Psychic พลังกายสิทธิ์ ลิขิตมรณะ

-

เขียนโดย MoMoGa

วันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 23.06 น.

  26 บท
  4 วิจารณ์
  16.72K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 11.12 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

24) ตอนที่ 14.1 Truth stage is now

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

            [ชินโด มาซามุเนะ : เกิดวันที่ 24 ธันวาคม บุตรชายเพียงคนเดียวของแคโรไลน์ ฟลอล่า และเป็นเด็กที่โยมิคาว่า ซาโยมิทำนายไว้ว่าจะเป็นบุตรแห่งพระเจ้า]

            มีข้อความดังกล่าวปรากฎขึ้นมาที่หน้าจอของโน้ตบุ๊คขนาดเล็กที่อยู่ในมือมาซามุเนะ เขายืนมันออกไปให้กับโซเฟีย ฟลอล่าที่ยืนอยู่อีกฝั่งของโต๊ะอาหารดู ส่วนโซเฟียที่เห็นข้อความนั้นก็ยกถ้วยชาฝรั่งขึ้นมาจิบเล็กน้อย แสงแดดที่ส่องเข้ามายังห้องอาหารทำให้เห็นถึงหน้าตาของทั้งสองคน มาซามุเนะที่กำลังทำหน้าหน่ายกับความดื้อดึงของโซเฟียที่ทำหน้าสบายๆ

    “แคโรไลน์…แม่ของเธอน่ะถูกทำนายมาว่าจะให้กำเนิดเด็กที่ได้ชื่อว่าเป็น [บุตรแห่งพระเจ้า] ซึ่งก็คือตัวเธอนั่นแหละ”

    “แล้วอะไรคือ [บุตรแห่งพระเจ้า] ล่ะ”

    มาซามุเนะตะโกนออกมาพร้อมกับทุบโต๊ะอาหารดังปึ้ง โซเฟียจิบชาอีกหน่อยก่อนจะพูดต่อ

    “โลกใบนี้ถูกสร้างขึ้นมาโดยเทพีผู้สร้าง วิคตอเรีย หลังจากที่เธอสร้างโลกใบนี้ขึ้นมาแล้ว เธอก็ได้ให้บุตรชายของตัวเอง 2 คนเข้าปกครองโลกแห่งนี้ เทพแห่งสรวงสวรรค์ ไดเวอรี่ และเทพแห่งขุมอเวจี เพอกาทอรี่ ทั้งคู่ทำสัญญากันว่าจะให้ควบคุมเรื่องประชากร ส่วนเพอกาทอรี่ควบคุมเรื่องทรัพยากรต่างๆ แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็เข้าห้ำหั่นกันเพื่อตอบสนองความต้องการในการปกครองโลกของตัวเอง เกิดเป็นสงครามขนาดใหญ่ ผลกระทบก็คือ ทำให้โลกในตอนนั้นถูกรีเซ็ตใหม่ จนกลายเป็นโลกในตอนนี้”

    มาซามุเนะฟังสิ่งที่โซเฟียเล่ามาด้วยอาการเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เขาก็ได้ลองประติดประต่อเรื่องทั้งหมดแล้วไหลไปตามคำพูดของเธอ และเขาก็ได้เอ่ยข้อสงสัยจากเรื่องราวนั้นและสิ่งที่รับรู้มาก่อนหน้านี้ออกมา

    “งั้น [บุตรแห่งพระเจ้า] ที่หมายถึงคือคนไหนกันแน่ล่ะ? ไดเวอรี่หรือเพอกาทอรี่”

    พอมาซามุเนะถามคำถามนั้นไป โซเฟียก็จิบชาในแก้วอีกหน่อยก่อนที่จะส่านหัวเบาๆ มาซามุเนะที่เห็นดังนั้นจึงตั้งใจจะเอ่ยถามไปอีกครั้ง แต่โซเฟียก็ยกมือขึ้นมาห้ามไว้ก่อน จากนั้นเธอจึงอธิบายต่อจากเมื่อกี้

    “ไดเวอรี่ที่ควบคุมเรื่องประชากรนั้นได้ให้กำเนิดบุตรมา 5 คนเพ่ื่อต่อกรกับเพอกาทอรี่ ห้าคนนั้นจึงถูกขานในนามของ [บุตรแห่งพระเจ้า]”

    “บ้าบอสิ้นดี”

    มาซามุเนะใช้มือขวาของตัวเองโบกมือแล้วส่ายหน้า เขารู้สึกเหมือนกับว่ากำลังฟังคุณครูอนุบาลเล่านิทานให้ฟังอยู่ ส่วนโซเฟียก็จิบชาต่อด้วยท่าทางที่ไม่ได้แยแสต่อท่าทางที่มาซามุเนะแสดงออกมาเลยสักนิดเดียว ทั้งคู่จ้องกันเขม็งอยู่พักใหญ่ๆ มาซามุเนะที่ถูกฝูมฝักให้ยึดถือในสิ่งที่พิสูจน์ได้มาทั้งชีวิตไม่มีทางเชื่อเรื่องแบบนี้แน่นอน ถึงแม้เขาน่าจะเคยเห็นมันมาแล้วครั้งหนึ่งก็ตาม แต่การถามให้แน่ใจก็เป็นอะไรที่ดีที่สุดอยู่ดี

    “มีสิ่งยืนยันเรื่องที่เล่ามารึเปล่าล่ะ?”

    มาซามุเนะถามออกไปโดยเตรียมใจที่จะได้รับคำตอบประมาณว่า “ก็เธอไง” หรืออะไรประมาณนั้นอยู่แล้วกว่าครึ่ง ถ้าเป็นตาามนั้นจริงเขาก็จะถามวิธีที่จะพิสูจน์เรื่องนั้นต่อไป ซึ่งเขาก็คิดว่าคนที่จะเชื่ออะไรต้องมีองค์ประกอบอยู่อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งอย่างแรกก็คือข้อพิสูจน์ในสิ่งๆนั้นหรือไม่ก็ความเชื่ออย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งมาซามุเนะนั้นก็ตั้งใจจะถามเกี่ยวกับเรื่องนั้นไว้แล้ว แต่ความคิดของเขาก็ต้องถูกชะล้างไปในทันทีที่คำตอบที่ได้ยินนั้นต่างจากที่เขาคิดไว้โดยสิ้นเชิง

    “ในตอนที่โลกถูกรีเซ็ต ถึงจะไม่รู้รายละเอียดมากแต่ตามที่รู้มา เทพีผู้สร้าง วิคตอเรียได้ส่งอาวุธที่บุตรของตนสร้างขึ้นมาเพื่อปะทะกันลงมาบนโลกมนุษย์เพื่อลบอดีตอันน่าอัปยศทั้งไป”

    มาซามุเนะที่ฟังมาถึงตรงนี้ก็ทำหน้าไม่เข้าใจเล็กน้อย ก่อนที่ใบหน้านั้นจะถูกย้อมไปด้วยความเบื่อหน่ายในภายหลัง โซเฟียไม่ได้สนใจในท่าทางของมาซามุเนะเช่นเคย แต่เพราชาที่จิบมาโดยตลอดนั้นหมดลงแล้ว เธอจึงเล่าต่อไปโดยไม่รอให้มาซามุเนะพูดอะไรออกมา

    “อาวุธที่ว่านั่นก็คือ [บุตรแห่งพระเจ้า] ของไดเวอรี่ และ [ศาสตร์ตราแห่งเทพ] ของเพอกาทอรี่ ส่วนวิธีพิสูจน์ที่ถามมา เมื่อคืนนี้ก็น่าจะใช้ไปแล้วนี่นา”

    “ที่ว่าใช้ไปแล้วนี้?”

    “ตัวเธอเป็น [ตัวตนไร้ขอบเขต] เราไม่รู้หรอกว่าเธอทำอะไรได้บ้าง แต่ที่รู้ๆก็คือ เมื่อคืนนี้ที่พิกัดที่เธอน่าจะอยู่มีการตรวจจับได้ว่ามีการเปิดประตูที่เชื่อมระหว่างโลกนี้กับ [ดินแดนแห่งเทพ]”

    มาซามุเนะที่ได้ยินอย่างนั้นก็ใช้มือขวาของตัวเองมากุมเข้าที่ขมับของตัวเอง เพราะสิ่งที่โซเฟียพูดมานั้นคือความจริงทั้งหมด เมื่อคืนนี้ที่ฐานของศัตรู เขาได้เจอกับซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ที่เก็บรวบรวมข้อมูลที่ได้มาจากตระกูลฟลอล่าเข้าโดยบังเอิญ ซึ่งมันก็คือจอมอนิเตอร์ที่เขาขโมยข้อมูลมานั่่นเอง หลังจากที่เขาอ่านข้อมูลที่ได้มาไปได้นิดหน่อย สิ่งที่พบก็คือสิ่งเดียวกับที่โซเฟียเล่ามา ตอนนั้นเขากำลังจะคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้กับนากิสะที่อยู่ด้วยกัน แต่นากิสะก็หายไปซะก่อน แล้วพอตามไปเจอก็ต้องต่อสู้กับหุ่นยนต์ที่มาจากไหนไม่รู้ แต่ระหว่างที่สู้ก็มี [อะไรบางอย่าง] อย่างไหลเข้ามาในหัวของมาซามุเนะอย่างต่อเนื่อง จนสุดท้าย ตัวเองก็โดนหุ่นยนต์ตัวนั้นฆ่าทิ้งอย่างไร้ความปราณี แต่เพราะได้ [อะไรบางอย่าง] ที่ไหลเข้ามาในหัว เขาจึงรู้ตัวขึ้นมานิดหน่อยว่าอะไรคือสิ่งที่ตัวเองทำได้

    สิ่งที่มาซามุเนะทำก็คือการทำให้พื้นที่ส่วนหนึ่งบนโลกนี้หรือก็คือที่ที่เขาอยู่เมื่อคืนนี้กลายเป็น [ดินแดนแห่งเทพ] ในชั่วขณะหนึ่่ง ถึงจะไม่รู้หลักการที่แน่ชัด แต่มาซามุเนะก็ใช้ [สสารจากดินแดนแห่งเทพ] เป็นสะพานในการเชื่อมส่วนต่างของร่างกายที่ตายไปแล้วของตัวเองและเสริมด้วยสสารดังกล่าว ผลลัพธ์ก็คือเขากลับมามีชีวิตอีกครั้งนั่นเอง ไม่ใช่แค่ใช้สสารนั้นคืนชีพให้ตัวเอง แต่ยังทำอะไรไม่รู้กับมันแล้วยิงใส่หุ่นยนต์ตัวนั้นจนพังอีกด้วย

    ถ้าจะให้พูดก็คือ [อะไรบางอย่าง] ที่มาซามุเนะได้รับมาระหว่างต่อสู้เป็นนั้นเหมือนคู่มือในการใช้งานพลลังของตัวเองในฐานะ [บุตรแห่งพระเจ้า] นั่นเอง แต่คูุ่มือที่ว่าก็เป็น [อะไรบางอย่าง] จริงๆ มาซามุเนะไม่สามารถรู้ได้ว่ามันคืออะไร เหมือนกับว่ามาซามุเนะไม่ใช่คนใช้พลังนั้น แต่เป็นพลังต่างหากที่กำลังใช้เขาอยู่

    มาซามุเนะที่ตระหนักได้ดังนั้นก็รีบเปิดโน้ตบุ๊คขนาดเล็กของตัวเองเพื่อค้นข้อมูลดังกล่าว แต่สิ่งที่มันหลงเหลืออยู่ก็มีเพียงข้อความ [ชินโด มาซามุเนะ : เกิดวันที่ 24 ธันวาคม บุตรชายเพียงคนเดียวของแคโรไลน์ ฟลอล่า และเป็นเด็กที่โยมิคาว่า ซาโยมิทำนายไว้ว่าจะเป็นบุตรแห่งพระเจ้า] แค่นี้เท่านั้น ทำให้เขาต้องมาถามกับโซเฟียที่น่าจะรู้เรื่องนี้ดีที่สุด จนทำให้ทั้งคู่อยู่ในสถานะการณ์ในตอนนี้

    “รู้ตัวแล้วสินะ”

    โซเฟียที่เห็นมาซามุเนะใช้มือกุมขมับตัวเองอยู่นั้นก็ดูออกได้ในมันทีว่ามาซามุเนะนั้นยอมรับแล้วว่าตัวเองเป็น [บุตรแห่งพระเจ้า] จริง มาซามุเนะหันหน้าขึ้นมาสบตากับโซเฟียอีกครั้งก่อนจะพูดตอบรับคำพูดของเธอ

    “ขอข้อมูลเพิ่มหน่อยสิ ถ้าไม่มีอะไรที่มันเป็นชิ้นเป็นอันสักหน่อย ฉันคงไม่เข้าใจหรอกว่ามันเป็นยังไงกันแน่น่ะ”

    “ก็ตามใจสิ ห้องสมุดอยู่ที่ชั้นสอง”

    มาซามุเนะที่ได้ยินดังนั้นจึงลุกขึ้นยืนพร้อมกับหยิบขนมปังฝรั่งเศสที่อยู่ในจานบนโต๊ะกินข้าวไปด้วย เขาเดินตรงไปยังประตูของห้องซึ่งเป็นทางออกเดี๋ยว แต่ก็ต้องชะงักเพราะเสียงเรียกของโซเฟียที่อยู่ด้านหลัง

    “ฉันขอบอกไว้ก่อนเลยล่ะกัน พลังจิตนั่นก็นับว่าเป็นหลักฐานที่ถามถึงด้วย”

    มาซามุเนะที่ได้ยินอย่างนั่นก็ชะงักตกใจนิดหน่อย แต่เขาก็เปิดประตูออกไปทันทีที่โซเฟียพูดจบ ถ้าจะให้คิดล่ะก็ ตอนนี้คงคิดได้แค่ว่าสิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่เป็นเหมือนความฝันเท่านั้นแหละ เมื่อวันก่อนคุออนชวนไปเที่ยว แคทเธอรีนเลยเสนอที่เที่ยวเจ๋งๆให้ก็จริง แต่พอตกดึก การมาเที่ยวพักผ่อนกลับกลายเป็นภารกิจช่วยเหลือตัวประกันซะงัั้น แถมพอจะตรวจสอบข้อมูลก็ดันเจอกับข้อมูลที่เหมือนจะไม่ถูกกับหลักวิทยาศาสต์อย่างเรื่องพระเจ้าซะอย่างงั้น ถ้านี่เป็นฝันก็อยากจะรีบๆตื่นขึ้นมาแล้วนอนต่ออีกสักงีบน่าจะดี

    มาซามุเนะคิดอย่างนั้นระหว่างที่เดินขึ้นชั้นสองเพื่อที่จะไปห้องสมุดที่โซเฟียบอกมา แต่ในตอนที่คิดแบบนั้น เขาก็พึ่งจะนึกได้ว่าลืมถามเรื่องเกี่ยวกับหญิงสาวที่เขาเป็นคนช่วยไว้ซึ่งเป็นเป้าหมายของภารกิจ ในตอนแรกเขาคิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นใครก็ไม่ใช่เรื่องของเขาสักหน่อย แต่ในตอนที่ผู้หญิงคนนั้นตื่นขึ้นมา ดันพูดสิ่งที่น่าประหลาดสุดๆอย่าง “พี่จ๋า” เนี่ยสิ นั่นอาจจะเป็นความเข้าใจผิดแต่คำพูดนั้นก็กระตุ้นต่อมความอยากรู้อยากเห็นของมาซามุเนะได้ดีเลยทีเดียว เขาคิดว่าในห้องสมุดก็น่าจะมีข้อมูลของเธอคนนั้นอยู่ แต่ถ้าไม่มีก็ค่อยไปเค้นถามกับโซเฟียเอาอีกทีก็ได้

    ###

    ระหว่างที่มาซามุเนะกำลังนั่งวุ่นกับการหาข้อมูลอยู่ในห้องสมุดของปราสาทฟลอล่าอยู่นั้น นากิสะเองก็กำลังนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลในเขตการปกครองที่ 8 แต่ใช่ว่าการต้องมานอนอยู่โรงพยาบาลจะสามารถหยุดความอยากในเรื่องต่างๆของเธอลงได้

    “ขออนุญาตค่ะ”

    มีเสียงใสๆที่ฟังแล้วรู้เลยว่าเป็นของเด็กผู้หญิงดังขึ้นมาจากด้านหลังของประตูห้องพักผู้ป่วยของนากิสะ จากนั้นประตูบานนั้นก็ถูกแง้มออกอย่างช้าๆ ตามมาด้วยด้านข้างของใบหน้าที่ถูกยืนออกมาจากประตู นากิสะที่นอนอยู่บนเตียงไม่เห็นใบหน้าเพราะมีเส้นผมปิดไว้ แต่เธอก็เดาว่าต้องเป็นมาซามุเนะจากสีของผม

    “ท่านพี่ค-”

    เธอพูดแบบนั้นออกไปโดยที่ลืมเสียงก่อนหน้านี้ที่ดังขึ้นมาก่อนที่ประตูจะเปิด คำพูดของนากิสะหยุดชะงักไปพร้อมๆกับสีหน้าที่เปลี่ยนจากดีใจสุดขีดเป็นหน่ายสุดโต่งแทน เพราะใบหน้าที่หันมาหาเธอนั้นไม่ใช่ใบหน้าของพี่ชายสุกที่รักของเธอ แต่เป็นใบหน้าของเด็กผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้ที่มีผมสีเดียวกับมาซามุเนะเท่านั้น เธอเดินเข้ามาในห้องพักผู้ป่ายของนากิสะพร้อมกับกระเช้าผลไม้ในมือขวา นากิสะเองก็พึ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่าควรจะสงสัยก่อนว่าเธอคนนี้เป็นใคร จึงเอ่ยปากถามไปก่อนที่เธอคนนี้จะเห็นพูดอะไรออกมา

    “…เอ่อ…คุณเป็นใครเหรอคะ?”

    นากิสะคิดว่าเธอน่าจะตั้งใจมาหาตัวเองอยู่แล้ว เพราะว่าก่อนที่จะเข้ามาในห้องก็ชะโงกหน้าเข้ามาดูก่อน จึงคิดว่าถามให้เข้าเรื่องเลยน่าจะดีกว่า

    ทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น เธอก็ทำท่าทางลนลานไปมาแล้วสุดท้ายก็หันหน้าออกจากตัวนากิสะ ได้ยินเสียงถอนหายใจหลายครั้ง ก่อนที่เธอจะหันหน้ากลับมาหานากิสะพร้อมใบหน้าที่เหมือนจะร้องไห้ ด้วยความสงสัย นากิสะจึงคิดจะเอ่ยถามคำถามเดิมซ้ำอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ต้องถูกขัดด้วยคำพูดที่คาดไม่ถึงของเธอคนนั้นเสียก่อน

    “คุณเป็-”

    “ขอโทษที่ทำให้ลำบากนะคะ!”

    เธอคนนั้นก้มหัวให้กับนากิสะที่นอนอยู่บนเตียงแล้วพูดคำขอโทษออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูจริงใจ การกระทำนั้นของเธอทำให้ความคิดของนากิสะงักลง แต่ปากของเธอก็พูดออกไปอย่างอัตโนมัติว่า “เอ๋?”

    กว่าเธอคนนั้นจะยอมเงยหน้าขึ้นมาได้ก็นานโขอยู่ หลังจากนั้นนากิสะก็ได้รู้ว่าเธอคนนี้มีชื่อว่าเนียร์เวอเด้ ซาฮารอฟ อายุ 14 ปี และถ้าจะพูดถึงสาเหตุที่เธอมาพูดขอโทษนากิสะล่ะก็ คงต้องบอกว่าเธอรู้สึกเสียใจที่เป็นต้นเหตุทำให้นากิสะบาดเจ็บล่ะมั้ง ใช่แล้ว เธอคือผู้หญิงคนเดียวกับที่มาซามุเนะช่วยมาจากฐานทัพของผู้ก่อการร้ายเมื่อคืนนี้นั่นเอง ส่วนสาเหตุที่เธอถูกจับไปนั้น เนียร์เวอเด้บอกว่าเป็นเพราะเธอเข้าไปเจอตอนที่ผู้ก่อการร้ายกำลังจะวางระเบิดเมื่อ 1 สัปดาห์ก่อน ทำให้ถูกลักพาตัวมา

    “ขอโทษที่ทำให้ลำบากจริงๆนะคะ!”

    หลังจากเล่าเรื่องทั้งหมดจบ เนียร์เวอเด้ก็ก้มหัวขอโทษนากิสะอีกครั้ง

    “คุณเนียร์เวอเด้ควรจะไปขอบคุณคนอื่นมากกว่าค่ะ อีกอย่าง ดิฉันก็ไม่ได้เจ็บอะไรมากด้วย”

    นากิสะพูดโดยที่นึกถึงมาซามุเนะในใจด้วย พอเนียร์เวอเด้ได้ยินอย่างนั้น เธอก็มองไปที่นากิสะที่กำลังนั่งอยู่บนเตียงด้วยสายตาที่เหมือนจะบอกว่าคำพูดกับสภาพร่างกายของนากิสะมันขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง แต่นากิสะก็ส่ายหัวพล่างพูดว่า “ฉันชินแล้วน่ะ”

    “แต่ว่าถ้าคุณเนียร์เวอเด้อยากจะขอโทษจริงๆล่ะก็ ช่วยอยู่กับดิฉันต่ออีกสักพักจะได้มั้ยคะ?”

    นากิสะที่เห็นว่าเนียร์เวอเด้คงไม่ยอมง่ายๆจึงพูดแบบนั้นออกไป เนียร์เวอเด้ที่ได้ยินอย่างนั้นก็ทำตาลุกวาวเป็นประกายแต่ดวงตาของเธอก็หมองลงอย่างรวดเร็วก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเศร้าๆ

    “…ดะ…ได้เหรอคะ?”

    นากิสะที่สงสัยในคำถามนั้นของเนียร์เวอเด้ว่าเธอไม่อยากอยู่กับเรารึเปล่า แต่จากเนื้อหาของคำพูดแล้วจึงคิดได้แค่ว่าต้องตอบไปว่า “ได้” เท่านั้นแหละ นากิสะจึงตอบกลับเนียร์เวอเด้ไปด้วยรอยยิ้มกับน้ำเสียงที่สุกใสออกไป

    “แน่นอนอยู่แล้วค่ะ”

    ทันทีที่เนียร์เวอเด้ได้ยินอย่างนั้น แววตาที่เป็นประกายของเธอก็กลับคืนมาพร้อมกับสีหน้าที่อย่างกับว่าถูกย้อมไปด้วยความสุขทั้งปวงอย่างไงอย่างงั้น

    “ขะ…ขอบคุณ นะคะ”

    ###

    “เฮ้อ~ เสร็จสักที”

    มาซามุเนะลุกขึ้นจากโต๊ะที่มีหนังสือและแฟ้มข้อมูลต่างวางกองอยู่แล้วบิดขี้เกียจหนึ่งครั้ง หลักจากที่มาซามุเนะบอกว่าอยากได้ข้อมูลเพิ่มและมายังห้องสมุดแห่งนี้นั้น เขาก็หมกตัวอยู่ในห้องนี้นานกว่า 4 ชั่วโมง ห้องสมุดแห่งนี้ถูกตกแต่งด้วยกระจกสีที่สวยงามมากมาย โคมระย้าด้านบนก็เป็นลวดลายที่สวยงามมากเช่นกัน แต่มาซามุเนะที่เข้ามายังห้องนี้นั้นไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านั้นเลยสักนิดเดียว เพราะสิ่งที่เขาต้องการก็คือข้อมูลที่ถูกบันถึงไว้ในหนังสืิอและเอกสารในห้องนี้ต่างหาก

    หลังจากที่มาซามุเนะอ่านข้อมูลเหล่านั้นไปได้เพียงนิดเดียวจากที่หยิบมา เขาก็ได้รู้ว่าข้อมูลที่โซเฟียเล่ามาทั้งหมดนั้นเป็นแค่ผิวเผินเท่านั้น มาซามุเนะคิดว่าตัวของโซเฟียคงจะสามารถคาดเดาได้ว่ามาซามุเนะนั้นจะมาหาข้อมูลเพิ่ม เธอจึงเล่าข้อมูลเพียงนิดเดียวจากทั้งหมดเพื่อที่จะกระตุ้นต่อมความอยากของมาซามุเนะล่ะมั้ง และถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เขาก็คิดว่าเธอทำได้สำเร็จลุล่วงเลยทีเดียว

    และสิ่งที่น่าตกใจภายในข้อมูลทั้งหมดนั้นก็คือการที่ข้อมูลทั้งหมดที่อยู่ในห้องนี้นั้นไม่ได้มีข้อสรุปอย่างแน่ชัด หรือก็คือ ข้อมูลที่อยู่ในห้องนี้นั้นยังไม่สามารถใช้เพื่อสรุปเรื่องราวต่างๆได้อย่างกระจ่างชัดนั่นเอง และในตอนที่เขาตัดสินใจว่าจะไปถามข้อสรุปจากโซเฟียนั้นเอง 

    “อ๊ะ แย่ล่ะสิ”

    เขาอุทานออกมาด้วยอาการตกใจเมื่อมองไปที่นาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังห้อง นาฬิกาเรือนนั้นบอกเวลาอยู่ที่ 12.00 นาฬิกา และเหตุผลที่ทำให้เขาตกใจนั่นก็เพราะเวลานี้นั้นเขาสัญญากับนากิสะว่าจะไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลนั่นเอง

    …ถ้าไปตอนนี้ก็น่าจะยังทันอยู่

    เขาคิดแบบนั้นพร้อมกับเดินออกไปจากห้องโดยที่ไม่ได้เก็บกองเอกสารที่อยู่บนโต๊ะและลืมเรื่องที่กำลังจะไปถามโซเฟียไปจนหมด แต่ก่อนที่จะเดินไปถึงประตูห้องนั้น เขาก็ได้พบกับคนที่เขาไม่รู้จักอีกคนจนได้

    “เย๊ย!?” 

    “อ้า~~~~ อยู่นี่เอง คงต้องคุยกันสักหน่อยแล้วล่ะนะ น้องพี่"

ปัจฉิมลิขิต

ตอนนี้เป็นเหมือนกับตอนย่อยนะครับ นับว่าเป็นตอนหลักแล้วก็ตอนรองด้วย เรียกก็คือ น่าจะเรียกว่าเป็นตอนเกริ่นของเรื่อง(ล่ะมั้งครับ) แน่นอนว่าตอนต่อไปก็จะเป็นตอนย่อยอีกรอบก่อนจะเริ่มตอนหลักอีกรอบ ส่วนเหตุผลที่เขียนว่าเป็นตอนย่อยน่ะเหรอ หึๆๆ(ทำเสียงแบบชั่วร้าย) นั่นก็เพราะว่าผมไม่รู้จะเอาเนื้อหานี้ไปใส่ไว้ตรงจุดไหนดีน่ะสิครับ ฺฮ่าๆๆ----- แต่อีกเหตุผลก็คงเป็นเพราะว่าผมอยากจะให้มันจบแบบค้างคามั่งน่ะสิครับ (แต่ก็ไม่รู้อยู่ดีว่ามันจะคาไหมอะนะ) งั้นตอนนี้ก็เพียงเท่านี้นะครับ ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ด้วยครับ

เออ… นี่ตัวผมจากอนาคตที่พึ่งนึกเรื่องขึ้นมาได้นะครับ ในตอนนี้ผมใส่เนื้อหาหลักของเรื่องเข้าไปแล้วครับ เรียกได้ว่านี่เป็นแกนเรื่องเลยก็ว่าได้ แต่เอ๊ะ---? นี่ใช่การสปอยล์รึเปล่าครับ แต่ก็นะ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา