ตุ๊กตาเทวา

-

วันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 00.04 น.

  25 บท
  2 วิจารณ์
  14.87K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2564 13.14 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) ตัวตนที่เป็นตัวแทน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     “ฟู่” เสียงพ่นลมของกวีดังออกมาจนผมได้ยินแม้ว่าจะนั่งอยู่คนแถวกันก็ตาม   ผมหันไปมองเห็นท่าทางมันดูเหนื่อยๆ นับว่าแปลกประหลาดที่เจ้านี่จะแสดงอาการใดๆก็แล้วแต่ออกมาภายในห้องเรียนสี่เหลี่ยมแห่งนี้

ผ่านมาได้ซักพักแล้วกับเหตุการณ์นายคมกฤษ แต่ทว่าทาง W.A. ก็ยังไม่ได้ขอมูลอะไรแม้แต่นิด  เหมือนนายคมกฤษเองก็ไม่เคยเจอคนที่อยู่เบื่องหลังตรงๆ เช่นกัน  เขาติดต่อกันโดยผ่านทางโทรศัพท์  ซึ่งมือถือเครื่องที่คนร้ายตัวจริงใช้ติดต่อ เราก็เจออยู่ในถังขยะใบหนึ่งที่ตั้งอยู่ในตลาดใหม่นั่นแหละ  ไม่มีร่องรอยอะไรที่จะสืบสาวเอาความใดๆได้ต่อ  พี่เบลเสนอแนวคิดว่าจะเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่เป็นข่าวอยู่ไหม  แต่ทั้งผมและกวีออกความเห็นค้านทันที เพราะมันมีความต่างกันโดยสิ้นเชิงในหลายๆด้าน

เรื่องแรก เหยื่อของคดีนี้ เป็นใครก็ได้  ในขณะที่อีกคดีเหมือนจะเลือกแค่เฉพาะเด็กสาว

สถานที่ประกอบพิธีในคดีนี้ถูกเลือกภายในเขตชุมชน  ในขณะที่อีกคดีดูออกจะห่างไกลจากชุมชนพอสมควร

และที่สำคัญคือ  ไม่มีร่องรอยมานาในคดีของเหล่าเด็กสาว  เผลอๆอาจจะเป็นแค่พวกโรคจิตธรรมดา  จริงอยู่ที่ว่ามันมีเรื่องที่แปลก 2 เรื่อง  คือเรื่องที่ไม่มีวิญญาณของเหยื่อเหลืออยู่ใกล้ๆกับที่เกิดเหตุและวิญญาณรายล่าสุดที่ไปเจอดันไม่กลายเป็นเดรัจฉานเมื่อจิตตกลงสู่ด้านมืด แต่กลับกลายเป็นรูปร่างมนุษย์ที่มีปีก เรื่องนี้แม้แต่พี่พิมและพี่กบี่ที่ทำงานมานานก็พึ่งจะเคยเจอเช่นกัน

ในพิธีกรรมคดีนายคมกฤษ แม้อุปกรณ์จะถูกเก็บไปจนหมดแต่ก็สัมผัสมานาได้ถึงจะน้อยนิดก็ตาม กวีคิดว่าเป้าหมายอยู่ที่สัตว์ตัวแทนบาปทั้ง 7

เสือ-โกรธ

แมว- หยิ่ง

แมลงวัน-ตะกละ

กา-โลภ

สุนัข-อิจฉา

กระต่าย-ตัณหา

หมี-เกียจคร้าน

เหตุผลที่คิดแบบนั้นเพราะ เจ้าอีกาที่เราเจอมันถูกเลี้ยงดูมาอย่างจงใจ แสดงว่ามันต้องเป็นเป้าหมาย หรืออย่างน้อยก็ต้องเป็นทางผ่านไปสู่เป้าหมาย

ทุกคนวุ่นวายกันน่าดู  ส่วนผมก็เวียนว่ายอยู่กับการฝึกใช้มานาเช่นเคย  เคยสงสัยว่าหรือเพราะผมใช้ปราณได้  จึงทำให้ใช้มานาไม่ได้กันนะ

ตอนที่สงสัยเรื่องนี้อยู่กับพี่เบล  เจ้ากวีก็เข้ามาและโชว์ว่าตัวเองก็ใช้ปราณได้  เป็นระดับเริ่มต้นสุดๆที่มันบอกว่าลองฝึกมาได้ 3 วัน   3วัน คุณพระช่วย!!!  ตอนผมฝึกได้ระดับเท่านี้ผมใช้เวลาครึ่งเดือน  แบบนี้แสดงว่าไม่เกี่ยวกับว่าคนๆเดียวจะมีทั้งปราณและมานาในคนเดียวกันไม่ได้

ทุกคนดูประทับใจกันไม่น้อย

“สมกับที่เป็น กวีไร้สกุล  ผู้ครอบครอง Tria Prima Item รุ่นที่ 375”

แน่นอนว่าผมงง  ทำไมกวีมีฉายาว่าไร้สกุล?  ไอ้ทริๆนี้คืออะไร?  แล้วรุ่นที่ 375 นี่มันเยอะแยะขนาดนั้นเชียวหรือ?

และข้อมูลนี้ทำให้ผมรู้เรื่องของมันมากขึ้น

กวีที่จริงไม่มีนามสกุล  เหลือเชื่อเป็นที่สุด!!!  ว่าแล้วเชียวว่า ไอ้นามสกุล อักษร ของมันดูตั้งมาแบบส่งเดชจริงๆด้วย  แต่ดูท่าว่าทางเจ้ากวีจะไม่ได้คิดว่ามันสำคัญเท่าใดนัก  ไหนว่านักเวทให้ความสำคัญกับสายเลือดไง

ส่วน Tria Prima Item ที่หลังจากนี้ผมจะขอเรียกอย่างสั้นๆว่า  TPI ก็แล้วกัน  มันเป็นของวิเศษระดับ  Sapecial Super Rare ที่นักเรียนของ แฮรัลด์ ระดับสูงสุด 3 คนเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ได้เข้ารับการทดสอบเพื่อถือครอง

กวีได้ที่ 2 ของรุ่นที่ 375   ซึ่งไอ้มีดที่ผมเห็นมันใช้ประจำนั่นแหละ คือ TPI ของมัน

ข้อดีของเจ้านี่คือมันเป็นอุปกรณ์เวทที่ช่วยขยายมานาได้สูงมากๆ เหมือนกับแหวนของพี่กบี่และไม้กายสิทธิ์ของพี่เบล เพียงแต่เจ้านี่ไม่ต้องหยิบมาถือเอาไว้บนมือเหมือนอุปกรณ์อื่นๆ เพียงแค่พกมันติดตัวเท่านั้นก็พอ  ถึงแม้สมัยนี้จะมีอุปกรณ์ที่ทำเช่นเดียวกันได้แล้วมากมาย  แต่ทว่าในสมัยก่อนนั้น  เจ้า TPI นี่ถือว่าล้ำสุดๆ

แต่ที่มันพิเศษที่สุดแม้อุปกรณ์เวทในปัจจุบันยังทำไม่ได้ก็คือ มันมี Philosopher.s Stone ฝังอยู่

หรือแปลไทยง่ายๆ คือศิลานักปราชณ์ หรือ ศิลาอาถรรพ์ อะไรก็แล้วแต่จะเรียกกัน  ผมตะลึงทีเดียวที่ได้รับรู้ว่ามันมีอยู่จริง  แต่มันเปลี่ยนถ่านหินเป็นทองไม่ได้  เป็นแค่เรื่องโม้ที่มีจุดประสงค์บางอย่างที่ผมขอละเอาไว้เพราะมันจะไม่เกี่ยวกับเรื่องของเจ้ากวี   ศิลานักปราชณ์แค่ช่วยขยายมานาได้มากในปริมาณหินที่น้อยนิดอย่างที่สุดเท่าที่มนุษย์จะรู้จักได้  และมันยังช่วยบันทึกงานวิจัยของพวกนักเวทเอาไว้ได้ดั่ง memory ที่ทันสมัย ปลอดภัย ไม่มีใครนำข้อมูลออกไปได้นอกจากเจ้าของ 

กวีไม่ยอมบอกงานวิจัยของตนเอง รู้แค่สิ่งที่กวีพยายามจะทำกับวงเวทของคมกฤษนั่นแหละ คืองานวิจัยของมัน  ชิ  ถ้าเจ้านักดาบนั้นมันไม่มาขวางเสียก่อนละก็

แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนที่ติด 3 อันดับแรกจะได้มีมันทุกคน อย่างที่บอกว่ามันมีการสอบ  คนที่ไม่ได้มี 2 ประเภท

1.สละสิทธิ์  บางคนก็เห็นว่าไม่จำเป็นที่ต้องเอาชีวิตไปเสี่ยง เพราะการทดสอบนั้นอันตรายถึงตาย และโรงเรียนจะไม่รับผิดชอบ  พี่พิม ที่เคยได้ที่ 1 ในรุ่นเป็นตัวอย่างของคนที่สละสิทธิ์ แถมเจ้แกบอกว่า 3คนที่ไปสอบ รวมคนที่มีสิทธิ์สำรองจากเธอตายหมดทุกคน 

2.ง่ายๆเลยคือ ตายตอนที่สอบ จบ

พอได้ฟังเรื่องราวสุดเลิศของมันแล้วผมก็เริ่มจะหมั่นไส้เสียจนต้องหันมาพยายามฝึกมานาต่อ

 

     ในที่สุดการตามกลิ่นของเราก็มาถึงทางตัน  ข่าวของนายคมกฤษกลายเป็นเรื่องที่ผู้คนกล่าวโยงกันไปต่างๆนานา สุดแต่จะหามาเชื่อมโยงได้ เพราะเป็นหลาน สจ.  แต่ถึงจะเกี่ยวข้องกับบุคคลมีชื่อเสียงก็ตาม ทางตำรวจเองก็ดูเหมือนจะไม่ได้อะไรเช่นกัน

และในที่สุดผมก็ได้งานใหม่  คือหมายถึงภารกิจใหม่นะ

ช่วงนี้ผมยังไม่ต้องเข้าร้าน  แต่ถูกใช้ให้ไปคุยกับพวกเหล่าเจ้าที่ในระแวกนี้แทน

ใช่ ได้ยินไม่ผิด  ให้ไปคุยกับเจ้าที่  เรื่องดีคือพวกเจ้าที่นั้นพูดภาษามนุษย์ได้  แตกต่างจากพวกสัมภเวสีทั่วไปที่พูดเป็นแต่ภาษาของตน  แน่นอนว่าผมไม่ได้ไปเพียงคนเดียว ครั้งนี้คนที่จะไปกับผมคือ เฮียแฟรงค์

ถ้ายังจำได้ว่าผมเคยบอกไปแล้วว่าเฮียแกคือคนที่มาตามตืบผมก่อนที่ผมจะเข้ามาเป็นสมาชิก ร้าน Magic Cup

แฟรงค์  เหยา

เป็นคนที่ดูแก่กว่าอายุจริง ทั้งๆที่พึ่งจะ 30 แต่ผมกลับหงอกขาวเต็มหัว  ต่างจากเจ้ากวีที่เป็นสีธรรมชาติมาแต่แรกผมยาวเกือบถึงบ่า ปิดหูปิดตาโผล่มาเพียงจมูกอย่างโดดเด่น ดูน่ารำคาญ  ร่างกายซูบผอมเหมือนคนไม่สบาย

เป็นลูกครึ่งอเมริกา-จีน  แกเป็น 1 ใน 3 รุ่นบุกเบิกของ W.A. สาขาประเทศไทย  หน้าที่ในตอนนั้นคือติดต่อสร้างความสัมพันธ์กับองค์กรเบื่องหลังอื่นๆ  ผลออกมาไม่ค่อยดีเท่าไร  แต่ก็ผ่านวิบากกรรมมาจนก่อตั้งมาจนได้

แกใช้เวทสายฟ้ากับพวกผนึก  แกจึงมีหน้าที่คอยผนึกความทรงจำคนที่บังเอิญมารู้เรื่องเข้า และผมก็เป็นคนแรกที่ถูกผนึกความทรงจำไม่สำเร็จ

แกเป็นคนเงียบๆ เงียบพอๆกับเจ้ากวีตอนที่อยู่ในห้องเรียนทีเดียว  ตอนอยู่ในร้านทำงานเพียงตำแหน่งเดียวคือในครัว ด้วยเวทสายฟ้าทำให้เคลื่อนที่ได้รวดเร็ว แม้ออเดอร์จะมีเยอะขนาดไหนก็ตาม เฮียแกก็สามารถจัดการได้

เราใช้รถมอ’ไซค์ในการเดินทาง แน่นอนว่าเฮียแฟรงค์เป็นคนขับ ส่วนผมคอยดูแผนที่ในมือถือที่พี่กบี่เป็นคนส่งมาให้

ศาลแรกที่เรามาถึงต้องเข้ามาทางป่าละเมาะข้างทางอีกนิดหน่อยถึงจะเจอศาลไม้เล็กๆที่ตั้งอยู่ใกล้ๆกับจอมปลวกร้างสูงประมาณ 2 เมตรเห็นจะได้  มีของบูชาพวก น้ำอัดลม หมาก ยาสูบ ดอกไม้ต่างๆพอสมควร มองดีๆจะบอกว่าเป็นสินบนก็ไม่แปลก แถมพอศึกษาดีๆบางกรณีมีต้นตอมาจากเหมือนเก็บค่าคุ้มครองเสียมากกว่าด้วยซ้ำ

“เอ่อ...สวัสดีครับ...ท่านเจ้าที่สุวรรณ...ผม...คนจากกลุ่มจอมเวทครับ”

เฮียแฟรงค์เอ่ยปากบอกกล่าว แต่เสียงที่แหบอย่างเป็นเอกลักษณ์และเบาอย่างพิศวงจนผมสงสัยว่าท่านเจ้าที่จะได้ยินเรอะ

แต่ทว่าจู่ๆเกิดหมอกหนาจัดอย่างผิดสังเกต เบื่องหน้ามีบ้านไม้ยกเสาสูงหลังหนึ่ง  แสงตะเกียงภายในตัวบ้านบ่งบอกว่ามีคนอยู่

“ไปเถอะ”  เฮียแฟรงค์พูดและออกตัวเดินนำไปขึ้นบันไดไม้

พอเปิดประตูบ้านเข้าไปเราก็พบกับชายแก่คนหนึ่งที่นั่งอยู่กลางบ้าน  ด้านในนั้นมีแคร่ไม้ไผ่และหมอนที่ดูท่าจะเป็นที่นอน มีไม้ตะพดเก่าๆพิงแคร่อยู่ บนผนังด้านหนึ่งมีหมวกกะโล่สมัยจอมพล ป. แขวนอยู่ใบหนึ่ง

เรานั่งลงหันหน้าเผชิญกับอีกฝ่าย

“ถึงเวลาเลี้ยงประจำปีแล้วเรอะวะ ข้าว่ามันพึ่งผ่านมาไม่นานเองนะ  หรือข้าจำผิดวะ”  ท่านเจ้าที่เอ่ยปากก่อนพร้อมกับดันจอกชา 2 ใบมาให้  ผมกำลังจะยื่นมือไปรับน้ำใจของเจ้าบ้านแต่ทว่าเฮียแฟรงค์กลับใช้มือข้างหนึ่งมาแตะที่แขนของผมเป็นการห้ามเอาไว้  ผมจึงชักมือกลับปล่อยให้จอกชานั้นตั้งอยู่ที่เดิมต่อไป

“เปล่าครับ...เรา...มีเรื่องจะถาม...นี่ของฝากครับ”

ท่านเจ้าที่รับถุงไป

“เอ็งพูดช้าจังวะ แล้วจะถามอะไร?”

เราเล่าเรื่องเกิดขึ้นในคดีของนายคมกฤษและคดีฆาตกรรมต่อเนื่องอย่างละเอียดที่สุด

และถามคำถามที่เราอยากรู้ เห็นคนแปลกๆบ้างไหม?  สัมผัสอะไรได้บ้างไหม?  เคยได้ยินข่าวลืออะไรบ้างไหม? เทือกนี้  และแน่นอนว่าเมื่อคนถามคือเฮียแฟรงค์  มันจึงกินเวลาไปมากโขทีเดียว

“ไม่รู้ ไม่เห็นมี” และนั้นคือคำตอบจากทุกคำถามของเรา

“เฮ้อ” ผมเผลอถอดหายใจออกไปจากความเหนื่อย

“เฮ้ยเอ็ง!!!  อย่ามาทำเหมือนข้าไร้ประโยชน์นะโว้ย!!!”

ท่านเจ้าที่เดือดจัดขึ้นมาจนผมตกใจสะดุ้งโหยง

“ใจเย็น...ครับท่าน”

“เย็นเยินอะไรวะ มาดูถูกข้า  เดี๋ยวก็สาปให้อ้วกเป็นหนอนเสียนี่  เมื่อวานเป็นเคราะห์ดีของไอ้คนก่อนหน้านี้นะ  ที่ข้าออกไปไม่ทันมัน ดันมาพูดดูถูกข้าว่า ‘ไร้ประโยชน์จริง พลังน้อยชะมัด’  ข้าพุ่งออกไปจะสั่งสอนมันสักหน่อย แต่ดันหายไปยังกับมาปีก  พวกเอ็งรีบกลับไปเลยไป๊!!!  เออ  บอกไอ้กบี่ว่าว่างๆมาเยี่ยมเยือนข้ามั่งสิวะ”

เราถูกไล่ออกมาแทบจะถีบส่ง  ขี้น้อยใจชะมัด ไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย  พอเราออกมาหมอกประหลาดที่เคยมีก็หายไป  บ้านหลังใหญ่ด้านหลังเราก็กลายเป็นศาลเล็กนิดเดียวเหมือนตอนแรกที่เรามา

“นิพนธ์...คราวหน้า...อย่าทำอีก”

“คร๊าบๆ” ผมตอบลากเสียง ได้ยินคำพูดเฮียแกแล้วลำบากใจจะเถียง

เราไปกันต่ออีกหลายที่ และเพื่อเป็นการประหยัดเวลาคราวนี้ผมเป็นคนถามคำถามเอง  แต่ทุกศาลที่ไปก็ตอบเหมือนกันหมดว่าไม่รู้  แต่บอกว่า มีคนแปลกๆมาด่อมๆมองอยู่บ่อยๆ  และอีกอย่างที่พูดเหมือนกันคือ บอกให้พี่กบี่มาเยี่ยมบ้าง  แหมถึงจะหน้าตาแบบนั้นแต่เป็นที่นิยมเหมือนกันนะ

ผมสงสัยจึงลองถามเฮียแฟรงค์ดูก็ได้คำตอบว่า พี่กบี่ตอนมาเปิดสาขา แกทำหน้าที่ติดต่อกับพวกเจ้าที่ และก็ได้ผลตอบรับดีมาก จนที่ผ่านมาเราทำงานได้สะดวกจากความช่วยเหลือจากพวกเจ้าที่หลายอย่าง

“ทำงาน...กับฉัน...น่าเบื่อนะ”  เป็นคำที่ดูเหมือนตัดพ้อจนผมเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรกลับไป

เรามาถึงศาลสุดท้าย ที่นี่อยู่ทางใต้ของตลาดใหม่  เป็นสวนสาธารณะริมคลองประยูรศักดิ์ ใช้สำหรับออกกำลังกาย ที่นี่เป็นสนามหญ้าเรียบๆ มีเครื่องออกกำลังกายแบบง่ายๆวางเรียงอยู่  และรั้วกั้นแม่น้ำ บรรยากาศดีทีเดียว

ศาลที่ตั้งอยู่ที่นี่ใหญ่พอสมควร  แน่นอนว่าของเส้นไหว้มีมากมาย  เราเข้าไปภายในเรือนพัก ก็พบว่าการตกแต่งที่นี่แปลกที่สุด  มันดูค่อนข้างจะทันสมัยทีเดียว อาจจะไม่เท่าปัจจุบัน แต่ก็ล้ำกว่าทุกๆศาลที่ไปมา ที่ๆเรานั่งรอก็เป็นชุดโซฟา แสดงว่าการตกแต่งภายในนี่แล้วแต่รสนิยมเจ้าที่สินะ  แถมท่านเจ้าที่ก็ดูเป็นวัยกลางคน  ไม่ใช่คนชรามีอายุเท่าไร การแต่งตัวด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงขายาวก็ดูออกไปทางพวกตะวันตก

“พวกคุณมาหาผม เพราะมีเรื่องอยากจะถามงั้นสิ”  คำพูดคำจาก็ยังไม่เหมือนเจ้าที่ตนอื่นๆ  แม้เรายังไม่ได้ถามอะไรแต่ดูเหมือนว่าเขารู้ว่าเรามาขอความช่วยเหลือ

“แล้วจะให้ค่าตอบแทนผมด้วยของแบบนี้จริงเรอะ”  เขาแกว่งถุงไปมา ท่าทางว่าจะไม่ค่อยพอใจกับของตอบแทนที่ผมเองก็ไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร

“เอาแบบนี้ดีกว่า ถ้าคุณนัดน้องพิมให้ผมได้  ผมจะบอกละกันว่าผมรู้อะไรบ้าง”

“หา!!!” ผมแทบจะลุกขึ้นยืนทันทีแต่เฮียแฟรงค์จับผมเอาไว้

“คนนี้เด็กใหม่ขอพวกคุณเรอะ งานแรกละสิ”

“ก็จริงที่นี่เป็นการคุยกับเจ้าที่งานแรก  แต่ที่ผ่านมานี่ ไม่มีเจ้าที่คนไหนเป็นแบบคุณเลยนะ” ผมตอบกลับไปด้วยความไม่พอใจอย่างไม่ปิดบัง

“จบ  กลับไปซะ”  เจ้าบ้านยักไหล่ไม่สนใจแล้วไล่แขกออกจากบ้านทันที

“นิพนธ์...เธอ...ออกไปรอ”

“หา!! ได้ไงเฮีย”

“ทำตาม..ที่บอก”

 

       ผมออกมาที่สวนสาธารณะคนเดียวตามที่เฮียแฟรงค์บอก 

 “ชิ เวรเอ้ย   พวกเจ้าที่ระยำนี่มีจริงๆสินะ”  ผมเคยได้ยินเรื่องพวกนี้มาบ้างก็ยังเคยคิดว่ามันก็เรื่องธรรมดาละมั้ง

แต่พอมาเจอกับตัวเองจริงๆเข้ากลับรับไม่ได้แฮะ

“โฮ่ๆ มาด่าเจ้าที่หน้าศาลขนาดนี้ ไม่กลัวโดนตามไปที่บ้านเรอะพ่อหนุ่ม”

มีเสียงหนึ่งดังขึ้น ผมหันหลังไปมองก็เห็นชายชราคนหนึ่งนั่งอยู่ที่ม้านั่งด้านหลัง  น่าแปลกที่ผมไม่รู้สึกตัวซักนิด  เสื้อเชิ้ตแขนยาวลายสก๊อตสีน้ำตาลซีดจากความเก่า กางเกงสแลคสีเทาที่ดูเก่าพอๆกับเสื้อ  รองเท้าคัทชูมีร่องรอยสมบุกสมบั่น มือที่เหี่ยวย่นทั้ง 2 ข้างกุมไม้ตะพดที่ทำจากไม้ไผ่ท่าทางไร้ราคา  หนวดขาวดูสะอาดตา หมวกขอทานสีดำมีสายรัดคาง และแว่นดำปิดบังดวงตา 

ปกติผมไม่พิจารณาคนอื่นขนาดนี้หรอกนะ เพียงแต่ตาลุงคนนี้มันมีบางอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกว่า ต้องดูให้ถี่ถ้วนอย่างไม่ทราบเหตุผล

“อ๋อ  เปล่าหรอกครับ  หมายถึง เจ้าที่ในนิยายที่พึ่งอ่านนะครับ  แหม  คนแต่งเขาเขียนซะได้อารมณ์เชียว  ฮะๆ”

  ผมเฉไฉไปเรื่อย

“โฮ่ ชอบอ่านนิยายเหมือนกันเรอะ  ฉันเองก็มีหลานสาวที่ชอบอ่านนิยายให้ฟังบ่อยๆนะ  เพราะฉันตาบอด จึงอ่านเองไม่ได้นะ ถึงจะมีหนังสือที่เป็นอักษรเบล แต่มันก็ไม่ค่อยมีแนวที่ชอบนะ”

“คุณลุงชอบอ่านแนวไหนเหรอครับ?”

“สืบสวนนะ  มันน่าตื่นเต้นดีนะ”

“โห ผมเองก็ชอบเหมือนกันครับ แนวสืบสวนเนี๊ยะ  ผมชอบของ อากาธา  คริสตี้นะครับ”

“เป็นพวกสมัยเก่างั้นรึ ฉันไม่ค่อยชอบของพวกฝรั่งเท่าไร ที่ชอบก็เป็น โฮโนบุ โยเนซาวา  ละนะ”

“ค่อนข้างสมัยใหม่ทีเดียวนะครับ  เป็นแนวไขปริศนามากกว่าสินะ ผมเองก็ คิดว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่เขาเว้นช่วงแต่ละเล่มนานเกินไปละนะ”

“นั้นสินะ  ฮะๆๆๆ  แต่ถ้าจะถามว่าเรื่องที่ไม่ชอบก็ ของ อาเธอร์ โคนัน ดอยส์ ละนะ”

“อ้าว  อันนี้เหมือนกันเลย  ผมยอมรับว่า โฮลมส์ เก่งจริงๆ  แต่นิสัยตัวละครผมไม่ค่อยชอบนะครับ”

ผมรู้สึกเหมือนกับว่าได้เจอเพื่อนใหม่ทีเดียว  ผมรีบเดินเข้าไปนั่งข้างๆที่ยังว่างอยู่  แกไม่ยอมหันหน้ามา  แสดงว่าคงตาบอดจริงๆ  แล้วคนเราจะโกหกว่าตาบอดไปทำไมกันละ

“แต่หลานสาวฉันเขาชอบอ่านพวกนิทานมากกว่านะ  ที่เขาชอบที่สุดคือ นิทานกริมม์นะ  เวลาให้อ่านให้ฟังก็จะต้องอ่าน 1 ในเรื่องของกริมม์ก่อนเรื่องหนึ่งเสมอ ถึงจะยอมอ่านเรื่องที่ฉันขอนะ”

“ดูสนิทกันดีนะครับ  แล้วนี่มาเดินคนเดียวหรือครับ หรือหลานสาวมาด้วย”

ผมหันซ้ายหันขวา มองหา เผื่อว่าจะเจอคนที่ท่าทางจะเป็นหลานสาว

“มาคนเดียวนะ ฉันชินเส้นทางจนมาเดินคนเดียวได้  ตอนนี้รอหลานสาวกลับจากที่ทำงานพาทไทม์นะ  จะได้กลับบ้านพร้อมกัน”

พอดีกับที่ผมเห็นว่าเฮียแฟรงค์แกออกมาจากศาลแล้ว  ผมจึงต้องกล่าวร่ำลากับลุงตาบอดไว้เพียงเท่านี้

   

       “เอาไงดีหัวหน้า”  กวีหันไปถามพี่พิม  หลังจากที่เฮียแฟรงค์กลับมารายงาน 

สรุปการพูดคุยกับเจ้าที่บ้ากามนั่นก็คือ  ไม่ว่ายังไงถ้าอยากได้ข้อมูลที่มี  เราจะต้องให้พี่พิมไปคุยกับเขาเอง

แหม  ไอ้...

“เฮ้อ  ต้องไปสินะ”  พี่พิมพูดท่าทางระอา

“ให้ผมไปตืบมันดีกว่า”  ผมที่เงียบมานานหันไปพูดกับพี่พิม

“ไม่ดีหรอก  หมอใหญ่นะ  ถึงจะอายุขัยยังไม่มากนัก  แต่ก็เป็นเจ้าที่ที่ตบะแกร่งกล้าไม่แพ้เจ้าที่เก่าๆหรอกนะ  อีกอย่างถึงเราจะชนะเขาได้  แต่เราก็ไม่ควรไปมีเรื่องกับเจ้าที่”

พี่กบี่ค้านท่าทางจริงจัง

“ชิ  เพราะฝึกแต่ตบะ ละเลยเรื่องสภาวะจิตเลยตัณหากลับแบบนี้สินะ”  ผมยังไม่เลิกแซะ

“เอาน่า นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกหรอก  เอาเป็นว่าเดี๋ยวคืนนี้จะจัดการเองละกัน” พี่พิมพูดจบ พวกเราก็แยกย้ายกันกลับทันที

 

      กลับบ้านเรอะ  หึ!  ถึงผมจะไม่ใช่พวกสอดรู้อย่างที่บอกทุกๆครั้งก่อนหน้านี้  แต่ทว่ารอบนี้ผมยอมไม่ได้จริงๆ จึงแอบตามมาซุ่ม

“กลับบ้านเหอะนิพนธ์”  เจ้ากวีที่ยืนกอดอกอยู่ด้านหลังผมพูดขึ้น

“ไม่เฟ้ย  แกเป็นผู้ชายประสาอะไรฟะ ปล่อยให้พี่พิมไปคนเดียว”

ตอนนี้พวกเราทั้งหมดมาซุ่มหลบอยู่ในเงามืดของตึกหลังหนึ่งในเขตตลาดใหม่ด้านทิศใต้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกลับสวนสาธารณะดังกล่าว

“เธอจะให้เราทำอะไรได้  นิพนธ์ ก็ทางนั้นเขาบอกว่าอยากเจอกันแบบ 2ต่อ2”  พี่กบี่พูด

“อย่างน้อยก็ให้แน่ใจว่ามันจะไม่ทำอะไรผิดผีกับพี่พิม”

“แต่ว่านะ...”

“โอ่ว น่าสนใจ ฉันเอาด้วยๆ” พี่เบลยกมือสุดแขน พูดขอร่วมวงขัดคำพูดเฮียแฟรงค์

“ว่าแต่ทำไมไม่เห็นมีใครเลย”  แสงไฟทางสว่างพอจะทำให้มองเห็นเป็นจุดๆ  แต่ผมหันมองตลอดริมฝั่งคลองก็ไม่เห็นว่าจะมีใครอยู่เลยซักคน

“อ๋อ  พวกนั้นเขาเข้าไปใน ‘ผีลักซ่อน’ นะ มันเป็นเขตแดนอย่างหนึ่ง วันนี้เธอก็เขาไปมาตั้งหลายรอบนี่” พี่เบลหันมาบอก

อย่างนี้นี่เอง เจ้าหมอกหนาๆนั้นสินะ 

“แล้วเราจะแอบดูยังไง?”

“แอบดูไม่ได้ไงละ เจ้าโง่” กวีตอบเสียงเรียบกลับมาจากด้านหลัง

“ฉัน...ทำได้”

“เฮ้ย  อย่าหาเรื่องน่า แฟรงค์” พี่กบี่ท่าทางกังวลพอสมควร

“รู้วิธี...วันนี้...ก่อนกลับมา...ก็ลอง...แอบสำรวจดู...มาแล้ว”  เฮียแฟรงค์ออกเดินพ้นจากเงาตึกข้ามถนนไปจนถึงเขตสวนสาธารณะ  เขาใช้มือเปล่าวาดกลางอากาศ  ก็ค่อยๆเกิดรอยแยกประหลาดขึ้นเหมือนในหนังไซไฟที่เคยดู

จากนั้นเฮียแกก็หันมาจับหัวเราทุกคน  ผมรู้สึกจั๊กจี้จนตัวสั่นไปทั้งตัว

“กันไว้...เขาจะไม่รู้...แต่เรา...ต้องค่อยๆ”

“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!”

มีเสียงกรี๊ดที่ผมจำได้ว่าเป็นเสียงพี่พิมดังออกมาจากในรอยแยกมิตินั่น

เจ้ากวีกับพี่กบี่พุ่งพรวดเขาไปไวกว่าผู้ใด ไหนบอกห้ามนักห้ามหนาไงวะชนซะเกือบล้มหัวฟาดพื้น

พอเข้าไปมันก็เหมือนสวนสาธารณะด้านนอก เพียงแต่ดวงดาวบนท้องฟ้านี่มันระยิบระยับพร่างพราวตระการตาจนน่าตื่นเต้น  มันปลอดโปร่งไร้เมฆบดบังจนมองเห็นทางช้างเผือกแบบที่ไม่คิดว่าครั้งหนึ่งในชีวิตจะได้เห็นอะไรแบบนี้

รีทัชชัดๆ!!

บริเวณริมน้ำมีโต๊ะดินเนอร์จุดเทียนหรูหราอย่างดีอยู่ชุดหนึ่ง  ใกล้ๆกันมีร่างพี่พิมในชุดเดรสลูกไม้สีครีมนอนสลบแน่นิ่งอยู่ และที่สำคัญคือมีเจ้าหมอใหญ่เจ้าที่หัวงูในชุดสูทที่ถอดเหลือแต่เสื้อเชิ้ตคุกเข่าเหนือตัวเธออยู่

“ท่านหมอใหญ่ กำลังทำอะไรมิทราบครับ” พี่กบี่ร้องทักออกไปก่อน

เจ้าหมอใหญ่หันมาท่าทางตกใจและงุนงง

“เฮ้ย เข้ามาได้ยังไง  แล้วงูตัวเมื่อกี้ ฝีมือพวกแกงั้นเรอะ”

“งูอะไร พวกเราพึ่งจะมา  นายจะทำมิดีมิร้ายหัวหน้า แต่เราจับได้เลยเฉไฉละสิ ไม่งั้นนายถอดเสื้อสูททำไมละ” พี่เบลสะบัดมือชี้นิ้วกล่าวโทษอีกฝ่าย

บอกตรงๆนะ ภาพที่เห็นตอนนี้มันมองแบบนั้นได้จริงๆ

“อย่ามาโทษกันมั่วๆนะโว้ย ฉันจะเอาเสื้อสูทคลุมให้น้องเขาต่างหาก  ถ้าน้องพิมเขาตัดสินใจที่จะมาแล้วละก็  พวกแกก็ไม่มีสิทธิ์มาวุ่นวาย”  ท่าทางหมอใหญ่จะโกรธมาก เขาคว้าหยิบเอามีดผ่าตัดออกมาถือไว้ทั้ง 2 มือ

“ทางท่านเริ่มก่อนเองนะ” กวีเองก็หยิบมีดประจำตัวมาถือเอาไว้บ้าง 

“อย่างมาอวดดีนัก” 

หมอใหญ่กระโดดใส่เราทันที  พวกผมแยกกันไป 2 ทาง  เสียงใบมีดผ่าแหวกอากาศเสียงแหลมไม่โดนเนื้อใคร

มีดผ่าตัดบินพุ่งเข้าหากลุ่มของพี่เบล พี่กบี่ และเฮียแฟรงค์ 

พี่เบลวาดอักษรบนพื้นด้วยไม้กายสิทธิ์สร้างโกเลมสูง 3 เมตรขึ้นมาป้องกัน พี่กบี่และเฮียแฟรงค์เสริมพลังไฟและสายฟ้าให้จนร่างกายโกเลมกลายเป็นหินไฟและมีกระแสไฟฟ้าไหลทั่วตัว

“นี่มันในเขตอาคมของกูนะโว้ย”

หมอใหญ่พนมมือเริ่มท่องมนตร์บรมคาถา

“ช้าไป”  กวีใช้อักรรูนเสกเชือกเข้ามัดอีกฝ่าย

“ไปเลย”  พี่เบลออกคำสั่ง  เจ้าหินยักษ์ก็พุ่งไปเหวี่ยงหมัดขวาใส่เป้าหมายที่ขยับตัวไม่ได้

เสียงกระแทกดังสนั่น  ลมจากการกระแทกกระจายไปรอบทิศพร้อมกับเศษหินและฝุ่นปลิวว่อน

“หึหึ บอกแล้วไงว่านี้มันในเขตอาคมของกู”  หมอใหญ่กางเกราะเวทกันเอาไว้ได้แม้จะถูกมัดอยู่  มีดผ่าตัดบินรอบตัวตัดเชือกอาคมและโกเลมเป็นชิ้นๆ 

พี่กบี่สร้างกำแพงหินขึ้นมาป้องกันด้านหน้า แต่ทว่ามีดพวกนั้นกลับเลี้ยวหลบอ้อมไปด้านหลังและแทงพวกเขาทั้ง 3 คนจนล้มลง

“ถ้าไม่ใช่ในเขตอาคมของกู พวกมึงคงชนะไปแล้วละวะ”

“กุญแจผู้ไขไปสู่ความลับอันดำมืดให้สว่างไสวยามสุริยะยามเที่ยงวัน”  กวีเริ่มร่ายมนตร์บ้าง

แต่อีกฝ่ายไม่ยอม มีดหลายเล่มพุ่งเข้าหากวี  เขากางเกราะเวทป้องกันรอบตัวได้ทันก่อนที่พวกมีดผ่าตัดจะเข้าถึงเลือดเนื้อของเขา

“โห แยกประสาทได้ดีนี่  ร่ายมนตร์ออกเสียงกับในใจคนละบทพร้อมกันได้ แต่ยังไม่ดีพอ”

มีดผ่าตัดเปลี่ยนรูปแบบการโจมตีเป็นการวิ่งไล่กรีดเกราะเวทแทนการพุ่งชนแบบแทง  จนกระทั่งมีดเล่มหนึ่งพุ่งทะลุเข้าไปปักที่ขาของกวีได้

“ขอคืนละนะ ไอ้เด็กปากดี”

เปรี๊ยง!!!!

“อ๊าก!!!”  กวีถูกไฟฟ้าช็อตร้องเสียงหลงอย่างน่าสมเพชและสลบล้มลง

“เหลือคนเดียวแล้วนะ  เจ้าเด็กใหม่  ถ้าเธอยอมบอกว่าใครเป็นคนต้นคิดเรื่องงูตัวนั้นละก็  ฉันจะปล่อยเธอไปแล้วไปลงโทษไอ้คนนั้นจนสาสมเอง”

“งู เงอ อะไร ไม่รู้เฟ้ย”  ถึงจะยื่นข้อเสนอที่น่าสนใจยังไง แต่ผมก็ไม่รู้เรื่องงูอะไรนั้นอยู่ดี  และถึงแม้ท่าทางเจ้านี่ดูจะพูดจริงว่าตัวเองไม่ใช่ต้นเหตุที่พี่พิมลงไปนอนสลบแบบนั้น  แต่ดูท่าว่าอีกฝ่ายจะไม่ฟังความจากเราแน่ๆ

“สรุปว่าไม่บอก  งั้นก็พอ  พวกแกทั้งหมดต้องโดนลงโทษ”

หมอใหญ่พนมมือบริกรรมคาถา  ผมไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร  แต่อย่าให้มันสำเร็จผลเป็นดี  ผมชักเอากระบองออกมาถือไว้ใน 2 มือ พุ่งเข้าฟาดไปอย่างเต็มแรง

ปึก

เสียงฟาดแน่นแปลกๆ

ผัวะ!!

กลายเป็นผมเองที่กระเด็นกลับมากลิ้งเป็นลูกขนุนตกต้นอยู่หลายตลบ

“เคยได้ยินตำนานคนกลายเป็นจระเข้ของจังหวัดชุมพรไหมเจ้าหนู”

ผมลุกขึ้นยืน  สิ่งที่เห็นเบื่องหน้านั้นเป็นหมอใหญ่ที่แปลกไป  ร่างกายที่ใหญ่โตขึ้นเล็กน้อย  เกราะหนังสีเขียวขี้ม้า กรงเล็บสั้นๆ ฟันแหลมที่เรียงยาวตามรูปปากที่ยื่นออกมาอย่างผิดธรรมชาติมนุษย์  และหางใหญ่ที่ด้านหลัง

มนุษย์จระเข้!!?

“ใช้เวลานานพอดูเลยนะกว่าฉันจะดัดแปลงคาถาอาคมนี้ให้กลายมาเป็นแบบที่เห็น  จุดเริ่มต้นมันมาจากด้วยความเป็นหมอของฉัน  ที่สงสัยว่าคนเรามันเปลี่ยนเป็นจระเข้ไปได้จริงๆเรอะ  เอาเถอะ  เรื่องของฉันมันก็นานแล้ว  มาดูเรื่องของพวกแกดีกว่า  ดินเนอร์ของฉันพังลงเพราะพวกแก  ดังนั้น พวกแกก็มากลายเป็นมื้อเย็นให้ฉันละกัน”

ซูม

ผมเบี่ยงตัวหลบเกือบไม่ทัน  ปากขนาดใหญ่พุ่งมากัดอย่างรวดเร็วคงหวังงับผมให้ตายในทีเดียว  เคยได้ยินว่าแรงกัดของจระเข้รุนแรงขนาดเพียงครั้งเดียวก็กระดูกหักได้  แต่ขอบอกว่าตอนนี้ยังไม่อยากลองสักนิด

หางของอีกฝ่ายหวดฟาดเข้ามาโดนผมเต็มๆอีกรอบ  จนผมกระเด็นตกลงไปในคลอง  ผมพยายามตะเกียกตะกายแหวกไหวผ่านมวลน้ำเย็นยะเยือกขึ้นไปบนผิวก่อนจะขาดใจตายเสียก่อน 

“ฮ่า!!”  ผมสูดอากาศอย่างเต็มปอดเมื่อโผล่พ้นขึ้นมาได้  รู้สึกเจ็บซี่โครงตรงจุดที่ถูกฟาดคิดว่าถ้าไม่ร้าวก็คงจะหัก

แต่ว่ายังไงก็ต้องรีบว่ายไปให้ถึงฝั่งอย่างเร็วที่สุด  เพราะการสู้กับสัตว์น้ำในน้ำไม่ใช่เรื่องดี  แถมกระบองยังกระเด็นไปไหนแล้วก็ไม่รู้  เพียงแค่คิดโดยยังไม่ทันลงมือทำ  ท้องน้ำเบื่องหน้าแตกกระเซ็นออก  เขี้ยวขาวของสัตว์ร้ายพุ่งแหวกม่านน้ำเข้ามาจู่โจมเหยื่อของมัน ซึ่งก็คือผมเอง

 

      ตูม!!

ร่างกายที่ใหญ่โตถูกซัดกระเด็นขึ้นมาขึ้นมาจากน้ำร่วงลงกระแทกกลิ้งไปบนพื้นหญ้าอยู่หลายตลบ

หมอใหญ่ในร่างกึ่งเดรัจฉานงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น  หัวยังมึนๆไม่หายแต่ก็พยายามยืนขึ้นจนได้

อีกฝ่ายที่ยืนประจันหน้าอยู่อย่างไม่เกรงกลัวเป็นเพียงเด็กหนุ่มร่างเล็กกว่าที่เปียกไปทั้งตัว

บรรยากาศของเด็กหนุ่มนั้นแปลกไป

และดวงตา

ตาซ้ายปิดสนิท แต่ตาขวาที่เป็นสีทองบัดนี้มันกลับเรื่องแสงอ่อนๆเป็นสีฟ้าสุกสกาวดูสวยงาม

แต่ยังไงละ  แค่เด็กนี่คนเดียว  ขนาดจอมเวท 4 คน เขายังจัดการได้ในพริบตา

“ให้กัดทีเดียวแกก็สบายแล้ว จะทนเจ็บไปทำไมวะไอ้เด็กใหม่”  เขาพุ่งใส่ใช้เล็บๆสั้นๆตะปบเล็งไปที่คอ

แต่เด็กหนุ่มกลับรับได้ด้วยมือเปล่าข้างเดียวเสียอยู่หมัด

แววตาผู้อ่อนอายุกว่าไม่เปลี่ยนแปลง  สงบนิ่งเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปไร้ความกลัว

หมอใหญ่ฉีกปากอ้าสุดหวังขย่ำหัวในคราเดียว

ฟู่-

ทว่าเด็กหนุ่มกลับเป่าลมปากอัดใส่กลับมา

‘เหม็น!!!  เหม็นสุดๆ  นี่มันพิษ!?’

เขาเซถอยหลังไปหลายก้าว  สมองสับสน  ลมหายใจเริ่มติดขัด เขาใช้มือเดรัจฉานจับที่คอตามสัญชาตญาณอาการ  แต่ยังมีสติพอใช้หางพยายามทรงตัวไม่ให้ล้มลง

เด็กหนุ่มเดินตามเข้ามาอย่างช้าๆอย่างไม่รีบร้อน  ราวกับว่าเขาเป็นเพียงลูกไก่ในกำมือที่ไม่มีทางหลีกหนีลี้พ้นไปไหนได้

“ดูถูกกูเรอะวะ!!”  เขาพนมมือเริ่มบริกรรมคาถา   มีดผ่าตัดหลายสิบเล่มบินวนรอบตัวเป็นเกราะกำบังกายไม่ให้ศัตรูเข้าใกล้ได้

ฟ่อ

ทว่ากลับมีงูใหญ่สีดำสนิทเลื้อยรัดมัดกายที่ใหญ่โตที่สร้างด้วยคาถาอาคมอย่างรวดเร็วจนไม่อาจดิ้นให้หลุดได้

‘เจ้านี่  ไม่ใช่งูตัวเมื่อกี้เรอะ  แล้วมันมาตั้งแต่เมื่อไร!!’

“เฮ้ยมึง!!!  กูเป็นเจ้าที่นะโว้ย เป็นตัวแทนของคนในชุมชนนะโว้ย”  หมอใหญ่ร้องเตือนอีกฝ่าย

แต่ทว่าคำกลับกลายเป็นรอยยิ้มเหยียดบ่งบอกโดยนัยว่า เขาไม่ได้สนใจเรื่องนั้นสักนิด  และเจ้าตัวนั้นก็สำคัญตนผิดไปมาก

“เจ้าที่ตนเดียว  เดี๋ยวก็มีตนใหม่มาแทนเองแหละ”  เสียงที่ดังออกมาจากปากเด็กหนุ่มนั้นประหลาดอย่างที่สุด  เป็นเสียงที่กังวานไพเราะแต่กลับบอกไม่ได้ว่าเป็นหญิงหรือชาย  

แต่เสียงที่ดังต่อมากลับเป็นเสียงที่ทรมารสุดขาดใจ ก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบไปในที่สุด

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา