ตุ๊กตาเทวา

-

วันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 00.04 น.

  25 บท
  2 วิจารณ์
  14.86K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2564 13.14 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) เหตุร้ายป้ายรถเมล์

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ผมกำลังนั่งเก้าอี้ตัวในสุดของร้านและจดจ้องไปที่เทียนไขเล่มหนึ่งบนโต๊ะ  เทียนเล่มนั้นไม่ได้จุดไฟ  แต่ผมกำลังพยายามจะจุดมัน  ซึ่งใช้ความพยายามมาแล้วประมาณ 30 นาทีเห็นจะได้

‘กสิณไฟ’ วิชาที่พี่กบี่หน้าคิงคองพยายามให้ผมทำ  เป็นการจุดไฟให้ติดด้วยการจ้องมอง

คุ้นๆเหมือนในหนังสือการ์ตูนซักเรื่อง

ผมพึมพำบทร่าย ‘ตาเห็นไฟ ใจรู้ไฟ’  วนเวียนๆจนคอแห้งไปหมด  ยังดีที่ตอนนี้ร้านเรา  last order ไปแล้วจึงไม่มีลูกค้าอยู่เลย  ไม่งั้นคนคงคิดว่าผมบ้า  ผมเหลือบไปมองนาฬิกาที่ผนังหลังบาร์ ก็พบว่าอีก 5 นาที  20 นาฬิกา  ซึ่งเป็นเวลาปิดร้าน

“เฮ้ยแก  ไม่มีสมาธิเลยนี้  กสิณสิบนะ  จุดสำคัญคือการเพ่งสมาธิไปที่เป้าหมาย  บอกแล้วไง”

กวีที่ถูพื้นอยู่ใกล้ๆหันมาเอ็ดใส่ผม

“ก็ทำมาเป็นชั่วโมงแล้วนี้ไง”

“ไม่มีใครทำได้ในวันแรกหรอก”

“มันดูย้อนแย้งกับประโยคแรกนะ”

“เพราะทำไม่ได้ตั้งแต่ครั้งแรกถึงต้องตั้งใจไงเล่า”

“เธอนี่ ใช้ของแปลกๆอย่างปราณได้แท้ๆ  แต่กลับใช้มานาไม่ได้เรื่องเลยนะ”

พี่เบลเดินออกมาจากห้องพักพนักงานตรงมานั่งโต๊ะเดียวกับผม

เบล  คาร์เตอร์  แม่สาวลูกครึ่ง ทรงผมบ๊อบสั้นหยักศกสีทองดูเข้ากับหน้าที่ออกไปทางฝรั่งมังค่า  ท่าทางดูกระตือรือร้นเหมือนพวกพลังเหลือเฟือ  ยัยนี้เก่งเรื่องเวทย์สร้างของ  แต่ที่เก่งที่สุดคือโกเล็ม  อายุ 20  และยังเรียนมหา’ลัยอยู่

“มานาต่างหากที่แปลก” ผมพูด

“มานาแปลกตรงไหน  ใช้พลังจากธรรมชาติที่กักเก็บมาตั้งแต่สมัยสร้างโลก หรือสิ่งมีชีวิตลึกลับอย่าง ภูต เพื่อสร้างสรรค์เวทมนต์ผ่านบทร่าย  ที่เป็นดั่งบทสวดขอพร  เพราะพลังมานาในตัวมนุษย์มีจำกัด  เป็นสิ่งยืนยันว่ามนุษย์และธรรมชาติจำเป็นต้องอยู่ร่วมกัน”  พี่เบลใช้มือหนึ่งแตะที่หน้าอก และอีกมือหนึ่งเหยียดออกไปเหมือนนักร้องโอเปร่าในทีวี  เป็นคำพูดที่โรแมนซ์ที่ดีทีเดียว

“สร้างอาวุธมาสู้กัน สร้างสรรค์มากๆ ธรรมชาติคงดีใจที่ให้มนุษย์ยืมพลังมาตีกันเอง”

ผมแย้งออกไปอย่างขบขัน

“อ้าว ไหนตอนแรกเห็นว่า ยังสนใจเวทมนต์อยู่เลย”

“จนกระทั้งพวกพี่ทำเหมือนจะฆ่าผมไง  แล้วปราณนะ ก็ไม่ได้แปลกด้วย  มันถูกสร้างขึ้นอย่างเป็นขั้นตอนจากการหายใจที่ถูกต้องอย่างที่สุด  ภายใต้สภาพจิตที่เฉียบคม  ช่วยเพิ่มพลังกายและปรับสมดุลของธาตุภายใน ดีต่อสุขภาพ โดยไม่พึ่งใคร”

ผมตอบออกไปอย่างภูมิใจที่สุด

“คนแบบเธอเนี๊ยะ  ไม่มีเพื่อนสินะ”  พี่เบลส่งสายตาสังเวชมาให้

“เอาละๆ นิพนธ์เองก็ฝึกมาได้ซักพักแล้วแต่ไม่คืบหน้าเลยสินะ”

พี่พิมเดินมาร่วมวงหลังจากที่เก็บทิปเข้าตู้เซฟและเช็คยอดขายประจำวันเสร็จแล้ว

“จับมือหน่อยสิ” เธอยืนมือออกมาให้ผม  ถึงแม้ผมเองยังไม่เข้าใจเหตุผลแต่ก็จับมือไปตามที่ขอ

มือนุ่มดีจัง

แต่ทว่าฝ่ายพี่สาวกลับทำหน้าตกตะลึงเสียจนผมเองก็ตกใจตาม

หรือพี่เขาจะรู้ว่าเราคิดไม่ดี?

“กวี เธอลองดูไหม”

เปลี่ยนมาเป็นมือของกวี  ที่มาจับกับผม  มือหยาบจริงๆเจ้านี้

“เบล”

คราวนี้กวีเรียกพี่เบล  เธอรีบจับมืออย่างรวดเร็วด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“มะ ไม่น่าเชื่อ!! นี่มันอะไรนะ!!” พี่เบลร้องออกมาด้วยอาการตกตะลึงที่ดูออกว่าเกินจริง

“นั้นสิ ไม่น่าเป็นไปได้”

“ประหลาดสุดๆ ผมเองก็ไม่เคยเจออะไรแบบนี้เหมือนกัน”

“ขอโทษนะ  ตกลงเรื่องอะไรไม่ทราบ ตรงไหนของผมที่ผิดปกติ”  ผมถามออกไปอย่างอดไม่ได้  แหม มีคนมารุมวิจารณ์ว่าตัวเองแปลกมันก็ต้องอึดอัดกันบ้างละ

ทั้ง3 คนมองหน้ากัน แล้วหันมาตอบพร้อมกันว่า

“ส่งมานาเข้าไปในตัวเธอ/แกไม่ได้”

“คือ...แล้วยังไง?”  ผมก็ยังสงสัยเหมือนเดิม เรื่องที่มืดอยู่แล้วก็ยังมืดหนักกว่าเดิม 

“จำได้ไหมเมื่อกี้ที่ฉันบอกว่า  จอมเวท อาศัยมานาจากธรรมชาติได้  นั้นคือดูดซับมานาภายนอกมาเอาไว้ในตัวได้  แต่เธอนะ เธอมันรับมานาจากภายนอกไม่ได้เลย” พี่เบลอธิบาย

“โดยปกติทุกๆคนบนโลก  ไม่ว่าใครต่างก็รับมานาจะภายนอกได้ทั้งนั้น  อาจจะยกเว้นบางกรณีที่รับได้ดีจากบางแหล่งเป็นพิเศษ และรับจากบางแหล่งไม่ได้เลย  แต่จากคนด้วยกันไม่ว่าจะยังไงก็ต้องรับ-ส่งได้ไม่มากก็น้อย  แต่แกคือศูนย์” กวีอธิบายเสริมอีก

“สรุปคือ”  ผมเริ่มจะจับได้แล้วว่าทั้ง 2 คนจะบอกอะไร แต่ลองถามกลับเพื่อความแน่ใจ

“สรุปคือเธอนะ  ใช้มานาไม่ได้เลยยังไงละ  นิพนธ์”  คำตอบออกมาจากปากพี่พิม 

ผมเดาถูก  ใช้เวทมนต์ไม่ได้  แต่มาอยู่ในกลุ่มของผู้ใช้เวทมนต์  แหม  พล็อตเรื่องคุ้นๆนะ

“ก็ไม่ได้อยากใช้เวทมนต์อยู่แล้วนิ”  ผมตอบกลับไป 

ที่จริงผมแค่อยากรู้จัก  เรื่องราวของพวกจอมเวทและเห็นการทำงานว่าจะเหมือนแบบในหนังไหมเท่านั้น  ไม่ได้คิดว่าจะต้องมาเข้าร่วมอะไร

แต่ดูเหมือนคำตอบของผมจะสร้างความไม่พอใจอะไรบางอย่าง

“แกยังไม่เข้าใจสถานะตัวเองนะ  นิพนธ์  แกรับรู้ตัวตนของพวกเราโดยบังเอิญ เรารับแกเข้ามาและยื่นเรื่องต่อสภาจอมเวทว่า  เราจะให้แกเข้าร่วม  เราผนึกความทรงจำแกไม่ได้  แถมพวกเวทบังตาก็ใช้กับแกไม่ได้  แล้วถ้าแกยังใช้มานาซักนิดเดียวก็ยังไม่ได้อีก  แกรู้ไหมว่าทางสภาเขาจะให้ทำยังไง  ข้อแรก ตาย สั้นๆเลย

 ข้อสอง ยิ่งกว่าตาย  คือแกจะกลายเป็นร่างทดลองในห้องเพราะความประหลาดของร่างกายแก  สรุปก็คือตาย   แต่ตายสบาย กับ ทรมานจนตายเท่านั้นเอง”

ผมได้ฟังถึงกับต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ  เพราะนึกถึงสภาพห้องทดลองที่เต็มไปด้วยคราบเลือดที่เช็ดไม่หมดกับเตียงกลางห้องและชุดมีดผ่าตัดที่พร้อมใช้  มันช่างน่าสยดสยองจนต้องพูดออกไปว่า

“คงไม่ขนาดนั้นมั้ง”  ลองหัวเราะกลบเกลื่อนดู

“จะลองดูไหมละ”  แต่กวีตอบกลับมาท่าทางจริงจัง 

ดูเหมือนผมต้องหาทางทำอะไรซักอย่างก่อนที่ตัวเองจะลงไปนอนเป็นปุ๋ยให้ต้นไม้เสียแล้ว

“จะว่าไป  แกเอากระบี่หวายอันนั้น มาจากสายฝน  แล้วแกทำอะไรกับมันรึเปล่า?”

ผมเข้าใจทันทีว่ากวีพูดถึงเรื่องงานส่งวิญญาณในคืนนั้น  แต่ยังไม่เข้าใจว่ามันถามทำไม

“ก็ไม่  เอามาเฉยๆนั้นแหละ มีอะไรเหรอ?”

“นี่ ทุกคน” 

พี่กบี่เข้ามาจากทางด้านห้องพักพนักงาน  ส่งเสียงเรียกขัดจังหวะของพวกเราจนทุกคนต้องหันไปสนใจทางนั้นแทน จากเสื้อชุดหนังกันลม และหมวกกันน็อคที่ถืออยู่  บ่งบอกว่าเขาพึ่งกลับมาจากข้างนอก

 

     “รถมอ’ไซค์ชนเข้ากับเสาของป้ายรถเมล์” ผมทวนคำของพี่กบี่

“แปลกตรงไหน  พวกชอบวิ่งบนทางเท้ามันก็ต้องมีชนบ้าง”  ผมยังออกความเห็นต่อไปอีก

“มันแปลกตรงที่ตลอด 2 อาทิตย์ที่ผ่านมามันมีชนทุกวันไง  ฉันไปคุยกับพวกร้านแผงลอยแถวนั้นมา มันจะเกิดขึ้นประมาณ เที่ยงคืนเสมอ  แปลกไหมละ  และมีบางวันที่คนที่ขับบนถนนปกติก็ยังหักหลบอะไรบางอย่างพุ่งเข้ามาชนเอาดื่อๆด้วย”

พี่กบี่นอกจากจะทำงานในครัวแล้วยังทำหน้าที่ซื้อสินค้าวัตถุดิบตามใบสั่งเข้าร้านด้วย  นั้นจึงทำให้เขาคอยสอดส่องเหตุการณ์แปลกๆไปด้วยเสมอ

“อาจเป็นพวกวิญญาณร้ายก็ได้นะ แบบตัวตายตัวแทน”  พี่เบลยกมือออกความเห็น

“แต่มันพึ่งเกิดมาแค่ 2 อาทิตย์ก่อนเองไม่ไช่เรอะ  แถมยังชนกันทุกวัน มันก็จะเกินไปนะ  ถึงจะบอกว่าวิญญาณร้ายก็เถอะ”  แต่กวีกลับค้าน

“นายไปดูมารึยัง”  พี่พิมหันไปถามพี่กบี่

อีกฝ่ายส่ายหน้าก่อนจะตอบ

“ยัง  ฉันว่าจะรีบเอาของมาเก็บก่อน”

“ถ้าอย่างนั้นเรามาเริ่มพิธีคัดเลือกคนที่จะไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุกันดีกว่า” พี่พิมเดินไปที่หลังบาร์และกลับมาพร้อมกับกล่องใบหนึ่ง

    

     “พิธีคัดเลือก  ก็แค่จับฉลากเองไม่ใช่เรอะ พูดจาซะใหญ่โต”

“มุกหัวหน้าเขานะ ฮะฮะ”

ผมกับพี่เบลนั่งอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง  พวกเรากำลังปฏิบัติการซุ่มเหยื่อ  ใกล้ๆกับป้ายรถเมล์เจ้าปัญหาที่ตอนนี้ว่างเปล่า ไร้ผู้คนโดยสิ้นเชิง 

ตอนนี้เวลา  23.28 น.  แผงลอยต่างๆก็เริ่มเก็บของกลับบ้านกับไปเกือบหมดแล้ว 

ผมบอกกับพ่อแม่ว่าวันนี้จะมีช่างมาซ่อมแอร์ที่ร้าน  ผมเลยได้อยู่เผ้าที่ร้านกับพี่อีกคนหนึ่งเพื่อเรียนรู้งาน  ซึ่งแน่นอนว่าพวกท่านเชื่อ  ช่างบาปหน้าเสียจริง

พ่อแม่ของผมเป็นพนักงานบริษัททั้งคู่  บางครั้งพวกท่านจะกลับดึกปล่อยให้ผมอยู่คนเดียว  เรื่องการไว้วางใจให้ดูแลตัวเองจึงมีอยู่ไม่น้อย  และที่สำคัญ  คนที่สอนวิชาป้องกันตัวกับปราณให้ก็คือพวกท่านนี่แหละ  แต่ก็ถูกบอกบ่อยๆว่า  อย่าไปใช้ให้ใครเห็น

ก่อนหน้านี้พี่เบลไปเดินดูรอบๆป้ายรถเมล์  ลักษณะเป็นป้ายรถเมล์ที่มีเสา 4 ด้านกับหลังคาหลบแดดหลบฝน  และที่นั่งแบบยาว  เสาที่ถูกชนบ่อยๆนั่นเป็นเสาด้านหน้าต้นซ้าย  ต้นค่อนข้างใหญ่ทีเดียว และมีร่องรอยมากมายบ่งบองประวัติความเป็นมา  ที่พื้นมีขยะเกลื่อนกลาดพอประมาณแม้จะมีถังขยะอยู่ห่างออกไปไม่มากนักก็ตาม  บ่งบอกถึงประวัติ ของผู้มาใช้บริการเช่นกัน  และสุดท้ายที่จะขาดไม่ได้สำหรับป้ายรถเมล์เลยก็คือ  เหล่ากระดาษโฆษณาหนี้นอกระบบที่แปะกันเรียงรายเต็มเสาไปหมด  นอกนั้นก็ไม่มีอะไรที่ผิดปกติ  พี่เบลจึงลงความเห็นว่าอาจจะต้องรอจนถึงเที่ยงคืนถึงจะรู้  นั้นจึงทำให้พวกเรามาคอยซุ่มกันอยู่ที่ตรงนี้

“นี่  พี่เบล  ที่ร้านนะ ตกลงเป็นพวกไล่ผีเรอะ?”  ผมเริ่มชวนคุยเพราะเบื่อที่ต้องมานั่งรอเฉยๆโดยไม่มีอะไรทำ

“นั้นสินะ  นิพนธ์ยังไม่รู้เรื่องงานของ  Wit Association เท่าไรสินะ  พวกเราก่อตั้งขึ้นมาจากเหตุการณ์ล่าแม่มดนะ  รู้จักไหม?”

ผมพยักหน้ารับ  แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่น่าจะรู้จัก หรือไม่ก็เคยได้ยินผ่านหูกันมาบ้างไม่มากก็น้อย กับเหตุการณ์ล่าแม่มด  การสังหารหมู่ครั้งใหญ่ในยุโรปและอเมริกา

“พวกเรามีจุดประสงค์เพื่อรวบรวมเหล่าสายเลือดและบทเวท ตำราความรู้มากมาย ที่กระจายไปมารวมกัน  เพื่อปกป้องตัวเองจากคริสตจักรและอำนาจทางการเมืองนะ”

“มีปัญหากับวาติกันงั้นเรอะ”

“อันดับหนึ่งเลยละ  และก็สำเร็จนะ  พอเรากลายเป็นองค์กรใหญ่ขึ้นมา กลุ่มอื่นๆก็เริ่มเกรงๆพวกเรา  แต่ก็มีนักเวทบางคนที่ไม่ยอมเข้ากับพวกเรานะ  ปลีกวิเวก  แล้วบางคนก็ไปก่อเรื่อง  พวกนักเวทนะมักจะทำการทดลอง วิจัยงานต่างๆ แล้วกลัวว่าคนอื่นจะมาขโมยงานของตัวเองไป เป็นพวกถือตัว และให้ความสำคัญกับสายเลือดมากๆ  พวกเราจึงต้องมาตั้งสาขาย่อยในประเทศต่างๆเพื่อคอยสอดส่องดูแลนะ  อย่างที่ไทยนี้ก็มีร้าน  Magic Cup นี่แหละ ที่อื่นๆก็ใช้วิธีต่างกันนะ  แต่เราเลือกเปิดเป็นร้านกาฟ เพราะอาจจะได้ฟังเรื่องเล่าแปลกๆจากลูกค้าเป็นข้อมูลบ้างนะ  ที่นี่ยังมีพวกก่อเรื่องไม่มาก  ส่วนใหญ่เป็นพวกนักเวทปลอมๆ  ที่ไทยนี่ก็เลยมีแค่สาขาเดียวก็พอนะ  อีกอย่างประเทศนี้ก็มีองค์กรเจ้าถิ่นอยู่แล้ว  เราเลยไม่อยากก่อปัญหาให้มากนัก”

“พวกไหนหรอ”

“อยู่ๆไปเดี๋ยวก็รู้เองแหละ”

“ทำไมพี่เบลถึงมาเป็นนักเวทละ”

หลังจากที่เอ่ยปากถามออกไป  ผมก็สังเกตเห็นว่า สีหน้าของคู่สนทนาเปลี่ยนไป  จากปกติที่มีสีหน้าเหมือนต้องหาเรื่องทำตลอดเวลา กลับกลายเป็นใบหน้าที่ดูคิดไม่ตก กังวล  เหมือนแบกโลกไว้ทั้งใบ

“เพราะหาวิธีรักษาพ่อนะ  พ่อพี่ป่วยมาหลายปีโดยไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไร  วิธีธรรมดามันใช้ไม่ได้  เลยลองพึ่งพวกเวทมนต์ดูนะ  ถึงจะจบจากแฮรัลด์มาได้ปีหนึ่งแล้ว  แต่ก็ยังหาวิธีรักษาไม่ได้เลยนะ”

“ถามเรื่องไม่น่าถามรึเปล่านะ”  ผมรู้สึกผิดเหมือนว่าตัวเองไปสะกิดแผลอะไรรึเปล่า เพราะคนเรามันก็มีเรื่องที่ไม่ควรถามกันอยู่

เห็นไหม ผมไม่ใช่พวกชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านซักหน่อย

“ไม่หรอก ทุกคนเขาก็รู้ทั้งนั้นแหละ  ไม่ใช่ความลับอะไรหรอก”

คราวนี้สีหน้าพี่เบลกลับมาเป็นปกติเป็นสาวไฮเปอร์พลังเหลือเฟื่อเหมือนทุกครั้ง

“แฮรัลด์นี้โรงเรียนเหรอ  มาจาก ชื่อแฮรัลด์  บลูทูท รึเปล่า”  ผมลองพูดเปลี่ยนเรื่องดู เพราะไม่อยากวนไปพูดเรื่องพ่อพี่เบล

“ใช่ๆ รู้จักด้วยเรอะ  โรงเรียนนะมีมานานแล้วแต่ไม่มีชื่อนะ  มาตั้งชื่อเอาตอนพร้อมๆกับที่ก่อตั้ง  W.A. นี้แหละ  เหมือนจะบอกกลายๆว่า  เราจะยึดยุโรปกลางเหมือน  แฮรัลด์  เลยเนอะ”

“มะ ไม่รู้สิครับ  แฮะแฮะ”

เอี๊ยด-  โคตรม!!!

จู่ๆก็มีเสียงดังเกิดขึ้นกะทันหัน  พวกผมรีบวิ่งไปที่เกิดเหตุก็พบว่ามันคือเป้าหมายของเรา  ป้ายรถเมล์เจ้าปัญหานั้นเอง

รถมอ’ไซค์นอนล้มไกลออกไปไม่มากนัก  ล้อของมันยังหมุนอยู่อย่างช้าๆตอกย้ำว่าพึ่งล้มไม่นาน  เศษไฟหน้ากระจายเต็มพื้น  ห่างไปไม่ไกลนักมีชายในชุดกันลมสวมหมวกกันน็อคนอนล้มอยู่  เขาแน่นิ่งไม่ไหวติงใดๆ

พี่เบลรีบวิ่งไปดูอาการพบว่าเขาแค่สลบ  เธอจึงรีบกดมือถือเรียกรถพยาบาลทันที

พลาดไปซะได้  ผมดูเวลาที่แสดงอยู่บนหน้าจอมือถือ มันพึ่งจะ  23.58 น. เท่านั้นเอง

เราไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น  หรือนี่จะไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์ลึกลับของเรา  ชายคนนี้อาจแคเกิดอุบัติเหตุธรรมดา

ผมกับพี่เบลรอดูสถานการณ์กันไปอีกจนเที่ยงคืน 20 จึงตัดสินใจแยกย้ายโดยที่ยังไม่รู้ความจริงใดๆ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา