โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  113.64K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

69) ชั้นเรียนประวัติศาสตร์ยุคกลาง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บ่ายแก่ๆ ของวันนั้นเด็กๆ จึงเดินออกจากห้องสมุดกลับไปยังชั้นเรียน   อีเลียสเลือกยืมหนังสือเกี่ยวกับเอลฟ์สโนว์ที่สำคัญไปถึงห้าเล่ม   เจ้าเด็กร่างอ้วนโลธอร์อาสาช่วยถือเพราะเขารับปากจะสอนการบ้านให้ในคืนนี้   แต่ถึงไม่มีการบ้านโลธอร์ก็บอกว่าเขาเต็มใจช่วยอยู่แล้ว

 

“ ประวัติศาสตร์ยุคกลางนี่ประมาณช่วงเวลาไหนนะ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์สงสัย

 

“ ยุคที่ซาเหวจลอร์ดเรืองอำนาจ ”

 

อีเลียสตอบ

 

“ จริงดิ   ข้านึกว่าเป็นช่วงสงครามที่กลุ่มพันธมิตรร่วมกันถล่มเมืองคาเลเสียอีก   แล้วยุคแรกล่ะ ”

 

โลธอร์ถามบ้าง

 

“ สงครามแห่งพันธมิตรนี่มันสิบปีที่แล้วเองอยู่ในยุคปลายต่างหาก   ถ้ายุคแรกก็โน่นเลยสงครามระหว่างเทพกับซาตาน   แต่ก็ไม่มีใครที่รู้แจ้งพอที่จะสอนได้   เว้นแต่พวกผู้ใช้เวทมนตร์   ซึ่งก็แน่นอนว่าพวกเขาไม่สนใจมาสอนอยู่แล้ว ”    

 

“ แล้วเราจะเรียนเรื่องพวกนี้ไปเพื่ออะไรกัน   เอาไว้เล่าให้ลูกหลานฟังอย่างนั้นหรือ ”

 

เด็กร่างอ้วนบ่นต่อ

 

“ ความผิดพลาดในอดีตเป็นตัวอย่างที่ดีในอนาคต   เจ้าในฐานะบุตรชายคนเดียวของหัวหน้าเผ่า   ก็ควรเรียนรู้เอาไว้มิใช่หรือ ”

 

“ ข้าเป็นลูกชาวไร่ชาวนาแต่รู้เอาไว้บางก็ดีไม่ถือว่าเสียเวลาเปล่า ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ว่าบ้าง

 

“ ได้ยินมาว่าอาจารย์โดเฮเกนเคยร่วมรบในสงครามแห่งพันธมิตรด้วย   เขามีรางวัลที่การันตีความกล้าหาญมากมาย   เห็นว่าหลายหน่วยต้องการตัวเขาไปร่วมงาน   แต่เขาก็เลือกผันตัวเองมาเป็นอาจารย์สอนหนังสือซะอย่างนั้น ”

 

เลโอน่าว่า

 

“ ทำไมถึงเลิกเป็นทหารเสียล่ะ ”

 

โลธอร์สงสัย

 

“ ไม่รู้สิ   อาจจะเป็นเพราะเขาคิดว่าตัวเองแก่เกินไป   หรือบางทีอาจมีอะไรรบกวนใจเขา   จนไม่อยากยุ่งกับการสงคราม   แต่ก็ยังตัดใจจากมันไม่ได้   ยังไงก็ต้องวนเวียนอยู่กับอะไรที่เกี่ยวข้องกันอยู่ ”

 

“ แต่เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว   ข้าคิดว่าคนๆ นี้คงรู้อะไรลึกๆ เกี่ยวกับสงครามในครั้งนั้นแน่ๆ เราจะได้เรียนรู้จากเขา ”

 

อีเลียสว่า

 

 

ฟีไลร่าเร่งเร้าให้รีบเข้าห้องเรียน   แต่กระนั้นก็ยังช้ากว่าอาจารย์สอนผู้มีใบหน้ายับย่นเกินอายุ   ผมด้านหน้าหงอกขาวไปกว่าครึ่งหนึ่ง   เขาเป็นอาจารย์คนเดียวกับที่ฟิโลโซเฟอร์พบในระหว่างที่ทำการทดสอบเพื่อเข้าโรงเรียน   อาจารย์คนนั้นยังคงนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ ปล่อยให้นักเรียนคุยกันตามสบาย   ในห้องเรียนนั้นมีนักเรียนรุ่นพี่เข้ามานั่งปะปนอยู่หลายคนฟิโลโซเฟอร์จึงหันไปถามฟีไลร่าด้วยความสงสัย   ว่าเหตุใดวิชานี้จึงคึกคักเป็นพิเศษ

 

“ นั่นสินะข้าก็สงสัยเหมือนกัน   ความจริงแล้ววิชานี้เป็นพื้นฐานที่จะปูทางไปสู่วิชาการสงครามว่าด้วยมหาสงครามโค่นซาเหวจลอร์ดซึ่งมีความซับซ้อนมาก   เคยมีรุ่นพี่ย้อนกลับมาเรียนซ้ำอยู่บ่อยๆ แต่คราวนี้มากเกินไปจริงๆ  บางทีอาจจะมีปริศนาอะไรซ่อนอยู่ในวิชานี้ก็ได้ ”

 

นางบอก

 

“ ปริศนาอะไรล่าสมบัติหรือ ”

 

โลธอร์ยื่นหน้าอวบๆ เข้ามาแทรก

 

“ ก็ปริศนาเกี่ยวกับคำสาบมรณะนั่นไง   ใช่ว่าจะมีแค่เราเสียที่ไหนที่สนใจเรื่องนี้   โดยเฉพาะอาจารย์โดเฮเกนที่เคยบุกเข้าไปจนถึงตัวควอซาร์กษัตริย์แห่งคาเล   หลายคนเชื่อว่าเขาต้องรู้อะไรบางอย่างแน่ๆ เลยแห่กันมาเรียน ”

 

           

ร่างสูงสง่าในชุดคลุมดำร่างหนึ่งมาปรากฏขึ้นที่หน้าประตู   เสียงพูดคุยกันของเด็กนักเรียนทั้งห้องก็เงียบลงทันที   สายตาทุกคู่จ้องมองไปทางเดียวกันด้วยความประหลาดใจ   อาจารย์โดเฮเกนเงยหน้าขึ้นมองคนผู้นั้นแล้วเอ่ยทักเสียงราบเรียบ

 

“ มาแล้วรึ  นี่เป็นครั้งแรกที่ข้ามีศิษย์เป็นพวกนักเวทย์   ยิ่งเป็นเจ้าด้วยแล้วดารีล   เห็นทีโรงเรียนนี้คงมีเรื่องต้องจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์แล้วสิ ”

 

ดารีลไม่ตอบโต้อะไรเขาก้าวเท้ายาวๆ อย่างว่องไวผ่านกลางห้องเรื่อยไปจนถึงโต๊ะตัวสุดท้าย   แล้วหมุนตัวกลับรวดเร็วจนชายเสื้อคลุมสะบัดพลิ้ว   เด็กนักเรียนหลายคนลอบมองเขาโดยตลอดจากทางหางตา   พวกเด็กๆ ต่างอยู่ในอาการตกตะสึงราวกับต้องมนตร์

 

“ บอกตามตรง   ตอนข้าได้รับหนังสือแจ้งว่าจะมีผู้ใช้เวทมนตร์คนหนึ่งเข้าห้องเรียน   ข้าไม่นึกมาก่อนเลยว่าจะเป็นเจ้า   บอกเหตุผลได้หรือไม่เหตุใดเจ้าจึงมาที่นี่ ”

 

“ ข้าได้รับคำสั่งให้มาสังเกตท่าน   แต่อย่าห่วงไปเลยอย่างน้อยข้าก็ชอบศึกษาหาความรู้   ท่านจงสอนตามแบบของท่าน   ส่วนเรื่องอื่นถ้ามีปัญหาอะไรข้าจะแจ้งทีหลัง   และข้าจะเตือนท่านว่าแม้ข้าไม่ได้เข้าเรียนทุกวันแต่วันที่ข้าไม่อยู่   วันนั้นสายของจอมเวทวาลานจะมาเอง ” 

 

ดารีลตอบเสียงราบเรียบ

เขาหยิบหนังสือเล่มหนาขึ้นมาวางบนโต๊ะ

ทำตัวสงบนิ่งเหมือนเป็นนักเรียนคนหนึ่ง

 

“ วาลานอีกแล้วหรือเขาต้องการอะไรกันแน่จึงต้องมาวุ่นวายกับข้า ”

 

อาจารย์โดเฮเกนว่า

น้ำเสียงเริ่มขุ่นมัว

 

หนุ่มน้อยนักเวทไม่ตอบ

เขานั่งหลังตรงมือสองข้างประสานกันบนปกหนังสือ

แต่ปรากฏรอยยิ้มจางๆ ที่ริมฝีปากหนาหยักได้รูป

 

โดเฮเกนลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปกลางห้อง

สายตาจ้องมองดารีลไม่ลดละ

นักเรียนทั้งห้องต่างกระสับกระส่ายไม่รู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น

 

หนุ่มน้อยนักเวทจึงส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ

น่าแปลกที่เพียงเท่านี้ก็ทำให้บรรยากาศลดความตึงเครียดลง

 

“ ช่วงนี้มีข่าวลือประหลาดมากมาย   ข้าเพียงแต่อยากให้มั่นใจว่ามันไม่ได้หลุดออกมาจากคนในของปราสาทขาว   ส่วนความประสงค์ของจอมเวทวาลานนั้น   ไม่มีผู้ใดตอบคำถามนี้แทนได้   แต่หากท่านอยากรู้   ข้าสามารถพาท่านไปพบและพูดคุยกับเขาได้โดยตรง ” 

 

อาจารย์โดเฮเกนถอนหายใจอย่างหนักหน่วง

เขาเดินกลับไปที่โต๊ะและเริ่มสอนตำราต่อไป     

 

ฟิโลโซเฟอร์คลี่ม้วนกระดาษออก

เตรียมจดย่อเกร็ดข้อมูลใหม่

เขาสังเกตเห็นฟีไลร่าชำเลืองไปด้านหลังบ่อยๆ จึงเอ่ยถาม

 

“ มีอะไรหรือ ”

 

“ เปล่า ”

 

เด็กหญิงผมสีเงินตอบพลางก้มหน้าหงุด

วันนี้ดูนางเสียสมาธิไม่น้อย

 

เด็กชายชาวซีนาร์ยจึงหันหลังกลับบ้าง

เขาพบดารีลที่จ้องเขม็งไปยังหน้ากระดาน

ปากกาขนนกปลายเหล็กแหลมในมือขวาตวัดลากบนกระดาษม้วนอย่างลื่นไหล

โดยที่เจ้าตัวไม่เสียเวลาแม้แต่จะชำเลืองมอง

 

ฟิโลโซเฟอร์รู้สึกทึ่งกับความสามารถนั้นเป็นอย่างมาก

พ่อมดน้อยเหมือนจะรู้ตัวว่ากำลังถูกจับจ้อง

เขาทำหน้าตึงโต้ตอบกลับมา

และส่งสัญญาณให้เด็กชายกลับไปจดตำราต่อ

 

“ ยอดมากเลย   อาจารย์โดเฮเกนได้หนังสือปริศนาแห่งคำสาบที่เขียนโดยมิรากลอสมาจากไหน   ข้าเห็นมันวางอยู่บนโต๊ะของเขา ”

 

อีเลียสว่า

ขณะนี้เด็กๆ กำลังเดินออกจากห้องเรียน

ส่วนฟิโลโซเฟอร์ต้องไปรับน้องสาวก่อนจึงจะกลับบ้านได้

 

“ นั่นสิข้าไม่เคยเห็นหนังสือพวกนี้ในตลาดหนังสือเลย ”

 

เลโอน่าว่าบ้าง

 

“ ก็เพราะมันถูกเก็บออกจากตลาดตั้งแต่วันแรกที่วางขายเลยน่ะสิ   แม้แต่คนที่ซื้อไปแล้วทางสภาพ่อมดยังสั่งให้ส่งคืนเลย ”

 

“ ทำไมจึงห้ามขายล่ะ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์สงสัย

 

“ เพราะสภาพ่อมดมีความเห็นร่วมกันว่าหนังสือเล่มนั้นเป็นอันตรายต่อสังคมโดยรวม ”

 

“ หืม   เป็นภัย    มันเป็นหนังสือลามกหรืออย่างไร ”

 

โลธอร์ทำตาโต

 

“ ไม่ใช่แบบนั้นเสียหน่อย   แต่ได้ยินว่ามันคือบันทึกคืนสุดท้ายก่อนที่เมืองคาเลจะล่มสลาย ”

 

เลโอน่าเสียงดุ

 

“ นั่นแหละยิ่งทำให้อยากรู้   แล้วบ้านของคนๆ นั้นอยู่ที่ไหนมิรากลอสอะไรนั่นน่ะ   เขาอยู่ในเมืองนี้หรือเปล่าเขาคงเป็นคนเดียวที่รู้ว่าหนังสือนั่นเขียนว่าอะไร   เราไปถามถึงที่เลยก็ได้นี่นา ”

 

เด็กชายร่างอ้วนว่า

 

“ เราตามหาคนเขียนไม่ได้หรอก   เพราะว่าเขาถูกฆาตกรรมหลังจากเขียนเสร็จไม่นาน ”

 

“ อยากรู้จริงเขาเขียนอะไรไว้ในหนังสือเล่มนั้น ”

 

โลธอร์หันมาทางฟิโลโซเฟอร์

 

“ มันร้ายแรงพอที่จะทำให้คนๆ หนึ่งต้องตายเลยหรือ ”

 

“ นั่นอาจไม่ใช่สาเหตุจริงๆ ที่ทำไห้เขาต้องตายก็ได้นะ   บางทีอาจมีเรื่องขัดแย้งอื่น ”

 

ฟิไลร่าว่า

 

“ แล้วมันเรื่องอะไรล่ะที่ทำให้ถูกตามล่า ”

 

โลธอร์ถาม

 

“ ก็คงต้องถามเอากับคนที่ลงมือฆ่าเขาเท่านั้นแหละ ”

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา