โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  113.56K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

41) สะพานหิน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

หลังจากเดินด้วยกันมาสักระยะพวกเขาก็มาถึงถนนอีกสาย   ตรงหน้ามีสะพานหินขนาดใหญ่ทอดข้ามลำน้ำ   ฟิโลโซเฟอร์กำลังจะวิ่งไปดูเขาเพิ่งจะเคยที่นี่เป็นครั้งแรก   สะพานตรงที่เห็นนั้นแปลกใหม่สำหรับเขา   แต่ดารีลก็คว้าคอเสื้อของเขาเอาไว้เสียก่อน   แล้วพาเลี้ยวเข้าไปในร้านค้าแห่งหนึ่ง   ทั่วทั้งร้านประดับประดาด้วยดอกไม้สด   ที่นี่มีผลไม้มากมายสีสันสวยงามแปลกตา   เปลือกด้านนอกมันวาวราวกับอัญมณี  

 

“ โอ้โห   นี่มันของจริงหรือเปล่า ”

 

คนอายุน้อยกว่าออกอาการตื่นเต้น

ดารีลไม่ตอบ

แต่เขาเลือกแอปเปิลสีแดงจัดลูกหนึ่งที่อยู่ในตะกร้ากุหลาบขาวมายื่นให้

เด็กชายรับไปถือด้วยสีหน้างุนงง

 

“ลองกัดดูสิ ”

 

เด็กชายทำตามอย่างว่าง่าย

เขาพบว่าผิวด้านนอกนั้นกรอบหวานอร่อยและเนื้อด้านในนั้นฉ่ำละมุน

 

“ โห   นี่สุดยอดไปเลย ”

 

“ ก็แค่แอปเปิลเคลือบน้ำตาลเท่านั้นเอง   เอาล่ะกินให้หมดแล้วกลับไปหาพ่อแม่ของเจ้าซะ ”

 

“ เอ่อ   คือ   อันที่จริงแล้วข้าพลัดหลงน่ะ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์พูดเสียงอ้อมแอ้ม

 

“ หาว่าไงนะ ”

 

ดารีลทำตาโตนิดหน่อยเอียงคอน้อยๆ แต่พองาม

 

“ คือตอนนี้ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่ไหน ”

 

เด็กชายตอบพร้อมกับทำตาใสซื่อ

พ่อมดน้อยกอดคทาไว้แนบอก

เอนหลังพิงผนังร้านแล้วเหลือบตาขึ้นมองบน

 

“ ตกลงกันไว้ว่าถ้าเกิดเหตุพลัดหลงแล้วจะให้ไปพบกันที่ใดล่ะ ”

 

“ ไม่ได้นัด ”

 

เด็กชายจอมหลงตอบตามจริง

ดารีลพยักหน้าเบาๆ

แล้วพูดว่า

 

“ ผิดคาดนะ   พวกเจ้าทำเรื่องเหลือเชื่อระหว่างเดินทางมาที่โอรีเวีย   ข้าก็นึกว่าจะรอบคอบกันมากกว่านี้   แต่ก็ดีแล้วถ้าเช่นนั้นข้าจะไปส่งเจ้าที่บ้าน ”

 

ฟิโลโซเฟอร์สั่นหัวอย่างไว

 

“ ทำไมล่ะ ”

 

“ เรื่องกลับบ้านน่ะข้าจัดการเองได้   ตอนนี้ทุกคนกำลังสนุกสนานอยู่ในงาน   จะไห้ข้าไปนั่งรอที่บ้านคนเดียวเป็นไปไม่ได้เสียล่ะ ”

 

“ เหตุผลนั้นข้าเข้าใจ   แต่โอรีเวียไม่ได้ปรอดภัยอย่างที่คิด   เด็กตัวเล็กๆ ไม่สมควรเดินคนเดียวในยามวิกาล   ข้าเองก็ปล่อยให้เจ้าเดินพล่านไปทั่วไม่ได้  ”

 

“ ข้าไม่ใช่เด็กเสียหน่อย   แต่ถ้าเจ้าไม่สบายใจ   ก็ส่งข้าเข้าไปในปราสาทขาวก็ได้   พวกเขาต้องอยู่ในนั้นแน่ ”

 

“ เป็นความคิดที่ดี ”

 

พ่อมดน้อยว่าแล้วก็ออกเดินนำหน้า

ฟิโลโซเฟอร์วิ่งตามอย่างลิ่งโลด

 

“ พ่อของเจ้าเคยอยู่ที่โอรีเวียอย่างนั้นหรือ   ตระกูลของเขาทำงานอะไร ”

 

ดารีลเป็นฝ่ายชวนคุย

 

“ ไม่รู้สิท่านพ่อหลีกเลี่ยงที่จะเอ่ยถึงเรื่องในอดีตอยู่เสมอ   แต่ถ้าเดาไม่ผิดพ่อของข้าเคยเป็นทหารและมีน้องชายคนหนึ่งรู้สึกจะชื่อแอสเธอลาสอะไรนี่แหละ   เป็นผู้พิทักษ์หน้ากากทองเจ้ารู้จักหรือเปล่าล่ะ ”

 

เด็กชายเล่า

 

“ แอสเธอลาสหรือ   ไม่นะข้าไม่เคยได้ยินชื่อนี้ ”

 

ดารีลว่า

 

“ เขาเสียชีวิตไปเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ”

 

“ กรรมตอนนั้นข้าเกิดหรือยังก็ไม่รู้   แต่ถ้าเจ้าอยากทราบประวัติของเขาข้าแอบไปค้นมาให้ก็ได้   อาของเจ้าอยู่สายของใครล่ะ ”

 

“ เรื่องเกี่ยวกับต้นตระกูลทางนี้ข้าไม่รู้หรอก   ข้าก็ถามไปอย่างนั้นแหละ   ในเมื่อท่านพ่อไม่อยากสนใจ   ข้าก็ไม่ควรจะรื้อฟื้น ”

 

“ ความสำพันธ์ทางสายเลือดของพวกเจ้านี่พิลึกแท้ ”

 

ดารีลว่าแล้วหยุดเดินที่กลางสะพาน  

ฟิโลโซเฟอร์เขย่งท้าวก้มมองไปในแม่น้ำ  

พระจันทร์เต็มดวงลอยเด่นเหนือศีรษะ

เบื้องล่างเรือลำน้อยประดับโคมไฟหลากสีลอยอยู่เต็มไปหมด

 

เสียงระฆังดังมาจากที่ไกลๆ มันไพเราะราวกับระฆังแก้ว  

หนุ่มน้อยพ่อมดยืนหลังพิงราวสะพานใบหน้าอาบแสงจันทร์นั้นขาวซีดยิ่งนัก  

โคมไฟนับพันถูกปล่อยลอยขึ้นจากที่แห่งใดแห่งหนึ่งพรอมกับพลุอีกชุดใหญ่

ท้องฟ้าคืนนี้จึงสว่างไสวด้วยแสงสีตระการตา

 

“ นั่นอะไรน่ะ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ถามด้วยความตื่นเต้น

 

“ เจ้าหมายถึงดอกไม้ไฟหรือโคมลอยล่ะ ”

 

ดารีลถามกลับแล้วก้มหน้า

 

“ สรุปว่าข้าไปไม่ทันสินะ   แต่ช่างเถอะทุกปีข้าก็อยู่ที่นั่น   บางทีปีนี้ควรจะมีอะไรที่ต่างออกไป ”

 

พูดจบเขาก็หันหน้าปุบปับไปยังอีกฝั่งสะพาน

 

“ มีอะไรหรือ ”

 

เด็กชายสงสัย

 

“ นี่ควรจัดเป็นเรื่องแปลกอีกอย่างของเมืองนี้   ท่ามกลางผู้คนมากมายพวกเขาหาข้าพบ   น่าทึ่งใช่ไหมล่ะ ”

 

ไม่ทันขาดคำ

บุรุษชุดดำก็มาปรากฏกายตรงหน้า  

ฟิโลโซเฟอร์จำได้ว่าเขาคือนายทหารที่เคยพบกันในทุ่งหญ้า

 

“ นี่มันเรื่องอะไรกัน   เหตุใดท่านมาอยู่ตรงนี้ใยไม่ใช่ที่ปะรำพิธี ”

 

“ สงสัยข้าต้องยอมรับผิดแล้วล่ะ ”

 

ดารีลตอบด้วยรอยยิ้มยั่วโมโห

 

“ แบบนี้ท่านจอมวาลานจะว่าอย่างไรงานสำคัญอย่างนั้น   เหตุใดท่านไม่คิดถึงผลที่จะตามมาบ้าง ”

 

ชายในชุดคลุมดำสวมหน้ากากสีขาวยังกล่าวต่อว่าไม่หยุด

 

“ ท่านก็พูดเกินไป   เห็นอยู่แล้วนี่แม้ไม่มีข้างานก็ยังดำเนินต่อได้   ส่วนเรื่องท่านวาลานไว้เป็นหน้าที่ข้าเอง   เขาไม่สั่งประหารข้าเพราะเรื่องเพียงเท่านี้หรอก ”

 

“ นายน้อย ”

 

นายทหารผู้นั้นยังคงประท้วง

 

“ หมดธุระของท่านแล้วใช่หรือไม่   วันนี้เป็นวันดีมีงานรื่นเริงอย่ามาอารมณ์เสียเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องเลย   ข้าว่าท่านเข้าไปชมงานเสียหน่อยเถอะ   บางทีชีวิตอาจดีกว่าที่คิดก็ได้ ”

 

ดารีลพยายามตัดบท

แต่เหมือนว่านายทหารของเขาจะยังไม่ยอม

 

“ เด็กคนนี้ใคร   ใช่คนที่เราพบในทุ่งหญ้าหรือเปล่า   เขามาทำอะไรแถวนี้ ”

 

“ ก็ใช่แล้วจะทำไมล่ะ ”

 

คนเป็นนายถามพลางเลิกคิ้วข้างหนึ่งด้วยอาการท้าทาย

 

“ เดี๋ยวนะ  ท่านจะไปไหนมาไหนกับคนแปลกหน้าตามลำพังไม่ได้   โดยเฉพาะพวกคนเถื่อนแต่งกายมอมแมม ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ถึงกับทำหน้าย่น

เขารู้ดีใบหน้าของเขานั้นห่างไกลกับคำว่าดิบเถื่อนมากมายนัก

และชุดที่เขาสวมใส่ก็ราคาแพงที่สุดเท่าที่มีในตู้แล้ว

 

“ จบได้หรือยังถ้ายังไม่จบข้าจะกระโดดน้ำล่ะนะ ”

 

ดารีลว่าพลางโหนตัวขึ้นไปนั่งบนราวสะพาน

 

“ โดดน้ำ ”

 

นายทหารองครักษ์ทวนคำงงๆ

แล้วทำตาโต

 

“ ท่านจะโดดลงไปทั้งชุดที่ใช้ในงานพิธีศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้นะ ”

 

“ พนันกันหรือไม่ว่าได้หรือไม่ได้ ”

 

เมื่อเห็นว่าพ่อมดอายุน้อยตั้งท่าจะม้วนตัวลงไปจริงๆ เขาจึงยกมือห้าม

แล้วชายผู้นั้นก็เดินล่าถอยออกไป

 

“ ที่ตลกร้ายก็คือพวกเขาห่วงชุดนี้มากกว่าชีวิตของข้าเสียอีก ”

 

ดารีลพูดพลางกระโดดกลับลงมายืนข้างเด็กชาย

 

“ ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ ”

 

“ ชุดนี้วาลานเป็นคนมอบให้มันก็เลยสำคัญอย่างไรล่ะ ”

 

“ นี่ข้าทำอะไรให้เจ้าลำบากอยู่หรือเปล่า ”

 

เสียงเด็กชายเต็มไปด้วยความกังวล

เขากำลังสงสัยว่าเวลานี้ท่านจอมวาลานอาจต้องการตัวดารีลอยู่ก็เป็นได้

 

“ เจ้าทำเรื่องยุ่งให้ข้าไม่ได้อยู่แล้ว   แต่คนที่จะทำคือสตรีชุดแดงคนนั้น   แปลกที่นางออกมาปรากฏตัว   หวังว่าคงไม่ได้มีแผนการวิปริตอยู่ในหัวหรอกนะ ”

 

“ ตกลงนางเป็นใครกันแน่ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ถาม

แต่หนุ่มน้อยรูปงามกลับไม่ยอมตอบ

เขาชะโงกหน้าข้ามราวสะพานลงไปดูเรือที่กำลังลอยลำอยู่

 

“ ข้าไม่เคยนั่งเรือมาก่อนเลยในชีวิต ”

 

เด็กน้อยว่าพลางเอาคางพาดกับบอบหินที่เรียบเย็น

 

“ ส่วนข้าก็ไม่เคยพายเรือเลยสักครั้ง   ว่าแต่เจ้าว่ายน้ำเป็นหรือเปล่า ”

 

ดารีลสงสัย

 

“ ไม่เป็น ”

 

คนถูกถามตอบตามซื่อ

 

ดารีลยิ้มอบอุ่น

 

“ ก่อนที่จะลงเรือเจ้าต้องว่ายน้ำไห้เป็นเสียก่อน   อย่างน้อยตกน้ำลงไปก็ไม่ตายทันที   บ้านเก่าเจ้าไม่มีแหล่งน้ำหรืออย่างไร   ซุกซนขนาดนี้แต่ว่ายน้ำไม่เป็นน่ะเสียชื่อแย่เลยนะ ”

 

“ ที่ซีนาร์ยมีน้ำไหลผ่านก็จริง   แต่เป็นแม่น้ำใหญ่ที่ไหลเชี่ยวกราก   ท่านแม่ไม่ยอมปล่อยให้ข้าลงไปง่ายๆ หรอก ”

 

“ มารดาของเจ้าเข้มงวดมากสินะ   ว่าแต่เหตุใดเจ้าจึงไม่กินแอปเปิลลูกนั้นเสียที ”

 

เขาถามเพราะเห็นเด็กชายยังถือผลไม้ในมือ

 

“ ข้าจะเก็บเอาไว้ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ตอบ

 

“ แต่เจ้ากำลังหิวอยู่มิใช่หรือ ”

 

“ ถึงหิวข้าจนไส้ขาดข้าก็จะไม่กิน ”

 

“ เพราะอะไรล่ะ   คงไม่คิดว่าข้าวางยาหรอกนะ ”

 

“ ก็มันเป็นของชิ้นแรกที่เจ้ามอบให้ข้า ”

 

“  เฟ้อเจ้อแล้ว   เจ้ารู้หรือไม่   คนสติดีทั่วไปเขาไม่เก็บอะไรที่เน่าเสียได้ไว้เป็นของที่กันระลึกหรอก ”

 

“ ข้าไม่สน ”

 

เด็กชายยังยืนยันคำเดิม

 

“ กินเสียเด็กน้อย   ไว้ข้าจะหาอะไรที่ดีกว่านี้มาให้เจ้า ”

 

“ จริงนะ ”

 

คนอายุน้อยกว่ารู้สึกลิงโลดขึ้นมาทันที

ดารีลไม่ตอบ

เขาออกเดินนำไปอีกฟากของสะพาน

 

“ ท่านจะไปไหนน่ะ ”

 

เด็กชายตะโกนถามพลางวิ่งตามไป

 

“ เจ้านี่   พูดมากเสียจริงตามมาเงียบๆ ไม่ได้หรืออย่างไร ”

 

ดารีลทำเสียงดุ

 

“ ขอโทษทีปรกติข้าพล่ามไม่เก่งหรอกนะ   แต่พอตื่นเต้นแล้วเป็นแบบนี้ทุกที ”

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา