเคลือบแคลงไป   แต่นั่นก็ต้องแลกด้วยชีวิตของน้องชายคนเดียวของเขา

  

ในอดีตเขาก็เคยกรำสงครามมาไม่น้อยแต่ไม่ว่าสงครามจะจบลงในรูปแบบใด   สิ่งที่เขาได้รับกลับมาก็มีแต่ความสูญเสียชื่อเสียงและเงินทองที่ได้มาไม่คุ้มกันเลยสักนิดดังนั้นเขาจึงตัดสินใจหันหลังให้มัน   เขาเชื่อว่าดาบไม่สามารถสร้างเมืองให้เจริญได้   ไถกับคราดต่างหากเล่าที่จะทำให้ประชากรอิ่มท้อง  โอรีออนบิดาของเขาคัดค้านความคิดนี้ของเขาอย่างหนัก

 

‘ อาชีพชาวไร่ชาวนานั่นมันงานของคนอ่อนแอไร้ความสามารถ ’

 

บิดาของเขาตะโกนไล่หลังเมื่ออาเธอร์ประกาศจะเลือกใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง   

 

เขาต้องซมซานหนีมาให้ไกลจากความดูแคลน   ในที่สุดเขาก็มาถึงชนบทอันห่างไกลมันเป็นเมืองเล็กๆ ที่ใครๆ ต่างมองข้าม   เมืองแห่งนี้เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์และชาวพื้นเมืองที่อบอุ่นเป็นกันเอง   เขาเริ่มสร้างครอบครัวของเขาขึ้นที่นี่และตั้งใจจะปักหลักอยู่ตรงนี้ตลอดไป   ไม่คิดจะหวนกลับไปหาความวุ่นวายเช่นเดิมอีก   เขาได้ทำตามที่ใจปรารถนาใช้ชีวิตอย่างสงบตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา   จนกระทั่งพ่อมดดีมีนซึ่งเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของบิดาเขาได้ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับข่าวคราวอันน่าสะเทือนใจ   อะไรบางอย่างในการปรากฏตัวของพ่อมดผู้นี้ทำให้เขาหวั่นใจว่าเขาจะได้อยู่อย่างสงบสุขอย่างนี้อีกนานแค่ไหนกัน   การที่โอรีเวียส่งพ่อมดอย่างท่านดีมีนมาสืบข่าวในเมืองอันดอรีสเขากลัวเหลือเกินว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นกับเมืองนั้น 

 

“ ท่านพ่อว่าอย่างไรเล่าจะให้ข้าไปไหม ”

 

เสียงเด็กชายตัวน้อยปลุกเขาขึ้นมาจากความอันวุ่นวายสับสน

 

“ แน่นอนลูกข้า   เมื่อใดก็ตามที่เจ้าพร้อมเท้าของเจ้าจะได้ท่องไปทุกที่ในผืนแผ่นดินนี้ตามแต่ใจเจ้าปรารถนา ”

 

อาเธอร์ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ทำตามอย่างโอริออนบิดาของเขา  

ฟิโลโซเฟอร์ต้องได้เป็นในสิ่งที่เขาอยากเป็น

 

 

คืนนี้เป็นคืนที่สวยงามท้องฟ้าพร่างพรายด้วยดวงดาวนับล้านดวง   สูงขึ้นไปไกลเกินกว่าที่ใครจะคาดถึงทางช้างเผือกทอดผ่านความมืดของฟากฟ้าดังจะนำพาดวงวิญญาณที่บริสุทธิ์ไปส่งยังสุดขอบจักรวาลอันเวิ้งว้างตามความเชื่อโบราณ   บรรยากาศรอบกายเย็นยะเยือกสายลมนิ่งสงัด   อาเธอร์เพิ่งสังเกตเห็นว่ารอบกายนั้นเงียบเชียบเพียงใด   ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเรียบง่ายแต่ถึงอย่างนั้นเขากลับรู้สึกไม่สบายใจท่ามกลางความสงบมันเหมือนมีอะไรซุ่มซ่อนอยู่ประดุจเสือดำที่แฝงตัวอยู่ในความมืด   

 

อาเธอร์ไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลยเขาพยายามผลักดันให้ตัวเองเชื่อว่า   ความรู้สึกเช่นนี้เกิดขึ้นเพราะข่าวการตายของบิดามันกะทันหันเหลือเกิน   นั่นสิจะเป็นอย่างอื่นไปได้อย่างไรซีนาร์ยเป็นเมืองที่รักสงบไม่ยุ่งเกี่ยวกับสงครามและสงครามก็จบไปนานแล้ว    เขาได้ยินข่าวจากกลุ่มพวกนักเดินทางว่ากองทหารได้ถอนกำลังออกจากซากเมืองคาเลจนหมดสิ้น   ภายในนั้นไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ หลงเหลืออยู่และแทบไม่มีผู้ใดย่างกรายเข้าไปนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา   

 

 

เป็นเรื่องน่าแปลกที่เมืองกันชนเล็กๆ อย่างซีนาร์ยซึ่งอยู่ติดกับคาเล   มีเพียงแม่น้ำครายซึ่งเป็นลำน้ำสายใหญ่กั้นเป็นรั้วเขตแดนแต่ก็ไม่เคยปรากฏว่ามีพลเมืองของคาเลเข้ามายุ่งเกี่ยวหรือสร้างความยุ่งยากให้กับชาวซีนาร์ยเลย   จะว่าไปพวกเขาคือกลุ่มชนลึกลับที่แทบไม่ปรากฏกายให้ใครเห็น   ในอดีตกาลนั้นพวกเขามีสะพานไม้ข้ามฝากเชื่อมหากันได้ด้วยซ้ำก่อนจะถูกทำลายลงในยุคสงคราม   บ่อยครั้งไปที่ชาวบ้านข้ามฝั่งไปเก็บฝืนและหาของป่าตามคำบอกเล่าของคนเหล่านั้นพวกเขาไม่เคยพบผู้ใด   ที่นั่นดูเปลี่ยวร้างแต่ไม่เป็นอันตราย

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา