ยอดสตรีฉางอิ๋ง

-

เขียนโดย Xiaobei

วันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 17.20 น.

  35 ตอน
  0 วิจารณ์
  23.24K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 17.21 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) ไม่ยอมรับผิดห้ามลุกขึ้น (1)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ภายในห้องหลักหลังคฤหาสน์ ผ้าม่านถูกปล่อยลงมาแต่กลับไม่รู้สึกร้อนอบอ้าว นั่นเพราะบริเวณมุมทั้งสี่ของห้องมีอ่างน้ำแข็งสูงเท่าครึ่งตัวคนตั้งอยู่ และยังมีสาวใช้สี่คนคอยถือพัดคอยโบกไว้ด้วย ทำให้มีลมพัดมาตลอด ถึงแม้ความสุขจากการได้ลมเย็นราวกับฤดูใบไม้ร่วงยามอากาศร้อนจัด ข้างกายยังมีผลไม้แช่แข็งที่กินไปแล้ววางไว้ และยังเป็นช่วงเวลาที่ง่วงนอนง่ายที่สุดด้วย แต่ว่า ฮูหยินใหญ่แซ่ซ่งตระกูลเว่ยที่จัดการงานต่างๆ ของวันนี้เสร็จสิ้น และเพิ่งจะทานอาหารเที่ยงเสร็จไป ยามนี้ควรจะนอนงีบพักผ่อนสักเล็กน้อย เพื่อเวลาไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าจะได้มีหน้าตาแจ่มใส แต่ว่าฮูหยินซ่งกลับนอนไม่หลับและพลิกตัวไปมาอยู่บนที่นอนที่ปูด้วยเสื่อไผ่

"ตอนนี้เป็นอย่างไรแล้ว?" ฮูหยินซ่งคิดไปคิดมาก็ยังไม่วางใจ นางลุกขึ้นมานั่งแล้วถามแม่นมซือไปด้วยผมเผ้ายุ่งเหยิง

แม่นมซือกล่าวด้วยท่าทีลำบากใจว่า "ข้าน้อยเพิ่งเปิดม่านดูจากในหน้าต่าง คุณหนูใหญ่ยังคงคุกเข่าอยู่...ถูกแสงอาทิตย์ส่อง...ร้อนน่าดู"

ฮูหยินซ่งได้ฟังก็กล่าวเสียงเบาถามไปว่า "มีคนเอาน้ำให้นางไหม?"

"ข้าน้อยไม่เห็น" แม่นมซือกล่าวอย่างระวัง "ฮูหยิน ยามนี้แสงอาทิตย์ร้อนแรงนัก คุณหนูใหญ่...เกรงว่าจะทนไม่ไหวแล้ว!"

สีหน้าของฮูหยินซ่งไม่น่าดู นางออกแรงตบไปยังโต๊ะวางกำยานตัวเล็กลายไห่ถัง[1]ข้างเตียง นางตบลงไปแรงมากเสียจนเกือบทำให้โต๊ะเล็กตัวนั้นกลิ้งไป นางกล่าวอย่างมีโทสะออกมา "ไม่ต้องไปสนใจนาง! หากวันนี้นางยังไม่ยอมรับผิด วันนี้นางก็ไม่ต้องลุกขึ้นมา! เรือนใหญ่อย่างนี้ ข้าไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าให้นางคุกเข่าที่ไหน นางกลับเลือกไปคุกเข่าในที่ที่ร่มเงาบดบังไม่ถึงเช่นนั้น ไม่ใช่ว่าอยากให้ข้าใจอ่อนหรอกหรือ วันนี้ข้าจะไม่ใจอ่อน! ฮึ่ม!" ขณะที่กล่าวนางก็ปั้นหน้าแล้วล้มลงไปนอนใหม่ ทั้งยังกล่าวกำชับอีกว่า "ไม่ว่าใครก็ห้ามเอาน้ำไปให้นาง! ให้นางคุกเข่าไป! หากว่านางไม่รับผิด และถูกแดดเผาจนหมดสติไป เจ้าก็ไปเรียกหมอมาดูนางเสีย ไม่จำเป็นต้องมาบอกข้า! เจ้าเด็กไร้น้ำใจ คิดหรือว่าข้าจะแข็งใจสั่งสอนเจ้าไม่ได้!"

แม่นมซือตอบรับอย่างระวัง "เจ้าค่ะ!"

เมื่อฮูหยินซ่งหันหน้าเข้าด้านในราวกับหลับไปแล้ว แม่นมซือก็ส่งสายตาไปยังสาวใช้สองคนที่คอยรับใช้อยู่ข้างมุ้ง ฮว่าเจี่ยวและฮว่าผิง พร้อมพาพวกนางออกไปจากห้องด้วยฝีเท้าแผ่วเบา เมื่อออกมาด้านนอกแม่นมซือจึงกล่าวเสียงเบาว่า "เข้าใจที่ฮูหยินกล่าวใช่ไหม?"

ฮว่าเจี่ยวและฮว่าผิงสบตากันพลางกล่าวเสียงเบาว่า "พวกเราต้องเอาน้ำไปให้คุณหนูใหญ่?"

"เอาวุ้นผลไม้นั่นไปให้คุณหนูใหญ่ชุดหนึ่งด้วย...เตือนคุณหนูใหญ่ให้ค่อยๆ กิน อากาศร้อนกินของเย็นเร็วไปจะไม่ดี" แม่นมซือกล่าวเตือน "แล้วไปกล่อมให้คุณหนูใหญ่ไปหลบในร่มด้วย...พูดแล้วก็คือ จะให้คุณหนูใหญ่ตากแดดอยู่อย่างนี้ต่อไปไม่ได้!"

ฮว่าเจี่ยวและฮว่าผิงรับคำ กำลังจะเดินออกไป แม่นมซือกล่าวขึ้นมาอีกว่า "ใช่แล้ว ถามคุณหนูใหญ่ด้วยว่ายอมรับผิดไหม หากว่ายังไม่ยอม...อีกครู่ให้เจ้าบอกคุณหนูใหญ่ว่าแสร้งหมดสติไปเสีย"

ฮว่าเจี่ยวฝืนยิ้มแล้วกล่าว "ข้าน้อยกลัวก็แต่นิสัยแข็งกร้าวของคุณหนูใหญ่ หากว่าไม่ยอมฟัง..."

คุณหนูใหญ่สายตรงตระกูลเว่ยผู้นี้ หากว่ายอมแสร้งหมดสติ ก็คงไม่มีทางแข็งใจไม่ก้มหัวให้ฮูหยินซ่งอย่างนี้หรอก แม่นมซือถอนหายใจออกมา "คุณหนูใหญ่ไม่ยอมแสร้งหมดสติ พวกเจ้าก็กล่อมให้นางกลับห้องไป ฮูหยินไม่ใช่พูดแล้วหรือว่า คุณหนูใหญ่หมดสติไปก็ไม่ต้องไปบอกนาง? พวกเราไม่พูด ฮูหยินก็จะทำเป็นว่าคุณหนูใหญ่คุกเข่าจนหมดสติแล้วถูกส่งกลับห้องไป"

หญิงรับใช้ทั้งสองถึงได้เข้าใจความหมายที่แท้จริงที่ฮูหยินกล่าวออกมาเมื่อครู่ พวกนางขอบคุณแม่นมซือที่กล่าวเตือน ขณะกำลังจะเปิดประตู คิดไม่ถึงว่าระเบียงคดด้านนอกจะมีเสียงฝีเท้าร้อนรนดังขึ้น ไม่นานก็มาถึงหน้าประตูแล้วเคาะประตูเสียงเบา เสียงนุ่มนวลแฝงไปด้วยรอยยิ้มกล่าวขึ้นว่า "ท่านอาสะดวกพบข้าไหม?"

"รีบเปิดประตูเร็ว!" ได้ยินเสียงนี้ แม่นมซือรีบสั่งสาวใช้ทันที นางจัดชุดให้เข้าที่แล้วเปิดประตู ด้านนอกกลับพบเด็กสาวอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปีคนหนึ่งยืนอยู่ คิ้วเรียวสวยโดยไม่ต้องวาด ดวงตาเป็นประกาย ผิวขาวราวกับแสงจันทร์

ผมดำสนิทของนางขดม้วนเป็นก้นหอยและปักไว้ด้วยปิ่นอัญมณีรูปดอกชบากลีบซ้อนสองอัน นางยิ้มมุมปากเผยให้เห็นลักยิ้มที่แก้มทั้งสอง นางสวมชุดไหมสีม่วงชมพูทรงแขนกว้าง กระโปรงลายดอกไม้สีฟ้าอ่อน ที่เอวแขวนถุงหอมกลิ่นอบเชยเบาบาง ดูแล้วเป็นผู้ใจกว้างและเปิดเผย พอเปิดประตูออก นางก็เผยรอยยิ้มที่มองแล้วสบายตาออกมา พอเห็นแม่นมซือก็รีบเอ่ยปากเรียกออกมาทันที

แม่นมซือเห็นเด็กสาวก็อดดีใจไม่ได้ เพราะยามนี้ด้านนอกร้อนจัด จึงรีบเรียกให้นางกับหญิงรับใช้ชุดสีฟ้าสองคนเข้ามาคุยกันด้านใน ปิดประตูไม่ให้ความร้อนเข้ามา แม่นมซือยังไม่ทันทักทายพลันรีบถามเด็กสาวคนนี้เสียงเบาว่า "ขอบคุณสวรรค์ที่คุณหนูก็มาแล้ว ใช่เพื่อ..." แม้จะมีประตูขวางอยู่ แต่ก็สามารถมองเห็นจุดที่เว่ยฉางอิ๋งกำลังคุกเข่าอยู่ได้อย่างชัดเจน

คุณหนูคนนี้ก็คือหลาวสาวแท้ๆ ของฮูหยินซ่ง นางคือซ่งไจ้สุ่ย บุตรสาวเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลซ่งแห่งเจียงหนาน หนึ่งในตระกูลมีชื่อแถวหน้าเช่นเดียวกับตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจว พ่อของนาง ‘ซ่งอวี่วั่ง’ รับ ราชการเป็นเสนาบดีฝ่ายพิธีการ ควบกับตำแหน่งเจ้ากรมพิธิการเขาคือพี่ชายแท้ๆ ของฮูหยินซ่ง รับราชการ ณ อำเภอเฮ่าจิงในเมืองหลวง แม่แท้ๆ ของแซ่ซ่งเสียไปนานแล้ว ในตระกูลมีชื่อทั้งหมด ตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวและตระกูลซ่งแห่งเจียงหนานมีสัญญามาตั้งแต่รุ่นก่อนๆ แต่ละรุ่นจึงได้มีการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กัน แม้ว่าจะไม่ใช่ว่าต้องแต่งกับตระกูลอีกฝ่ายเท่านั้น แต่ว่าหากสายตรงจะสู่ขอภรรยา ก็มักจะพิจารณาหญิงสาวในอีกตระกูลก่อนเสมอ มารดาของซ่งไจ้สุ่ยก็คือลูกผู้น้องคนหนึ่งของบิดาเว่ยฉางอิ๋งและเว่ยฉางเฟิง ดังนั้น ซ่งไจ้สุ่ยจึงเป็นทั้งลูกพี่ลูกน้องฝ่ายบิดาและลูกพี่ลูกน้องฝ่ายมารดาของสองพี่น้องตระกูลเว่ย แต่เพราะอาแท้ๆ ฝั่งบิดานั้นมีความใกล้ชิดกว่าฝั่งมารดาซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกันจึงนับตามความสัมพันธ์ฝั่งฮูหยินซ่ง

นางเว่ย[2]ป่วยและเสียไปตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีก่อน เมื่อเสียแล้วซ่งอวี่วั่งจึงสั่งให้บุตรชายคนโตซ่งไจ้เถียนและบุตรคนรองซ่งไจ้เจียงนำโลงกลับมาฝังที่เจียงหนาน ซ่งไจ้สุ่ยเองก็ตามมาด้วย พี่น้องสามคนไว้ทุกข์ให้แม่ด้วยกันที่เจียงหนาน แต่คิดไม่ถึงว่าเมื่อถึงกำหนดซ่งไจ้เถียนได้รับจดหมายจากซ่งอวี่วั่งให้พาน้องชายน้องสาวกลับเมืองหลวง แต่ซ่งไจ้สุ่ยกลับดื้อดึงไม่ยอมกลับอ้างแต่ว่าเป็นห่วงฮูหยินผู้เฒ่าของตระกูลซ่งและไม่ว่าอย่างไรก็จะอยู่ต่อให้ได้ ฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลซ่งคิดไปถึงว่าเมื่อนางเว่ยเสียไปแล้ว ซ่งอวี่วั่งไม่ได้แต่งงานใหม่ หากซ่งไจ้สุ่ยไปเมืองหลวงก็จะไม่มีผู้ใหญ่ที่เป็นหญิงคอยอบรมสั่งสอน จึงเห็นด้วยและให้นางอยู่ข้างกายคอยสั่งสอนบ้างบางเวลา

และการสั่งสอนนี่ก็ทำให้ซ่งไจ้สุ่ยอยู่ยาวมาจนถึงตอนนี้ เมื่อต้นปี ซ่งอวี่วั่งเร่งให้นางกลับไปที่เมืองหลวงอีกครั้ง กระทั่งฮูหยินผู้เฒ่าแซ่ซ่งเองก็ยังเอ่ยปาก นางถึงกลับไปที่เจียงหนานอย่างเชื่องช้า แต่ว่าเมื่อผ่านเฟิ่งโจว นางก็ใช้ข้ออ้างแวะเยี่ยมฮูหยินซ่งผู้เป็นอาและฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลซ่งผู้เป็นย่า ไม่ยอมไปอีก

แม้ว่านางจะอยู่ที่ตระกูลเว่ยมาสี่เดือนกว่า ได้รับจดหมายจากทางบ้านมาหลายครั้งแต่ก็ยังยืนกรานไม่ยอมไป แสดงท่าทีชัดเจนว่าจะอยู่ที่ตระกูลเว่ยต่อ แต่ว่าตระกูลเว่ยไม่ว่าจะเจ้านายหรือข้ารับใช้ต่างก็ไม่มีใครกล้าดูถูกนาง แค่เพราะก่อนที่นางเว่ยแม่ของซ่งไจ้สุ่ยจะเสียไปนั้น ได้รับตำแหน่ง ฮองเฮาองค์ปัจจุบันยังกล่าวชมไม่ขาดปาก ได้รับประกาศิตจากฮ่องเต้ โดยให้เครื่องทองประดับหยกชิ้นหนึ่งไว้ ทั้งยังมีรับสั่งต่อหน้าทุกคนว่าหากนางปักปิ่น[3]แล้วจะแต่งตั้งให้นางเป็นชายารัชทายาท ซึ่งก็คือฮองเฮาแม่ของแผ่นดินในอนาคต!

................................................

[1] ดอกไห่ถังเป็นดอกไม้ตระกูลเดียวกับแอปเปิ้ลที่จะบานในช่วงฤดูใบไม้ผลิประมาณเดือนมีนาคม-พฤษภาคมมักจะพบมากบริเวณทางตอนใต้ของประเทศจีนตัวดอกนั้นจะมีหลายสีเช่นขาวแดงชมพูแต่ส่วนใหญ่ที่พบจะเป็นสีชมพูดอกไม้ชนิดนี้จะชอบอากาศที่อบอุ่นไม่ร้อนไม่หนาวจนเกินไปนอกจากนี้ดอกไห่ถังยังถือเป็นสัญลักษณ์แห่งสิริมงคลและความกลมกลืนจึงมักจะนำไปปลูกในพระราชวังและอุทยาน

[2] นางเว่ย หรือฮูหยินเว่ย แม่ของซ่งไจ้สุ่ย ซึ่งมีแซ่เว่ย

[3] พิธีปักปิ่น มีการจัดขึ้นเมื่อหญิงสาวอายุครบ 15 ปีเพื่อแสดงถึงความเป็นผู้ใหญ่และประกาศว่าพร้อมแต่งงานแล้ว

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้นำมาจากแหล่งอื่นและได้รับการอนุญาตจากเจ้าของแล้ว

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา