จากบูรพาสู่โพ้นทะเล

7.0

เขียนโดย HIMARAYA

วันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 เวลา 15.17 น.

  6 ตอน
  2 วิจารณ์
  5,198 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 16.36 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) สาธารณรัฐจีน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตั้งแต่ ปี 2420 สยามค่อยๆเปลี่ยนผ่านจากอาณาจักรแบบเก่า ไปสู่รัฐชาติที่รับเอาศิวิไลท์อย่างตะวันตก สยามกำลังปรับตัวและพยายามพัฒนาทั้งการคมนาคม การสาธารณสุข รวมถึงความเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างสังคม ในเวลานั้นสยามต้องรักษาสมดุลของขั้วอำนาจภายใน พร้อมกับต้องรักษาสมดุลของขั้วอำนาจของนักล่าอาณานิคมตะวันตก ที่จ้องจะตะครุบแย่งกันยึดครองผลประโยชน์เหมือนที่ทำกับจีน และอีกหลายๆ ดินแดนมาก่อน ในนามของความมีศิวิไลต์แบบตะวันตก สนธิสัญญาและเรือปืนเปิดทางให้ชาวตะวันตกเข้ามา กอบโกยผลประโยชน์ในภูมิภาค โดยเจ้าของดินแดนทำได้เพียงยืนมอง เพราะกลุ่มชาวต่างชาติที่เข้ามาช่วงชิงทรัพยากรได้รับสิทธิ์เหนือกฎหมาย

 

หลังการก่อสร้างโบสถ์พระแม่ลูกประคำหลังใหม่แล้วเสร็จ และได้ตั้งชื่อใหม่ว่า โบสถ์กาวาลิโอ* ได้ไม่ถึงปี คณะคอนเส็ปชั่นมอบหมายศาสนกิจให้บาทหลวงซาลาแดงส์ ไปดูแลการสร้างโบสถ์บางนกแควก เมืองราชบุรี และอยู่ดูแลคริสตศาสนิกชนชาวจีนที่ราชบุรี โดยส่งภรดาคณะใหม่มาดูแลโบสถ์นี้ต่อ

 

เมื่อโบสถ์หลังใหม่แล้วเสร็จจึงไม่มีงานก่อสร้างให้ทำ เตียวฮกนำเงินเก็บส่วนหนึ่งไปซื้อไม้คานหาบกับบี๊บสองใบ กลับมารับจ้างหาบน้ำประปาจากหัวจ่ายไปส่งตามบ้าน โดยตื่นออกมาล้างหน้าล้างตาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง หาบปี๊บเปล่าเดินตัดเข้าถนนเจริญกรุงไปทางวัดสามจีน ไปรอที่หัวจ่ายน้ำหน้าสถานีรถไฟหัวลำโพง ยามว่างจีนฮกก็ยืนมองดูฝูงวัวเดินเล็มหญ้าในทุ่งฝั่งข้าม เมื่อมีคนมาจ้างวานก็หาบน้ำสองปี๊บเดินตามนายจ้างไปส่งที่บ้าน จีนฮกหาเงินเข้าสู่ครอบครัว โดยการเดินหาบส่งน้ำประปาตามถนนเยาวราชจรดสำเพ็งอยู่หลายปี

 

วันหนึ่งเซียวฮุดเส็งหัวหน้าชุมชนชาวจีนในกรุงเทพออกป่าวประกาศไปทั่วย่านเยาวราชและสำเพ็ง ว่าจะมีบุคคลสำคัญมาพบปะกับชาวจีนโพ้นทะเล ท่านผู้นี้จะเป็นผู้นำการเคลื่อนไหวเพื่อโค่นล้มราชวงศ์ชิงและขับไล่พวกแมนจูออกไป จีนจะต้องปกครองโดยคนจีน ไม่ยอมให้พวกแมนจูขายชาติร่วมมือกับชาวตะวันตกกดขี่ชาวฮั่นอีกต่อไป โดย ขอให้ชาวจีนโพ้นทะเลในดินแดนต่างๆ ทั่วโลกร่วมกันสนับสนุนการปฏิวัติครั้งนี้

 

เตียวฮกผู้ระหกระเหินห่างจากเมืองจีนมาเป็นสิบปี ไม่เคยนึกฝันว่าจะมีใครหน้าไหนประกาศกร้าวว่าจะล้มล้างราชวงศ์ชิงที่ปกครองจีนมายาวนาน และการเดินทางพบปะชาวจีนโพ้นทะเลทั่วโลกก็ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ทำได้โดยง่าย บุรุษผู้นี้คือใครกัน!?

 

เมื่อวันนั้นมาถึงจีนฮกจึงตัดสินใจไปร่วมฟังการปราศรัยโดยไม่ได้บอกครอบครัว...

 

หลังจากการปราศรัยอันทรงพลังของชายที่ชื่อซุนยัตเซ็นครั้งนั้น กระแสความรักชาติของชาวจีนในสยามก็พลุ่งพล่านไปทั่วทุกหัวถนนในพระนคร เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ชาวจีนโพ้นทะเลทั้ง 5 สำเนียง รวมกันเป็นหนึ่งเดียว สื่อสิ่งพิมพ์จีนประโคมข่าวเพื่อปลุกระดมให้ชาวจีนในสยามส่งเงินกลับไปสนับสนุนการเคลื่อนไหวอย่างคึกคัก เลือดรักชาติก็สูบฉีดในใจจีนฮก

 

นับสิบปีที่ทิ้งพ่อ-แม่ที่เตี่ยเอี๊ยหนีมาสยาม ชีวิตได้พบเจออะไรๆ มากมาย เปลี่ยนทัศนคติของเตียวฮกต่อเหตุการณ์ในวัยเด็ก ทุกวันนี้เมื่อมองย้อนกลับไป เตียวฮกเชื่ออยู่ลึกๆว่าครอบครัวไม่ได้ต้องการจะฆ่าลูกสาว แต่การเลี้ยงลูกสาวสักคนบนความยากจนแร้นแค้นไม่ใช่เลือกง่าย มีเด็กผู้หญิงหลายคนถูกขายไปเป็นคนใช้ หรือเป็นนางโลม ถ้าหากชาวจีนทั่วแผ่นดินมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น คงไม่มีแม่คนไหนคิดฆ่าลูกสาว

 

แผลในวัยเด็กยังเป็นสะเก็ดอยู่ในใจ นั่นทำให้เตียวฮกรักและถนุถนอมลูกสาวทั้งสองคนมากกว่าชีวิตตน แต่บางครั้งฝันร้ายยังตามหลอกหลอน ครั้งหนึ่งเตียวฮกฮกตื่นขึ้นมาร้องไห้กลางดึกด้วยฝันร้าย ในฝันเห็นแม่กำลังจูงลูกสาวของตน เดินไปทางป่าท้ายหมู่บ้าน เตียวฮกพยามยามวิ่งตาม พยายามร้องตะโกนและวิ่งตามไปให้ทัน เมื่อวิ่งไปถึงป่าหลังหมู่บ้าน เห็นแม่กำลังจะฝังเด็กลูกตนทั้งเป็น เมื่อแม่หันหน้ามาใบหน้าของแม่กลับเปลี่ยนไปกลายเป็นหน้าหมอฝรั่งหันมายิ้ม พูดด้วยเสียงยะเยือก “อย่าตัดสินความรักของใคร..” พลันเตียวฮกสะดุ้งตื่นมาเหงื่อท่วมในความมืด เมียกับลูกสาวนอนหลับอยู่ข้างกัน

 

แม้จะอยู่สยามจนรู้สึกว่าเป็นบ้าน แต่เตียวฮกก็ไม่เคยลืมว่าตนเป็นคนจีน ด้วยความหวังและความศรัทธาที่มีต่อสังคมใหม่ในบ้านเกิด เตียวฮกเก็บเงินส่วนหนึ่งนอกเหนือจากที่ให้ครอบครัว ทยอยส่งเงินกลับไปสนับสนุนการปฏิวัติทุกปี พร้อมคอยติดตามข่าวสารการต่อสู้ของพรรคก๊กมินตั๋งปีแล้วปีเล่า จนวันหนึ่งข่าวดีจากแผ่นดินใหญ่ก็เดินทางมาถึงสยาม...

 

กรุงเทพฯ 2455

เช้าวันนั้น เตียวฮกยืนนิ่งหน้าคันฉ่องค้างอยู่นาน เตียวฮกไม่คุ้นเคยกับชายชาวจีนที่อยู่เบื้องหน้า แม้ผิวคล้ำ รูปร่างผอมบางซ่อนมัดกล้ามดูคุ้นตา เตียวฮกรู้สึกเบาหัวอย่างประหลาด ไม่คุ้นเคยเสียเลยเมื่อหางเปียยาวเลยกลางหลังที่อยู่กับตนมาทั้งชีวิตถูกตัดทิ้งไปในตอนเช้า ทำให้ดูเหมือนคนล่ะคน สายตาจีนฮกพินิจพิจารณาชายชาวจีนในคันฉ่องพักใหญ่

 

ต้าชิงล่มสลาย ชายชาวจีนส่วนใหญ่ตัดผมเปียอันเป็นสัญลักษณ์ของการอยู่ใต้การปกครองของพวกแมนจูทิ้ง ประกาศก้องถึงจีนใหม่ที่กำลังจะมา ความฝันใฝ่ในระบอบสาธารณรัฐเบ่งบานไปทั่ว เป็นการปิดศักราชกว่าสี่ร้อยปีที่ชาวจีน(ฮั่น) อยู่ภายใต้การปกครองของชาวแมนจูที่ยอมให้พวกชาวตะวันตกเข้ามาตักตวงผลประโยชน์

 

เช้าวันนี้จีนฮกตื่นสายกว่าทุกวัน เพราะไม่ได้ออกไปรับจ้างหาบน้ำ ลุกขึ้นจากเสื่อไปตักน้ำที่รองในตุ่ม ล้างหน้าล้างตา เตียวฮกยืนริมแม่น้ำเจ้าพระยาประกายแสงยามเช้าต้องพื้นน้ำสะท้อนเป็นประกาย ตั้งแต่มาเริ่มต้นชีวิตใหม่ในสยาม ชีวิตเตียวฮกก็เหมือนพันผูกกับแม่น้ำสายนี้ ตื่นนอนก่อนแสงเช้าลูบไล้วารีแผ่วเบา นอนหลับไปด้วยเสียงน้ำกระทบตลิ่งเป็นจังหวะเสียงดังจ๋อมแจ๋ม เช้าวันนี้เตียวฮกจึงปรารถนาให้สายน้ำเจ้าพระยา เป็นพยานในการหั่นผมเปียที่ผูกพันชีวิตตน ตั้งแต่จำความได้ ต่อหน้าสายน้ำเจ้าพระยาเตียวฮกเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้งในฐานะชาวจีนโพ้นทะเลแห่งยุคสาธารณรัฐ

 

เมื่อถอนสายตาจากคันฉ่อง เตียวฮกสวมเสื้อคอจีนแขนกระบอกตัวเก่งที่ตัดเย็บโดยภรรยา ก่อนออกจากบ้านเตียวฮก เข้าไปกอดหอมลูกสาวที่ยังเมาขี้ตาไม่ยอมลุกจากที่นอน เตียวฮกนึกครึ้มใจเข้าไปสวมกอดและหอมแก้มคู่ชีวิตที่ร่วมทุกข์-สุขอยู่ด้วยกันมา กลิ่นหอมจางจากแป้งกรุ่นในความรู้สึกขณะเดินออกจากบ้าน นอกจากไม่มีผมเปียบนศรีษะแล้วยังรู้สึกแปลกที่เดินออกจากบ้านโดยไม่มีคานหาบหาดบ่า วันนี้ถือเป็นวันพิเศษสำหรับชาวจีนโพ้นทะเลโดยเฉพาะชาวจีนในสยาม เตียวฮกเดินตัดผ่านตักลัคเกี๊ยะมุ่งไปทางถนนเยาวราช วันนี้ร้านรวงของคนจีนปิดเพื่อออกมาเฉลิมฉลองในโอกาสสำคัญ ระหว่างทางเตียวฮกเห็นหลายๆคนมายืนตัดผมเปียกันริมถนน บ้างก็หยอกล้อกันเป็นที่สนุกสนาน เซียวฮุดเซ็งในฐานะหัวหน้าชาวจีนในกรุงเทพฯ และนักหนังสือพิมพ์ผู้เป็นกระบอกเสียงสำคัญของคณะปฎิวัติ ปิดสำเพ็งจัดงานเลี้ยงฉลอง ในวันนั้น ตลอดถนนเยาวราชคึกคักเป็นอย่างยิ่ง

 

ในบรรยากาศการเฉลิมฉลอง เตียวฮกกับเพื่อนชาวจีนหลายคนทั้งกิน-ดื่ม ด้วยความปรีดาเมื่อ ดื่ม-กินกันได้ที่ หนึ่งในสมาชิกร่วมโต๊ะอาหารก็ยืนขึ้นกล่าวเสียงอ้อแอ้ “ชาวจีนโพ้นทะเลในสยามมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนการปฏิวัติ โดยเฉพาะด้านเงินทุน เป็นเพราะ ดร.ซุน แท้ๆ ชาวจีนกลุ่มต่างๆ ในสยามจากที่เคยบาดหมางกัน ถึงขึ้นเคยเปิดสงครามอั้งยี่กันกลางพระนครมาแล้ว กลับมาหลอมรวมกันได้เพื่อสนับสนุนการต่อสู้ในแผ่นดินใหญ่อย่างคึกคัก แม้แต่กลุ่มอั้งยี่ที่เคยบาดหมางยังหันมาร่วมมือกันใต้อุดมการณ์เดียว นี่แหละคือพลังของความสามัคคีของพวกเราชาวจีน!” คำพูดถูกใจหลายคนบริเวณนั้นยิ่ง ส่งเสียงโห่ฮากันเกรียว

 

“แต่ก็มีคนจีนในสยามไม่ใช่น้อยที่สนับสนุนราชวงศ์ชิง ซึ่งล้วนแต่เป็นพวกขุนนาง ข้าราชการใกล้ชิดกับรัฐบาลสยามทั้งนั้น” เตียวฮกได้ยินเสียงพึมพำจากด้านข้าง เป็นชายวัยกลางคนที่นั่งร่วมร่วมโต๊ะอาหารเดียวกับเตียวฮก เตียวฮกนึกคุ้นว่าเคยเห็นหน้าชายจีนวัยกลางคนคนนี้มาก่อน แต่นึกไม่ออกว่าที่ไหน? เมื่อไหร่? ไม่ทันได้ถามอะไร ชายคนนั้นก็เมาฟุบหลับกับโต๊ะไปแล้ว

 

แสงแดดทำมุมเฉียงบอกเวลาบ่ายเต็มที เตียวฮกขอตัวออกจากงาน ตั้งใจว่าระหว่างทางกลับบ้านจะแวะเยี่ยมหาหย่งเส็งที่ย้ายมาเช่าที่ริมถนนเจริญกรุงของท่านอัมรินทร์ ปลูกเรือนขัดฟากเปิดร้านยาสมุนไพรจีน เป็นตำรับยาสูตรของหย่งเส็งที่ผสมผสานศาสตร์สมุนไพรจากตะวันตก

 

เรือนไม้ขัดฟากของตั้งหย่งเส็งอยู่ริมถนนเจริญกรุง ผ่านประตูไม้สานเข้าไปมีโต๊ะไม้กับเก้าอี้ไม้สำหรับดื่มชาและรับแขก ที่ผนังด้านหลัง มีภาพหมอฝรั่งนั่งบนเก้าอี้มีพนักพิง เท้าแขนกับโต๊ะที่ปูผ้ารองอย่างบรรจง มีชาวจีนสองคนยืนขนาบ เตียวฮกกับหย่งเส็งใช้เวลาตลอดเย็น สนทนาสับเพเหระตามประสาคนคุ้นเคยที่ไม่ได้เจอกันนาน ทั้งเรื่องการก่อตั้งสาธารณรัฐจีน คุยถึงเรื่องเก่าๆ ย้อนคืนวันครั้งอยู่กับหมอฝรั่ง ทุกครั้งได้มาเยี่ยมหาหย่งเส็ง บทสนทนาต่อกันทำให้เตียวฮกรู้สึกมีความสุข สำหรับคนที่ตัดขาดกับครอบครัวแท้ๆ ที่บ้านเกิดแสนไกล การมีความทรงจำที่ดีให้รำลึกถึงจึงเป็นสิ่งพิเศษ

 

กว่าทั้งสองจะรู้ตัวว่าผ่านเวลาไปแล้วหลายชั่วโมง ก็เมื่อได้ยินเสียงกลองเคาะบอกเวลาทุ่ม หย่งเส็งกล่าวเชิญเตียวฮกอยู่ทานอาหารเย็นด้วยกัน แต่เตียวฮกปฏิเสธ เพราะไม่ได้บอกครอบครัวไว้ก่อน ไม่อยากให้ลูก-เมียเป็นห่วง จึงขอผลัดผ่อนเป็นคราวหน้า

 

ก่อนจากกันอาหย่งเส็งพูดย้ำกับจีนฮกว่า แวะมาคราวหน้าต้องมานั่งกินข้าวด้วยกันนะ พร้อมมอบกระดาษแผ่นหนึ่งให้ ในกระดาษเขียนเป็นภาษาจีน ‘บ้านเลขที่ 620 ถนนเจริญกรุง พระนคร’  “อาฮกถ้าลื้อเจ็บป่วย หรือมาหาอั๊วที่นี่ไม่ได้ ให้ลื้อเขียนใส่กระดาษส่งจดหมายติดอากรใส่กล่องแดงริมถนน จะมีนายไปรษณีย์เอาจดหมายมาส่งให้อั๊วที่บ้าน ลื้ออย่าลืมนะ” หย่งเส็งสำทับ    

 

เตียวฮกรับคำ ยิ้มกว้างเปี่ยมไมตรีที่เกื้อกูลกันมานาน หลังจากหมอฝรั่งเสียชีวิต หย่งเส็งจึงย้ายข้ามฝั่งมาเช่าที่ขายยาจีนประยุกต์อยู่ที่นี่ ก็ได้ไปมาหาสู่กันนานๆ ทีตามโอกาสจะอำนวย

 

ฟ้าเริ่มมืด เตียวฮกเดินไปทางสลัวของถนนเจริญกรุง ผู้คนบางตา รถรางไฟฟ้าสายเอสเอบี – ถนนตก รอบสุดท้ายแล่นผ่านไป บนรถมีผู้โดยสารโหรงเหรง ร้านขายหวยล้วนปิดร้านไปฉลองกันหมด ตามทางเดินเหลือแต่โคมไฟฟ้าบนถนนส่องแสงเหงาหงอย เตียวฮกนึกถึงวันหนึ่งเมื่อหลายปีก่อนขณะเดินอยู่ริมคลองใกล้วัดพิชัยญาติ ที่ขึ้นชื่อเรื่องผีดุจนเป็นที่โจษจัน พวกกรรมกรรถลากในฝั่งธนบุรีที่ผ่านแถวนั้นเจอดีกันถ้วนหน้า เจอกันบ่อยเสียจนไม่กล้ารับผู้โดยสารระแวกนั้นเพราะกลัวจะเป็นผีปลอมตัวมาหลอก เตียวฮกจำได้ว่าวันนั้นระหว่างเดินถือตะเกียงอยู่ริมท้องร่อง ได้ยินเสียงอะไรสักอย่างน้ำตกลงในน้ำ ตกใจหันขวับไปเห็นเงาดำตะครุ่มขนาดเท่ากระด้ง เตียวฮกก็หลับตาปี๋วิ่งไม่คิดชีวิตรวดเดียวมาถึงบ้านหมอฝรั่งตรงปากคลองบางหลวง

 

เตียวฮกนึกขันตัวเองที่หลังจากวันนั้นก็ไม่เคยกล้าเฉียดไปใกล้ๆ แถวนั้นอีกเลย เตียวฮกเดินคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยจนได้ยินเสียงดังเอะอะจากข้างหน้า ก่อนถึงวัดสามจีน ใต้โคมไฟฟ้าริมถนนเตียวฮกเห็นผู้หญิงชาวสยามกำลังถูกชายชาวจีนวัยกลางคนทำร้าย ชายคนนั้นทั้งตบทั้งชกจนหญิงชาวสยามเลือดกลบปากร้องไห้ นางยกสองมือพนมอ้อนวอน คนที่ยืนอยู่แถวนั้นไม่มีใครกล้าห้าม เพราะคนที่อาศัยอยู่ระแวกนี้รู้กันดีว่าชาวจีนที่ลงมือเป็น ’คนในบังคับของอังกฤษ’ หมายความว่าชายจีนคนนี้อยู่ใต้อาณัติของฝรั่ง และอยู่นอกเหนือกฎหมายของสยาม

 

ดวงหน้าแดงกล่ำเคล้ากลิ่นน้ำจันทน์ ชายจีนคนนี้เมาอาละวาดด้วยฤทธิ์สุรา ผู้มุงดูเหตุการณ์ไม่มีใครรู้ว่าเกิดขัดแย้งอะไรกันระหว่างทั้งสอง แต่เหตุการณ์กำลังเลวร้ายลงเมื่อชายชาวจีนบีบคอหญิงชาวสยามดันตัวนางติดกับต้นไม้ใหญ่ริมทาง ชักมีดพกยาวเกือบคืบหนึ่งที่เหน็บพุงไว้ออกมา จรดปลายแหลมที่หน้าผากหญิงสยามเคราะห์ร้าย กล่าวตะคอกเป็นสำเนียงกวางตุ้ง ว่าจะกรีดหน้าผากฝากแผลไว้เป็นบทเรียนที่กล้าปฏิเสธตน ทั้งที่ตนจ่ายเงินให้ยายแฟงไปแล้ว

 

ถึงตอนนี้บรรดาคนที่มุงพอจะเข้าใจเรื่องราวแล้ว ว่าหญิงผู้นี้เป็นหญิงโคมเขียวจากสำนักชื่อดังในย่านพลับพลาไชย

 

เมื่อชายจีนในบังคับอังกฤษออกแรงกดปลายมีดลงเนินหน้าผาก หยดเลือดแดงฝุดต้องปลายมีด หญิงโคมเขียวกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด จิกเล็บข่วนใบหน้าชายจีนคลั่งสะบัดตัวดิ้นหลุดวิ่งมาหลบหลังเตียวฮกที่กำลังยืนดูเหตุการณ์ ชายจีนในบังคับอังกฤษเดือดดาล ทั้งเจ็บแสบที่ถูกข่วนหน้า และแค้นที่เหยื่อดิ้นหลุดมือ แยกเขี้ยวเดินย่างสามขุมหาเตียวฮก ตะคอกให้หลีกทางซะ ตนจะควักลูกตาหญิงโคมเขียวคนนี้เสีย จีนฮกขอร้องอ้อนวอนให้อภัยหญิงคนดังกล่าว ชายจีนในบังคับอังกฤษยิ่งบันดาลโทสะที่กล้ามีคนมาขวาง เงื้อมมีดตวัดฟันใส่เตียวฮก เตียวฮกขยับถอยหลังหลบปลายมีดทันหวุดหวิด ยังไม่ทันจะร้องห้าม ชายจีนในบังคับอังกฤษถีบเข้าหน้าท้องจีนฮกหงายท้องไปนอนจุก ชายจีนในบังคับอังกฤษสติขาดผึงเสียแล้ว กระโดดคร่อมชายผู้กล้าขวางทางหมายจะปาดคอให้ดับดิ้น เตียวฮกคว้าข้อมือข้างที่กำมีดของชายขาดสติพยายามดันให้ออกห่าง แต่สู้แรงอีกฝ่ายที่อยู่ด้านบนไม่ได้ ชายจีนในบังคับอังกฤษหัวเราะขาดสติ น้ำลายไหลย้อยลงเปื้อนหน้าจีนฮก คมมีดห่างลำคอไม่ถึงคืบ เสียงกรีดร้องมาจากกลุ่มคนที่กำลังเป็นพยานในเหตุการณ์หวาดเสียวเบื้องหน้า อีกฝ่ายแรงกดมหาศาล จีนฮกอ่อนล้ากำลังเต็มที คมมีดกดทับใกล้คอเข้ามาเรื่อยๆ จังหวะนั้นเอง หญิงโคมเขียวกระโจนเข้าใส่ชายในบังคับอังกฤษจากด้านข้าง ฟันดำด้วยคราบน้ำหมากกัดปลายหูซ้ายของชายจีนในบังคับอังกฤษสุดแรงก่อนสะบัด ชิ้นเนื้อใบหูขาดหวิ่น ละอองเลือดกระเซ็น ชายขาดสติร้องด้วยความเจ็บปวดคลายแรงกดที่คอเตียวฮกยกมือจะขึ้นมาจับหูที่หวิ่นแหว่ง จังหวะเดียวกับที่เตียวฮกปัดมีดหลุดจากมือศัตรู มีดพกตกบนพื้นใกล้มือขวา หลังจากนั้นทุกอย่างก็เกิดขึ้นเร็วมากจนจีนฮกจำไม่ได้ว่าเป็นผู้บังคับมือขวาตนเอง ปักมีดเข้าชายโครงใต้รักแร้ชายจีนในบังคับอังกฤษมิดด้าม ทุกอย่างเกิดขึ้นฉับพลันด้วยสัญชาตญาณ...

 

ชายจีนในบังคับอังกฤษ ตาเหลือกลานส่งเสียงฝืดฟาดสองสามครั้งก็ล้มคว่ำ ชักกระตุกขณะเลือด ผสมฟองน้ำลายไหลออกปาก เตียวฮกไม่รอดูว่าชายคนนั้นตายสนิทหรือไม่ ถลันตัวฝ่าฝูงชน วิ่งหนีไปในความมืด

 

ดาวระยับทั่วฟ้าด้วยคืนข้างแรม แม่น้ำเจ้าพระยายามดึกสงัด น้ำนิ่งเรียบสะท้อนแสงดาว เรือกระแซงลำหนึ่งแล่นกรีดผืนน้ำเชื่องช้า ในความมืดมีชายจีนไร้ผมเปียนั่งเหม่อคุดคู้อยู่ในเก๋ง มีเพียงมารดรแห่งเจ้าพระยารับรู้เสียงสะอื้นน้ำตา

 

คืนนั้นระหว่างเตียวฮกหลบหนี มีชายชาวสยามที่เห็นเหตุการณ์คนหนึ่งให้ความช่วยเหลือ ให้ที่หลบซ่อนแก่เตียวฮกที่บ้านย่านวัดตะเคียนริมคลองผดุงฯ เนื่องจากที่ผ่านมาชายจีนในบังคับอังกฤษมักใช้อำนาจข่มเหงชาวบ้านทั้งชาวสยาม และชาวจีนในระแวกบ่อยครั้ง หลายคนเดือดร้อนแต่ไม่มีใครกล้าทำอะไรเพราะเกรงกลัวอิทธิพลของพวกฝรั่งที่อยู่เหนือกฎหาย ครั้นเกิดเหตุขึ้น จึงมีชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์เห็นใจและแอบให้ความช่วยเหลือเตียวฮก ชายชาวสยามที่ให้ที่ซ่อนตัวแก่เตียวฮกนี้เป็นรับราชการทำงานในสังกัดของสมเด็จพระยาฯ ซึ่งเป็นขุนนางอาวุโสของสยาม กลุ่มขุนนางในสยามส่วนใหญ่ไม่ชอบพวกฝรั่ง ข้าราชการในสังกัดก็เช่นกัน ชายคนนี้และเป็นเพื่อนกับพ่อค้าชาวจีนไหหลำจากปากน้ำโพที่เป็นเจ้าของเรือสินค้าที่ขึ้น–ล่องค้าขายสินค้าตามลุ่มน้ำเจ้าพระยา

 

หลังจากหลบซ่อนตัวในบ้านถึงกลางดึก จนแน่ในว่าปลอดภัยแล้ว ชายชาวสยามได้ฝากเตียวฮกให้หนีไปกับเรือสินค้า ชายชาวสยามให้บ่าวไปตามคนรับจ้างลากรถให้ไปส่งท่าเรือตลาดบางรัก ที่อยู่ทิศใต้ของพระนคร เรือสินค้าจะออกจากกรุงเทพฯ ก่อนฟ้าสาง

 

ดึกสงัดในราตรี เรือสินค้าลำหนึ่งออกจากท่าเรือตลาดบางรักได้สักครึ่งชั่วโมง ก็แล่นผ่านชุมชนพระแม่ลูกประคำ โบสถ์ยอดสูงตะคุ่มในมืดมิดของราตรีสงัด ติดกันเป็นเรือนไม้ริมน้ำปลูกติดกันหลายหลังคาเรือน จากบนเรือเตียวฮก เห็นไฟจากตะเกียงน้ำมันก๊าดยังส่องสลัวออกมาจากบ้านหลังหนึ่ง เตียวฮกเชื่อว่าแม่ของลูกยังไม่หลับ คงกระวนกระวายที่ครึ่งคืนแล้วป่านนี้ตนยังไม่กลับบ้าน หรือว่าได้ข่าวคนฆ่ากันตายแล้วเป็นกังวลจนนอนไม่หลับ

 

ก่อนออกเรือ เตียวฮกขอแวะบอกลาลูก-เมียก่อน แต่คนชายชาวสยาม กับพ่อค้าจีนไหหลำที่ช่วยทัดทานไว้ว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ที่กระทบความสัมพันธ์ระหว่างสยามกับอังกฤษ ถ้าถูกจับได้คงไม่แคล้วถูกประหารชีวิต หากแวะเข้าบ้านมีใครเห็นเข้า ครอบครัวก็อาจจะเดือดร้อนด้วยในภายหลังไม่ต้องด้วยอาญา ก็อาจจะโดนพวกคนในบังคับอังกฤษตามมาล้างแค้น การหลบหนีออกจากพระนครตอนนี้ คือโอกาสเดียวที่จะรอดชีวิต เหตุผลดังกล่าวได้มัดเตียวฮกเข้ากับเรือที่แล่นทวนกระแสน้ำขึ้นไปสู่แดนเหนือ โดย ไม่มีแม้แต่โอกาสจะบอกลาลูก-เมีย

 

แม้เตียวฮกอยากพบหน้าลูก-เมียเพียงใด แต่ด้วยกลัวว่าจะมีคนจำตนได้แล้วพาให้ลูก-เมียเดือดร้อนไปด้วย กลัวแม้กระทั่งทางการส่งคนไปรอจับตนที่บ้าน หัวใจเตียวฮกสลายละลายลงแม่น้ำ เหม่อมองบ้านน้อยค่อยๆ ห่างไปในความมืดมนจนลับแสงตะเกียงเมื่อพ้นโค้งน้ำบริเวณศาลเจ้าพ่อกวนอู เตียวฮกยกมือหลังปาดน้ำตา เรือแล่นแช่มช้า ฝั่งซ้ายของแม่น้ำเบื้องหน้าเป็นโรงพิมพ์หมอฝรั่งตรงปากคลองบางกอกใหญ่ นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เตียวฮกได้เห็นบ้านของตัวเอง ได้เห็นโรงพิมพ์หมอฝรั่ง และเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เห็นกรุงเทพฯ

 

เรื่องราวที่เกิดขึ้นไหลวนไป-มา ในมโนสำนึกด้วยความงุนงง จีนฮกยกมือสองข้างขึ้นลูบจับหลังหัวที่เคยมีเปียห้อยยาวถึงกลางหลัง  ลืมไปแล้วว่าเปียที่ไว้มาตลอดชีวิตถูกตัดไปเมื่อเช้านี้ เตียวฮกเห็นภาพตัวเองยืนมองกระจกตอนเช้า ก่อนไปร่วมงานเลี้ยงฉลองที่สำเพ็งตอนสาย แวะหาหย่งเส็งตอนเย็น จนถึงเหตุการณ์นองเลือดที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมงก่อน ภาพหลอนซ้ำวนไป-มาในหัว เตียวฮกไม่อยากเชื่อว่าสิ่งที่เกิดนั้นเป็นจริง

 

ในวันเดียว เรื่องยินดีในตอนเช้ากลายเป็นโศกนาฏกรรมพลัดลูกพลัดเมียไปได้อย่างไร หลังเกิดเหตุ ก็ไม่รู้ว่าหญิงชาวสยามที่เป็นต้นเหตุคนนั้นหนีตำรวจพ้นหรือไม่

 

แม้จะเป็นการป้องกันตัว แต่เตียวฮกก็รู้ดีว่าชาวจีนชาตินิยมหลายคนที่ไม่รู้เหตุการณ์ ย่อมขุ่นเคืองที่ตนฆ่าคนจีนด้วยกัน และแม้เตียวฮกช่วยชีวิตหญิงชาวสยาม แต่รัฐบาลสยามก็ต้องการตัวเตียวฮกมาลงทัณฑ์ เพื่อลดความไม่พอใจของพวกฝรั่งที่คนในบังคบถูกสังหาร ตอนนี้ในกรุงเทพไม่มีที่ปลอดภัยสำหรับเตียวฮกอีกแล้ว ไม่ว่าจากสยาม จีน หรือฝรั่ง

 

คนในบังคับของอังกฤษ ถูกสังหารบนถนนเจริญกรุงกลายเป็นข่าวใหญ่ที่สะพัดไปทั่ว ลือกันไปต่างๆ นาๆ บ้างว่าคนลงมือเป็นพวกอั๊งยี่ที่แค้นพวกอังกฤษมานาน บ้างก็ว่าฝีมือพวกนิยมสาธารณรัฐจีนหัวรุนแรงที่ต่อต้านชาวตะวันตกในสยาม รัฐบาลสยามเกรงว่า ฝ่ายอังกฤษอาจยกเรื่องนี้มาอ้างเหตุเข้าแทรกแซงอำนาจรัฐอย่างที่เคยทำมาแล้วในหลายดินแดน

 

วันรุ่งขึ้นข่าว ตำรวจจากสถานีสามแยก และสถานีวัดเกาะระดมกำลังออกตามล่าตัวผู้ก่อเหตุตั้งแต่แยกราชวงศ์ไปถึงถนนตก ...เป็นอีกครั้งที่ชะตาชีวิตของเตียวฮกต้องไหลไปกับสายน้ำ...

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา