โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  113.13K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

49) เรื่องเล่าในมื้อเช้า

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ในเช้าวันที่อากาศเย็นจัด   มีหิมะโปรยปรายบางเบาลงมาจากฟ้า   เด็กทั้งสองถูกปลุกให้ลุกขึ้นแต่งตัวทั้งๆ ที่อยากมุดกายในผ้าห่มที่แสนอบอุ่น   คาโอเรียสวมเสื้อสีน้ำตาลแดงตัวใหม่บุด้านในด้วยผ้าสักหลาดเพื่อเพิ่มความอบอุ่นกระโปรงติดลูกไม้ยาวระพื้น   ผ้าริบบิ้นสีแดงเข้มผูกตรงเอวทำโบห้อยลงด้านหลัง   ผมยาวสลวยดุจเส้นไหมทองนั้นคาโลไรน์ช่วยถักเปียและประดับด้วยดอกไม้แห้งสีม่วง

 

กว่าเด็กหญิงจะแต่งตัวเสร็จ   ฟิโลโซเฟอร์ก็มานั่งแกร่วรออยู่ที่โต๊ะอาหารพร้อมด้วยเสือผ้าชุดใหม่เรียบร้อยแล้ว   เขาเหล่มองมาทางน้องสาวด้วยท่าทีติดรำคาญ   พวกผู้หญิงนี่เรื่องมากกับการแต่งตัวทุกคนหรือเปล่านะ

           

ระหว่างรับประทานอาหารเช้า   คาโลไรน์ก็วุ่นอยู่กับผมสีน้ำตาลที่หยาบกระด้างของบุตรชาย   ผมของเขาดูเข้มขึ้นเพราะไม่ได้ออกไปตากแดดตากลมกลางทุ่งเช่นเดิม   นางพรมน้ำมันหมีลงไปจนชุ่มแล้วพยายามหวีให้เรียบ   แต่เด็กชายก็เอาแต่เอียงตัวหลบ

 

“ อยู่นิ่งๆ สิ ”

 

คนเป็นแม่ดุ

 

“ นี่เป็นการไปโรงเรียนวันแรกลูกควรดูดีที่สุดรู้ไหม   แย่จังเลยอาเธอร์ท่านคิดว่าผมของเขายาวเกินไปหรือเปล่า   เล็มออกสักนิดเถอะ ”

 

เด็กชายยกสองมือขึ้นกุมศีรษะ

 

“ นี่ไม่ใช่เวลาตัดผมนะท่านแม่   ข้าจะไปโรงเรียนสายอยู่แล้ว   อีกอย่างข้าคงไม่เรียนเก่งเพราะผมที่สั้นเต่อหรอกนะ ”

 

คาโอเรียที่กำลังตักกินซุบเห็ดหอมอย่างตั้งอกตั้งใจถึงกับหลุดขำออกมา

 

“ เรียนเก่งหรือไม่คงไม่มีใครตอบได้   แต่พี่ชายคงหาเพื่อนในโอรีเวียลำบาก   ถ้ายังปล่อยผมกระเซอะกระเซิงราวกับเพิ่งหลุดออกมาจากป่าปีศาจ ”

 

นางเย้า

 

“ ข้าก็ไม่คิดจะคบกับคนที่ตัดสินคนอื่นเพียงเพราะรูปลักษณ์ภายนอกอย่างนั้นเป็นแน่ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์เถียง

 

“ จริงอย่างเจ้าว่า ”

 

อาเธอร์บอก

 

“ แต่เปลือกนอกคือสิ่งแรกที่ผู้อื่นมองเห็น   ตัวตนที่แท้จริงต้องใช้เวลาทำความรู้จัก   มันจึงยากที่ผู้คนจะเปิดใจ   ถ้าหากพวกเขาไม่ถูกชะตาตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน   แล้วก็ไม่ต้องมาห่วงว่าจะไปถึงโรงเรียนสายเพราะตอนนี้ยังเช้าอยู่มากและข้าจะเอารถม้าไปส่งพวกเจ้าเอง ”

 

“ ที่รักคะในเมืองนี้เคยมีประวัติการลักพาตัวเด็กหรือเปล่า ”

 

คาโลไรน์ถามขึ้น

 

“ ทำไมล่ะ ”

 

อาเธอร์สงสัย

 

“ ข้าไม่อยากปล่อยออกลูกๆ ไปตามลำพังในเมืองที่มีคนพลุกพล่านแบบนี้เลย ”

 

นางว่า

 

“ โธ่! ที่นี่โอรีเวียนะไม่มีเหตุการณ์อย่างนั้นหรอกสบายใจได้ ”

 

“ แต่หลังจากเกิดเรื่องสยองในปราสาทขาวผ่านไปไม่ทันไร   ลูกของเรายังต้องกลับไปที่นั่นอีก   ข้ารู้สึกหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก ”

 

“ มันคงไม่เกิดซ้ำสอง   เรื่องนี้ทำวาลานเสียหน้ามาก   เหตุเพราะมีคนปล่อยพลุไฟเข้าใส่อนุสาวรีย์ในงานเฉลิมฉลองตลอดเจ็ดปีที่ผ่านมา   นั่นทำให้ผู้คนต่างชะล่าใจว่าจะไม่เกิดเหตุร้าย ”

 

“ หมายความว่าพลุมังกรไฟไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของงานพิธีอย่างนั้นหรือ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์สงสัย

เหมือนว่าตอนนี้เขาจะหลุดพ้นจากการทำผมทรงใหม่เรียบร้อยแล้ว

 

“ ใช่   เรื่องนี้เกี่ยวของกับข่าวลือที่โด่งดังในอดีต ”

 

อาเธอร์ว่า

 

“ มันอย่างไรกันหรือคะ ”

 

คาโลไรน์ถาม

 

“ นั่นสิท่านพ่อข้าอยากรู้ ”

 

เด็กหญิงว่า

นางหย่อนมือข้างหนึ่งลงใต้โต๊ะเพื่อป้อนอาหารกระต่ายลู

 

“ แต่ต้องระวังว่าเรื่องนี้ไม่สามารถพูดได้ทั่วไป ”

 

คนเป็นพ่อเตือน

 

“ แบบว่าต้องคุยกันในกลุ่มลับๆ อะไรอย่างนั้นหรือ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์กระซิบ

 

“ ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ”

 

อาเธอร์หัวเราะอารมณ์ดี

 

“ เพื่อนเก่าของข้าเล่าว่า   ในคืนหนึ่งเมื่อเจ็ดปีผ่านมาแล้ว   มีชายขี้เมาเดินลำพังบนถนนที่เปล่าเปลี่ยวและมืดมิด   ตรงนั้นเองเขาได้พบกับสตรีรูปงามในชุดคลุมสีแดง ”

 

“ ข้าพบนางๆ หญิงสาวที่แจกแอปเปิลให้กับผู้คนบนท้องถนนในคืนเฉลิมฉลอง ”

 

เด็กชายพูดขึ้น

 

“ สตรีชุดแดงที่ข้ากำลังกล่าวถึงนั้นเป็นเรื่องในตำนานเมื่อพันปีที่แล้ว   เจ้าพบนางไม่ได้หรอก ”

 

อาเธอร์บอก

 

“ และเจ้าจะพูดแทรกคนอื่นแบบนี้ไม่ได้เช่นกัน ”

 

คาโลไรน์เตือน

 

“ แล้วชายขี้เมาคนนั้นพบนางได้อย่างไร ”

 

เด็กน้อยยังไม่วายซักต่อ

 

“ บางคนก็ว่าเขาฝัน   บางคนก็ว่าเป็นเรื่องที่กุขึ้นมาเอง   แต่เขาได้วิ่งพล่านไปทั่วเมืองตะโกนบอกคนทั้งหลายถึงคำทำนายของสตรีชุดแดง   ชายคนนั้นบอกว่าเมื่อใดที่อนุสาวรีย์ภราดรภาพแห่งโอรีเวียพังทลายลงเมื่อนั้นคำสาปเมืองคาเลจึงจะถึงกาลสิ้นสุด   และปีนั้นก็เป็นปีแรกที่เกิดพลุไฟประหลาดและการปรากฏตัวของเคอร์คารอลที่หน้าประตูเมือง   เหมือนเป็นสัญลักษณ์ว่าเราต้องทำลายอนุสาวรีย์เท่านั้นเพื่อยุติเรื่องร้ายๆ ทั้งหมด ” 

 

“  ทำไมเราไม่ทุบอนุสาวรีย์เสียล่ะ   พังไปแล้วสร้างขึ้นใหม่ก็ไม่เห็นเสียหายอะไร   มันคุ้มค่าที่จะลองมิใช่หรือ   ดีกว่าปล่อยให้ผู้คนตกอยู่ในความสงสัย ”  

 

ฟิโลโซเฟอร์ว่า

 

“ ก็เพราะมีคนคิดแบบเจ้านี่ไง   เรื่องนี้จึงถูกห้ามพูดถึง   ความจริงคืออนุสาวรีย์ภราดรภาพเป็นดังขุมพลังแห่งโอรีเวีย   ทำลายอนุสาวรีย์ก็เท่ากับสูญเสียปราการทั้งหมดที่คุ้มครองเมือง   เรื่องนี้ละเอียดอ่อนมากไม่มีใครกล้าเสี่ยงอย่างแน่นอน ”  

 

“ ถ้าอย่างนั้น   เรื่องร้ายแรงที่เกิดขึ้นในปราสาทขาว   ก็คือความพยายามที่จะโค่นอนุสาวรีย์แห่งภราดรภาพน่ะสิ ”

 

คาโลไรน์เอามือทาบอกด้วยความตกใจ

 

“ มันก็เป็นไปได้   ใครๆ ก็รู้ว่าอนุสาวรีย์แห่งภราดรภาพนั้นแข็งแกร่งยิ่งนัก   ความจริงคือมีการลอบทำลายอนุสาวรีย์อยู่หลายครั้งตลอดยุคสมัยที่ผ่านมา   แต่ไม่อาจสร้างแม้รอยขีดข่วนเล็กๆ ขึ้นมาได้   การใช้แค่พลุไฟหรือมังกรปีศาจพุ่งชนมันจึงดูเป็นเรื่องตลก ”

 

“ เดี๋ยวนะ ” 

 

เด็กชายตัวน้อยว่า

 

“ ถ้าให้แลกเกราะคุ้มภัยของเมืองโอรีเวียกับการลบล้างคำสาป   ข้าว่ามีคนคิดไม่ซื่อแล้วล่ะ ”

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา