Psychic พลังกายสิทธิ์ ลิขิตมรณะ

-

เขียนโดย MoMoGa

วันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 23.06 น.

  26 บท
  4 วิจารณ์
  16.73K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 11.12 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) ตอนที่ 1-3 ชายผู้กลับมาพร้อมสีดำ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

             “ทะ...ที่นี่ ที่ไหน น่ะ...”

             มาซามุเนะฟื้นขึ้นมา มองไปยังรอบๆที่ที่เขาอยู่ แต่ไม่ว่าจะมองไปทางไหน เขาก็มองไม่เห็นอะไร ทุกที่มีแต่ความมืด สำหรับเขาแล้ว ความมืดสีดำนี้ดูคุ้นตา แต่เมื่อเขาตั้งใจฟังเสียงแทนการมอง เขาก็ได้ยินเสียงบางอย่าง

             “มาซามุเนะ ลูกไปอยู่ไหนน่ะ มาซามุเนะ”

             นั่นก็เป็นเสียงโหยหวนที่เขาคุ้นเคย เป็นเสียงของแม่เขานั่นเอง พอลองมองไปทางต้นเสียง ก็เห็นแม่เขากำลังหันหลังให้อยู่

             “แม่ นั่นแม่ใช่ไหมครับ แม่ ผมมาซามุเนะไงครับ แม่หันมาทางนี้สิ ผมอยู่นี่ไงครับ”

             เมื่อมาซามุเนะพูดเสร็จ แม่เขาก็หันหน้ามาทางเขาแต่สิ่งที่เขาเห็นก็คือ

             “ไหนล่ะลูก มาซามุเนะ ลูกอยู่ไหนน่ะ แม่มองไม่เห็นลูกเลย มันมืดไปหมด”

             “อะ...อะไรกัน”

             เขาพูดพึมพำออกมาทั้งน้ำตาพลางเดินไปทางของแม่ตัวเอง เพื่อยืนยันสิ่งที่เขาเห็นโดยภาวนาในใจว่าตัวเขามองผิดไป แต่สิ่งที่เขามองเห็นก็ถูกยืนยันอย่างแน่ชัดแล้ว สิ่งนั้นก็คือ ใบหน้าที่ไร้ดวงตาของแม่ตัวเอง

             “มะ...แม่ครับ ตาแม่ล่ะครั...”

             ก่อนที่เขาจะพูดจบ ก็มีอะไรบางอย่างแล่นผ่านคอแม่คอของแม่ของเขาไป แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ส่วนหัวของแม่เขาหลุดออกจากส่วนลำตัว ต่อจากนั้นก็มีสายน้ำพุ่งออกมาจากส่วนที่หัวของแม่เขาหลุดออกมา เลือดนั่นเอง มันพุ่งเขาใส่ตัวเขาอย่างไม่สนใจว่าเขาจะรู้สึกยังไง

             “ม่ายยย”

             “ปะ...เป็นอะไรไปน่ะ มาซามุเนะคุง มาซามุเนะคุง”

             เขาลืมตาอีกครั้งหลังจากได้เห็นภาพที่น่าสยดสยอง แต่สิ่งที่เขาได้เห็นในครั้งนี้ก็คือ ภาพที่สั่นไหวไปมา แต่เมื่อตั้งสติได้ ก็มองเห็นใบหน้าของเด็กผู้หญิงผมสีแดงยาวที่อยู่ข้างหลังเด็กผู้ชายผมสีงาช้างที่ได้เห็นในตอนที่เด็กผู้ชายคนนั้นเปิดประตูของห้องชมรม

             “เป็นยังไงบ้าง มาซามุเนะคุง”

             ใช่แล้ว สิ่งที่เด็กผู้หญิงคนนั้นกำลังทำอยู่ก็คือ ใช้มือทั้งสองเขย่าตัวมาซามุเนะนั่นเอง

             “หยุดเขย่าก่อนได้ไหมละครับ”

             “อุ้ย โทษทีจ้ะ”

             ในตอนนี้สิ่งที่เขาเห็นหลังจากตื่นมานอกจากใบหน้าของเด็กผู้หญิงแล้ว นั่นก็คือ ห้องที่มีสีเบจ ทางซ้ายของตัวเองมีหน้าต่างอยู่ ทางขวามีเด็กผู้หญิงคนเมื่อกี้นั่งอยู่ที่เก้าอี้ ส่วนตัวเขานั้นใส่คนป่วยของโรงพยาบาล นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยของโรงพยาบาล

             “เออ ที่นี่?”

             “โรงพยาบาลน่ะจ้ะ”

             “แล้วคุณคือ?”

             “ฉันชื่อ อิโนะอุเอะ ซาโยโกะ จ้ะ อยู่ปี 2 โรงเรียนเดียวกัน แล้วก็อยู่ชมรมเดียวกันด้วยนะ”

             ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงตรงประโยคสุดท้ายของเธอ รวมกับรอยยิ้มที่ดูสดใส ทำให้มาซามุเนะแทบจะตัวลอย     

             “นะ...นางฟ้า สินะ”

             ในตอนที่เขาคิดแบบนั้นออกมา ก็รู้สึกตัวว่าพึ่งพูดประโยคที่อาจจะทำร้ายจิตใจของเธอออกมาก็ได้

             “เออ คุณอิโนะอุเอะครับ ขอโทษสำหรับคำพูดเมื่อกี้ของผมด้วยนะครับ”

             “ไม่เป็นไรหรอก ฉันเองก็ทำแรงไปเหมือนกัน แต่ยังไงก็เรียกแค่ซาโยะอิก็ได้นะ ฉันไม่ถืออะไรหรอก”

             มาซามุเนะพยักหน้ารับคำ

             “แล้วทำไมผมถึงมาอยู่ที่โรงพยาบาลล่ะครับ”

             เขาถามออกไปทั้งที่ในใจนั้นก็พอจะมีคำตอบอยู่แล้ว

             “เธอจำเรื่องที่ห้องชมรมไม่ได้หรอ เห็นอาจารย์บอกว่ากำลังเล่นอะไรกันอยู่แต่ก็เกิดอุบัติเหตุ มีดก็เลยไปแท่งเธอน่ะ แต่ดีที่มีดไม่ได้ไปแท่งโดนจุดสำคัญเข้า แต่เพราะเลือดออกมาก ก็เลยสลปไปตั้ง 1 วันแน่ะ ได้นอนเต็มอิ่มเลยสิท่า”

             “ครับ”

             เขาตอบไปแบบส่งๆ

            “ไม่ได้นอนเพราะอยากนอนสักหน่อย”

             ระหว่างที่เขากำลังคิดทบทวนเรื่องที่ผ่านมาอยู่ เขาก็นึกขึ้นมาได้

             “เออ ว่าแต่ รุ่นพี่ไม่ไปโรงเรียนหรอครับ”

             “ไปสิ ก็ที่มาเยี่ยมได้ก็เพราะมันเลิกเรียนแล้วยังไงล่ะ”

             เธอตอบด้วยรอยยิ้มเหมือนกับเด็กที่ใสซื่อบริสุทธิ์ แต่มาซามุเนะที่ได้ยินอย่างนั้น ทำเอาฝันพังทลายไปเลย

            “โธ่ นึกว่ารุ่นพี่อยู่เฝ้าเราทั้งวันซะอีก”

             หลังจากนั้นเขาก็ทำท่าจะลุกออกจากเตียง จากนั้นเขาก็ถูกซาโยอิห้ามไว้

             “อย่างเพิ่งลุกสิ หมอบอกว่าให้อยู่ดูอาการอีกสัก 1 วัน อะ จริงด้วยสิ อาจารย์มายาซาว่าฝากไอ้นี่มาให้เธอน่ะ รับไปสิ แฟ้มอันนั้นฉันเป็นคนทำจากข้อมูลที่อาจารย์เข้ารวบรวมมาเลยนะ อ่านไปพลางๆระหว่างนอนอยู่ที่โรงบาลก็แล้วกัน งั้น ฉันไปล่ะนะ”

             หลังจากที่เธอหยิบแฟ้มบางอย่างออกจากกระเป๋านักเรียนที่วางอยู่บนโซฟาของห้องแล้ว เธอก็ถือกระเป๋านั่นกลับออกไปโดยที่เขาไม่ทันได้กล่าวลา

            “แฟ้มนี่ อะไรเนี่ย”

             มาซามุเนะคิดหลังจากที่เห็นหน้าปกของแฟ้ม เขารู้ได้ทันทีว่าแฟ้มอันนี้ก็คือแฟ้มอันเมื่อวานที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องมานอนที่โรงพยาบาล แม้ว่าชื่อที่หน้าปกจะถูกเปลี่ยนก็ตาม

            “บันทึกรายรับรายจ่ายเนี่ยนะ ถ้าถูกเปิดออกก็หมดกันสิ”

             หลังจากที่คิดแบบนั้น เขาก็ลองเปิดแฟ้มออกดู สิ่งที่พบนั้นก็คือ ข่าวสารต่างๆ เกี่ยวกับ –พลังงานเชิงจิตภาพ- ตั้งแต่เมื่อ 8 ปีที่แล้ว ตลอดจนทฤษฎีต่างๆ ที่มีเขียนอ้างอิงไว้เป็นเว็บไซต์ต่างๆ แต่ที่เขาเห็นแล้วคิดว่ามันสำคัญที่สุดในเล่มนี้ก็คือ หัวข้อในหน้าสุดท้ายของเล่ม มันมีเอกสารถูกพับใส่เข้าไปอย่างลวกๆเหมือนจงใจใส่เข้าไปก่อนจะนำมันมาให้ เมื่อกางออกก็ได้รู้ว่ามันคือเอกสารการวิจัยเกี่ยวกับ -พลังงานเชิงจิตภาพ- เมื่อลองอ่านไป ก็ทำให้มาซามุเนะตกใจเป็นอย่างมาก

            “จากการทดลองและวิจัยแล้ว -พลังงานเชิงจิตภาพ- นั้นไม่ทราบต้นกำเนิดที่แท้จริง แต่เมื่อตรวจสอบแล้วก็พบว่า เด็กที่มีพลังเชิงจิตภาพนั้น จะมีสิ่งที่ผู้ทำการทดลองของเราเรียกว่า -แผลภายในใจ- หรือที่เข้าใจในเชิงความหมายก็คือ บาดแผลภายในจิตใจ ซึ่งนั่นเป็นจุดสำคัญที่สุดในการเปลี่ยนพลังงานความรู้สึกให้กลายเป็นพลังงานเชิงจิตภาพ กล่าวคือ ความรู้สึกต่างๆนั้นจะเป็นต้นกำเนิดของพลังงานเชิงจิต-ภาพ แต่สิ่งที่เรียกว่า -แผลภายในใจ- นั้นเป็นต้นตอของความรู้สึกมากมาย ทำให้สามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานเชิงจิตภาพได้ง่าย แต่สิ่งที่ไม่สามารถเข้าใจได้นั้นก็คือ สิ่งที่เปลี่ยนอารมณ์ความรู้สึกมากมายให้กลายเป็นพลังงานเชิงจินตภาพนั่นเอง มันเป็นสิ่งเดียวที่เรายังไม่เข้าใจ”

             ในความรู้สึกของมาซามุเนะนั้น มันให้ความรู้สึกเหมือนจดหมายเหตุมากกว่าบันทึกสรุปการทดลองของนักวิจัยเสียอีก แต่สิ่งที่เขายังคาใจก็คือ ใครเป็นคนที่ใส่เอกสารนี้ไว้ในแฟ้มนั้นเอง

            “อาจจะเป็นอาจารย์มายาซาว่าก็ได้ แต่คุณซาโยโกะก็มีความเป็นไปได้”                                   

             ในตอนนี้ความคิดของเขากำลังฟุ้งซ้านแตกแยกออกไปหลายต่อหลายเรื่อง มันทำให้เขาไม่สามารถคิดอะไรที่เป็นจริงเป็นได้เลยเลยแม้แต่อย่างเดียว เขาล้มตัวลงนอนคิดอยู่สักพัก แต่สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจออกมา

            “เฮ้อ...ถึงคิดอะไรไปตอนนี้ก็ยังไม่ได้คำตอบอยู่ดี ตอนนี้นอนพักเอาแรงก่อนดีกว่าสินะ แล้วรอให้อาจารย์มายาซาว่ามาหา หรือไม่ก็คงต้องไปถามเอาเอง”

             ถึงมาซามุเนะจะคิดอย่างนั้น แต่เขาก็อดที่จะคิดเรื่องต่างๆ ไม่ได้ แต่อยู่ๆก็มีความคิดหนึ่งแล่นผ่านหัวของเขา นั่นก็คือคีย์เวิร์ดของปริศนาหนึ่งในความคิดเขานั้นเอง

 

 

 

 

          

             วันศุกร์ที่ 19 เมษายน เวลา 1 ทุ่ม 33 นาที

             นี่คือวันที่มาซามุเนะจะได้ออกจากโรงพยาบาลนั่นเอง

             “เฮ้อ ได้ออกมายืดเส้นยืดสายสักที ไม่ได้สูดออกซิเจนให้เต็มปอดแบบนี้ตั้งนานแล้วนะเนี่ย”

             เขาพูดออกมาอย่างตัดพ้อออกมาอย่างนั้น ระหว่างเดินไปที่ลานจอดรถของคนที่มารับเขา

             “อะไรกัน นายนอนอยู่โรงพยาบาลแค่ 1 วันกว่าๆเองนะ อย่าพูดเหมือนกับว่านอนนานเป็นเดือนสิ”

             มายาซาว่าที่มารอรับมาซามุเนะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้วน่ารำคาญนิดหน่อย

             “ก็ถ้าผมนอนสัก 1 เดือนล่ะก็ อาจารย์มีหวังซวยแน่เลยนะครับ ว่าไหม”

             มาซามุเนะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงติดตลก มายาซาว่าที่ได้ยินอย่างนั้น ก็ทำหน้าโกรธอยู่ แต่สุดท้ายก็ถอนหายใจ

             “มันก็แค่อุบัติเหตุนิ ช่วยไม่ได้หรอก ก็นายทำฟิกเกอร์ของฉันหล่นเองนี่นา ทั้งที่เตือนไว้แล้วแท้ๆ”

             เธอพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่รู้สึกผิดอะไรเลย

             “อะไรกันครับอาจารย์ เล่นกระโจนเข้ามาแท่งแบบไม่ลังเลเลยแท้ๆ ยังมีหน้ามาโทษว่าเป็นความผิดของผมอีก”

             ระหว่างที่เขาพูดแบบนั้นออกไป ช่วงเวลาที่มายาซาว่ากระโจนเข้ามาก็แล่นเข้ามาในหัวเขาอีกครั้ง ความรู้สึกในตอนนั้น เขายังจำได้ดี ก็เพราะว่าเขาไม่รู้สึกอะไรเลย

             หลังจากนั้นเขาก็เขาไปในรถของมายาซาว่า แล้วเขาก็คิดเรื่องที่มีแต่ที่นี่จะพูดได้ออกมา

             “อาจารย์ครับ เรื่องของแฟ้มนี่มันยังไงกันแน่ครับ แล้วมันเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมพ่อแม่ของผมยังไงหรอครับ ช่วยอธิบายอย่างละเอียดด้วยครับ”

             เขาพูดออกไปพร้อมกับหยิบแฟ้มออกจากกระเป๋าของตัวเอง จ้องไปที่       มายาซาว่าดูสีหน้าที่ดูจริงจังเหมือนที่เคยเห็นในตอนที่คุยเรื่องคดีฆาตกรรมของพ่อแม่เขาครั้งก่อน

             “ก็หมายความว่า ระหว่างที่ฉันสืบเรื่องพลังจิตอยู่ มันมีเรื่องคดีฆาตกรรมของพ่อแม่นายมาเกี่ยวกันด้วยยังไงละ”

             “แล้วมันเกี่ยวกันยังไงละครับ”

             มาซามุเนะคาดคั้นต่อไป

             “ก็ฆาตกรที่ฆ่าพ่อแม่ของนายน่ะ เป็นผู้ใช้พลังจิตยังไงละ”

             เมื่อเขาได้ยินอย่างนั้น มันทำให้เรื่องต่างๆในหัวของเขาประกอบเขากันอย่างพอดี

             “ใช่จริงๆด้วยสินะครับ ทั้งสภาพศพ ทั้งวิธีการลงมือ มันเกินความเป็นจริงเกินไป ทั้งที่ไม่มีอาวุธในมือแท้ๆ แต่กลับตัดหัวหลุดได้ด้วยการสะบัดมือแค่ครั้งเดียว”

             มาซามุเนะที่พูดออกมาอย่างนั้น ทำมายาซาว่าหน้าถอดสี

             “เป็นเรื่องจริงสินะ ที่ว่าในที่เกิดเหตุมีลูกของคนที่ถูกฆ่าอยู่น่ะ”

             เธอถอนหายใจ แล้วเริ่มขับรถออกจากลานจอดรถของโรงพยาบาล บรรยากาศภายในรถเต็มไปด้วยความตึงเครียด รังสีความโศกเศร้าที่มาซามุเนะปล่อยออกมานั้นบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเขารู้สึกยังไงกับเหตุการที่พ่อแม่ของตัวเองถูกฆาตกรรมต่อหน้าตัวเอง

             “อาจารย์ครับ ตอนนั้นผมพึ่งอายุแค่ 10 ปีเอง ต้องสูญเสียทุกๆสิ่งที่ผมมี ต้องแยกจากเพื่อนที่อยู่ด้วยกันตั้งแต่เด็ก ต้องย้ายไปอยู่ที่ที่ตัวเองไม่รู้จัก แถมต้องเห็นต้นเหตุของการสูญเสียต่อหน้าต่อตาอีก มัน...มัน ฮืออออ”

             มาซามุเนะร้องไห้ออกมาอย่างไม่ใส่ใจอาจารย์ตัวเองที่กำลังขับรถอยู่ เขาเปิดเผยด้านที่อ่อนแอที่สุดของตัวเองออกมาให้คนที่เขาพึ่งรู้จักได้แค่ 2 สัปดาห์เป็นครั้งแรก แม้ว่าเขาจะยังพูดไม่จบ แต่มายาซาว่าก็รับรู้ถึงมันได้ดี

             “แต่เธอก็ได้กลับมาแล้วนี่ ถึงมันจะไม่ได้ครึ่งหนึ่งของที่นายเสียไป แต่ก็ได้กลับแล้ว ทั้งเพื่อน ทั้งเมืองนี้ ดังนั้น ไม่มีอะไรที่นายคว้ามาไม่ได้หรอกนะ ไม่มีข้อยกเว้น ถึงจะเป็นฆาตกรที่ฆ่าพ่อแม่นายก็ตาม ดังนั้น อย่าร้องไห้ไปเลยนะ”

             มาซามุเนะมองหน้าอาจารย์ของตัวเองที่กำลังขับรถอยู่

             “นานๆครั้งอาจารย์ก็พูดอะไรที่สมกับเป็นผู้ใหญ่เหมือนกันนะครับเนี่ย งั้นถ้าจะทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่จริงๆละก็ พาผมไปเลี้ยงข้าวสักมื้อได้มั้ยละครับ อาจารย์”

             เขาทำหน้าคาดหวังในระหว่างที่พูด มายาซาว่าที่เห็นแบบนั้นก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้

             “ก็ได้ๆ แต่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ”

             “ครับ”

             มาซามุเนะตอบออก มาอย่างร่าเริง ตัวมายาซาว่าที่ได้ยิ้นอย่างนั้นก็ทำหน้าพึงพอใจสีหน้าที่แจ่มใสขึ้นของลูกศิษย์ตัวเอง

             1 ชั่วโมงต่อมา

             “อิ่มจริงๆเลย ขอบคุณที่เลี้ยงครับ”

             “นายนี่กินเยอะจริงๆเลยนะ”

             “วัยกำลังโตยังไงล่ะครับ”

             หลังจากที่มาซามุเนะขอให้มายาซาว่าเลี้ยงข้าวให้ เธอจึงพามาร้านประจำที่อยู่ในย่านชุมชน ซึ่งใกล้ทั้งบ้านของมาซามุเนะและมายาซาว่านั่นเอง มาซามุเนะสั่งอาหารสำหรับ 2 คนมากินคนเดียวจนอิ่ม ส่วนมายาซาว่านั้นสั่งมาแค่ชาร้อน

             “อะไรกัน บ้านอาจารย์ก็อยู่แถวนี้เหมือนกันหรอครับ บ้านผมอยู่ถัดไปอีกแค่2 ซอยเอง แบบนี้เขาเรียกว่าอะไรนะ เอ่อ...ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น”

             “ไม่เกี่ยวกันเลยนะนั่นน่ะ”

             ทั้งสองคนเดินออกจากร้านด้วยความรู้สึกสบายใจ

             “ขอบคุณมากอาจารย์มากๆครับ งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”

             มาซามุเนะพูดออกมาด้วยความรู้สึกขอบคุณต่อมายาซาว่าในหลายๆเรื่อง มายาซาว่าได้ยินอย่างงั้น จึงหันหน้ามาหามาซามุเนะ

             “งั้นเดียวฉันไปส่งไหมล่ะ เดี๋ยวให้ดู...”

             อยู่ๆเธอก็หยุดพูดไป แล้วทำหน้าตาตกตะลึงเหมือนเห็นอะไรบางอย่าง

             “เป็นอะไรครับอาจารย์ อย่างกับเห็นผีเน่ะ”

             ระหว่างที่มาซามุเนะพูดก็หันไปข้างหลัง

             “ไม่ใช่...ไม่ใช่ข้างหลัง ข้างบนต่างหาก”

             มีน้ำเสียงที่เย็นยะเยือกดังมาจากข้างบนหัวเยื้องไปข้างหลังนิดหน่อย ไม่ใช่น้ำเสียงที่มาจากลำคอของมนุษย์แน่นอน เป็นน้ำเสียงที่มาจากเครื่องเปลี่ยนเสียงนั่นเอง

             “กะ...แก เป็นใครกันน่ะ ต้องการอะไร”

             มาซามุเนะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นคลอน หลังจากแหงนหน้าขึ้นไปมองตามเสียง เขาก็ได้เห็นคนสวมผ้าคลุมสีดำทมิฬ ใส่หน้ากากรูปร่างประหลาด กำลังยืนอยู่บนกลางอากาศ โดยที่ไม่มีสิ่งที่ดูคล้ายกับอุปกรณ์ลอยตัวอยู่รอบๆตัวเลย

             “พลังจิตงั้นหรอ”

             คราวนี้มายาซาว่าเป็นคนพูดออกมา แต่ไม่รู้สึกถึงความหวาดกลัวจากน้ำเสียงของเธอเลยของเธอเลยแม้แต่น้อย

             “ไม่กลัวเลยงั้นเรอะ เก่งนี่ ถ้าเทียบกับผู้ชายที่ยืนข้างหน้าเธอน่ะนะ”

             สิ่งที่ -ใครบางคน- พยายามจะบอก นั่นก็คือ มาซามุเนะที่ยืนตัวสั่นอยู่ข้างหน้ามายาซาว่านั่นเอง

             “นี่ มาซามุเนะ ไม่เป็นนะ หลบไปก่อนนะ แล้วแกเป็นใคร ต้องการอะไร”

             มายาซาว่าพูดออกไปพร้อมกับเดินไปอยู่ข้างหน้ามาซามุเนะ

             “-เซราฟ- นั่นแหละชื่อของฉัน และสิ่งที่ต้องการ ก็ เอกสารที่อยู่กับแกไง ถ้ายอมส่งมาดีๆ ฉันจะปล่อยไปก็ได้นะ”

             “เพราะลอยอยู่เลยชื่อเซราฟงั้นหรอ แต่ชั้นว่าเซาราฟนั่นน่าจะหมายถึงยมทูตมากว่าเทวดานะ เพราะว่า ถ้าเป็นเทวดาจริง ก็คงไม่ต้องมาขอกันหรอก จริงไหม”

             มายาซาว่าตอบออกออกไปอย่างไม่เกรงกลัว น้ำเสียงของเธอทำให้รู้สึกว่าที่พูดออกไปนั้นจะไม่เสียใจทีหลังอย่างแน่นอน

             “งั้นหรอ เอางั้นก็ได้”

             หลังจากที่เซราฟพูดอย่างนั้นออกมา เขาก็ชูมือขวาออกมาข้างหน้า แล้วอยู่เขาก็พุ่งเขามาอย่างไม่เกรงใจมือขวาที่ตั้งท่าอยู๋เมื่อกี้นี้เลยแม้แต่น้อย เขาพุ่งตัวเขามาหามายาซาว่าที่ยืนนิ่งเพราะความตกใจด้วยความเร็วสูง เซราฟยื่นมือขวาออกมาอีกครั้งหวังจะบีบคอมายาซาว่าในจังหวะที่พุ่งเข้ามาถึงตัว แต่ในจังหวะเดียวกันก็มีลูกบอลสีดำ  เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3 เซนติเมตร พุ่งเข้ามาหาที่หน้าเขาด้วยความเร็วที่เหนือกว่าอยู่นิดหน่อย

             “<แบล็ค บูลเล็ต (Black Bullet)>!!!”

             มีเสียงตะโกนออกมาพร้อมๆกับที่ลูกบอลสีดำพุ่งออกมา เซราฟหมุนตัวหลบได้อย่างหวุดหวิด พร้อมกับลอยกลับขึ้นไปกลางอากาศ เขาพยายามมองหาต้นกำเนิดของลูกบอลสีดำและเสียง แล้วคำตอบที่เขาได้พบนั้นก็คือ มาซามุเนะที่กำลังชี้นิ้วชี้มาทางเขานั่นเอง ปลายนิ้วนั้นมีแสงสีดำเปล่งประกายอยู่

             “ชิ ช้าไปหรอเนี่ย”

             มาซามุเนะสบถออกมาอย่างเสียดาย จากนั้นเขาก็เดินออกไปอยู่ข้างหน้ามายาซาว่า พร้อมเอามือขวาทำสัญญาณให้ถอยออกไป แต่เมื่อมายาซาว่านั้นทำท่าว่าจะม่สนมาซามุเนะ เขาก็พูดออกไปคำเดียวว่า “เกะกะจริง” พร้อมกับเดินออกไปโดยไม่สนใจมายาซาว่าที่อยู่ด้านหลัง นั่นทำให้เขารู้สึกเหมือนตอนที่เขาหันหลังให้กับคุออนเมื่อ 2 วันก่อน

             “แกน่ะ เป็นใครกันแน่ บอกมาซะ ถ้าอยากมีชื่อเขียนไว้ที่หลุมศพละก็นะ”

             “ฉันก็ไม่อยากคุยกับตนที่ต้องกลายเป็นศพซะด้วยสิ”

             ทั้งคู่โต้ตอบอย่างไม่เกรงใจมายาซาว่าที่อยู่ข้างหลังมาซามุเนะ จากนั้นเซราฟก็ลงมายังพื้นดิน กลางแขนออกไปข้างหน้า มาซามุเนะรู้สึกได้ถึงการโจมตีของเซราฟ เขาจึงตั้งท่าเตรียมเข้าไปในระยะประชิด

             “เจ้านี่คงจะจู่โจมโดยใช้ระยะเป็นข้อได้เปรียบสินะ งั้นก็”

             “<แบล็ค แดช (Black Dash)>”

             ในจังหวะที่เข้าพูดออกมานั้น เสียงก็ถูกแทนที่ด้วยการพุ่งตัวเข้าไปอย่างรวดเร็วจนเซราฟแทบจะไม่ได้ยิน แต่กว่าที่เขาจะได้ยินเสียงนั่น มาซามุเนะก็คงเข้ามาใกล้พอที่จะจัดการเขาแล้ว แต่ระหว่างที่มาซามุเนะกำลังพุ่งตัวเข้าไปหาเซราฟนั้น เขาก็พุ่งตัวด้วยความเร็วสูงกว่าก่อน ขึ้นไปกลางอากาศอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาพุ่งไปสูงกว่าเดิม

             “<แบล็ค บูลเล็ต (Black Bullet)>นั่น น่าจะเป็นท่าโจมตีในระยะไกลท่าเดียวสินะ หลักฐานก็คือการพุ่งที่เร็วเป็นพิเศษนั่นแหละ แถมท่าโจมตีระยะไกลยังไม่เสถียรด้วย”

             นั่นคือเหตุผลที่เซราฟพุ่งขึ้นจากพื้นด้วยความเร็วและสูงกว่าเดิม นั่นก็เพื่อที่จะหลบการโจมตีทั้งแบบใกล้และไกลนั่นเอง แต่ทว่า

             “<แบล็ค ชู๊ต (Black Shoot)>!!!”

             มีลำแสงสีดำเส้นหนึ่งพุ่งออกมาจากมาซามุเนะที่ทำท่าแบบมือไปทางเซราฟ ใช่แล้ว นั่นก็เป็นท่าโจมตีระยะไกลอีกท่าของมาซามุเนะนั่นเอง แถมครั้งนี้เป็นที่เป็นเส้นตรงอีกด้าย เซราฟที่ไม่ทันตั้งตัว แต่เพราะว่าการโจมตีครั้งนี้มาซามุเนะได้เล็งไปที่หัวโดยตรง ทำให้เซราฟใช้การแหงนหน้าขึ้นเพื่อเลี่ยงวีถีของบีมนั่น แต่ที่ที่มาซามุเนเล็งไวจริงๆนั่นก็คือหน้ากากของเซราฟนั่นเอง บีมที่มาซามุเนะปล่อยออกมาโดยผ่านการคำนวณมาอย่างถี่ถ้วนแล้วนั้นเข้าเป้าตามจุดประสงค์ของมัน เส้นวิถีนั่นลากผ่านหน้ากากของเซราฟไปอย่างพอดี นั่นทำให้หน้ากากของเซราฟหลุดร่วงลงมา เปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงของผู้สวมใส่

             “หึ ใช่จริงๆซะด้วย”

             “นะ...นี่นาย โอคาซากิ อากิโอะ”

             ใช่แล้ว ใบหน้าที่แท้จริงของคนใส่หน้ากาก เซราฟ ก็คือ เด็กหนุ่มผมสีดำเข้มโอคาซากิ อากิโอะนั่นเอง มายาซาว่าพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ทำให้รู้ว่ากำลังตกใจอยู่อย่างแน่นอน แต่ไม่ใช่กับมาซามุเนะที่พูดออกมาอย่างกับว่าทุกๆอย่างอยู่ภายใต้การคำนวณ

             “รู้อยู่แล้วงั้นหรอ”

             ถีงเซราฟหรือ โอคาซากิ อากิโอะ จะถูกรู้ตัวจริง แต่เขาก็ไม่มีท่าทีที่ดูร้อนรนเลยสักนิด

             “ไม่รู้สิแปลก”

             มาซามุเนะตอบออกเหมือนกับว่ารู้อยู่แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น

             “อย่างแรกก็ทำเป็นกลัวจนตัวสั่น จากนั้นก็ยิงกระสุนสีดำนั่นเป็นลูกหลอก ดูผิวเผินแล้วการทำเป็นตัวสั่นก็เพื่อจะโจมตีให้โดนโดยเอาตัวไปแอบอยู่ข้างหลังอาจารย์ แต่ที่จริงแล้ว เป็นการรวมกับคำพูดที่สบถออกมาอย่างตั้งใจ เพื่อทำให้ตายใจ หรือก็คือ เพื่อให้การโจมตีโดยใช้บีมนั่นเข้าเป้าหมายที่ตั้งไว้ตั้งแต่เจอกันสินะ ไม่ใช่ เพื่อพิสูจน์      สมมุติฐานที่ตัวเองตั้งไว้ต่างหาก!!!”

             อากิโอะกล่าวทุกๆจุดประสงค์ในการกระทำของมาซามุเนะที่ตนเองสรุปได้

             “ก็ไม่รู้สิ”

             มาซามุเนะพูดเบี่ยงประเด็นทั้งหมดที่อากิโอะสรุปออกมา

             “งั้นหรอ”

             อากิโอะพูดออกมาโดยตัดใจที่จะคาดคั้นมาซามุเนะเพิ่มเติม จากนั้น ค่อยๆเขาก็ลอยตัวห่างจากพวกมาซามุเนะออกไปเรื่อยๆ เหมือนกับพยายามจะบอกว่า ถ้าแน่จริงก็ตามมา อะไรอย่างนั้น

             “ก็เอาสิ ฉันจะเล่นกับนายจนกว่าจะพอใจเลย”

             มาซามุเนะพูดออกมาแล้ววิ่งไปตามอากิโอะที่เคลื่อนที่ไปที่ไหนสักแห่งโดยที่เขาวิ่งไปโดยไม่รู้ซึ่งจุดหมาย สิ่งที่เขารู้กฌคือ อากิโอะในตอนนี้กำลังฝืนความคิดตัวเองอยู่ เขาทำในสิ่งที่ตัวของเขาจะไม่ทำอย่างแน่นอนอย่างการล่อให้คู่ต่อสู้เล่นตามแผนของตัวเอง

             “นายเป็นอะไรไปนะ อากิโอะ”

             เหตุผลที่เขาไม่อยากเจออากิโอะมากที่สุดก็คือ อากิโอะในตอนนี้นั้นเป็นคนที่ทำได้ทุกอย่างเพื่อตัวเอง ไม่เหมือนอากิโอะคนก่อนที่ค่อยช่วยเหลือคนอื่นๆเสมอ ถึงแม้ร่างกายเขาจะไม่แข็งแรง แต่เขาก็มักจะแบ่งปันสิ่งที่คนอื่นไม่มีเหมือนตน เพราะอากิโอะนั้นเกิดในครอบครัวที่มีพร้อมทุกอย่าง ทำให้อากิโอะมีหลายสิ่งที่คนอื่นไม่มี แต่อากิโอะในตอนนี้ขาดสิ่งที่เขาควรจะมีที่สุด เพื่อแลกกับร่างกายที่แข็งแรงงั้นหรอ? ไม่มีใครรู้       

             ในขณะที่มาซามุเนะวิ่งตามไปโดยใช้ดวงตาจับจ้องไปที่อากิโอะอยู่ตลอด เขาก็พี่งจะรู้ถึงสถานที่ที่อากิโอะพาเขามา นั่นก็คือ ไซต์งานก่อสร้างตึกแห่งหนึ่ง เป็นไซต์ก่อสร้างที่พึ่งขึ้นแต่โครงเหล็ก มีความสูงประมาณตึก 12 ชั้นและที่ข้างหน้ามีป้ายผ้าใบผืนหนึ่งเขียนไว้ว่าเป็นไซต์งานก่อสร้างโรงแรม แต่มาซามุเนะแล้วเดินเข้าไปโดยไม่สนใจชื่อของโรงแรมอีกแล้ว

             “ล่อให้ขึ้นไปแล้วใช้การโจมตีประเภทพุ่งหรือพวกที่ใช้ระยะเป็นข้อเปรียบงั้นหรอ แถมฐานเหยียบยังมีน้อยอีกต่างหาก...!”

             ระหว่างที่มาซามุเนะกำลังยืนคิดวิธีรับมืออยู่นั้นก็มีเสียงลมที่พุ่งเข้ามาเหมือนกับแหวกอากาศออกพร้อมกับเสียงอากิโอะที่ลอยตามลมมา

             “<แอร์ ช๊อท (Air Shot)>!!!”

             “ฮึบบบ”

             มาซามุเนะกระโดดหลบการโจมตีนั้นได้อย่างหวุดหวิด

             “กระสุนอากาศ? ล่องหนงั้นหรอ งั้นสิ่งที่จะบงบอกถึงการโจมตีนั้นก็มีแค่เสียงแหวกอากาศสินะ นี่คงจะเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของแผนการละมั้งเนี่ย”

             มาซามุเนะคิดแบบนั้นระหว่างที่กำลังกระโดดหลบการโจมตีที่มองด้วยตาไม่เห็น การโจมตีเมื่อกี้ทำให้เขารู้ที่อยู่ของอากิโอะ เขาอยู่ประมาณชั้น 3 ของอาคาร

             “เอาล่ะนะ <แบล็ค จั้ม (Black Jump)>”

             สิ้นสุดคำพูดนั้น ที่ขาของมาซามุเนะก็มีออร่าสีดำปกคลุม แล้วเขาก็กระโดดขึ้นไป ความสูงที่เขากระโดดได้นั้นเกือบจะขึ้นไปได้อีกชั้น แต่เขาก็ใช้มือทั้ง 2 ข้างจับโครงเหล็กแล้วดันตัวขึ้นไปอีกที ทำให้ตอนนี้ตัวมาซามุเนะอยู่ที่ชั้น 2 ของตึกโครงเหล็กแล้ว แต่อากิโอะก็ไม่มีน้ำใจขนาดให้เขาได้พักเหนื่อย เขาใช้ -แอร์ ช๊อท- ยิงไปด้วยความเร็วสูงจนมาซามุเนะแทบจะหลบไม่ทัน มาซามุเนะกระโดดไปเหยียบผนังที่เป็นโครงเหล็ก แล้วชี้นิ้วชี้ที่คุ้นเคยไปทางอากิโอะ

             “<แบล็ค บูลเล็ต (Black Bullet)>”

             การโจมตีด้วย -แบล็ค บูลเล็ต- ครั้งนี้ของมาซามุเนะนั้น อากิโอะไม่ทันได้เห็นลูกบอลสีดำเกิดขึ้นที่นิ้วชี้ของมาซามุเนะ แต่เขาพึ่งได้เห็นในตอนที่ลูกบอลสีดำพุ่งเขามาใกล้หน้าเขาในระยะ 1 เมตรด้วยความเร็วสูงแต่อากิโอะก็หลบตัวไปทางขวาของตัวเองได้ทัน

             “เพราะอยู่บนโครงเหล็ก ทำให้จะก้าวถอยหลังหรือเดินหน้าก็ไม่ได้ วิธีการหลบบอลนั่นจึงมีแค่การเอียงตัวไปด้านข้างที่ทำได้ยาก งั้นสินะ”

             อากิโอะสันนิษฐานแผนที่มาซามุเนะคาดการไว้อย่างนั้น

             “ในระหว่างที่ฉันหลบบอลดำนั่น ก็เขามาใกล้ตัวของฉันเพื่อจะโจมตีในระยะใกล้สินะ อัจฉริยะชัดๆ”

             ความคิดของอากิโอะถูกต้อง มาซามุเนะใช้จังหวะที่อากิโอะกระโดดหลบลูกบอลสีดำที่มาเขายิงออกมาจนกระโดดขึ้นมาจนถึงชั้น 3 แล้ว แต่ตัวอากิโอะที่รู้แผนของมาซามุเนะแล้ว ลอยตัวขึ้นแล้วพุ่งไปหามาซามุเนะที่กำลังกระโดดอีกต่อเพื่อเข้าหาตัวของเขาเอง ตัวเขาที่รู้ตัวแล้วพุ่งเข้าไปหาด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นมากจากครั้งก่อนๆหน้า อากิโอะพุ่งเข้าไปพร้อมง้างมือขวาออกมาเตรียมการโจมตีในขั้นต่อไป นั่นก็คือ ใช้มือขวาคว้าไว้ที่คอของมาซามุเนะด้วยความเร็วเกินกว่าที่มาซามุเนะจะมองทัน หมับ! การโจมตีนั้นเข้าเป้าตามที่คาดหวังไว้

             “นายอยากรู้ความต้องการที่แท้จริงของฉันไหมล่ะ จัดการนายยังไงล่ะ แล้วให้นายไปขอโทษคุออน ขอโทษที่นายทำลายความรู้สึกที่เธอมีให้กับนาย ขอโทษที่ต่อความรู้สึกของเธอที่รอนายมาตลอด 5 ปียังไงล่ะ!!!”

             อากิโอะตะคอกใส่มาซามุเนะด้วยน้ำเสียงที่จริงจังน่าดู แต่มาซามุเนะที่วางแผนและจู่โจมอย่างรอบคอบมาตลอด ตอนนี้เขาก้มหน้าลง ไม่ได้ตอบอะไรออกมาแต่อย่างใด

             “อย่าเอาแต่ก้มหน้าหนีความรับผิดชอบสิ ไม่สมกับเป็นนายเลยนะ         มาซามุเนะ ท่าอยากจะขอโทษจริงๆ ก็เอาชนะอากิโอะคุงแล้วไปขอโทษคาวาซากิด้วยตัวเองเลย”

             เสียงนั้นดังมาจากที่พื้น มายาซาว่านั่นเอง เธอตามมาสมทบอีกต่อหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าเสียงของเธอนั้น จะส่งไปถึงมาซามุเนะในตอนนี้ได้หรือไม่ แล้วถ้าส่งไปถึง เขาจะเอาชนะอากิโอะในสถานการณ์ตอนนี้ไปได้อย่างไร

             “ขอบคุณนะครับ อาจารย์”

             มาซามุเนะพูดออกมาด้วยเสียงที่เบาจนอากิโอะแทบจะไม่ได้ยิน

             “เอาละนะ”

             สิ้นสุดคำพูดนั้น มาซามุเนะก็ใช้ขาขวาเตะในแนวนอนไปที่สีข้างซ้ายของ อากิโอะ ทำให้เขาต้องปล่อยมือจากมาซามุเนะเพื่อหลบการโจมตีนั้น มาซามุเนะจึงตกลงไปที่พื้นด้วยความสูงของตึก 3 ชั้น แต่ระหว่างตกลงไป เขาก็ใช้มือทั้งสองข้างตะเกียกตะกายจับโครงที่ชั้น 2 ได้ทันอย่างหวุดหวิด หลังจากนั้นเขาก็เริ่มปีนขึ้นไปบนโครงเหล็กอีกครั้ง แต่ตอนนี้เขาไม่เหมือนกับเมื่อกี้แล้ว ออร่าสีดำที่มากกว่าเดิมนั้นถูกรวมไปไว้ที่ทั้งสองข้างของมาซามุเนะ เขากระโดดขึ้นไปโดยการใช้เท้าข้างหนึ่งยันไปที่ผนังโครงเหล็ก แล้วถีบส่งตัวขึ้นไป แต่การเคลื่อนไหวในครั้งนี้ของเขานั้น ทั้งรวดเร็วและคล่องตัวยิ่งกว่าเดิมมาก อากิโอะพยายามยิงไปที่มาซามุเนะ แต่เขาก็ตามความเร็วของมาซามุเนะไม่ทัน

             “ไม่ใช่แค่เร็วอย่างเดียว แต่ยังมองวิธีกระสุนของเราได้อย่างทะลุปรุโปร่งอีกด้วย แถมความเร็วในการปีนนี่ยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอย่างต่อเนื่องเลยซะด้วย ถ้าเป็นแบบนี้ต้องตามเราทันแน่”

             อากิโอะคิดด้วยความกังวลระหว่างที่เขากำลังเพิ่มระดับความสูงของตัวเองเพื่อหนีการไล่ตามอย่างบ้าคลั่งของมาซามุเนะ

             “เร็ว ต้องเร็วขึ้นไปอีก เร็วยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้นไปอีก ใช่แล้ว อิมเมจไง อิมเมจถึงสายฟ้า สายฟ้าที่พุ่งไปด้วยความเร็วสูงไง”

             มาซามุเนะก็คิดอยู่ภายในใจขณะที่กำลังปีนขึ้นไปโครงเหล็ก ด้วยหลักการของพลังจิตนั้น มันจะเปลี่ยนอารมณ์ความรู้สึกของผู้ใช้ให้กลายเป็นพลังงานในรูปแบบต่างๆ แต่ด้วยการอิมเมจอย่างแรงกล้าถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง สามารถที่จะเปลี่ยนกลายเป็นพลังงานจิจตได้หรือไม่ ตัวของมาซามุเนะเองก็ยังไม่เคยลอง มันเป็นการทดลองที่คาดหวังผลเป็นอย่างมาก ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เขาทำไปเพื่อพิสูจน์ เพื่อทำให้อากิโอะเป็นอะกิโอะคนเดิม และเพื่อจะได้ไปขอโทษคุออนได้อย่างเต็มภาคภูมิ

             อย่างที่อธิบายไป พลังจิตจะเปลี่ยนอารมณ์ความรู้สึกของผู้ใช้ให้กลายเป็นพลังงานในรูปแบบต่างๆ ดังนั้น อากิโอะที่คิดว่ามาซามุเระต้องตามตัวเองทันอย่างแน่นอนนั้น ไม่มีอิมเมจที่แรงกล้าพอที่จะหนีการไล่ตามด้วยอิมเมจอันแรงกล้าของ    มาซามุเนะได้อย่างแน่นอน และในจังหวะนั้นเอง การลอยตัวของอากิโอะก็หยุดลงที่ชั้นที่ 9 ของอาคารโครงเหล็ก ในจังหวะเดียวกัน มาซามุเนะก็ไล่ตามไปถึงชั้นที่แล้วเหมือนกัน อากิโอะไม่มีเวลาพอที่จะรอรับการโจมตีของมาซามุเนะที่มีอิมเมจเป็นสายฟ้าได้ทันอย่างแน่นอน

             “อากิโอะ ตัวนายในตอนนี้ ไม่สามารถเอาชนะฉันดิอย่างแน่นอน เพราะว่าตัวฉันและตัวนายในอดีตมีสิ่งที่ตัวนายในตอนนี้ไม่มียังไงล่ะ เอาล่ะ รับไปซะ”

             “<แบล็ค ไลท์นิ่ง (Black Lightning)>!!!”

             ระหว่างที่มาซามุเนะตะโกนออกมาด้วยเสียงที่เหมือนการคำราม ตัวของเขากระโดดขึ้นไปกลางอากาศ ในมือขวานั้นกำสิ่งที่คล้ายกับหอกสายฟ้าสีดำอยู่ เขาปาออกไปด้วยความเร็วดั่งสายฟ้า มันพุ่งเข้าไปหาอากิโอะที่ยืนนิ่งด้วยความตะลึงกับความเร็วอันร้ายกาจของมาซามุเนะในตอนนี้ หอกสายฟ้าพุ่งเข้าไปหาอากิโอะอย่างไม่ลังเล

             เปรี้ยง!!!

             หอกสายฟ้าซัดเข้าใส่อากิโอะโดยตรง เข้ากระเด็นตกลงไปทันทีที่โดน อากิโอะ ตกลงไปที่ชั้น 3 ที่มีโครงเหล็กยื่นออกมา ซึ่งถือเป็นความโชคดีในความโชคร้าย

             อึก

             มีเลือดไหลออกมาจากปากของอากิโอะมากอยู่ แต่ที่น่าจะสาหัสที่สุดในตอนนี้ก็น่าจะเป็นสภาพจิตใจของเขาที่ถูกเอาชนะด้วยคำพูดเพียงเล็กน้อยของมาซามุเนะที่พูดออกมาก่อนที่เขาจะถูกโจมตีด้วยหอกสายฟ้าสีดำ

             ต่อจากนั้น มาซามุเนะก็ลงมาดูอาการของอากิโอะ เขาเข้ามาดูด้วยอาการเป็นห่วงแสดงออกมาทางสีหน้าอย่างเห็นได้ชัด และแล้ว อากิโอะก็สลบไป

                                                .

                                                .

                                                .

                                                .

                                                .

 

             วันเสาร์ที่ 20 เมษายน เวลาบ่าย 2 ครึ่ง

             อากิโอะยังคงรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ตอนนี้ เรื่องทุกอย่างได้กระจ่างแจ้งจากคำสารภาพของมายาซาว่า ที่ห้องผู้ป่วยของ อากิโอะ

             “ทุกๆอย่างป็นแผนที่ฉันเป็นคนวางไว้ มีแค่เรื่องที่ฉันแทงนายเท่านั้นแหละที่เป็นอุบัติเหตุ”

             มายาซาว่ากำลังพูดกับมาซามุเนะที่นั่งอยู่ที่โซฟา

             “แต่คนที่เสนอแผนการบางส่วนก็คือฉันเอง บอกตามตรงเลยนะ ไม่ได้คิดว่าจะโดนการโจมตีที่นายใส่สุดแรงตลอดชีวิตแล้วนะ”

             อากิโอะที่นอนอย่างหมดสภาพพูดเสริม

             “ก็ฉันโดนการโจมตีสุดแรงนั่นครั้งล่าสุดก็ 5 ปีที่แล้วนี่นา”

             “ถึงจะพูดว่าสุดแรงก็เถอะ แต่ไอ้นั่นมันก็แค่การกดคอมโบสุดยอดในวีดีโอเกมเองนะ”

             คราวนี้มาซามุเนะเป็นฝ่ายพูดบาง น้ำเสียงฟังแล้วบ่งบอกได้ถึงความสุขที่สุดตั้งแต่เขากลับมายังเมืองนี้เลยก็ว่าได้

             “แต่ก็เถอะ นายรู้แผนของพวกเราตั้งแต่ตอนไหนหรอ”

             มายาซาว่าถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

             “ถ้าเป็นตอนแรกก็ตอนที่อาจารย์พูดเรื่องคดีฆาตกรรมพ่อแม่ผมนั่นแหละครับ แล้วก็แน่ใจตอนที่รุ่นพี่ซาโยโกะบอกว่าเป็นรุ่นพี่นั่นแหละครับ ผมถึงแน่ใจว่าคนที่รู้เรื่องในอดีตของผมกับคนที่น่าจะมีโอกาสที่จะอยู่ในชมรมก็มีอยู่คนเดียวแหละครับ”

             มาซามุเนะอธิบายออกมาอย่างแจ่มแจ้ง

             “ก็นั่นสิเนอะ คนที่มีคุณสมบัติตามที่พูดออกมาก็มีแต่ฉันเนอะ”

             เมื่อได้ฟังแล้ว อากิโอะก็เข้าใจดีเลยว่าทำไมเข้าถึงถูกรู้ตัวจริง

             “ใช่ๆ ก็คุออนน่ะทั้งพลังจิตแล้วก็ชมรมนี่มีโอกาสเป็นศูนย์เลยเนอะ”

             ระหว่างที่มาซามุเนะกับอากิโอะกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน     มายาซาว่าก็ทำหน้าเอือมระอาต่อสองคนนั้น แต่ในจังหวะนั้น...

             ตึ่ง

             “ใครว่าฉันมีโอกาสอะไรเป็นศูนย์กันน่ะ!!!”

             ในจังหวะนั้น เสียงเปิดประตูห้องผู้ป่วยก็ถูกเปิดขึ้นพร้อมกับเสียงเด็กหญิง... ไม่สิ เสียงหญิงสาวที่ทั้งใจดีและอ่อนโยน คาวาซากิ คุออน นั่นเอง

             “นิเธอ แอบฟังคนอื่นคุยกันมันไม่ดีนะ”

             อากิโอะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตกใจเป็นอย่างมาก

             “ก็ยังดีกว่าแอบนินทาคนอื่นก็แล้วกัน”

             คุออนตอบกลับไปอย่างไม่รู้สึกสะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย เธอมาในชุดเดรสสีฟ้าพร้อมกับช่อดอกไม้ในมือขวา ตอนนี้เธอกำลังทำหน้าโกรธจัดอย่างเห็นได้ชัด แต่แตกต่างกับมาซามุเนะที่กำลังทำหน้ากลุ้มใจอย่างเห็นได้ชัด

             “แล้วเธอแอบฟังตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย”

             เขาถามเช็คดูให้แน่ใจว่าเรื่องชมรมและพลังจิตจะไม่แตก

             “ก็ตั้งแต่มีโอกาสเป็นศูนย์นั่นแหละ แล้วอากิโอะต่างหาก ไปโดนอะไรมาเนี่ย สภาพดูไม่จืดเลยนะ”

             “นิดหน่อยน่า ไม่ต้องมายุ่งหรอก”

             “เกี่ยวสิ ทำไมจะไม่เกี่ยวล่ะ”

             คุออนเดินเข้าไปหาอากิโอะโดยไม่สนใจทั้งมายาซาว่าและก็มาซามุเนะเลย หลังจากฟังประโยคตอบโต้ของทั้งสองคน มันก็ทำให้ข้อสงสัยของมาซามุเนะก็กระจ่าง เขาพยายามเดินออกไปจากห้องอย่างเงียบๆ แต่มายาซาว่าก็สังเกตเห็นพอดี

             “จะกลับแล้วหรอ มาซามุเนะ”

             มายาซาว่าที่เดินตามมาซามุเนะไปจนถีงงหน้าห้อง ร้องทักออกมาเพื่อจะดูสีหน้าของเขาในตอนนี้ ในระยะห่างประมาณ 1 เมตรนี้ น่าจะเห็นสีหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน แต่ว่า...

             “ครับ”

             แต่ว่ามาซามุเนะไม่ได้หันหน้ากลับมาตอบ แต่เขาตอบกลับมาอย่างส่งๆ แล้วเดินออกจาโรงพยาบาลไป

             มายาซาว่าเดินกลับเข้ามาในห้องผู้ป่วยของอากิโอะ แล้วถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง พร้อมกับมองไปที่คุออนและมายาซาว่าด้วยสีหน้าเอือมระอา

             “พวกเธอนี่เล่นละครเก่งกันจริงๆนะ เก่งจนน่าหมั่นไส้เลยละ”

             มายาซาว่าพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกชื่นชมปนเบื่อหน่าย คำพูดนั้นทำให้คาวาซากิ คุออน แสดงสีหน้าอย่างกับว่ารู้สึกเสียดายอะไรบางอย่าง

             “อยากจะทำอะไรก็ต้องรีบทำนะ ไม่งั้นอาจจะไม่มีโอกาสครั้งที่ 2 ก็ได้นะ พ่อแม่ฉันสอนมาแบบนี้น่ะ”

             อากิโอะพูดเตือนสติคุออนที่กำลังทำท่าลังเลกับอะไรสักอย่างอยู่ แต่เมื่อเธอได้ฟังคำพูดนั้นก็ทำให้เธอตัดสินใจได้

             “ขอบคุณทั้งสองคนมากนะคะ งั้นฉันขอตัวก่อนละ”

             หลังจากคำพูดนั้น เธอก็วางช่อดอกไม้ไว้ที่โซฟา พร้อมกับออกไปจากอย่างไร้ความลังเลใดๆอีกแล้ว

             “รอก่อนนะ ฉันจะไปหาเดี๋ยวนี้แหละ”

             คาวาซากิ คุออน วิ่งออกมาจากห้องผู้ป่วย และวิ่งออกจากโรงพยาบาลไป ที่ที่เธอมุ่งหวังอยู่ในตอนนี้มีอยู่ที่เดียว เธอยังคงมุ่งหน้าไปต่อไป วิ่งตัดผ่านถนนที่มีผู้คนมากมาย จนถึงสถานที่แห่งหนึ่ง นั่นก็คือสนามเด็กเล่นนั่นเอง มันเป็นที่ที่เก็บรวบรวมความทรงจำสมัยเด็กเอาไว้มากมาย รวมไปถึงคำมั่นสัญญาในตอนที่พวกเขาทั้งสองคนต้องจากกันเมื่อ 5 ปีก่อนอีกด้วย และเนื่องด้วยวันนี้เป็นวันเปิดตัวของสวนสนุกที่อยู่ในเมือง ทำให้ไม่น่าจะมีคนอยู่ที่สนามเด็กเล่นแห่งนี้ แต่กลับมีคนนั่งอยู่ที่ม้านั่งที่อยู่ในสุดของสนามนี้ มันเป็นจุดอับสายตาโดยแท้จริง เพราะมันมีเครื่องเล่นบังอยู่เยอะ ถ้าเป็นคนที่เดินผ่านแล้วไม่สังเกตดีๆก็จะไม่เห็นอย่างแน่นอน คุออนเดินไปโดยภาวนาอยู่ภายในใจให้เป็นคนที่เธอตามหาอยู่ ไม่ผิดแน่ เป็นมาซามุเนะนั่นเอง เขากำลังนั่งก้มหน้าอยู่ที่ม้านั่ง ม้านั่งนั่นเป็นตัวที่มาซามุเนะกับคุออนชอบมานั่งพักเหนื่อยด้วยกันตอนเด็ก

             “ขอนั่งด้วยได้ไหม”

             คุออนกล่าวกับมาซามุเนะที่นั่งก้มหน้าอยู่ด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน เขาค่อยๆขยับไปทางซ้ายของม้านั่งแทนการตอบคำถาม

             “เหมือนเมื่อก่อนเลยเนอะ ที่เราจะมานั่งที่นี่ 2 คนตอนเล่นสไลเดอร์อันนั้นเสร็จ แล้วเราก็ไปเล่นกระบะทรายตรงนั้นต่อไง จำได้ไหมล่ะ”

             คุออนพูดพร้อมกับชี้ไปที่สไลเดอร์และกระบะทรายตามลำดับ แต่ถึงเธอจะถามอะไร มาซามุเนะก็เอาแต่ก้มหน้า

             “มาซามุเนะคุง จำได้ไหม ครั้งสุดท้ายที่เราเจอกันน่ะ คำมั่นสัญญานั่นน่ะ ฉันมาทำตามมันแล้วนะ สัญญาที่เชื่อมพวกเราไว้ด้วยวิญญาณน่ะ ฉันมาทำมันแล...”

             คุออนไม่ทันที่จะพูดจบ น้ำตาของเธอก็ร่วงโรยลงมา เธอร้องออกมาพร้อมกับจิตใจที่แตกสลาย ความจริงนั้น จนถึงเมื่อกี้ มาซามุเนะกำลังนั่งทบทวนปริศนาข้อสุดท้ายที่อยู่ภายในใจของเขาอยู่ แต่ด้วยคำพูดของคุออนที่เธอพูดออกมาก่อนที่น้ำตาจะร่วงโรยลงมานั้น ทำให้ปริศนาของเขากระจ่างลง

             “อย่าร้องไห้ไปเลยนะ เมื่อกี้ฉันกำลังนั่งคิดอะไรอยู่น่ะ ที่เธอพูดออกมาเมื่อกี้นี้ ฉันเข้าใจความหมายของคำพูดที่เธอตั้งใจจะสื่อทั้งหมดแล้วล่ะ เพราะฉะนั้น อย่าร้องไปเลยนะ”                   

             มาซามุเนะกางแขนทั้งสองข้างโอบกอดคุออนอย่างอบอุ่น คุออนทีถูกโอบกอดนั้นก็กางแขนทั้งสองข้างโอบกอดมาซามุเนะเช่นกัน มาซามุเนะกอดด้วยความอบอุ่น แต่คุออนนั้นกอดมาซามุเนะแน่นพร้อมกับเสียงร้องไห้ที่ดังยิ่งกว่าเดินเป็นเท่าตัว

             “อย่านะ อย่าพึ่งปล่อย กอดแน่นๆเลยด้วย”

             คุออนพูดออกมาในตอนที่มาซามุเนะกำลังจะปล่อยเธอไป

             “มาซามุเนะคุง รักที่สุดเลย ♥”

                                                                                                     [จบ]

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา