ฉันเป็นแค่วายร้าย Demon in Disguise

-

เขียนโดย AnnularE

วันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 20.53 น.

  5 ตอน
  0 วิจารณ์
  4,235 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 20.56 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) สตรอว์เบอร์รี

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

“มันก็เป็นไปได้นะ” หมอโรนันตอบคำถามฉัน หลังจากราวน์วอร์ดเสร็จฉันยืนอ้อยอิ่งเพื่อรอจังหวะถามอาจารย์ถึงสิ่งที่สงสัย

“มันจะมีกลุ่มอาการที่คนไข้ความจำเสื่อมแบบชั่วคราว เกิดจากการถูกกระทบกระเทือนทางจิตใจหรือผ่านเหตุการณ์ที่ทำให้เจ็บปวดมากๆ อย่างเช่นคนที่ผ่านการรบในสงครามหรือประสบอุบัติเหตุร้ายแรง ก็จะสูญเสียความทรงจำแบบรุนแรง ลืมเหตุการณ์ต่างๆ ในอดีตหรือแม้แต่ลืมชื่อตัวเองก็มี”

“แต่อาจารย์บอกว่าเป็นแบบชั่วคราวแสดงว่าความทรงจำก็จะค่อยๆ กลับคืนมาใช่ไหมคะ” ฉันถาม

“ใช่ๆ อาจจะเป็นสัปดาห์หรือเดือน ต้องให้การรักษาทางจิตวิทยาร่วมกับการบำบัดอื่นๆ แต่ที่สำคัญการจะวินิจฉัยโรคให้ถูกต้องจะต้องตรวจดูก่อนว่าคนไข้ไม่ได้มีอาการมาจากการบาดเจ็บของระบบประสาท” อาจารย์โรนันเสริม

“อาจารย์คะ” พี่พยาบาลที่เพิ่งเดินเข้ามาขัดขึ้นด้วยสีหน้าเกรงใจ “พอดีมีเคสจากฉุกเฉินขอให้บรรจุคนไข้มาที่วอร์ด คนไข้ที่เมื่อวานอาละวาดจนห้องฉุกเฉินเละเทะน่ะค่ะ”

“ก็จัดการซะสิ จะปฏิเสธให้คนไข้ไปนอนทางหนีไฟรึยังไง” หมอโรนันตวาดเสียงดัง

“ละ แล้วให้หมอคนไหนดูดีคะ” เธอถามต่อน้ำเสียงกล้าๆ กลัวๆ ฉันยืนตัวแข็งทื่อและเผลอกลั้นหายใจเผื่อว่าอาจารย์หมอโรนันแกอาจจะมองไม่เห็น มันต้องไม่ซวยขนาดนั้นสิน่า

“ให้หมอวีละกัน เห็นสนใจอาการคนไข้รายนี้” อาจารย์โรนันหันมาพูดอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะหันไปสนใจนักศึกษาแพทย์ที่กำลังฝึกการซักประวัติคนไข้ ฉันลอบถอนหายใจเบาๆ ให้กับโชคของตัวเอง

...............

 

ฉันยืนขมวดคิ้วที่หน้าประตูห้องคนไข้ ก่อนจะเดินไปที่เคาน์เตอร์พยาบาล

“ทำไมให้คนไข้ใหม่อยู่ห้องนั้นคะ” ฉันถามพยายามสะกดโทสะที่มีเอาไว้ พยาบาลสองคนตรงนั้นหันมองหน้ากันด้วยสีหน้าเหมือนจะรู้อยู่แล้วว่าต้องมีปัญหาแน่ๆ

“พอดีไม่มีห้องไหนว่างเลยค่ะหมอ” เธออธิบาย “แล้วเห็นว่าเป็นคนไข้หมอวีทั้งคู่ก็เลยคิดว่าน่าจะไม่มีปัญหาอะไร” ฉันอารมณ์ขึ้นทันทีเมื่อได้ฟังคำตอบ

“เอาคนไข้ที่เพิ่งจะอาละวาดไปอยู่ห้องเดียวกับเด็กเจ็ดขวบเนี่ยนะคะ คิดกันรึเปล่าว่าถ้าคนไข้เกิดอาละวาดขึ้นมาอีกจะเกิดอันตรายกับเด็ก” ฉันพูดเสียงดังจนคนอื่นๆ เริ่มหันมามอง

“หมอคะ คือมันไม่มีห้องว่างเลยจริงๆ” หนึ่งในสองคนพยายามอธิบาย

“ยังไงก็ต้องเปลี่ยนค่ะ” ฉันยื่นคำขาด

“เฮ้ ใจเย็นๆ” ชายหนุ่มที่เพิ่งเดินเข้ามาพูดขึ้น พยาบาลทั้งสองส่งสายตาขอความช่วยเหลือให้เขาทันที

“ไม่มีห้องให้ย้ายผู้ป่วยเลยหรอครับ” เขาถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบใจเย็นจนฉันดูเป็นนางมารไปเลย

“ไม่มีเลยค่ะหมอแดน” เขาพยักหน้าอย่างครุ่นคิด

“งั้นคนไข้ที่จะดิสชาร์จช่วงนี้เร็วสุดเมื่อไหร่ครับ”

“คงจะอีกสี่ห้าวันเลยค่ะ” เธอตอบ

“โอเค งั้นถ้ามีห้องว่างเมื่อไหร่ให้ย้ายคนไข้รายนี้ทันทีเลยนะครับ แล้วก็ระหว่างนี้ขอให้ดูแลคนไข้อย่างใกล้ชิดหน่อย เป็นไปได้ให้เข้าไปดูทุกชั่วโมงนะครับ” หมอแดนบอกก่อนจะหันมาทางฉัน

“โอเคไหมครับหมอวี”

ฉันทำหน้าบึ้งใส่เขาเป็นคำตอบ

 

ในตอนเย็นนั้นฉันแวะไปดูคนไข้รายใหม่โดยตั้งปณิธานเอาไว้ว่าจะลบเรื่องไร้สาระทั้งหมดออกจากหัว โฟกัสที่การรักษาคนไข้ให้หายดีเท่านั้น ฉันค่อยๆเปิดประตูเข้าไปคนไข้เตียงแรกของฉันนอนหลับพริ้มอยู่ ฉันพยายามย่องผ่านด้วยเสียงเบาที่สุดเพราะไม่อยากทำลายภาพคิวปิดน้อยน่ารักที่กำลังหลับใหล ถัดไปอีกเตียงริมหน้าต่าง ชายหนุ่มนั่งเอนพิงบนเตียงที่ปรับให้ชันขึ้น เขาเหม่อมองออกไปที่ข้างนอก แสงแดดสีส้มยามเย็นกระทบลงบนใบหน้า

“สวัสดีค่ะ” ฉันพูดเบาๆ ดึงเขาออกจากโลกอีกแห่ง

“ฉันเป็นหมอที่นี่ ไม่แน่ใจว่าคุณจำได้รึเปล่าคะ” ฉันถาม

“ได้ครับ” เขาขมวดคิ้วขณะมองมาที่ฉันแล้วตอบเสียงแหบพร่า ซึ่งนั่นแปลว่าเขาน่าจะยังสามารถจดจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานได้

“รู้สึกเป็นยังไงบ้าง ปวดหัวหรือเจ็บแผลบ้างรึเปล่า”

“ผมรู้สึกมึนหัวนิดหน่อยครับ”

“อ่อ เป็นอาการข้างเคียงของยาค่ะ ไม่ได้ผิดปกติอะไร งั้นขอหมอดูแผลหน่อยนะคะ” ฉันยืนอยู่ที่ข้างเตียง

ชายหนุ่มค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งขณะที่ฉันเปิดเสื้อเพื่อดูแผลที่ไหล่ของเขา

“เหมือนยังปิดไม่ค่อยสนิทดี ช่วงนี้ก็อย่าเพิ่งขยับหรือเคลื่อนไหวเร็วๆ นะคะ” เขาพยักหน้าเบาๆ อาจจะนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ห้องฉุกเฉินเมื่อวานนี้

“อีกอย่างหมอมีเรื่องอยากจะขอร้อง ถ้าคุณจะสังเกตเห็น เรื่องเพื่อนร่วมห้องตัวน้อยที่เตียงข้างๆ น่ะค่ะ แกประสบอุบัติเหตุมาค่อนข้างหนัก ยังไงอย่าเสียงดังหรือทำให้แกตกใจนะคะ”

“ครับคุณหมอ ผมคงไม่ทำแบบเมื่อวานแล้วล่ะ เมื่อวานผมคงตกใจแล้วก็สับสน เลยควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้ ผมขอโทษนะครับ” ชายหนุ่มบอกด้วยสีหน้ารู้สึกผิด

“ไม่เป็นไรค่ะ ก็เป็นอาการที่เกิดขึ้นได้ ว่าแต่พอจะจำอะไรได้บ้างรึยัง ชื่อหรือที่ๆ เคยอยู่ หรือคนที่รู้จัก พอจะนึกอะไรออกบ้างไหม” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว เขาหลับตาพักนึงแล้วส่ายหน้าเป็นคำตอบ

“ผมนึกอะไรไม่ออกเลยครับคุณหมอ”

“ไม่เป็นไรนะ อาการแบบนี้มักจะเป็นแค่ชั่วคราวหลังจากผ่านเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนร่างกายหรือจิตใจมากๆ ยังไงก็ลองค่อยๆ นึกดู ลองเริ่มจากวันที่คุณประสบอุบัติเหตุก็ได้นะ เป็นเรื่องใกล้สุดอาจจะช่วยให้จำอะไรได้” ฉันเสนอความเห็น ชายหนุ่มหลับตาพยายามนึก

“ผมจำได้แค่มันหนาวมาก” เขากระซิบเบาๆ

“ใช่ค่ะ คุณจมน้ำแล้ววันนั้นก็ฝนตกหนักมากจริงๆ” ฉันเริ่มตื่นเต้น พยายามกระตุ้นให้เขาพูดออกมาเรื่อยๆ คิ้วของเขาขมวดยุ่ง

“ผมรู้สึกหนาวมาก หนาวมากๆ มันเปียกไปหมด มีเสียงตะโกน แล้วก็รสสตรอว์เบอร์รี” เขาลืมตาขึ้น

“สตรอว์เบอร์รีหรอคะ” ฉันถามซ้ำ

“ใช่ครับ ผมนึกถึงรสชาติหวานๆ เหมือนรสสตรอว์เบอร์รี” เขาตอบ ดูเหมือนงงกับตัวเองเหมือนกัน “ผมนึกออกแค่นี้จริงๆ ครับ”

“ดีแล้วค่ะ ลองค่อยๆ นึกไปเรื่อยๆ ไม่ต้องเครียดหรือกดดันนะคะ” ฉันบอก “งั้นหมอขอตัวก่อนนะคะ”

“คุณหมอครับ” เขาเรียกฉันก่อนจะเดินพ้นไป “เราเคยเจอกันมาก่อนรึเปล่าครับ”

ถ้านี่ไม่ใช่คำถามจากคนที่สูญเสียความทรงจำก็คงเหมือนมุกจีบหญิงในละคร “คุณจำอะไรได้หรอคะ”

เขาส่ายหน้า สายตาจ้องหน้าฉันและครุ่นคิด “ผมจำไม่ได้แต่ทำไมผมรู้สึกเหมือนเคยรู้จักคุณหมอมาก่อนเลย”

“ถ้าหมอเคยรู้จักคุณ บนนี้คงมีชื่อคุณเขียนอยู่แล้วล่ะค่ะ” ฉันตอบเขาพลางชูชาร์ทคนไข้ในมือ แม้จริงๆแล้วฉันเองก็ยังสงสัยอยู่เหมือนกัน

 

...............

 

ไฟในห้องพักแพทย์ยังเปิดอยู่หนึ่งดวงในความมืด ฉันนั่งไล่อ่านบทความในจอคอมอย่างเลื่อนลอย กับกองเอกสารและขนมนมเนยตรงหน้า

“ทำไมไม่กลับบ้าน” ฉันสะดุ้งสุดตัวและหันหลังไปพบหมอแว่นร่างสูงที่เปิดประตูเข้ามา

“หัวใจเกือบวายตาย” ฉันบ่นพลางเอามือสัมผัสหัวใจที่สูบฉีดตึกตักตรงหน้าอก ชายหนุ่มไม่ได้สนใจเสียงบ่นแต่อย่างใด เขาเดินไปเปิดสวิตซ์ไฟอีกสองสามดวงปากก็บ่นพึมพำเกี่ยวกับเรื่องแสงสีฟ้าและจอประสาทตา

“ทำไรน่ะ” เขาถามเมื่อเดินมายืนข้างหลังเก้าอี้ สายตาแหลมคมเหมือนเหยี่ยวจ้องที่หน้าจอของฉัน

“ก็หาอะไรอ่านนิดหน่อย” ฉันตอบ

“Transient Amnesic Syndrome เคสที่จมน้ำหรอ” แดนเดาได้ในทันที ฉันพยักหน้า ชายหนุ่มเดินไปนั่งที่โต๊ะของเขาพลางเหยียดแขนเหยียดขาบิดขี้เกียจอย่างสบายอารมณ์ “แล้วได้อะไรบ้าง”

“ก็ไม่ค่อยคืบหน้า ยังจำอะไรไม่ได้เลย” ฉันถอนใจ

“เรื่องแบบนี้ต้องใช้เวลา” หมอแดนออกความเห็น “ดูเธอจะสนใจเคสนี้มากเลยนะ”

“ก็อาการแบบนี้ฉันยังไม่เคยเจอมาก่อนนี่นา”

“แล้วนี่มีใครติดต่อตามหาเขาบ้างรึยัง”

ฉันส่ายหน้า “ยังไม่มีเลย เดี๋ยวคงต้องไปแจ้งไว้ที่สถานีตำรวจด้วย เผื่อใครมาแจ้งความคนหาย”

“แต่ยังไงเธอก็ต้องระวังไว้หน่อยแล้วกัน” ชายหนุ่มบอก ฉันหันไปมองหน้าเขาแล้วเลิกคิ้วสงสัย

“ก็เราไม่รู้ว่าเขาเป็นใครมาจากไหน อีกอย่างเธอเป็นคนห้ามเลือด ฉันเป็นคนเย็บแผลนั่น เราสองคนก็รู้ดีว่าแผลนั่นมันคือแผลอะไร” หมอแดนอธิบาย

 

ฉันยังนั่งอยู่คนเดียวในห้อง ขี้เกียจเกินกว่าจะย้ายก้นกลับหอพัก หน้าซบลงบนโต๊ะกับเศษขนมที่คงจะทำให้ผิวหน้าคันๆ ในอีกไม่ช้า ในหัวฉันคิดถึงเรื่องที่แดนพูด หมอทุกคนควรต้องเรียนรู้ลักษณะของบาดแผลเพื่อวินิจฉัยอาการและเลือกการรักษาที่เหมาะสม ใช่ แผลแบบนั้นคือรอยจากการถูกยิง แต่ทำไมแดนถึงพูดแบบนั้น หรือคนที่ถูกยิงต้องเป็นคนที่ไม่ดีอย่างนั้นหรือ ฉันตั้งข้อสงสัยในสิ่งที่เขาพูด แต่มันไม่จริงเสมอไปนี่ คนดีถูกยิงตายมีเยอะแยะเพราะฉะนั้นมันไม่ใช่สิ่งที่จะเอามาตัดสินอะไรได้ ฉันกัดริมฝีปากระหว่างที่ขบคิดประเด็นนี้ในทุกแง่มุมมือควานหาของในกระเป๋าเสื้อ ฉันหยิบมันขึ้นมาจรดลงบนริมฝีปากด้วยความเคยชิน แล้วก็คิดขึ้นมาได้ว่าลิปมันของฉันเป็นกลิ่นสตรอว์เบอร์รี

...............

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา