ยอดสตรีฉางอิ๋ง

-

เขียนโดย Xiaobei

วันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 17.20 น.

  35 ตอน
  0 วิจารณ์
  23.26K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 17.21 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) ภาคที่ 1 ใบไม้เขียวหนา บุปผาแดงโรย ยามออกเมืองเฟิ่ง ตอนที่ 1 เขาต้องเชื่อฟัง (1)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ท่ามกลางแสงอาทิตย์แรงจ้ายามเที่ยงตรงในคิมหันต์ฤดู

หลังคฤหาสน์หลักที่ใหญ่โตของตระกูลเว่ยเฟิ่งโจว เพิ่งถูกน้ำบาดาลสาดใส่มาหนึ่งครั้ง ไม่ถึงหนึ่งเค่อ[1]ก็เหือดหายไปสิ้น กระทั่งรอยหยดน้ำยังไม่มีเหลือคราบให้เห็น กลับกัน แสงอาทิตย์จ้าที่สาดส่องลงมานั้น ทำให้เห็นฝุ่นที่ลอยตลบอบอวลไปทั่วคฤหาสน์ ลมร้อนจากทางใต้พัดมาจนทำให้เหนียวเหนอะหนะ ลมพัดมาถูกร่างไม่ได้ทำให้รู้สึกเย็นสบายแม้แต่น้อย แต่กลับทำให้รู้สึกราวกับถูกดึงลงไปในบ่อโคลนที่ทั้งอึดอัดและไม่สบายตัว

ตระกูลสำคัญของต้าเว่ยในปัจจุบัน ตระกูลเว่ยตั้งอยู่ที่เฟิ่งโจว หากไล่ย้อนกลับไปตั้งแต่บรรพบุรุษแล้วถือเป็นตระกูลเก่าแก่ตั้งแต่สมัยยุคกลาง หลายร้อยปีที่ผ่านมามีอัจฉริยะบุคคลถือกำเนิดขึ้นมากมาย เป็นหนึ่งในหกตระกูลขุนนางระดับสูงของแผ่นดิน และตระกูลที่มีชื่อเสียงเช่นนี้ มักจะรักษาหน้าตาและเกียรติยศของตนเป็นอย่างมาก ในยามที่ร้อนระอุอย่างนี้ ข้ารับใช้ที่ไม่ได้ทำหน้าที่จัดเรียงน้ำแข็งต่างถูกกำชับให้อยู่แต่ในที่ร่ม เพื่อป้องกันไม่ให้ไม่สบายเพราะอากาศที่ร้อนจัด ด้วยเหตุนี้ตระกูลเว่ยจึงเลื่องชื่อเรื่องการปฏิบัติต่อข้ารับใช้เป็นอย่างดีไปทั่วทั้งเมือง

ยามนี้คฤหาสน์ทั้งหลังเงียบกริบ จะได้ยินก็เพียงเสียงน้ำหยดดังขึ้นในความเงียบสงบนี้บ้างเท่านั้น

ลานหน้าเรือนหลักส่วนหลังคฤหาสน์กว้างขวางนัก ในมุมทิศตะวันออกเฉียงใต้ของลานมีต้นการบูรขนาดสองสามคนโอบอยู่ต้นหนึ่ง มีใบหนาทึบและสร้างร่มเงาให้ลานบ้านไปกว่าครึ่ง ยามเดือนห้าในเฟิ่งโจว ต่อให้เป็นใต้เงาไม้ยังยากจะกล่าวออกมาว่าเย็นสบายได้

ท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่แรงกล้า ในที่ที่ร่มเงาของต้นอูจางบดบังไม่ถึง หนึ่งหญิงหนึ่งชาย คนหนึ่งยืน คนหนึ่งคุกเข่า กำลังพูดคุยกันเสียงเบาโดยอาศัยเสียงร้องของจิ้งหรีดกลบเสียงพวกเขาไว้

ผู้ที่ยืนอยู่คือเด็กหนุ่ม เขาสวมชุดคลุมยาวหยวนหลิ่ง[2]ทอด้วยผ้าแพรสีเหลืองขนห่าน ผมรัดไว้ด้วยวงแหวนทอง เอวคาดเข็มขัดหยกเอาไว้ อายุประมาณสิบสี่สิบห้าปี ตัวสูง ไหล่แคบเอวบางท่ายืนสูงตระหง่าน รูปโฉมหล่อเหลาแต่ยังคงแฝงไปด้วยความเยาว์วัย

ยามนี้ดวงตาเขาถูกแสงอาทิตย์ที่แรงจ้าส่องมาจนลืมตาไม่ขึ้น มือก็เช็ดเหงื่อที่ไหลลงมาราวกับสายฝนไม่หยุด สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความร้อนรนและจนใจ เขากดเสียงต่ำแล้วกล่าวอธิบายออกมาว่า "...ท่านแม่ทานข้าวเรียบร้อยก็กล่าวว่าจะไปพักผ่อน ก่อนหน้านี้ยังใช้ให้ลวี่ฝางไปหาท่านย่า บอกว่าวันนี้ท่านพี่มีธุระ คงไม่ได้ไปคารวะท่านย่า ท่านย่าเองก็อนุญาตแล้ว ข้าว่านะ ท่านพี่ ท่านไปยอมรับผิดกับท่านแม่ก่อนดีกว่า ไม่อย่างนั้นหากต้องคุกเข่าไปถึงหลังเวลาอาหารค่ำ ท่านจะทนไหวได้อย่างไร?"

"ข้าไม่ไปหรอก" เด็กสาวที่คุกเข่าหลังตรงอยู่ที่พื้นดูมีอายุมากกว่าเด็กหนุ่มอยู่บ้าง นางมีหน้าตางดงาม ผมสีดำสนิทเป็นประกาย ขับให้ใบหน้ารูปไข่ที่งดงามสมส่วนของนางยิ่งเป็นประกายมากขึ้น นางมีคิ้วเรียวเหมือนกิ่งเหมย ดวงตาราวกับตาหงส์ จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากแดงระเรื่อเป็นธรรมชาติ คิ้วดกดำโดยไม่ต้องเขียน รูปโฉมงดงามอย่างไม่ต้องปรุงแต่ง

นางคุกเข่าท่ามกลางอากาศร้อนจัดมามากกว่าชั่วยาม[3]แล้ว แต่ดวงตาของนางยังคงเป็นประกายแจ่มใส แสงอาทิตย์ที่แรงกล้าทำให้ผิวบริสุทธิ์ราวหยกสลักและขาวราวกับหิมะของนางถูกย้อมจนกลายเป็นสีแดง ใบหน้าสะสวยของนางยังคงแจ่มใส ชุดหรูฉวิน[4]เนื้อแพรย่นทรงแขนแคบสีเขียวอ่อนที่นางสวมอยู่ตอนนี้มีรอยน้ำซึมไปทั่วแล้ว หยาดเหงื่อไหลลงมาจากหน้าผากไปถึงหลังหูจนทำให้ปอยผมเปียกชื้นยุ่งเหยิงและแนบไปกับใบหน้า หยาดเหงื่อไหลตามคางเรียวลงไปที่กระโปรงสีเขียวลายเทพสถิตจนทำให้กระโปรงมีจุดสีเขียวเข้มหลายสิบจุดแล้ว... และนี่เป็นเพียงเหงื่อที่เช็ดไม่ทันเท่านั้น

แต่ถึงอย่างนั้น เว่ยฉางอิ๋ง คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเว่ยก็ยังคงไม่คิดสำนึกผิด นางเชิดคางขึ้นพร้อมกับยกมุมปากแล้วกล่าวอย่างมั่นใจว่า "อากาศร้อนขนาดนี้ ข้ายังมาคุกเข่าท่ามกลางแสงอาทิตย์จ้าอีก เจ้ารอดูเถอะ ท่านแม่จะนอนหลับได้ที่ไหนกัน? อีกไม่นานคงให้คนออกมาเรียกข้าแล้ว"

"แต่ว่าลวี่ฝางไปหาท่านย่า..." น้องชายแท้ๆ ของนาง เว่ยฉางเฟิง คุณชายห้าแห่งตระกูลเว่ยไม่เห็นด้วยกับนาง เขาขมวดคิ้วแล้วกล่าวเตือน ในเมื่อท่านแม่ของทั้งสองให้สาวใช้ลวี่ฝางไปหาฮูหยินผู้เฒ่าเพื่อบอกว่าเว่ยฉางอิ๋งจะไม่ได้ไปคารวะก่อนเวลาอาหารค่ำ ก็เห็นได้ชัดแล้วว่า การลงโทษนี้ไม่มีทางสิ้นสุดก่อนเวลาอาหารค่ำเป็นแน่

เว่ยฉางอิ๋งกลับไม่ใส่ใจแล้วกล่าวว่า "ก็แค่ทำให้ข้าตกใจเท่านั้นไม่ใช่หรือ"

"แต่ว่าท่านพี่ ท่านคุกเข่ามาเกินหนึ่งชั่วยามแล้ว" เว่ยฉางเฟิงกล่าวอย่างจนใจ "อากาศร้อนอย่างนี้ ข้าคุยกับท่านตรงนี้ยังร้อนจนแทบจะหมดสติแล้ว ขนาดข้ารับใช้ยังพากันเข้าไปหลบในที่ร่มแล้วพรมน้ำใส่ตัวกันเลย ท่านทำอย่างนี้เพื่ออะไร?"

"เจ้าไปใต้ร่มไม้เถอะ" เว่ยฉางอิ๋งปรายตามองเขา แล้วใช้แขนเสื้อเช็ดใบหน้าลวกๆ แขนเสื้อสีเขียวอ่อนพลันกลายเป็นสีเขียวหยกทันที นางกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า "เจ้าไม่ได้ฝึกยุทธ์กับท่านลุงเจียงตั้งแต่เล็กอย่างข้า ต่อให้ต้องคุกเข่าอีกหนึ่งชั่วยามข้าก็ยังทนไหว!"

เทียบกับนางแล้ว เว่ยฉางเฟิงกลับใช้แขนเสื้อบังแดดไว้อย่างลำบาก แล้วเอ่ยปากเตือนอย่างอดทนและเป็นห่วงว่า "จริงๆ แล้วหากให้ข้าพูด ข้าว่านะท่านพี่ ท่านเป็นผู้หญิงแท้ๆ และจากประวัติตระกูลเราแล้วยังเป็นตระกูลฝ่ายบุ๋นอีก ท่านจะไปฝึกยุทธ์ทำไมกัน? แม้ทุกวันนี้แผ่นดินไม่สงบนักแต่ว่าตระกูลเว่ยของพวกเราก็ยังเป็นตระกูลใหญ่ของเฟิ่งโจว เป็นตระกูลอันดับต้นๆ ของแผ่นดิน ต่อให้บ้านเมืองวุ่นวายเพียงใดก็ยังไม่ถึงกับทำให้คนเช่นพวกเราต้องเดือดร้อน แม้ว่าตระกูลเราจะเป็นฝ่ายบุ๋นมาตั้งแต่อดีต แต่ก็ไม่ใช่จะไม่มีกองกำลังป้องกันตัวเอง หรือว่าท่านพี่คิดว่าในอนาคตท่านจะต้องใช้ฝีมือตัวเองป้องกันตัว?"

เขากดเสียงต่ำลง "อีกอย่าง ปีหน้าท่านพี่ก็ต้องออกเรือนแล้ว ประวัติต้นตระกูลเสิ่นแห่งซีเหลียงคือตระกูลฝ่ายบู๊ คุมกำลังทหารกดดันชนเผ่าทางเหนือ...ท่านยิ่งไม่ต้องเป็นกังวลใหญ่ ข้าเคยได้ยินท่านย่ากล่าวว่า เสิ่นจั้งเฟิงคนนั้นมีวรยุทธ์ล้ำเลิศ ปีที่แล้วเขาแสดงการต่อสู้หนึ่งต่อสิบหน้าพระพักตร์ ทำให้ตระกูลหลิวแห่งตงหูและตระกูลซูแห่งชิงโจวพ่ายแพ้ยับเยิน ส่วนตัวเขานั้นโดดเด่นเหนือผู้ใด แม้ทุกวันนี้ชนเผ่าทางเหนือจะยังคิดบุกรุกและคอยสร้างความวุ่นวายอยู่ เส้นทางตั้งแต่เฟิ่งโจวถึงจิงจี[5]เองมีกองโจรอยู่หลายกลุ่ม แต่ถึงตอนนั้นเขาจะเป็นผู้มารับท่านที่เฟิ่งโจวด้วยตนเอง ท่านพี่ท่านจะต้องกลัวอะไร?"

"โง่เง่า!" เว่ยฉางอิ๋งถลึงตาใส่เขาแล้วกล่าวว่า "ก็เพราะว่าตระกูลเสิ่นแห่งซีเหลียงมีประวัติเป็นฝ่ายบู๊ ผู้ชายในตระกูลพวกเขาแต่ละคนฝึกฝนยุทธ์กันตั้งแต่เล็ก โดยเฉพาะเสิ่นจั้งเฟิง ตั้งแต่ข้าอายุได้แค่สามสี่ปีก็ได้ยินเรื่องที่เขามีฝีมือยุทธ์เก่งกาจขนาดไหนมาตลอดตั้งแต่เล็กจนโต ข้าถึงได้พยายามฝึกฝนยุทธ์อย่างยากลำบากไม่กล้าหย่อนยาน ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่าข้าเป็นพวกชอบความลำบากหรืออย่างไร!"

เว่ยฉางเฟิงกล่าวอย่างประหลาดใจ "อะไรนะ?"

"เจ้าทึ่มนี่ ทำไมเจ้าไม่คิดบ้าง?" เว่ยฉางอิ๋งกล่าวด้วยท่าทีจริงจัง "ตระกูลเสิ่นเดิมเป็นตระกูลที่สืบทอดด้านฝีมือบู๊เหมือนกันกับตระกูลซูแห่งชิงโจวและตระกูลหลิวแห่งตงหู แค่คิดก็รู้แล้วว่าพวกเขาจะต้องเก่งกล้าขนาดไหน คู่หมั้นของข้าคนนี้ ได้ยินว่าเป็นผู้ที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาลูกหลานตระกูลเสิ่นด้วย! ฝีมือต่อสู้เขาจะต้องยอดเยี่ยมมากแน่..."

"อย่างนี้ไม่ใช่ว่าดีหรือ?" เว่ยฉางเฟิงกล่าวอย่างงุนงง "หากว่าเขาไม่ดี ตอนนั้นท่านปู่จะยกท่านพี่ให้แต่งกับเขาได้อย่างไร บุตรสาวภรรยาเอกสายตรงตระกูลเว่ยแห่งเฟิงโจวของพวกเราสู่ขอกันง่ายอย่างนั้นที่ไหน?"

เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างโมโหว่า "ข้าหมายความว่า! สามีที่มีฝีมือเก่งกาจอย่างนี้จะต้องเป็นคนที่นิสัยใจร้อนมุทะลุและหยาบกระด้าง! โมโหง่ายและชอบใช้กำลังแน่! หากว่าอีกหน่อยข้าแต่งงานไปแล้ว หากไปต่อปากต่อคำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ กับเขา หรือทำผิดอะไรไปที่เขาไม่ชอบ เกิดเขาโมโหขึ้นมาแล้วทุบตีข้า ถ้าข้าเป็นแค่ผู้หญิงอ่อนแอไร้ทางสู้คนหนึ่ง ข้าจะทำอย่างไร?! ต่อให้เขามาขอโทษทีหลัง แต่ว่าข้าก็ต้องเสียเปรียบไปก่อนหน้านี้แล้วไม่ใช่หรือ?"

....................................

[1] เค่อ : เวลาสิบห้านาที

[2] ชุดคลุมยาวหยวนหลิ่ง : ชุดดั้งเดิมของชนชาติฮั่น เป็นชุดแนบตัว ปกคอกลม

[3] ชั่วยาม : ประมาณสองชั่วโมง

[4] ชุดหรูฉวิน : ชุดชนชาติฮั่นประเภทหนึ่ง ช่วงบนเป็นเสื้อตัวสั้นมักยาวไม่เกินเข่า ช่วงล่างเป็นกระโปรง เป็นการเรียกชุดที่มีสองตัวประกอบกัน

[5] จิงจี : ดินแดนส่วนหนึ่งของเกาหลีเหนือ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้นำมาจากแหล่งอื่นและได้รับการอนุญาตจากเจ้าของแล้ว

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา