ตุ๊กตาเทวา

-

วันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 00.04 น.

  25 บท
  2 วิจารณ์
  14.88K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2564 13.14 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

14) ทบที่18 คำเตือนของชูใจและความเคลื่อนไหวของกวี

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

      ผ่านมาแล้วประมาณ 2 วัน หลังจากข่าวการเสียชีวิตของนาฏยา 

ก่อนหน้านี้ ทั้งผมและพ่อ  ถูกตำรวจเรียกตัวไปสอบปากคำ ส่วนแม่ที่ทำตอนนี้อยู่ยุโรป จึงมาไม่ได้

พ่อแม่ของนาฏยากลับมาที่ไทยอย่างเร็วที่สุดเท่าที่พวกเขาจะทำได้  ผมได้พูดคุยกับพวกเขาซึ่งดูท่าทางจะโศกาอาดูรอย่างมากเกินกว่าจะรับไหว  จึงทำให้พ่อผมคิดว่า เราไม่ควรไปวุ่นวายอะไรมากนักหลังจากนี้

ยอมรับว่าผมไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรนัก  ทั้งเรื่องเรียนและเรื่องงาน  ผมขอลาหยุดที่ Magic Cup ลากยาวอย่างไม่มีกำหนด

แต่เอาจริงๆโรงเรียนต่างหากคือสถานที่ที่ผมไม่อยากจะมามากที่สุด  แต่แน่นอนว่าพ่อไม่เห็นด้วย

ในโรงเรียน เวลาที่ผมมองไปยังที่ที่เคยคุยกัน เจอกัน หรือเดินอยู่กับเธอ  พอได้เห็นที่ตรงนั้นๆแล้ว ผมก็รู้สึกเจ็บปวดทุกครั้ง  พาลคิดเอาว่า  หรือเป็นเพราะว่าผมพาเธอมาที่บ้าน เรื่องถึงได้เป็นแบบนี้  ถ้าหากผมพาเธอไปที่อื่น หรือทำอะไรบางอย่างที่ต่างออกไป  ผลลัพธ์จะต่างจากตอนนี้ไหม

แล้วไอ้ฆาตกรนั่นมันเป็นใครกัน?

มันทำไปทำไม?

ทำไมต้องเป็นเธอ?

ยายนั้นไปทำอะไรให้งั้นเรอะ? 

ตอนนี้ผมรู้สึกแล้วว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอย่างที่ผมคิดอีกต่อไป

บางครั้งนั่งเรียนอยู่ หูของผมก็ไม่ได้ฟังที่อาจารย์สอนแม้แต่นิดเดียว  ได้แต่คิดเรื่องนี้วนเวียนอยู่ในหัว

ทางโรงเรียนออกประกาศยกเลิกการนอนค้างคืนที่โรงเรียน  ด้วยเหตุผลที่ว่า คนร้ายยังวนเวียนอยู่ในพื้นที่

ทำให้นักเรียนหลายคนไม่ค่อยพอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น  เพราะทุกคนมองว่านี้คือจุดเด่นอย่างหนึ่งของที่นี่  การได้มาสนุกกับกิจกรรมจัดงานข้ามคืนกันนั้น เป็นเหมือนธรรมเนียมที่ต้องปฏิบัติ

ถ้าคนที่จริงจังขึ้นมาหน่อย ก็จะบ่นเรื่องที่งานอาจจะเสร็จไม่ทัน แผนงานที่วางเอาไว้ต้องจัดเวลาการทำงานใหม่

และก็พาลโทษว่า  เป็นเพราะนาฏยา

ผมต้องทนอกไหม้ไส้ขมกลืนความไม่พอใจลงไปในคอเวลาที่เจอพวกคนที่พูดจาเห็นแก่ตัวแบบนี้  โชคดีที่ห้อง 3 ของผมนั้นงานน่าจะเสร็จก่อนกำหนด จึงไม่มีใครบ่นเรื่องงาน แต่ก็มีบ่นเสียดายที่ไม่ได้ค้างคืนเล็กน้อย  หรือจะเพราะเกรงใจผมก็ไม่ทราบได้

ทั้งผมและสายฝนค่อนข้างเงียบทีเดียว  ไม่ได้เอะอะมะเทิ่งเหมือนที่ผ่านมาจนดูเหมือนว่าเอกรัฐจะอึดอัดจากบรรยากาศที่ผิดรูปผิดรอยไม่เหมือนเคยแบบนี้ จนผมเองก็สังเกตเห็นได้ จึงตัดสินใจชวนคุยก่อนที่จะอึดอัดจนกระอักเลือดตายเสียก่อน ทั้งๆที่พึ่งออกจากโรง’บาลกลับมาเรียนได้ไม่นานนัก

“แกเป็นไงมั้ง  ที่เป็นลมหมอเขาว่ายังไง”  ผมถาม

“เอ่อ ก็ไม่มีอะไรผิดปกตินะ  ฉันกแปลกใจตัวเองเหมือนกันนะทั้งๆที่น่าจะแข็งแรงแท้ๆ”

“ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงก็ดีแล้ว”  บอกตรงๆว่าผมก็ไม่รู้จะคุยอะไรเหมือนกัน  ในหัวของผมมันโล่งไปหมด  ไม่มีอารมณ์จะคุยกับใครซักนิด

“อืม จะว่าไป เรื่องที่เปลี่ยนแปลงก็มีนะ”

“หรอ อะไรละ”  ผมถามออกไปขณะที่ช่วยสายฝนกวาดตาดูเอกสารขอยืมและบิลซื้ออุปกรณ์ต่างๆ

“ฉันถูกบอกมาว่าความเข้มข้นของเลือดต่ำนะ  แบบพวกโรคเลือดจางอะไรแบบนี้  แล้วก็น้ำหนักลดลงแปลกๆ  แต่พอผ่านไปหลายๆวัน ทุกอย่างก็กลับมาปกติ”

“หืม ไม่เห็นจะเข้าใจ”  คราวนี้คนที่ถามคือสายฝน

“คืองี้นะ ฉันนะ ไม่ได้เป็นโรคเลือดจางอะไรหรอก คนที่บ้านก็ไม่เคยมีประวัติด้วย  ไม่ได้ขาดสารอาหาร ไม่มีพยาธิ ไม่มีมะเร็งไขกระดูก ไม่มีแผลภายใน  แต่กลับเกิดภาวะเลือดจางอย่างแปลกประหลาดเสียอย่างงั้น  ตอนมาถึง เขาว่าฉันตัวซีดด้วย อ่อ เห็นเขาว่า พวกนักเรียนคนอื่นๆที่เป็นลมนะ ก็แบบเดียวกันกับฉันเปะเลยละ”

“หรือจะเป็นที่อาหารของโรงเรียนมีปัญหา”  ผมออกความคิดเห็น

“เกี่ยวเรอะ” สายฝนหันมาถาม

“ก็ไม่รู้ มันอาจเป็นพวก ไวรัส แบคทีเรียอะไรก็ได้”

“พวกอาจารย์ก็คิดแบบนั้นจนมีการตรวจสอบกันเข้มงวนเลยละ  แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติในอาหาร  คนอื่นๆที่ตรวจร่างกายเองก็ ไม่เจอเชื้อพวกนี้  อีกอย่าง ถ้าเป็นที่อาหารฉันว่ามันจะเจาะจงเกินไปนะ  ทำไมเป็นเฉพาะคนอยู่เย็นชุมนุมกีฬาละ บางคนก็ไม่ได้กินของจุกจิกนะ”  เอกรัฐว่า

“เอาเถอะ เรื่องแบบนี้ ให้คนที่มีหน้าที่เขาจัดการกันไป แกไม่ตายก็ดีแล้ว  ส่วนงานของเราก็เหลือแต่แค่หารถไปขนเอาเครื่องทำกาแฟที่ร้าน Magic Cup มา  ว่าแต่เธอเถอะสายฝน  แพ้กาเฟอีนนี้  ทำงานได้แน่นะ”  ผมหันมาถามเธอ

“ไม่ได้แพ้ขนาดนั้นยะ  นายก็เห็นนี่ฉันไปที่ร้านตั้งหลายครั้ง  ขนาดตอนที่ดุจดาวกับนาฏยาสั่งกาแฟมานั่งกินใกล้ๆฉันยังไม่เป็นอะไรเลย...อืม ขอโทษ”

เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดที่สุด  ยายสายฝนกล่าวคำขอโทษแก่ผม  น่าบันทึกเสียงเก็บเอาไว้จริงๆ

พอได้ยินชื่อของนาฏยา  ผมคงจะแสดงอาการออกมาทางสีหน้าโดยไม่ได้ตั้งใจ  จึงทำยายสายฝนต้องเปลี่ยนท่าที

“ไม่เป็นไร...เฮ้อ  ฉันขอไปห้องน้ำหน่อยก็แล้วกัน”  ผมลุกออกมาจากที่นั่ง  เดินมาเข้าห้องน้ำที่อยู่ในตึก

ล้างหน้าล้างตาซักหน่อยเพื่อเปลี่ยนอารมณ์  เพราะไม่อย่างนั้น งานที่ทุกคนสนุกสนานสร้างกันขึ้นมาจะกลายเป็นว่ากร่อยเสียเปล่าซะหมด

ห้องน้ำอยู่มุมหนึ่งของทาง 4 แยกที่เชื่อมระหว่างอาคารเชื่อมและอาคาร ข.  ซึ่งจะอยู่ติดกับบันไดขึ้น-ลง

ผมเข้าไปในห้องส้วม แล้วปิดประตูนั่งลงทั้งๆที่ไม่ได้ปวดท้องแต่อย่างใด  เอาหน้าซุกลงบนฝ่ามือทั้ง 2 ข้างทอดถอนหายใจทิ้งอย่างไร้ประโยชน์

ไม่นานนักก็มีเสียงเท้าคนเดินเข้ามาในห้องน้ำ 2 คน

“เซ็งหว่ะ  ปวดหัวเลย  โดนอาจารย์รัตนาสั่งให้ไปรื้อภาพเก่าๆของยายนาฏยาออกมา”  เสียงผู้ชายคนแรกดังขึ้น  จากความแตกของเสียงบ่งบอกว่าเป็นนักเรียน

“ทำไมวะ ชุมนุมศิลปะจะโละทิ้งเรอะ”  อีกคนหนึ่งถาม

“ทิ้งก็ดีดิวะ  อาจารย์แกจะเอาภาพทั้งหมดของยายนั้นขึ้นจัดแสดงในงสนโรงเรียนปีนี้  แม่ง ทางนี้ก็อุตส่าห์วาดเพื่อจะเอาไปโชว์เหมือนกันนะโว้ย  ไม่ยุติธรรมเลยหว่ะ  คนตายแล้วก็ตายไปดิ  จะเอามาจัดทำไม คนอื่นเขาก็เหนื่อยเปล่า”

“แก็ลองตายดูมั่งดิ เผื่อจะได้จัดแสดงมั่ง”

“ตลก พูดก็พูดเหอะหว่ะ  ยายนั้นมันยังซิงไหมวะ”

“นั้นดิ เห็นในห้องเงียบๆ  แม่งร้ายเหมือนกันนี้หว่า แอบคั่วผู้ชายตั้ง 3 คน  ข้าว่า ที่จริงแม่งไม่ใช่ลวนลามอะไรหรอก แต่พอมีคนเห็แม่งคงตอแหลเอาตัวรอดไปงั้นแหละ”

“เออ ไอนิพนธ์แม่งก็โง่เนอะ ยังไปกินของเหลือจากไอ้ 3 คนนั้นอีก”

“หรือมันชอบแนวนี้วะ”

“ไม่ก็กะฟันเล่นๆเหมือนกันมั้ง”

แกร็ก

ผมเปิดประตูห้องน้ำออกไป  ทั้ง 2 คนนั้นหยุดคุยกันแล้วหันมามอผมหน้าตาเหวอหวายังกับว่าผมเป็นผี

คนแบบนี้มีไม่น้อยเลยในสังคม  คนที่ว่าร้ายคนอื่น อิจฉา พยาบาท หรือหนักข้อก็พวกที่ไม่ได้แค้นเคืองอะไรอีกฝ่าย  แต่เพียงเพราะว่ามันสนุกดีที่ได้เหยียบย่ำ หรือสนุกที่ได้ปล่อยข่าวที่ตนรู้ว่าปลอมเพียงเพื่อเห็นคนที่โง่ๆมาหลงเชื่อ

คนพวกนี้เวลาผมเจอก็จะไม่สนใจอะไร  เป็นพวกป่วยทางจิตใจที่แก้กันให้หายไม่ได้ง่ายๆ และผมก็มักจะปล่อยผ่านไปเฉยๆทางใครทางมัน

“ไม่รู้จริงอย่าพูดมากดีกว่า”  แต่ทว่าคราวนี้ผมกลับทำตรงกันข้ามกับที่เคยทำตลอดมา 

“แล้วอะไรที่รู้ไม่จริงละ  มึงรับไม่ได้เองมากกว่ามั้ง”  เด็กหนุ่มที่อยู่ชุมนุมศิลปะพูด  ผมรู้ว่าคนไหนเป็นคนไหนจากเสียงที่ฟังเมื่อกี้

“ถ้ามึงรู้จริงมึงมีหลักฐานรึเปล่า พูดลอยๆแบบนี้ มึงมันไม่ความรับผิดชอบเลยนี้หว่า”  ผมโมโหจัด ยกมือยกไม้ชี้หน้าว่าอีกฝ่าย

“แล้วมึงคนดีนักรึไงวะ”  อีกฝ่ายเองก็ท่าทางโกรธจัด เดินปรี่เข้ามาหาผม

ผมในตอนนี้แม้จะไม่มีอาวุธแล้วหลังจากที่โดนยึดไป  แต่ก็ไม่ได้หวาดกลัวอะไรกับการคุกคามนี้

แต่ทว่ากลับมีฝ่ามือจะแตะที่อกของผมอย่างแผ่วเบาเป็นการห้ามปราม

ฝ่ายคู่กรณีเดินมาได้ระยะก็เหวี่ยงหมัดใส่ผมทันที

แต่คนที่มาแทรกนั้นจับมันเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย

“อย่าให้เรื่องมันบานปลายดีกว่าน่า นิพนธ์ สุธี”

คนที่มาขวางคือชูใจนั้นเอง

“เสือกอะไรวะไอ้ชูใจ  หรือมึงอยากโดนพร้อมกับเพื่อนมึงเลย...โอ้ย โอ้ย  มึง โอ้ย  ปล่อยนะโว้ย”

สุธีทรุดลงไปคุกเข่ากลับพื้น ท่าทางจะเจ็บแขนตรงที่ชูใจจับอยู่น่าดู  ส่วนเพื่อนของเขาอีกคนกลับได้แต่ยืนนิ่งไม่กล้าทำอะไร  ท่าทางไม่ใช่พวกที่ชอบมีเรื่องนัก

“อย่ามีเรื่องกันน่า สุธี ฉันขอละนะ  อีกอย่าง  ถ้านายเก่งจริงก็ได้รางวัลไปนานแล้ว เรื่องรูปนะฝีมือไม่ถึงเองก็อย่าโทษคนอื่นสิ  จริงไหม”

ชูใจปล่อยมือที่จับแขนของสุธี  เขารีบชักแขนกลับ กุมเอาไว้ตามสัญชาตญาณและรีบลุกขึ้นวิ่งหนีออกนอกห้องน้ำไปทันทีพร้อมกับเพื่อนของเขา

“นายไม่น่าใจร้อนนะนิพนธ์  ทำไมไม่ถ่ายคลิปเหมือนตอนกวีละ”  เจ้าชูใจหันมายิ้มให้ผมเหมือนที่มันทำทุกวัน

เมื่อครู่มันหันหลังให้ผม ทำให้ผมสงสัยจริงๆว่ามันกำลังทำหน้าแบบไหนอยู่  ถ้ายิ้มไปบีบแขนทรมารอีกฝ่ายไปด้วยละก็  เจ้านี้คงน่ากลัวไม่น้อย

“ยุ่งไม่เข้าเรื่อง เกือบต้อนมันจนมุมแล้ว”

“ใช่ๆ ฉันรู้ว่าถ้าซัดกันละก็ นายชนะขาดแน่ๆ  แต่คราวนี้มันจะไม่ใช่พักการเรียนแล้วนะ  หัดใช้สมองมากกว่านี้สิ”

“แกนี่ปากมากเหมือนเดิมนะ  ว่าแต่  แกพูดว่าให้ฉันถ่ายคลิปเหมือนตอนเจ้ากวี  แกรู้ได้ยังไงว่าฉันเคยแอบทำแบบนั้น”

ผมสังเกตเห็นว่ารอยยิ้มของชูใจหายไปเพียงชั่วเสี้ยวก่อนจะรีบกลับมาเป็นปกติ  มั่นใจแน่นอนว่าผมไม่ได้ตาฝาดไป

ชูใจเดินกลับไปปิดประตูห้องน้ำจนสนิท

“แกจะทำอะไร” ผมถามเพราะเห็นท่าทางมันแปลกๆ

“แค่คุย”  มันว่าขณะที่เดินกลับมายืนที่เดิม

“คุยอะไร  ทำไมต้องปิดประตู”

“นิพนธ์  นายนะ เลิกยุ่งกับพวกนักเวทเถอะ”

เลิกยุ่งกับพวกนักเวท

พูดอะไรของมัน  ผมก็ตายพอดีสิ

ไม่สิ  มันรู้ว่ากวีเป็นนักเวทงั้นเรอะ!!

“แกพูดอะไร?” ผมแกล้งเฉไฉ

“เอาชัดๆเลยนะ  ออกมาจาก W.A.ซะ ฉันเตือนนายในฐานะเพื่อนนะ”

 

 

      “ไปซะนานเลย  นึกว่าตกส้วมไปแล้ว”  สายฝนร้องทักขณะที่ผมเดินกลับเข้ามานั่งที่ประจำ

จากนั้นเราก็พูดคุยเรื่องอุปกรณ์กันอีกเล็กน้อย แล้วก็เปลี่ยนไปคุยเรื่องสัพเพเหระจนสิ้นเวลาและแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน

แต่คราวนี้ผมไม่ได้เดินไปที่ลาดจอดจักรยาน  แต่เดินไปที่ห้องล็อคเกอร์ของพวกชุมนุมฟุตบอลแทน

“หืม นิพนธ์ แกตามฉันมาทำไม?”  เอกรัฐถามขณะที่เราเดินมาถึงหน้าประตู  ห้องเรียนเราค่อนข้างจะใกล้  ทำให้เราเป็น 2 คนแรกที่เดินทางมาถึงก่อนใคร

“ฉันมีเรื่องอยากรู้อีกนะ  คุยกันที่ห้องเรียนเดี๋ยวยายสายฝนวีนเอาอีก” ผมตอบไป

“อาๆ แล้วจะถามอะไรละ”

“นายบอกพวกอาจารย์ไปว่าจำไม่ได้ใช่ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น”

“ใช่ คือ ก็คนเป็นลมนะ อยู่ๆก็คงวูบไป”

“ ‘ก็คง’ งั้นเรอะ แล้วนายมีแบบ ปวดหัว จะอ้วก จะวูบ อะไรแบบนี้ไหม”

“อืม...ไม่นะ คือเอาให้ชัดก็คือ ฉันกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ แล้วก็เดินไปที่ประตู แล้วเหมือนอยู่ๆภาพก็ตัดไปเลยนะ”

“เดินกลับมาที่ประตูงั้นเรอะ ทำไม?”

“รู้สึกว่าจะมีคนมาเคาะประตูนะ”

“ใคร?”

“จำไม่ได้นะ  เอาจริงๆคือจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเปิดประตูรึเปล่า  ฟื้นขึ้นมาอีกที่ก็อยู่โรง’บาลแล้วนะ”

“แล้วใครพานายมาที่โรง’บาล?”

“อาจารย์กินรีนะ”

“ทำไมเขารู้ว่านายเป็นลม? ห้องพยาบาลอยู่ตั้งตึก ก. เลยนะ”

“ไม่รู้สิ มีคนไปบอกมั้ง”

“ใคร?”

“ไม่รู้เฟ้ย ไหนว่าออกจากชุมนุมวารสารแล้วไง”

“เออ ลืมตัว  สงสัยติดนิสัยมานะ  ขอบใจมากๆ”  ผมโบกมือลาแล้วเดินออกมา

ผมเดินออกมาพ้นเขตสนามฟุตบอลก็มีสายเรียกเข้าจากมือถือของผม

สายฝนโทรมา?

นับว่าเป็นเรื่องที่แปลกพิสดารอย่างที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิตของผมเลยทีเดียว  ตลอดระยะเวลา 7 ปีที่ผ่านมา ยายนี้ไม่เคยติดต่อแบบส่วนตัวเช่นนี้ซักครั้ง

จะว่าไปอาจจะโทรผิดก็ได้  ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยๆไปให้สายตัดซะ เพราะถ้าผมรับสายขึ้นมา จะกลายเป็นสร้างความอับอายให้ยายนั้นเสียเปล่าๆ  คืนนี้อาจะฝันร้ายเลยก็เป็นได้

เดินต่อไปอีกซักพักก็มีเสียงเรียกเข้าอีก  แต่คราวนี้เป็นเสียงการโทรในช่องแชท

พอดูชื่อก็ยังเป็นสายฝนเหมือนเดิม แบบนี้ไม่ใช่โทรผิดเสียแล้วละมั้ง

“ฮัลโล” ผมกล่าวทักทายตามธรรมเนียมการรับโทรศัพท์

“ช้ามาก  นายจงใจเมินสายฉันใช่ไหม นายนิพนธ์” อีกฝ่ายโวยวายทันทีที่

การที่สายฝนพูดชื่อของผมออกมาแบบนี้แสดงว่าเธอไม่ได้โทรผิดจริงๆสินะ

“แล้วสรุปว่ามีอะไร”

“นายอยู่ไหนแล้ว”

“ทำไม”

“คือที่จริงฉันต้องส่งเอกสารขอยืมอุปกรณ์ให้สภานักเรียนวันนี้นะ แต่ฉันลืม”

โห ยายนี้ พูดจาธรรมดากับผมก็ได้ด้วยแฮะ  นึกว่าปากเป็นลำโพงซะอีก เห็นปกติเสียงดัง

“แล้วเอกสารอยู่ใต้โต๊ะงั้นเรอะ”

“ใช่ๆ”

“ได้ เดี๋ยวไปส่งให้”

“...แค่นี้แหละ”

แล้วก็วางสายไปเสียเฉยๆโดยไม่มีคำพูดกล่าวขอบคุณ

ผมใช้เวลาซักพักเพื่อกลับไปที่ห้องเรียนหาเอกสารและเดินต่อไปยังห้องสภานักเรียนเพื่อส่งมัน

ทุกอย่างเป็นไปตามคาด  ไม่มีใครอยู่แม้แต่คนเดียว  ไม่รู้ว่าใกล้วันงานโรงเรียนแล้วจึงงานยุ่งนั่งกันไม่ติดที่หรือเป็นแบบนี้กันปกติอยู่แล้ว  แต่ยังไงซะก็ช่วยล็อคห้องสักหน่อยเถอะ เดี๋ยวเอกสารก็หายหรอก

ผมเดินไปที่โต๊ะท่านประธานอย่างรู้งานเพื่อวางเอกสาร

แต่ทว่าบนโต๊ะมันช่างรกจนหาช่องจะว่างวางเอกสารไม่ได้เสียเลย  ผมจึงเดินไปด้านหลังเพื่อจะเกลี่ยของให้พ้นทางหาพื้นที่

โครม!!!

เอาแล้วไง  ดูเหมือนว่าผมจะเดินไปเตะอะไรเข้าให้ 

พอก้มมองดูก็เห็นกระติกน้ำแข็งใบเล็กทรงเหลี่ยม  ฝาของมันหล่นออกจากตัวถังจากแรงเตะของผม  ด้านในเป็นน้ำแข็งหลอดครึ่งถัง  มีอุปกรณ์ประหลาดวางด้านบน

มันดูคล้ายตาชั่งดิจิตอลขนาดเล็กเพียงแต่มันไม่มีหน้าปัดบอกเลข  บนถาดสีเงินนั้นไม่มีอะไรวางอยู่

แต่เจ้าถาดนั้นกลับแกว่งไปมาวนรอบๆอยู่อย่างนั้น  ทำให้ผมรู้สึกเหมือนจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

ผมเอามือไปจับถาดให้หยุดและปิดฝากระติก  ใกล้ๆกันมีถังขยะในเล็กล้มตะแคงจนขยะกระเด็นออกมา

ผมรีบเก็บอย่างรวดเร็วพลางสงใสไปว่า พวกสภานักเรียนกินลูกอมดับกลิ่นปากกันเยอะขนาดมีแต่ซองเต็มถังเชียวหรือ

พอเสร็จแล้วก็กลับมาจัดการกับของบนโต๊ะ 

เฮ้อ

เอกสารอยู่ก่อนที่ไม่เป็นระเบียบนั้นคือใบแจ้งขอเปิดกิจกรรมชุมนุมหลังเลิกเรียน มีรายละเอียดที่ละเอียดจนผมอยากถามหาคนออกแบบ

มันไม่ใช่มีแค่ ชื่อ-นามสกุลผู้ที่ขอใช้

แต่มีทั้ง เวลาเปิดปิด เนื้อหากิจกรรม อุปกรณ์ที่จะใช้  ใครเป็นคนเปิด  และคนที่อยู่สุดท้ายคือใคร

คนทำกิจกรรมีกี่คน แต่ละคนจะกลับกี่โมงบ้าง  และอีกมากพอสมควร

เอาเป็นว่าผมรีบวางเอกสารของตัวเองแล้วรีบกลับดีกว่า

 

 

 

       เจ้านิพนธ์ไม่มาทำงาน 2 วันแล้ว  แถมที่โรงเรียนก็ไม่คุยกับผมซักนิด เรียกว่าพยายามหลบหน้าผมมากกว่า

ช่วงนี้เรากำลังยุ่งเรื่องงานห้อง  ทำให้ผมต้องคอยตอบคำถามและเป็นที่ปรึกษาให้ดุจดาวและฝ่ายอื่นๆ เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดหรืออันตราย  จึงยิ่งไม่มีเวลาไปคุยกับเจ้านิพนธ์ไปด้วย

ที่พิมกับพี่กบี่บอกให้ปล่อยไปก่อน

และงานอีกอย่างของผมที่ต้องทำก็คือ  การสืบหาต้นตอที่ทำให้ทุกคนเป็นลม

ผมไม่รู้ว่าพวกที่กางเขตอาคมในโรงเรียนจะเกี่ยวกันไหม  เขตอาคมของมือปราบมารนั้นหาง่ายและอยู่สม่ำเมอ

แต่ของอีกคนที่ผมไม่รู้ว่าใครนั้น  จะเปลี่ยนรูปแบบไปเรื่อยๆ บางครั้งก็เปลี่ยนสถานที่  ทำให้ยากต่อการตรวจสอบ

แต่ผมก็ยังไม่ถึงกับสิ้นแสงสิ้นทางซะทีเดียว  ยังพอมีฟางให้สาวอยู่บ้าง

อาจารย์กินรี

ก่อนหน้านี้ที่ผมไปที่สระน้ำแล้วเจอกับมณฑาเข้า  อาจารย์แกเข้ามาหาผมไวเกินไป 

น่าสงสัย

“เป็นอะไรมาเรอะ” อาจารย์ประจำห้องพยาบาลถามขึ้นเมื่อผมไปรบกวนถึงถิ่น

“ปวดหัวนะครับ  อยากจะขอยาซักหน่อย”

“พวกเธอดมกาแฟกันจนปวดหัวเลยเรอะ”  เธอพูดพร้อมกับหยิบยาที่ชั้นยาติดผนังด้านหลังโต๊ะ

“ ‘พวกเธอ’ งั้นเรอะครับ?”

“เมื่อกี้นิพนธ์ก็มานะ” เธอสงยาสีขาวให้ผม 2 เม็ด

ผมรับมาและเดินไปกดน้ำที่ตู้ด้วยถ้วยกระดาษราคาถูก

“นิพนธ์ชวนคุยอะไรงั้นเรอะครับ”  ผมถามหลังกินยาเสร็จ

“หืม  ทำไมถึงคิดว่าเขาชวนคุยละ ครูบอกว่าเขามาขอยานะ”

บ้าชะมัด พลาดซะแล้ว  แบบนี้ก็แปลว่าเรามาจ้องหาข้อมูลเห็นๆเลยละสิ

“ช่วงนี้หมอนั้นไม่มาทำงาน แถมเวลาเรียนก็เหม่อๆ คงจะเรื่องนาฏยานะครับ ผมก็ยุ่งๆไม่ได้คุยกับเจ้านั้นด้วย ก็เลยอยากรู้ว่า เขามาบ่นอะไรบ้างรึเปล่า”

ผมแก้ตัวไป พยายามทำให้ไม่มีพิรุธ

“งั้นเรอะ น่สงสารอยู่นะ  แต่เขาคุยเรื่องคนเป็นลมนะ ไม่เห็นพูดเรื่องนาฏยาเลยนะ”

“อ๋อ น่าแปลกใจเหมือนกันนะครับ เรื่องแบบนี้ โชคดีนะครับที่มีอาจารย์กินรีอยู่  รีบพานักเรียนไปหาหมอได้ทัน”

“ก็เป็นงานละนะ  ฉันเองก็ตาลีตาเหลือกเลยละ เวลาที่มณฑาวิ่งมาบอกนะ”

“มณฑา ห้อง 1 ที่เป็นคณะกรรมการนักเรียนนะหรือครับ”

“ใช่จ๊ะ  เขามีหน้าที่คอยตรวจสอบพวกที่มาขอเปิดกิจรรมชุมนุมหลังเลิกเรียนนะ ก็มักจะเป็นคนที่เจอคนที่เป็นลมตลอด”

“ทุกครั้งเลยหรือครับ”

“ใช่จ๊ะ  ว่าเธอเถอะกวี วันนี้ไม่มีงานหรอ”

“เมื่อมองนาฬิกาก็เห็นว่าเกือบจะบ่าย 4 แล้ว  ผมจึงกล่าวลาอาจารย์กินรีแล้วเดินออกมา

นิพนธ์มาคุยกับอาจารย์กินรีเรื่องเดียวกับผม

แต่คนที่เจอเหตุมักจะเป็นมณฑาเสมอ

สงสัยต้องไปดูว่านิพนธ์ได้อะไรมาบ้าง

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา