The Last Spirit

-

เขียนโดย ถอดแว่น

วันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 เวลา 14.33 น.

  1 chapter
  12 วิจารณ์
  1,837 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 14.46 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) บทนำ-เทพแห่งครู

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

แสงสว่างสีขาวอ่อนๆ ส่องลอดเข้ามาทางหน้าต่างของห้องนอน ลัวร์ได้ยินเสียงนกกระจิบ ร้องจิ้บๆเบาๆอยู่ที่ริมหน้าต่าง ราวกับนั่นเป็นเสียงร้องเพลงของพวกมัน  มันกระพือปีกและบินไปมาอยู่นอกหน้าต่าง  ส่งเสียงร้องจิ้บๆเป็นจังหวะ ปลุกให้ลัวร์ตื่นจากหลับใหล

เมื่อวานนี้ ลัวร์กลับจากท่องเที่ยวในเมืองด้วยจิตใจที่ห่อเหี่ยว ปนความสงสัย  หลังจากเขาออกจากร้าน โบนส์ ช๊อปแอนด์โคลท์ แล้ว เขายังขับรถเที่ยวเล่นอยู่ในเมืองอีกหลายชั่วโมง  ก่อนที่ฟ้าจะเริ่มมืดค่ำ

สิ่งหนึ่งที่ลัวร์พบได้บ่อยที่สุดขณะที่กำลังขับรถเที่ยวอยู่ในเมืองนั้น  คือ ท่าทีแปลกประหลาดของขาวเมืองหลายๆคน ที่ดูเหมือนจะรู้จักตัวเขา แต่ไม่ต้องการแสดงออกให้เขารู้ตัว  ลัวร์ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ภายในใจ  ถึงแม้เขาจะอยากรู้ว่ามันคือเรื่องอะไร แต่เขาก็รู้ดีว่าคงไม่มีใครจะบอกเขาแน่ๆ  เขาคิดว่า วิธีที่ดีที่สุด คงต้องรอให้ได้พบกับ “ท่าน” ที่เรียกตัวเขามา  อาจจะมีวิธีอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาพอจะรู้อดีตของตัวเขาขึ้นบ้างก็ได้ รวมทั้งท่าทีที่แปลกประหลาดของชาวเมือง

เสียงเคาะประตูหน้าห้องดังกึกๆ   ตามด้วยเสียงสดใสของ เมลีน ดังลอดเข้ามา

“คุณลัวร์ค่ะ ได้เวลาตื่นแล้วค่ะ คุณสม๊อคติดต่อแจ้งมาที่ดิชั้นว่า เขารอให้คุณรอแต่งตัวเสร็จจะเข้ามารับคุณลัวร์ไปพบกับ ท่าน ค่ะ”

“อ๋อ ครับ” ลัวร์งัวเงียตอบพร้อมกับลุกขึ้นจากที่นอน เดินเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำแต่งตัว เพื่อลงไปรอพบกับสม๊อคที่กำลังจะเข้ามาพาเขาไป

เมื่อแต่งตัวเรียบร้อย  เขาก็เดินลงมาชั้นล่างของบ้าน ก่อนจะพบว่า สม๊อค มารออยู่ที่ห้องโถงอยู่แล้ว

“อรุณสวัสดิ์ครับ” สม๊อคทักทาย ขณะที่ลัวร์เดินลงมาถึงชั้นล่าง

“ครับ” ลัวร์พยักหน้าตอบ  สม๊อค ผายมือไปข้างนอก พร้อมกับบอกว่า “เชิญครับ รถพร้อมอยู่แล้ว ผมจะนำทางไปพบกับ “ท่าน” ครับ”

ลัวร์พยักหน้าพร้อมกับเดินตามสม๊อค ออกไปและขึ้นรถ  

รถลีมูซีนคันดำวิ่งไปตามถนน มุ่งหน้าเข้าสู่ในกลางเมืองของไลท์ทาวน์  ลดเลี้ยวไปตามถนนใหญ่ ใช้เวลาประมาณ 30-40 นาที ผ่านบ้านเรือนร้านค้าสองข้างทางที่เรียงรายขึ้นจนแน่นขนัด

เมื่อผ่านไปอีกครู่นึง  สายตาลัวร์ก็เริ่มมองเห็น ภาพของสิ่งก่อสร้างอันใหญ่โตมโหฬาร โผล่ขึ้นมาไกลๆ 

สิ่งก่อสร้างนั้นคล้ายกับเป็นถ้วยขนาดใหญ่ที่หงายขึ้น  สิ่งก่อสร้างนั้น สร้างอย่างประนีตสวยงาม  มันมีเสาแหลม ประดับอยู่ตามขอบถ้วยด้านบนนั้น  บนยอดเสาแหลมเรียงรายไว้ด้วย รูปทรงกลมๆที่เหมือนกับจะเป็นสัญลักษณ์อะไรสักอย่าง  รูปทรงกลมมีอยู่ประมาณ 10 ลูก แต่ละลูกมีขนาดไม่เท่ากัน มันมีลูกสีส้ม สีเหลืองอ่อน สีแดง สีเขียว สีน้ำเงิน สีเหลืองแก่ๆ สีแดงดำ  สีดำ  ลูกแก้วใส   และสีดำครึ่งนึงสีขาวครึ่งนึง  รวมทั้งหมด ได้ 10 ลูกพอดี

รูปทรงกลมทั้งหมด ดูสวยงามสะท้อนแสงจนเห็นสีชัดเจน ราวกับมันเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งปลูกสร้างทรงถ้วยหงายแห่งนั้น 

รูปทรงกลมเหล่านั้น หมุนไปในทิศทางต่างๆอย่างช้าๆ บางลูกหมุนจากล่างขึ้นบน บางลูกหมุนจากซ้ายไปขวา  บ้างจากทางเฉียงๆ บ้างหมุนตลบกลับไปมา 

นอกจากการหมุนของมันแล้ว รูปทรงเหล่านั้น ยังมีอะไรแปลกๆ ที่ลัวร์คิดว่าเขาไม่ได้คิดไปเอง  เช่น ลูกสีส้ม ซึ่งเป็นลูกที่ใหญ่ที่สุด ขณะที่มันหมุนอยู่นั้น ขอบด้านข้างทุกทิศของมันก็รวบเข้าหาใจกลางลูก ราวกับคนๆหนึ่งสูดหายใจเข้าลึกๆ จนท้องแฝ่บลงและปอดขยายขึ้นแบบนั้น  หลังจากนั้น ส่วนใจกลางที่แฝ่บ ก็คล้ายกับถูกดันขึ้นสู่ด้านบน เหมือนคนเอามือมารูดมันขึ้น ก่อนที่ส่วนขอบบนของมันจะยืดออก  จนกลายสภาพเป็นทรงแหลมสูง  เมื่อกลายเป็นทรงแหลมสูงแล้ว มันก็คืนร่างกลับสู่สภาพรูปทรงกลมเหมือนเดิม และหมุนต่อไป

ส่วนลูกอื่นๆ ก็เช่นกัน  อย่างเช่น ลูกสีแดงดำ ที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ รองจากลูกสีส้ม และใกล้เคียงกับลูกสีเหลืองแก่ๆ   มันหมุนไปเรื่อยๆ ก่อนจะค่อยๆหดตัว บีบรัดเข้าหากันทุกทิศทุกทาง มันบีบจนกลายเป็นลูกกลมๆเล็กๆลูกหนึ่ง จนในที่สุดมันก็เล็กจนลัวร์แทบจะมองไม่เห็น  สุดท้าย เสียงดัง ป้อก ครั้งนึงฝ่าอากาศออกมา ลูกกลมสีแดงดำนั้น ก็กลับกลายเป็นทรงเดิม และหมุนต่อไป

ลัวร์จ้องมองดูด้วยความตื่นตาตื่นใจ มันช่างดูแปลกประหลาดจนไม่อยากจะเชื่อสายตา  ลูกกลมต่างๆเหล่านั้น บ้างหดเข้าและดีดออก บ้างขยายออกเรื่อยๆแล้วหดกลับเท่าเดิม บ้างเพิ่มจำนวนราวกับก๊อปปี้ตัวเองเพิ่มขึ้นๆ แล้วสลายกลับกลายเป็นลุกเดียว มันมีลักษณะแปลกๆแตกต่างกันทุกลูก ไม่มีลูกใดเหมือนกันเลย

“นั่นคือตัวแทนของธาตุบนโลกครับ” สม๊อคหันมาบอกลัวร์ เมื่อเขาสังเกตเห็นว่าลัวร์กำลังจ้องมองลูกกลมเหล่านั้นอยู่

“ธาตุบนโลก?” ลัวร์ถามขึ้นอย่างสงสัย “มันหมายความยังไงครับ?  ธาตุเคมี ธาตุเหล็ก อะไรพวกนั้นหรือครับ?”

สม๊อคยิ้มเล็กน้อย ส่ายหน้าตอบว่า “ไม่ใช่ครับ  แม้จะเป็นคำ ธาตุ คำเดียวกัน แต่เป็นคนละความหมายกันครับ  หากใช้คำที่เข้าใจง่ายขึ้นมาหน่อย  ควรเป็นคำว่า ธรรมชาติ  ของสรรพสิ่งบนโลก หรือ ในสุริยะจักรวาลครับ

ลัวร์ยัง งง และไม่เข้าใจสิ่งที่สม๊อคบอก สม๊อคพูดต่อว่า “อ้า  มันคงเร็วเกินไปที่คุณลัวร์จะเข้าใจครับ  รอสักพักเดี๋ยวคุณลัวร์จะได้พบกับท่าน ผมคิดว่า ท่านจะอธิบายให้คุณลัวร์ทราบได้กระจ่างกว่าผมครับ ......ที่นั้น คือ โซดอม สถานที่พำนักของท่านนั้นเองครับ รอสักครู่ก็จะถึงแล้ว”

รถลีมูซีนวิ่งแล่นลงไปตามทางอุโมงค์ที่มืดทึบ ทันทีที่รถโผล่ขึ้นมาจากอุโมงค์ภาพเบื้องหน้าก็กระจ่างแก่สายตาลัวร์

เส้นทางถนนมุ่งหน้าตรงเข้าสู่สิ่งก่อสร้างที่ชื่อว่า โซดอม แห่งนั้น สองข้างทางไม่มีตึกรามบ้านช่องเหมือนกับช่วงในเมืองที่ผ่านๆมา  มันเต็มไปด้วยต้นสน เรียงรายอยู่สองฝาก  เส้นทางถนนมุ่งตรงตามตัวอักษร สู่ประตูบานใหญ่มหึมาบานหนึ่ง

เมื่อเข้าใกล้ขึ้น ประตูบานนั้นก็ค่อยๆเปิดออก และรถก็วิ่งผ่านประตูเข้าไป ลัวร์มองออกจากหน้าต่าง ต้องตะลึงกับขนาดของประตู มันสูงราวตึก 4 ชึ้น ใหญ่โตมโหฬาร  และ โซดอมเองก็ใหญ่จนถึงที่สุด ใหญ่กว่าสิ่งก่อสร้างทุกอย่างบนไลท์ทาวน์นี้ ความสูงของมัน คงพอๆกับภูเขาลูกย่อมๆลูกหนึ่งเลยทีเดียว

รถวิ่งเข้ามาสู่ภายในแล้ว ก่อนจะจอดลงที่หน้าประตูอีกบานหนึ่ง เป็นประตูชั้นที่ 2 ก่อนเข้าสู่ภายในจริงๆ สม๊อค ชักชวนลัวร์ลงจากรถ

“ถัดจากนี้ต้องเดินเข้าไปครับ รถโดยสารไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป”

ลัวร์พยักหน้าตอบคำ สม๊อค สาวเท้าก้าวนำก่อน ตรงไปที่ประตู และ แสดงบัตรส่วนตัวของเขา ทาบกับข้างประตูที่คล้ายกับมันเป็นช่องเว้าบางๆอยู่ 

เสียงปิ้บดังขึ้นครั้งนึง ประตู ก็เปิดออกช้าๆ  สม๊อค หลีกไปด้านข้าง ผายมือให้กับลัวร์ บอกว่า

“เชิญคุณลัวร์ครับ  ท่านรอคุณลัวร์อยู่ด้านในแล้ว”

ลัวร์ งง เล็กน้อย ถามว่า “คุณสม๊อคไม่ได้เข้าไปกับผมด้วยเหรอครับ?”

“ไม่ครับ” สม๊อคตอบ “ท่านต้องการพบกับคุณลัวร์เป็นการส่วนตัว  ผมจะรออยู่ที่ประตูตรงนี้ครับ”

ลัวร์กลืนน้ำลายอึกหนึ่งอย่างกังวล  ก่อนจะสาวเท้าผ่านประตูเข้าไป

เมื่อผ่านประตูเข้าไป สภาพด้านในก็ปรากฏแก่สายตาของลัวร์  ภายในปูไปด้วยกระเบื้องหินสีดำมันวาว สะท้อนประกายวิบวับ  รอบด้าน คือ ชั้นหนังสือขนาดใหญ่โต เรียงรายเต็มไปด้วยหนังสือรอบผนังด้านใน  คงมีหนังสือนับล้านเล่มอยู่ที่นี้   เบื้องบนเพดานนั้นเป็นกระจกใส สามารถมองทะลุขึ้นไป เห็นเป็นท้องฟ้าสีครามครึ้มๆ ที่ตอนนี้แม้จะเป็นกลางวันก่อนเที่ยง แต่กลับสามารถมองเห็นประกายดาววิบวับผ่านกระจกใสนั้น

ใจกลางเป็นสิ่งก่อสร้างที่คล้ายกับแท่นบูชาที่สูงประมาณ บ้านสองชั้น  ฐานมันกว้างเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ก่อนจะไล่ขึ้นไปเหมือนกับพีระมิดย่อมๆแห่งหนึ่ง ส่วนบนสุดของยอด เป็นที่กว้าง บนนั้นมีโต๊ะทำงานตัวหนึ่งตั้งอยู่ รอบโต๊ะทำงานทั้งสี่ทิศมีลูกแก้วสี่ลูกตั้งอยู่  ทิศหนึ่งเป็นลูกแก้วสีแดง  ตามด้วยสีน้ำเงิน  สีขาวขุ่น และ สีน้ำตาล

ลูกแก้วทั้งสี่เหมือนกับจะบรรจุอะไรไว้ภายใน ลัวร์สังเกตจ้องมองต้องอุทานขึ้น ลูกแก้วใบสีแดงมีเปลวไฟที่ลุกโชน สลับกับมอดไหม้อยู่  ใบสีน้ำเงิน เป็นน้ำขัง แล้วก็เปลี่ยนเป็นหยดน้ำฝนสลับกัน  ใบสีขาวขุ่นบางทีกลายเป็นลมพายุหมุน บางทีสงบนิ่งราวกับลมบริสุทธิ์  ส่วนใบสีน้ำตาลเป็นดินที่บางครั้งแข็งแกร่ง บางครั้งอ่อนเหลวเหมือนดินเหนียว

ลูกแก้วทั้งสี่ดึงดูดสายตาลัวร์ ขณะที่เขาเดินเข้ามาแท่นบูชานั้นเรื่อยๆ  แต่เมื่อเข้าใกล้ยิ่งขึ้นอีก เงาร่างหนึ่งก็ดึงดูดสายตาลัวร์ยิ่งกว่า 

ร่างนั้นนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวนั้นนั่นเอง  เห็นศรีษะของเขาสวมไว้ด้วยหมวกทรงแหลมสูงใบหนึ่ง  หนวดเคราของเขายาวจรดพื้น มีขนคิ้วที่ขาวราวหิมะ  ใบหน้าของเขาเหี่ยวย่น เขาเป็นชายชราคนหนึ่ง เขากำลังก้มหน้ามองอะไรสักอย่างที่อยู่บนโต๊ะทำงานของเขา

ลัวร์มาหยุดอยู่หน้าบันไดที่เป็นทางขึ้นสู่เบื้องบนแท่นนั้น   ก่อนจะหยุดคิดเล็กน้อย พูดเสียงกล้าๆกลัวๆว่า

“เอ่อ..... สวัสดีครับ ....ผมลัวร์....”

ชายชราคนนั้นเหมือนจะเพิ่งรู้สึกว่าลัวร์มาถึง เขาเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะทำงาน และมองลงมาที่ลัวร์ตรงฐานแท่นด้านล่าง  ก่อนจะลุกขึ้นยืน แล้วพูดว่า

“อ้า... เธอ มาแล้ว.... ขออภัยด้วย พอดีฉันกำลังคิดเรื่องเกี่ยวกับงานบางอย่างอยู่น่ะ” เขาพูดขึ้น  

“เอ้า ...มาสิ เดินขึ้นมาก่อน เรามีเรื่องจะพูดคุยกันเล็กน้อย”

ลัวร์ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆสาวเท้าขึ้นไปตามขั้นบันได เมื่อขึ้นมาถึงบนสุด ก็พบเห็นความประหลาด ชายชราและโต๊ะของเขานั้นจริงๆแล้ว เตี้ยเหลือเกิน เมื่อขึ้นมาอยู่ในระนาบเดียวกัน ชายชราตัวเล็กกว่า สม๊อคซะอีก  เขาสูงพอๆกับคนแคระคนหนึ่งได้ 

และเมื่อได้เข้ามามองใกล้ๆแล้ว  ลัวร์ยิ่งชัดว่า เขาดูแก่และสูงอายุมากๆ  แก่ยิ่งกว่า คนแก่ทั้งหมดเท่าที่ลัวร์จะนึกออก                                

ชายชราดีดนิ้วครั้งนึง ก็ปรากฏโซฟาตัวนุ่มขึ้นที่ด้านหลังลัวร์ เขาชี้มือไปที่นั้น ก่อนจะบอกว่า

“นั่งลงก่อนสิพ่อหนุ่ม  การยืนคุยกับคนแก่ และทำให้ฉันต้องเงยหน้าคุยกับเธอมันดูไม่สุภาพสักเท่าไหร” เสียงเขาดูอ่อนโยนและเป็นกันเอง  ลัวร์พยักหน้าครั้งนึงก่อนจะนั่งลงช้าๆบนโซฟานั้น

“เอ้อ อืม  น้ำชา สักหน่อยไหม หรือ  จะน้ำผลไม้ดี? มีขนมปัง กับเนย สนใจไหม?”ชายชราพูดขึ้นพร้อมกับทำท่าครุ่นคิด

“ไม่เป็นไรครับ  ผมทานมาบนรถแล้ว ขอบคุณครับ”

“อ้า หยังงั้นเหรอ..... โอเค งั้น เธอรอสักครู่น่ะ ขอเวลาฉันสะสางเรื่องบนโต๊ะนี้แป๊บเดียว”

ลัวร์พยักหน้าตอบคำว่า “ครับ” ออกมา

ชายชราหันหน้าไปค่อยๆ เก็บรวบรวมเอกสารต่างๆบนโต๊ะของเขา  ผ่านเวลาสักครู่นึง ดูเหมือนเขาจะจัดการเสร็จเรียบร้อย  เขานั่งลงก่อนจะเอนหลังไปตามเก้าอี้ เงยหน้าเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง  สุดท้ายก็หันมาพูดกับลัวร์

“เอาล่ะ พ่อหนุ่ม เราจะเริ่มยังไงดี..... อืม อ้า ฉันลืมบอกแนะนำตัวไปสิน่ะ เอาละ” เขายิ้มเล็กน้อย พูดต่อว่า

“ฉัน ชื่อ ทารอส  เป็นผู้ดูแลสถานที่นี้เอง สถานที่นี้คือโซดอม เป็นศูนย์กลางของไลท์ทาวน์แห่งนี้  ผู้คนที่นี้เขาเรียกฉันว่า เทพแห่งครู  เอ้อ จริงๆ มันก็แค่ชื่อเรียกล่ะน่ะ เธออย่าได้ไปใส่ใจกับมัน  เอาล่ะ เรามาเข้าเรื่องกันดีกว่า......อืม เธอรู้ไหม ว่าทำไมฉันถึงต้องการพบกับเธอ  คุณโอมาร์ ลัวร์

“เอ่อ... ไม่ครับ” ลัวร์ตอบอย่างลังเล 

ทารอส มองลอดผ่านแว่นตาที่สะท้อนประกายของเขา ยิ้มเล็กๆ บอกว่า”อ้า นั่นดีแล้ว ฉันคิดว่าเธอควรจะ “ไม่รู้” เหตุผล นั่นจึงจะถูกต้องที่สุด ....อ้า เรื่องของเรื่องก็คือ ฉันมีเรื่องจะขอร้องให้เธอช่วยสักเรื่องหนึ่ง”

ลัวร์ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ “ให้ผมช่วย? เรื่องอะไรเหรอครับ”

ทารอส พ่นลมหายใจออกจากจมูกเบาๆครั้งนึง สีหน้าเคร่งเครียด กล่าวว่า “อืม ฉันอธิบายเธอยังไงดีน่ะ เอาล่ะ เรื่องมันค่อนข้างจะยาว เธอต้องตั้งใจฟังหน่อยแล้วกัน”

ทารอสครุ่นคิดอยู่ครู่นึง ก่อนจะชี้มือขึ้นไปบนเพดาน  เบื้องบนนั้น ยังสามารถมองเห็นลูกทรงกลมประหลาดทั้ง 10 ลูกนั้นจากตรงที่เขานั่งอยู่ได้

“คือ อย่างนี้  เธอเห็นรูปทรงกลมด้านบนหลังคาของ โซดอมแห่งนี้ใช่ไหม? ที่มันมีอยู่ทั้งหมด 10 ลูกนั่น”

“ครับ” ลัวร์พยักหน้า พร้อมกับมองตาม

ทารอสพยักหน้า พูดต่อไปว่า

“นั่นล่ะ  สิ่งนี้คือสัญลักษณ์ของไลท์ทาวน์แห่งนี้  อืม ถ้าจะพูดให้ง่ายขึ้น ก็คือ มันคือสัญลักษณ์สิ่งต่างๆ ทั้งบนโลกและบนสวรรค์นั่นแหละ  เราเรียกมันว่า จิตวิญญาณแห่งสุริยะ

“จิตวิญญาณแห่งสุริยะ?”ลัวร์ทวนคำอย่าง งงๆ  

“ใช่ .....มันคือ ตัวแทนของนามธรรมทุกสิ่งทุกอย่าง” ทารอสกล่าวช้าๆ  “.....ในสุริยะจักรวาลที่เราอาศัยอยู่นี้ ...แต่ไม่รวมไปถึงเอเดน และแผ่นดินสวรรค์แห่งอื่นน่ะ   จิตวิญญาณเหล่านี้ คือ ตัวแทนที่ย่อยที่สุดก่อนจะประกอปเป็นสิ่งต่างๆมากมายในสุริยะจักวาลนี้เอง”

“พูดแบบนี้เธอต้อง งง แน่ๆ ฉันจะยกตัวอย่างให้  เอาล่ะ เธอลองมองไปที่ลูกใดลูกหนึ่งบนนั้น แล้วเลือกมาสักลูกหนึ่ง ฉันจะอธิบายให้ฟัง”

ลัวร์มองไปที่ลูกกลมๆเหนือเพดานกระจกนั้น  ก่อนจะชี้นิ้วไปที่ลูกที่เขาสนใจที่สุด รูปกลมสีส้มที่ใหญ่ที่สุดนั่นเอง

“เอ่อ  ลูกนั้นครับ”

                ทารอส บอกว่า “นั่นคือ จิตวิญญาณแห่งการรวมศูนย์ หรือ เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า จิตวิญญาณแห่งอาทิตย์

                “จิตวิญญาณแห่งอาทิตย์”ลัวร์ทวนคำ

                “ใช่…….ในธรรมชาติสุริยะจักรวาลที่เราอาศัยอยู่นี้  ทุกๆที่ เธอจะเห็น นามธรรม แห่งการรวมศูนย์นี้ได้ทุกหนทุกแห่ง  โดยลักษณะการแสดงออกของมันก็คือ การรวมสิ่งต่างๆเข้าสู่ใจกลาง และพุ่งสูงขึ้นจนเป็น “เอก” หรือ “เป็นหนึ่ง” …เธอนึกภาพออกไหม? 

ยกตัวอย่างเช่น  จิตวิญญาณแห่งอาทิตย์  ที่เธอเห็นชัดเจนที่สุด ตอนอยู่บนโลก ก็คือ ดวงอาทิตย์  มันมีลักษณะที่จะเคลื่อนตัวสูงขึ้นจากทิศตะวันออก สู่จุดสูงสุดของมัน ณ เวลาเที่ยงวัน ก่อนจะค่อยๆเคลื่อนต่ำลงทางตะวันตกเป็นช่วงดับของมัน และจะหมุนเวียนไปอย่างนี้เรื่อยๆ  และ ทุกๆครั้งที่มันพุ่งสูงขึ้นมาจากตะวันออกนั้น มันจะรวมศูนย์เหมือนเป็นใจกลางของสรรพสิ่งทุกอย่างบนโลกนั้น ทำให้คนตื่น ทำให้ชีวิตเริ่มต้น ก่อเกิดชีวิต  ดังนั้นมันจึงเป็นศูนย์กลาง และพุ่งสูงขึ้นตาม นามธรรม ของมัน

                ในอีกแง่หนึ่ง หากไม่ใช่ดวงอาทิตย์ที่เธอเห็นบ่อยๆทั่วไป แต่เป็นตัวบุคคล มันมักจะหมายถึง ผู้นำ ผู้ริเริ่ม หัวหน้า เพราะกลุ่มคนเหล่านี้ มีความสามารถที่จะ รวบรวมผู้คน สิ่งต่างๆเข้าด้วยกัน และนำมันมาพลักดันให้เดินหน้าต่อไป หรือ พัฒนา หรือ กระทำการใดๆต่อไปได้  ซึ่งจะมีลักษณะแบบเดียวกัน กับจิตวิญญาณแห่งอาทิตย์ คือ การรวมศูนย์และพุ่งขึ้น”

                “เธอพอจะเข้าใจความหมายเหล่านี้ไหม?” ทารอสมองลัวร์ลอดผ่านแว่นตาที่ปลายจมูกของเขา

                ลัวร์พยักหน้าตอบ “ครับ ผมพอจะเข้าใจ” ลัวร์ชี้มือไปที่ลูกกลมๆลูกหนึ่ง ที่กำลังเปลี่ยนจากลูกกลม เป็นสี่เหลี่ยม จากสี่เหลี่ยมเป็นสามเหลี่ยม เปลี่ยนไปมาอยู่อย่างนั้น ถามว่า “ถ้าอย่างนั้น ลูกนั้นคืออะไรครับ?”

                “นั่นคือ จิตวิญญาณแห่งการส่งผ่าน หรือ จิตวิญญาณแห่งพุธ  หมายถึงการ ส่งผ่านจากสิ่งหนึ่งไปสู่สิ่งหนึ่ง มันจึงแปรเปลี่ยนรูปร่างไปมา  ถ้าเป็นเรื่องบนโลกมันก็คือ คำพูด หนังสือ การอ่าน อะไรทำนองนี้แหละ แต่ถ้าเรามองในกรอบของคนที่เงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน มันก็คือดาวพุธนั่นแหละที่เป็นตัวแทนของมัน นี่คือเรามองในแง่ของการเห็นสิ่งต่างๆบนท้องฟ้าน่ะ  ”

                 ทารอส สีหน้าเคร่งเครียดขึ้น กล่าวต่อไปว่า “เอาล่ะ ที่นี้ ฉันจะเข้าสู่ใจกลางเรื่องสำคัญของเราตอนนี้แล้ว”  

                ลัวร์พยักหน้า ตั้งใจรับฟัง

                “อย่างที่ฉันอธิบายไปนั่นเอง  เธอก็ได้เข้าใจแล้วว่า  สิ่งเหล่านี้คือสัญลักษณ์อันสำคัญของระบบสุริยะจักรวาลแห่งนี้  จิตวิญญาณทั้ง 10 นี้เอง เป็นเหมือนเสาค้ำยันไว้ ให้สุริยะจักรวาลแห่งนี้ดำเนินไปตามธรรมชาติของมันอยู่ได้ 

หากขาดจิตวิญญาณส่วนใดส่วนหนึ่งไปเพียงแค่ส่วนเดียว  สุริยะจักรวาลแห่งนี้ก็ไม่สามารถรวมตัวอยู่ได้   เพราะทุกสิ่งทุกอย่างต่างพึ่งพากันและกัน  เธอลองคิดถึง ผู้นำที่ไม่มีคำพูดดูสิ มันจะเกิดอะไรขึ้น  แหงล่ะ  มันเป็นไปไมได้  เพราะการสื่อสาร คือสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งที่มนุษย์ทุกคนจะต้องมี หากไม่มีมัน มนุษย์จะไม่เป็นมนุษย์  เธอเข้าใจใช่ไหม?

……หรือ เธอลองคิดถึงโลกที่ไม่มีแม่ผู้ให้กำเนินดูสิ นั่นหมายถึง  การไม่มีจิตวิญญาณแห่งจันทร์ที่เป็นความหมายถึงการเพิ่มจำนวน ทำไมจันทร์ถึงเป็นการเพิ่มจำนวน เธอลองคิดถึงสภาพดวงจันทร์ยามข้างขึ้นและข้างแรม เธอจะเห็นว่าดวงจันทร์นั้นมีทั้งเพิ่มขนาด ปริมาณ และ ลดขนามปริมาณลงในตอนท้าย นั่นคือ นามธรรมของมัน ดังนั้นหากขาดจิตวิญญาณแห่งจันทร์  โลกนั้นจะไม่เป็นโลก  มนุษย์สิ่งมีชีวิต และไม่มีชีวิต  ทุกอย่างจะดับสูญไป เธอเข้าใจใช่ไหม?”

                ลัวร์พยักหน้าตาม ว่ากันตามจริง เขาฟังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจ แต่ไม่รู้จะถามอะไรดี ดังนั้นจึงนั่งเงียบรับฟังต่อไป

                “แล้ว ที่นี้ อย่างที่เธอรู้ ที่นี้คือไลท์ทาวน์  ไลท์ทาวน์แห่งนี้คือแผ่นดินสวรรค์ ที่เป็นที่อยู่ของชาวสวรรค์แห่งสุริยะจักรวาล  และเป็นศูนย์กลางของพลังงาน ที่คอยขับเคลื่อน จิตวิญญาณทั้ง 10 นั้น    ลูกกลมๆที่เธอเห็นด้านบนนั้น  ใจกลางของมัน จริงๆแล้วจะมี “ธาตุบริสุทธิ” ของจิตวิญญาณต่างๆ สิงสถิตอยู่  มันอยู่ในรูปของสิ่งของต่างๆนาๆ ที่นามธรรมนั้นๆจะแสดงออกมา 

เช่น จิตวิญญาณแห่งอาทิตย์ ที่เป็นธาตุบริสุทธิ ในรูปทรงกลมเบื้องบนนั้น อาจจะเป็น  ของมีค่าต่างๆ เช่น แหวน เพชร ทองคำ หรืออะไรก็ได้  ที่มี”ค่า” ตามความหมายของการเป็น “เอก”  ของมัน รูปร่างมันอาจเปลี่ยนไปได้ตามกาลเวลา ฉันเองก็ไม่รู้อย่างแท้จริง ว่าตอนนี้มันเป็นอะไร  มันอาจเป็นนกอินทรีตัวหนึ่งก็ได้ เพราะนกอินทรีมันก็บินได้สูง ตามความหมายอาทิตย์เช่นกัน”

                “และที่สำคัญที่สุด เป็นเรื่องที่เรียกได้ว่า วิกฤติ ที่สุด ที่ฉันจำเป็นต้องเรียกเธอมาเข้าพบก็คือ...... ในตอนนี้ มีคนขโมยธาตุบริสุทธิ ในลูกกลมเหล่านั้นไป  พูดง่ายๆ มีคนเข้ามาขโมยขุมพลังอันมหาศาลของสุริยะจักรวาลไปนั่นเอง”

                ลัวร์อุทานดังอา ออกมา ทารอสสีหน้าเคร่งเครียด สายตาจับจ้องมองลัวร์ เขาพูดต่อไปว่า

                “มันเป็นเรื่องใหญ่ และ อาจถึงคราวล่มสลายของทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งโลก ทั้งฉัน ทั้งเธอ ไลท์ทาวน์ ดวงดาวต่างๆในสุริยะจักรวาลได้เลย  เมื่อไม่มีพลังงานจากธาตุบริสุทธิ เหล่านั้นคอยค้ำจุนไว้ เธอเข้าใจไหม ..... นี่กำลังเกิดหายนะ ครั้งใหญ่”  

“หายนะครั้งใหญ่?”

“ใช่  หายนะครั้งใหญ่…. ไลท์ทาวน์แห่งนี้ ความจริงแล้วคือ แผ่นดินสวรรค์ที่คอยควบคุมดูแล ระบบต่างๆซึ่งเป็นศูนย์กลางของสุริยะจักรวาลแห่งนี้  พลังงานจาก “ธาตุบริสุทธิ” นั้น คือพลังงานอันบริสุทธิ มันมีค่ายิ่งกว่าสิ่งใดๆในระบบสุริยะแห่งนี้ พลังนั้น ยิ่งใหญ่เสียยิ่งกว่า ความร้อนจากดวงอาทิตย์ทั้งดวง มันเป็นต้นกำเนิดสรรพสิ่งทั้งมวล ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนเกิดจาก ธาตุบริสุทธิ ทั้ง 10 นี่ทั้งนั้น  เมื่อมันสูญหายไป ซึ่งความจริงไม่มีใครสามารถขโมยมันไปได้ นับตั้งแต่ พระเจ้าสร้างระบบสุริยะแห่งนี้ขึ้นมา  แต่ตอนนี้ มันเกิดขึ้นแล้ว มันเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ยาวนานของที่นี้

...มีขโมย คงต้องเรียกว่า ยอดขโมย สามารถดึงเอาพลังงานจากธาตุบริสุทธินั้นออกมาจากรูปทรงกลมด้านบนทั้ง 10 ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ และฉันก็แทบไม่เคยคิดมาก่อนว่ามันจะเกิดขึ้น  เมื่อพลังงานจาก ธาตุบริสุทธิ ทั้ง 10 สูญหายไปในคราวนี้ มันทำให้ระบบทั้งสุริยะนี้สั่นสะเทือน ดวงอาทิตย์จะไร้พลัง จันทร์จะหมดแรง ดาวเคราะห์ต่างๆที่เหลือ จะไม่สามารถทำงานตามแบบฉบับของมันได้ นั่นรวมไปถึง ธาตุ ของดาวเหล่านี้เช่นเดียวกัน

บนโลกมนุษย์  ผู้นำจะไร้พลัง ครรภ์แห่งมารดาจะไม่สามารถคลอดบุตร ปัญญาจะสูญหาย  ความเพียรจะอ่อนแรง สติจะดับสูญ ศรัทธาจะมืดไป ความรักจะไม่สามารถรวมกันเป็นหนึ่งได้ การให้อภัยจะไม่บังเกิด สมาธิจะรวมไม่ติด กลายเป็นความบ้าคลั่ง ภูตผีวิญญาณจะสูญสลาย  รวมถึงเรื่องแย่ๆอีกมากมาย ที่จะเกิดขึ้น  มันคือ อวสานของระบบสุริยะแห่งนี้

เธอ เข้าใจไหม พ่อหนุ่ม  นี่คือหายนะ หายนะ ครั้งใหญ่ มันร้ายกาจกว่าสิ่งใดๆที่เคยเกิดขึ้นมา ตั้งแต่พระเจ้าสร้างโลก และหลังจากนี้เป็นต้นไป ก็อาจไม่มีหายนะใดยิ่งใหญ่กว่านี้อีกแล้ว ดังนั้น เรื่องที่ฉันคิดจะขอร้องเธอ ที่ต้องเรียกเธอมาพบในวันนี้ก็คือเรื่องนี้เอง”

เขาหยุดเล็กน้อย และจ้องมองลัวร์ สายตาเขาสะท้อนประกายวิบวับ

“ฉันอยากให้เธอเป็นค้นหา และนำพา ธาตุบริสุทธิ ของจิตวิญญาณ เหล่านี้กลับคืนมา”

ลัวร์อุทานคำ “ห๊ะ” ออกมา  สีหน้าปรากฏแววแตกตื่นขึ้น

“เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวกอ่นครับ”  เขารีบค้าน “เอ่อ… ทำไม  ทำไมถึงต้องเป็นผมล่ะครับ? ผมไม่เข้าใจ  ผมคิดว่าเรื่องใหญ่ขนาดนี้ มันน่าจะมีคนเก่งๆคนอื่นๆ ทำได้สิครับ อย่างเช่น เอ่อ ตำรวจของไลท์ทาวน์ หรือ ทหาร หรือ เอ่อ …ตัวท่านเอง”

ทารอสส่ายหน้า สายตาสะท้อนประกายแวววาวจ้องมองลัวร์ “ไม่ได้หรอก พ่อหนุ่ม” เขากล่าว

“เรื่องนี้มีแต่เธอคนเดียว” เขาย้ำเสียงหนักแน่น “เธอคนเดียวเท่านั้นที่ทำได้  แม้แต่ฉันเองก็ทำไม่ได้  ใครๆในไลท์ทาวน์นี่ก็ทำไม่ได้

“หมายความว่ายังไงครับ? ทำไมมีแต่ผมคนเดียวที่ทำได้ แล้วคนอื่นถึงทำไม่ได้?”

“มันมีเรื่องพิเศษบางอย่างอยู่น่ะ” ทารอสบอก “เกี่ยวกับตัวเธอ  ……เธอเป็นบุคคลพิเศษ เพียงคนเดียว เอ้อ จริงๆก็สองคน แต่อีกคนหนึ่ง เขาไม่มีทางทำ ไม่เด็ดขาด”

“ผม กับอีกคนหนึ่ง? ใครครับ แล้วทำไมเขาไม่มีจะทำ?”

“ฉันบอกเรื่องนี้ไม่ได้  แต่ ที่ฉันบอกได้ ก็คือ  สุริยะจักรวาล ณ ตอนนี้ หวังพึ่งแต่เธอเพียงคนเดียว  …คนเดียวเท่านั้น เธอเข้าใจไหม?”

ลัวร์สับสนอย่างประหลาด นี่มันเรื่องอะไรกันเขาคิดขึ้น  นี่เป็นเรื่องแปลกประหลาดที่สุดที่เขาจะเคยได้ยินมา สุริยะจักรวาลกำลังจะล่มสลาย ขุมพลังอันยิ่งใหญ่ของไลท์ทาวน์ถูกขโมยไป  และ เขาเป็นเพียงคนเดียวที่จะค้นหามันกลับมาได้!!!  ตลกแล้ว นี่ต้องเป็นเรื่องล้อเล่นอะไรสักอย่างแน่ๆ แค่ฟังยังแทบไม่อยากจะเชื่อเลย 

“มันเป็นไปไม่ได้  ผมจะทำมันได้ยังไง? ผมเป็นแค่คนธรรมดา”

“เปล่าเลย พ่อหนุ่ม” ทารอสตอบเสียงอ่อนโยน  เขาก้มหน้ามองลัวร์ผ่านแว่นตา

“เธอไม่ใช่คนธรรมดา เธอเป็นอะไรที่พิเศษกว่านั้นมากๆ” เขาย้ำอีกครั้ง  

“สิ่งที่ฉันพูดเป็นเรื่องจริง จริงแท้อย่างแน่นอน  มีแต่เธอเพียงคนเดียวที่จะช่วยแก้หายนะคราวนี้ได้”

ลัวร์อึ้งไปกับคำตอบของทารอส  เขาแทบไม่เชื่อเลยว่านี่เป็นเรื่องจริง เขาต้องไปหาธาตุบริสุทธิ ของจิตวิญญาณที่ถูกขโมยไป  แล้วเขาจะทำมันได้อย่างไร?  เขาแทบไม่รู้อะไรเลย 

ทารอสจ้องมองลัวร์ที่นั่งเงียบอยู่เบื้องหน้า  ก่อนที่เขาจะบอกว่า

“แต่ อื้ม ฉันมีข้อแลกเปลี่ยนให้กับเธอ ฉันไม่ให้เธอได้ทำงานเปล่า  ฉันจะให้สิ่งที่เธอต้องการที่สุดเป็นการตอบแทนหากเธอยอมช่วยเหลือเรื่องนี้  อะไรก็ได้ที่เธอต้องการ ฉันสามารถบันดาลมันให้เธอได้ทั้งหมด”

“สิ่งที่ผมต้องการ?”ลัวร์ทวนคำ ราวกับจะพยายามนึกสิ่งที่เขาต้องการให้ออก  “แต่ ผมไม่รู้ว่าผมต้องการอะไร ผมจำอะไรเกี่ยวกับตัวเองไม่ได้เลย”

“อ้า” ทารอสอุทาน พร้อมกับทำท่าราวกับลืมเรื่องสำคัญบางอย่างไป  “ขอโทษด้วย ฉันลืมไปเอง เธอยังไม่รู้เรื่องบางอย่างของตัวเธอ …..เอาล่ะ ฉันจะทำให้เธอนึกเรื่องบางเรื่องที่สำคัญๆออก” กล่าวจบเขาก็ดีดนิ้วดังเป๊าะครั้งนึง

ทันใด ภาพบางสิ่งบางอย่างก็ปรากฏขึ้นในหัวของลัวร์  มันค่อยๆผุดขึ้นมาช้าๆ จากภาพเลือนรางในความมืด ก่อนจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ  มันเหมือนจะเป็นภาพความทรงจำในอดีตของเขานั่นเอง

“ฉันเป็นคนลบความทรงจำของเธอเอง พ่อหนุ่ม  ขอโทษด้วยแต่มันเป็นเรื่องจำเป็น  และฉันคืนเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งให้กับเธอ”

ลัวร์ไม่เข้าใจที่ทารอสพูด แต่ในหัวเขาตอนนี้ภาพเริ่มชัดเจนมากขึ้น  มันเป็นภาพที่คล้ายกับการกรอเทปกลับหลัง ภาพหญิงสาว และ ชายวัยกลางคนคู่หนึ่ง อุ้มเด็กเล็กๆคนนึง   ภาพชายหญิงคู่นั้นเลี้ยงดูเขาจนโต  ภาพเด็กเล็กๆอีกคนหนึ่งถือกำเนิดขึ้น

ลัวร์ต้องตื่นตระหนกขึ้น เขานึกออกแล้ว  นั่นพ่อ แม่ และน้องสาวของเขา นั่นครอบครัวของเขา!

“เธอคงนึกออกแล้วสิน่ะ”

ลัวร์หน้าซีดเผือด ใจสั่นระรัว เหงื่อไหลซึมออกมาตามใบหน้า  ใช่แล้ว เขานึกมันออกแล้ว เรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตของเขา  สิ่งที่ทำให้เขาเป็นเขา  “ครอบครัวของผม!!

“หากนั่นเป็นคำขอ ฉันตกลง!” ทารอสบอกพร้อมกับดวงตาที่เป็นประกาย 

“คุณหมายความว่า? คุณบันดาลให้ผมพบกับครอบครัวผมได้งั้นเหรอ?”

“ใช่” ทารอสตอบสีหน้าเคร่งเครียด  “เพื่อให้เธอรู้ว่าฉันไมได้หลอกลวงเธอ  ลองหันมองข้างหลังสิ แล้วเธอจะรู้”

หัวใจลัวร์เต้นระรัวราวกับมันกำลังจะเด้งออกมาข้างนอก ดวงตาเขาเบิกกว้างและหันกลับไปข้างหลังอย่างช้าๆ

ด้านหลังเขา เป็นทางบันไดจากข้างล่าง  บัดนี้ ปรากฏชายหญิงคู่หนึ่ง และเด็กหญิงอีกคนหนึ่ง ค่อยๆสาวเท้าเดินขึ้นมาตามบันไดอย่างช้าๆ  ลัวร์จับจ้องที่สามร่างนั่นตาไม่กระพริบ  เขาจดจำใบหน้าเหล่านั้นได้ เขาจดจำทุกคนได้ทั้งหมด

“พ่อ!!! แม่!!  อัน!”

ลัวร์รีบลุกขึ้นและวิ่งลงไปตามทางบันได มุ่งหน้าเข้าหาคนทั้งสามคน  แม่ของลัวร์ก็วิ่งขึ้นมาเช่นกัน  ใบหน้าเธอดูสดใส และอิ่มเอิบ  เธอรีบวิ่งเข้าหาลัวร์ และ เมื่อถึงตัวลัวร์ เธอก็ดึงลัวร์เข้ามากอดไว้  ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยน้ำตาที่เอ่อท้นขึ้นมา  เธอใช้มือทั้งสองประคองที่แก้มของลัวร์ และเพ่งตาพิจารณา พร้อมกับพูดเสียงสั่นเครือ

“โอ…. ลูกแม่… นี่ เหลือเชื่อจริงๆ…..มันนานมากเหลือเกิน มันนานมากจริงๆที่แม่รอลูกอยู่ที่นี้”

“แม่อยู่ที่นี่? ทุกคนอยู่ที่นี่ยังงั้นเหรอ?” ลัวร์ถามพร้อมกับจ้องมองหน้าแม่ตนเอง

“ใช่ เราทุกคนอยู่ที่นี้  เราทั้งสามสวดอ้อนวอน ขอให้ลูกขึ้นมาพบกับพวกเราซักที มันนานมากแล้ว แม่รอลูกนานเหลือเกิน ……นานจนแทบจะถอดใจแล้ว จนกระทั่ง….

ทันใด ทารอส่งเสียงกระแอมดังขึ้นครั้งนึง  คล้ายกับจะหยุดคำพูดที่จะตามมาของเธอ

พ่อ และ อัน เดินตามเข้ามาสวมกอดลัวร์ไว้ คนทั้งสี่โอบกอดกันร้องไห้ออกมา

ทั้งสี่ร้องไห้ กอดกันกลมอยู่พักใหญ่ เหมือนไม่อยากจะแยกขาดจากกันอีก เสียงสะอื้นดังไปทั่วรอบบริเวร สะท้อนไปมา ตามผนัง  ทารอส เดินมาหยุดอยู่ที่ขอบบันได จ้องมองคนทั้งสี่ ก่อนจะส่งเสียงกระแอมครั้งหนึ่ง พูดขึ้นว่า

“เอาล่ะ ได้พบหน้ากันแล้ว ที่นี้ โอมาร์ ลัวร์  เธอจะรับคำร้องขอของฉันรึไม่ สำหรับทุกคน และ สิ่งมีชีวิตทั้งมวลในสุริยะจักรวาลแห่งนี้”

ลัวร์ถอนตัวออกจากอ้อมกอดของ พ่อแม่ และน้องสาว ก่อนจะหันมามองทารอสที่ยืนอยู่เหนือขึ้น  เขาปาดเช็ดน้ำตาออก   ครุ่นคิดอยู่ครู่นึง  ก่อนจะตัดสินใจ และตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า

“ตกลงครับ ผมจะทำ”

“ดีมาก” ทารอสพูดออกมา “ฉันสัญญาณกับเธอ โอมาร์ ลัวร์ และครอบครัวของเธอ ขอให้พระบิดาทรงเป็นพยาน  เมื่อเธอสามารถทำภารกิจครั้งนี้ได้เสร็จสิ้น  ไลท์ทาวน์แห่งนี้จะต้อนรับเธอเยี่ยงวีรบุรุษ และเธอจะอยู่กับคนที่เธอรักอีกครั้ง  จากนี้ไปจนนิรันดร์  นี่คือคำสัญญาจากฉัน” 

ทารอสกล่าว พร้อมกับย่อตัวลงก้มกราบลัวร์

“และนี่คือ คำขอบคุณจากฉัน และตัวแทนประชาชนชาวไลท์ทาวน์ทุกคน”

ลัวร์แตกตื่นจนรีบวิ่งเข้ามาประคองทารอสขึ้น 

ทารอสยิ้มเล็กน้อย จับมือลัวร์เขย่า พร้อมกับกล่าวว่า

“เอาล่ะ ที่นี้ ฉันจะแนะนำวิธีการทำภารกิจแก่เธอ”

    

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา