Knight of the dawn: The Awakening of Nephilim อัศวิน แห่ง รุ่งอรุณ ตอน อุบัติการณ์ แห่ง เนฟีลิม

-

เขียนโดย The_Emperor

วันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2563 เวลา 08.50 น.

  13 ตอน
  6 วิจารณ์
  9,220 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2563 09.25 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) สู่โลกกว้าง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

Knight of the dawn: The Awakening of Nephilim

บทที่ 7 : สู่โลกกว้าง

 

หลังจากที่รอเอกสารทั้งหมดดำเนินการให้เรียบร้อย ในที่สุดก็เสร็จสิ้นลุล่วงไปได้ด้วยดี ทั้งเอกสารสำหรับยืยันตนเอง และเอกสารอนุญาตพกพาอาวุธในที่สาธารณะ อันที่จริงนี้อาเชอร์ก็ตำหนิไปนิดหน่อยเรื่องที่เขาหยิบเอาธนูไปช่วยเหลือคนมา ถ้าเจอมือปรามจับได้มันจะเป็นเรื่องยุ่งยาก แต่โชคดีที่มือปราบไม่ได้สืบสาวราวเรื่อง ก็เลยยกประโยชน์ให้เด็กหนุ่มไป

 

ตอนนี้ทุกคนกำลังเตรียมสำหรับการเดินทางไปยังประเทศลินโด้ที่ตั้งอยู่ในทวีปยูโรเปียน อาเชอร์ เลออส และเมเทียใช้เวลาเตรียมตัวไม่มาก เพราะสัมภาระของเพราะเขาไม่เยอะ และกำลังจะเดินทางไปท่าเรือเหาะที่อินชอน ซึ่งอยู่ถัดจากเมืองฮันยางนี้แหละ โดยวันนี้มาดามอาโซมิจะตามไปส่งพวกเขาที่ท่าเรือเหาะด้วย เธอจึงให้คนจัดเตรียมรถลีมูซีนเอาไว้สำหรับการเดินทางไปอินชอน

 

“ทุกคนพร้อมแล้วใช่ไหมครับ?” เดวิดทำการแจกตั๋วเรือเหาะให้แก่ทุกคน และยังอธิบายด้วยว่าต้องยื่นอีไอซี (Electronics Information Card) ให้พนักงานเรือเหาะและเจ้าหน้าที่ตรวจคนให้ดูทุกครั้ง เพราะข้อมูลที่พวกเขาทำเอกสารสำหรับยืนยันตัวมาทั้งหมด อยู่ในการ์ดอิเล็กทรอนิกส์นี้หมดแล้ว

 

“ตอนนี้ข้อมูลของทุกคนระบุเอาไว้ส่าเป็นพลเมืองของลินโด้ และมาท่องเที่ยวที่โชซอนมาหนึ่งอาทิตย์นะครับ”

 

ทุกคนพยักหน้ารับรู้ในข้อมูลที่เดวิดบอกไป เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน อาเชอร์ที่ได้ยินดังนั้นจึงหยิบบัตรของตนเองมาจากกระเป๋าคาดอกของตน และเปิดดูข้อมูลของตนเอง และชื่อที่ปรากฎในนั้นก็ทำให้เขาประหลาดใจเล็กน้อย

 

“อาเชอร์ คิงสตัน?”

 

“ตอนนี้เธอยังใช้นามสกุลตัวเองไม่ได้น่ะอาเชอร์ ตอนนี้ยังเสี่ยงเกินไป” เด็กหนุ่มพยักหน้ารับรู้ในเหตุผล ว่าแต่นามสกุลนี้มันดูคลับคล้ายคับคา เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนก็ไม่รู้

 

“ก็นามสกุลของท่านตาเธอไง” อาเชอร์ถึงกับตาโตทันที นี้เขากำลังใช้นามสกุลของท่านตาของเขาอยู่เหรอเนี่ย?

 

“ท่านตาของเธอน่ะ พอรู้ว่าเธอจะต้องใช้เอกสารยืนยันตัวสำหรับการออกโชซอน เขาก็ตกลงที่จะให้เธอใช้นามสกุลของเขาเองแทบจะทันทีเลยแหละ โดยให้เธอสวมรอยเป็นลูกของน้าชายของเธอที่เสียชีวิตไปพักใหญ่แล้ว”

 

“นี้ท่านตายอมให้ผมใช้นามสกุลเขาเลยเหรอครับเนี่ย...” เด็กหนุ่มรู้สึกตื่นเต้น เพราะในที่สุดเขาก็จะได้พบครอบครัวที่ยังเหลืออยู่ของเขาเพียงครอบครัวเดียว

 

“อีกเดี๋ยวเราจะเข้าท่าเรืออินชอนแล้วนะคะ ทุกคนเช็คสัมภาระกันดี ๆ นะคะ เดี๋ยวเกิดลืมในอยู่ในโชซอนจะยุ่งเอา” มาดามอาโซมิที่วันนี้มาในชุดฮันบกเสื้อขาวกระโปรงสีแดงเข้ม อาเชอร์รู้สึกตลอดที่เจอหน้ากัน มาดามอาโซมิดูเหมาะกับชุดฮันบกมากที่สุด

 

“ขอบคุณสำหรับทุกอย่างจริง ๆ นะครับ มาดามอาโซมิ ถ้าไม่มีคุณพวกเราก็ไม่รู้ว่าจะออกจากที่นี้ได้ยังไง” เลออสและเมเทียโค้งตัวลงเล็กน้อยเพื่อแทนคำขอบคุณในการช่วยเหลือพวกเขาครั้งนี้

 

“ไม่เป็นไรจริง ๆ ค่ะ อันที่จริงต่อให้พ่อหนุ่มน้อยไม่ได้มาคุยกับฉันก่อน ฉันก็ยินดีที่จะช่วยคนที่ผนึกแห่งแสงเลือกให้เข้าศึกษาที่นั่นอยู่แล้วค่ะ” พอพูดถึงสถาบันมาดามอาโซมิก็มีแววตาที่เศร้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะตอนที่เธอยังเป็นเด็กเธออยากเข้าไปเรียนที่สถาบันแห่งนี้มาก ๆ

 

แต่เธอกลับไม่ได้ใช้ชีวิตของเธอในแบบที่เธอฝัน เมื่อบิดาของเธอบังคับให้เธอแต่งงานกับลูกชายของเจ้าของกิจการรายใหญ่ในนิฮง ที่ผ่านมามาดามอาโซมิได้แต่ใช้ชีวิตอยู่ในกรอบที่มีคนกำหนดมาให้ว่าควรทำอะไรมาโดยตลอด และเธอเพิ่งจะได้รับอิสระตอนที่สามีของเธอนั้นเสียชีวิต

 

หลังจากที่สามีเสียชีวิตเธอก็เดินทางกลับมาบ้านเกิดของตนเอง และสร้างเนื้อสร้างตัวจนตอนนี้เธอมีทรัพย์สมบัติที่ทั้งชาตินี้ก็ใช้ไม่หมด ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกเริ่มมีแต่คนสบประมาทเธอว่าเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆ เพียงคนเดียวจะไปทำอะไรได้

 

ดังนั้นอาเชอร์จึงไม่แปลกใจที่มาดามอาโซมิจะสนับสนุนองค์ราชินีแห่งโชซอนอย่างเต็มที่ ในการเชื่อมั่นในตนเองมากกว่าที่จะทำตามในสิ่งที่คนเองบอกว่าควรทำอะไร

 

พวกเขาทั้งหมดพูดคุยกันถึงเรื่องต่าง ๆ จนกระทั่งลีมูซีนคันหรูมาจอดตรงหน้าท่าเรือ

 

“เราคงจะต้องลากันตรงนี้นะคะ ถ้ามีวาสนาต่อกันเราคงได้พบกันอีกค่ะ” มาดามอาโซมิส่งพวกเขาตรงหน้าทางเข้าด่านตรวจคน พวกเขาร่ำลากับมาดามอาโซมิเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่แยกตัวเข้าไปในด่านตรวจคน

 

ก่อนจะลับสายตาไป อาเชอร์แอบเห็นด้วยว่าเธอขยิบตาข้างหนึ่งให้เขาด้วย นับว่าเธอเป็นกัลยาณมิตรคนหนึ่งที่เขาจะไม่มีวันลืมได้จริง ๆ

 

อาเชอร์เดินรั้งท้ายพวกเลออส เขารีบเข้ามาต่อแถวตรวจคนออก ก็พบว่ามีเจ้าหน้าที่ไม่มากเท่ากับแถวของตรวจคนเข้าเมือง

 

“อีไอซีด้วยครับ” เจ้าหน้าที่ตรวจคนออกเมืองทักอาเชอร์เมื่อมาถึงคิวของเขา

 

“ค...ครับ?”

 

“อีไอซีด้วยครับ” อาเชอร์เอาบัตรอีไอซีออกมาจากกระเป๋า และเขาก็ไม่เข้าใจว่าจะมือสั่นทำไม ในเมื่อข้อมูลทั้งหมดทั้งมวลดร.เดวิดได้เตรียมเอาไว้หมดแล้ว

 

เจ้าหน้าที่ตรวจคนออกนำอีไอซีของอาเชอร์มาสแกนข้อมูลและอ่านข้อมูลในนั้น สาบานได้ว่าตอนที่เจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบข้อมูลประจำตัวเขาอยู่นั้นเขาเผลอกลั้นหายใจด้วยความเกร็งและความตื่นเต้น!

 

“เรียบร้อยครับ ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพนะครับ”

 

อาเชอร์ถอนหายใจด้วยความโล่งอกอย่างไม่รู้ตัว เขารับบัตรอีไอซีมาจากเจ้าหน้าที่ตรวจคนออก และเดินไปยังท่าเรือเหาะลำที่จะออกเดินทางไปยังลินโด้ แต่โชคดีที่เขาไม่ต้องไปหาท่าเรือนั้นด้วยตัวเอง เพราะพวกเลออสกำลังยืนรอเขาอยู่ตรงหน้าประชาสัมพันธ์

 

“ทำไมนานจังล่ะ หืม?”

 

“แถวมันยาวน่ะครับ ท่าน...เอ่อลุงเลออส” เด็กหนุ่มต้องรีบเปลี่ยนสรรพนามหลังจากที่โดนจ้องเขม็ง

 

สงสัยเขาคงจะต้องฝึกเรียกทั้งคู่ใหม่จริง ๆ เสียแล้ว

 

เรือเหาะของพวกเขาเทียบท่าที่ท่าเรือหมายเลข 5 บรรยากาศของท่าเรือนั้นเต็มไปด้วยผู้คนที่หลากหลายเหมือนกับตัวเมืองฮันยางไม่มีผิด คนจากหลากหลายเชื้อชาติต่างก็หลั่งไหลมาท่องเที่ยวที่โชซอน และนอกเหนือจากนี้ไม่ใช่แค่มนุษย์เท่านั้น อาเชอร์ยังเจอผู้คนจากหลากหลายเผ่าพันธุ์อีกด้วย!

 

“นี้ถ้าเข้าลินโด้จะไม่ยิ่งตื่นเต้นกว่าเหรอเนี่ยฮะ ฮ่าๆๆ” เลออสแซวอาเชอร์อย่างอารมณ์ดี ซึ่งอาการตื่นเต้นของเด็กหนุ่มก็พลอยทำเอาเมเทียยิ้มออกมาด้วยเช่นกัน

 

“ก็ผมเพิ่งเคยเห็นพวกเขาตัวเป็น ๆ นิครับ”

 

“เอาน่า เดี๋ยวถ้าเธอไปถึงที่ลินโด้ รับรองว่ามันยิ่งกว่านี้อีก” เพียงแค่เลออสบอกแค่นั้นอาเชอร์ก็จินตนาการไปล่วงแล้วว่าลินโด้ที่ว่านี้จะเป็นยังไงบ้าง

 

“ท่าเรือเลข 5 อยู่ทางนี้ครับ” เดวิดเอ่ยกับทุกคนเมื่อมาถึงท่าเรือของพวกเขา อาเชอร์ถึงกับร้องว้าว ออกมา เมื่อเรือเหาะที่เขาจะโดยสารไป มันเป็นเรือเหาะที่ใหญ่มาก และผู้คนก็กำลังต่อแถวขึ้นเรือกันอยู่

 

“ว้าว...” อาเชอร์ถึงกับร้องอุทานออกมาทันทีที่เขาก้าวเข้าสู่เรือเหาะ ลูกเรือหลาย ๆ คน กำลังเตรียมความพร้อมของเรือเหาะอย่างขันแข็ง โดยมีกัปตันสั่งการอยู่ในห้องควบคุมผ่านไมค์โครโฟน ซึ่งพวกเขามีหน้าที่ในการดูแลส่วนต่าง ๆ ของเรือ ส่วนทางด้านผู้โดยสารก็จะมีพนักงานต้อนรับคอยดูแลตังหาก ซึ่งพนักงานต้อนรับมีทั้งชายและหญิงในชุดสีฟ้าสดใส

 

เด็กหนุ่มที่กำลังยืนอยู่ลูกเรือบางส่วนปีนเสากะดงเรืออยู่ ทำให้เขาเดินชนลูกเรือคนหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ

 

“โอ๊ย! เฮ้ ระวังหน่อยสิ”

 

“เอ๊ะ ขอโทษนะครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ...” น้ำเสียงของอาเชอร์อ่อนลงเพราะลูกเรือที่เขาชนโดยไม่ได้ตั้งใจลูกเรือเผ่าพันธุ์คนแคระ

 

“อะไร มองแบบนี้หมายความว่าอะไร ฮะ!” ก่อนที่ลูกเรือคนแคระคนนั้นจะโวยวาย พนักงานต้อนรับที่อยู่ในบริเวณก็เข้ามาช่วยทันที

 

“ขอโทษแทนผู้โดยสารด้วยนะคะคุณแฟลชเชอร์ เดี๋ยวพวกเราจะดูแลผู้โดยสารเองค่ะ”

 

“ฝากด้วยนะเจนิส ให้ตายสิทำไมวันนี้มีแต่คนทำให้อารมณ์เสียทั้งวันเลยนะ!”

 

ว่าแล้วลูกเรือคนแคะคนนั้นก็เดินกระพัดกะเพียดไปอีกทาง ก่อนที่พนักงานต้อนรับที่ชื่อเจนิสจะหันมายิ้ม ๆ กับเขา

 

“วันนี้เขาหงุดหงิดง่ายไปนิดนึงน่ะค่ะ ผู้โดยสารอย่าใส่ใจไปเลยนะคะ”

 

เด็กหนุ่มพยักหน้าให้กับพนักงานต้อนรับ ก่อนที่พวกผู้ใหญ่จะตามมาสมทบกับอาเชอร์

 

“ไม่ทันไรหาเรื่องลูกเรือแล้วเหรออาเชอร์” เลออสแซวอาเชอร์ เด็กหนุ่มน่าจะเหวอไปพอสมควรเพราะว่าคนแคระเป็นเผ่าพันธุ์ที่อารมณ์ค่อนข้างแปรปวน ขึ้น ๆ ลง ๆ ตลอดเวลา

 

“ผมยังไม่ได้อะไรเลยนะ อยู่ ๆ เขาก็เกี้ยวกราดใส่ผมเฉยเลย”

 

“พวกเขาอารมณ์เสียง่ายแบบนี้อาเชอร์ ไม่คิดมากไปหรอก พวกเราไปที่ห้องของพวกเรากันเถอะ” เดวิดตบไหล่ปลอบใจเด็กหนุ่ม ก่อนที่จะนำตั๋วเรือเหาะให้พนักงานต้อนรับตรวจสอบและประทับตราขององค์การเรือเหาะลงบนตั๋วของแต่ละคน

 

“ขอให้ผู้โดยสารเก็บตั๋วเอาไว้ตลอดการเดินทางนะคะ ห้องA08 ลงบันไดชั้นหนึ่งแล้วเลี้ยวขวานะคะ” พวกเขารับตั๋วของตัวเองมาแล้วเดินไปที่ห้องของพวกเขานั้นคือ ห้อง A08

 

ในเรือเหาะจะมีการแบ่งระดับห้องดังต่อไปนี้ คือ ระดับ C ระดับนี้จะเป็นแค่ที่นั่งสำหรับการเดินทางธรรมดา ส่วนโดยมากแล้ว ระดับ C จะอยู่ในเรือเหาะที่ใช้เดินทางภายในอาณาจักรเสียมากกว่าเพราะใช้เวลาในการเดินทางไม่นาน

 

ระดับต่อมาคือระดับ B ในระดับนี้ที่นั่งของเราจะไม่ได้อยู่ติดกับที่นั่งของผู้โดยสารคนอื่น ๆ แต่จะเป็นห้องส่วนตัว ในหนึ่งห้องจะมีอยู่ 2 เตียงคู่ ไม่มีห้องน้ำในตัว ส่วนมากห้องระดับ B จะอยู่ในเรือเหาะขนาดใหญ่ที่ใช้เดินทางข้ามอาณาจักรหรือข้ามทวีปแบบที่พวกอาเชอร์กำลังจะเดินทางข้ามไปทวีปยูโรเปียน

 

เพียงแต่ว่าห้องของพวกเขาไม่ใช่ห้องระดับ B แต่เป็นห้องระดับ A ซึ่งก็คือห้องที่ใหญ่กว่าระดับ B นั้นคือมีห้องส่วนกลาง 1ห้อง ห้องนอน 2 ห้อง อาจจะขอเสริมเตียงนอนเป็นห้องละ 2 เตียงได้ และมีห้องน้ำในตัว ซึ่งเดวิดได้เลือกห้องระดับ A ให้แก่ทุกคน

 

พวกเขามาถึงห้อง A08 ของพวกเขาแล้ว แม้ว่าห้องระดับ A จะไม่ได้หรูเท่ากับห้องพักในโรงแรมแต่ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจ เมื่อเทียบกับห้องพักระดับ B

 

ห้องส่วนกลางมีเฟอร์นิเจอร์ไม่มากนัก นอกจากโต๊ะกลางและโซฟาสองตัว และเก้าอี้นั่งสำหรับการเตรียมตัวนำเรือขึ้น-ลง ซึ่งมันมีเข็มขัดประจำที่นั่งติดกับเก้าอี้เบาะนั้นด้วย จากนั้นก็จะมีประตูสามบานนั้นคือห้องนอนสองห้อง และห้องน้ำในตัวของห้องระดับ A

 

เมื่อมาถึงแล้วทุกคนก็ตกลงกันว่า เลออสกับเดวิดจะนอนในห้องที่อยู่ริมสุด และเมเทียกับอาเชอร์จะนอนห้องที่อยู่ถัดมา ตอนแรกอาเชอร์ทำท่าจะอยากเปลี่ยนห้อง เพราะห้องที่เลออสและเดวิดนอนนั้นเป็นห้องที่ติดหน้าต่างมองเห็นทิวทัศน์ชัดเจน แต่เพราะเหตุผลเรื่องการป้องกันผู้บุกรุกจากหน้าต่างทำให้เด็กหนุ่มแต่ได้เงียบ ไม่แม้แต่จะปริปากออกมาสักคำ

 

พวกเขานั่งเล่นอยู่ที่ห้องส่วนกลางครู่หนึ่ง ไม่นานนักก็มีเสียงประกาศจากกัปตันเรือว่า ตอนนี้ขอให้ผู้โดยสารทั้งหมดอยู่ในห้องของตนเอง เพราะพวกเขาจะทำการสตาร์เครื่องยนต์เพื่อนำเรือขึ้นแล้ว

 

“ท่านผู้โดยสารโปรดทราบ ขณะนี้เราจะทำการสตาร์เครื่องยนต์แล้ว ขอให้ผู้โดยสารทุกท่าน อยู่ในห้องของตนเอง และรัดเข็มขัดกับที่นั่งของตนเองตลอดการนำเครื่องขึ้น ทุกท่านจะออกจากห้องของตนเองได้อีกครั้ง ต่อเมื่อสัญลักษณ์ไฟนำเครื่องขึ้นจะดับลง”

 

เมื่อกัปตันเรือเหาะกล่าวเสร็จ ไฟสัญญาณที่ติดตั้งในห้องทุกห้องก็สว่างขึ้น มันคือสัญญาณไฟที่บ่งบอกว่าเรือเหาะกำลังจะทำการบินแล้ว นั้นทำเอาเด็กหนุ่มวุ่นวายกับเข็มขัดที่นั่งจนเดวิดที่นั่งใกล้ ๆ เขาต้องอธิบายว่าเด็กหนุ่มควรทำยังไงกับมัน

 

เมื่อกัปตันประกาศมาตามนั้น อาเชอร์ก็หันไปมองหน้าต่างข้าง ๆ ตนทันที ส่วนทางด้านบนเรือนั้นลูกเรือทั้งหลายต่างก็ประจำที่เสากะดงเรือปลดเชือกใบเรือให้ลู่ตามลม ใบเรือของเรือเหาะไม่เหมือนกับพวกเรือสำเภาทั่วไป ใบเรือของมันเป็นระบบโซล่าเซลล์ ซึ่งจะทำการกักเก็บแสงอาทิตย์เอาไว้เป็นพลังให้กับเครื่องยนต์ที่จะทำหน้าที่ให้เรือเหาะบินขึ้นฟ้า

 

ใบเรือของเรือเหาะเปล่งประกายอันเนื่องมาจากแสงอาทิตย์ที่กักเก็บมาได้ ซึ่งพลังงานเหล่านั้นก็วิ่งไปรวมกันที่เสากะดงเรือ ก่อนที่เสากะดงจะทำหน้าที่รวบรวมพลังงานเหล่านั้นไปยังเครื่องยนต์ส่วนต่างๆ

 

เมื่อรวบรวมพลังงานได้พอประมาณแล้ว กัปตันเรือจึงสั่งการให้ลูกเรือสับสวิตซ์เพื่อให้เครื่องยนต์เรือเหาะทำงาน เสียงของเครื่องยนต์เมื่อเริ่มทำงานนั้นค่อนข้างดัง และค่อย ๆ เงียบลงบ่งบอกว่าตอนนี้เครื่องยนต์ทำงานเสถียรแล้ว

 

ลูกเรือที่ทำงานหน้าดูแลเครื่องยนต์การลอยตัวของเรือเหาะก็สับสวิตช์อีกต่อหนึ่ง ทำให้เครื่องยนต์นั้นเริ่มปล่อยพลังงานมหาศาลจากใต้ท้องเรือ ทำให้เกิดแรงไอพ่นจากปล่องใต้ท้องเรือ ตอนนี้เรือเหาะค่อย ๆ ลอยตัวขึ้นมาแล้ว

 

อาเชอร์รู้สึกเสียวที่ท้องน้อยเมื่อรู้สึกเรือเหาะกำลังลอยตัวขึ้นสูงขึ้นเรื่อย ๆ และเป็นอีกครั้งที่เลออสแซวเขาว่าทำตัวเป็นบ้านนอกเข้ากรุง ครั้งที่เขาเองก็เดินทางมาโชซอนด้วยเรือเหาะแท้ ๆ

 

ตอนนั้นใครมันจะไปจำได้กันละ...

 

กัปตันเรือทำการติดต่อไปยังหน่วยบังคับการบิน ก่อนที่เขาจะหมุนพวงมาลัยของเรือไปตามทิศทางที่หน่วยบังคับการบินแจ้งมา

 

“Ready for take off”

 

เมื่อเสร็จคำของกัปตัน ลูกเรือคนหนึ่งที่เป็นคนแคระทำการสับสวิตช์ใบพัดและเครื่องยนต์ไอพ่นส่วนท้ายของเรือให้ทำงาน ตอนนี้ทั้งใบพัดและเครื่องยนต์ส่วนท้ายเรือทำงานแล้ว ส่งผลให้เรือเหาะเคลื่อนตัวไปข้างหน้าเต็มกำลัง

 

ส่วนภายในห้องของผู้โดยสาร เด็กหนุ่มถึงกับเผลอจิกมือพนักมือของเก้าอี้สำหรับนำเครื่องขึ้น-ลงโดยไม่รู้ตัว จนกระทั่งเรือเหาะเคลื่อนตัวไปด้านหน้าด้วยอัตราความเร็วที่สม่ำเสมอ และแล้วสัญญาณไฟนำเครื่องขึ้นก็ดับลง

 

“ขณะนี้สัญญาณไฟได้ดับลงแล้ว ผู้โดยสารสามารถลุกจากที่นั่งได้แล้วค่ะ ทุกท่านสามารถออกจากห้องของท่านมาที่ดาดฟ้าของเรือเพื่อชมทิวทัศน์ได้ค่ะ หากมีเหตุฉุกเฉินหรือเหตุจำเป็นใด ๆ ที่ต้องให้ผู้โดยสารทุกท่านต้องประจำที่ห้องพักตนเอง เราจะแจ้งให้ทุกท่านทราบอีกครั้งนะคะ ขอให้ทุกท่านเพลิดเพลินกับการเดินทางครั้งนี้ ขอบคุณค่ะ” คราวนี้เป็นเสียงของพนักงานต้อนรับกล่าวกับผู้โดยสารบนเรือ แต่อาเชอร์รู้สึกสนใจกับสิ่งที่พนักงานต้อนรับประกาศมากกว่า

 

“ทุกท่าน ไปด้านนอกกันเถอะนะครับ นะ!” อาเชอร์รีบปลดเข็มขัดประจำที่นั่งทันที ตอนนี้เขาเหมือนเด็กอายุสิบขวบมากกว่าเด็กอายุสิบแปดเสียอีก

 

ทั้งเดวิดและเมเทียปลดเข็มขัดออกและเดินไปเป็นเพื่อนอาเชอร์ โดยเลออสนั้นขอถอนตัว เพราะตอนนี้เขารู้สึกว่าเมาเรือขึ้นมานิด ๆ เสียแล้ว

 

“โห...นี่คือเมืองฮันยางมุมสูงเหรอเนี่ย” ตอนนี้อาเขอร์มองวิวเมืองฮันยางด้านล่างอย่างตื่นตาตื่นใจ จากอาคารบ้านเรือนที่ดูมโหฬารด้านล่างนั้น ดูเล็กลงไปถนัดตาเมื่ออยู่บนเรือเหาะนี้ ผู้คนที่สัญจรไปมาด้านล่างก็ดูเหมือนมดตัวเล็ก ๆ ที่กำลังวิ่งไปวิ่งมาบนท้องถนนไม่มีผิด

 

ดูเหมือนและไม่ใช่แค่เขาที่จะออกมาดูวิวทิวทัศน์ของเมืองฮันยาง ยังมีเด็กเล็ก ๆ ไปจนถึงผู้ใหญ่หลาย ๆ คนต่างก็มาชมวิวทิวทัศน์บนนี้เช่นกัน เพราะว่าวิวที่เห็นเมืองในแบบเดียวกันกับที่นกเห็นนั้นไม่ใช่วิวที่ทุกคนจะเห็นได้ง่าย ๆ และนี้มันก็ทำให้เขายิ่งรู้สึกตื่นเต้นไปกับการเดินทางครั้งนี้

 

“อาเชอร์ เดี๋ยวอีกสักพักเราจะต้องกลับไปที่ห้องกันแล้วนะ เมื่อกี้พนักงานต้อนรับมาแจ้งมา ระหว่างเราอาจจะเจอพายุเข้า ตอนนี้เขากำลังคำนวณเส้นทางไม่ให้ปะทะกับมันอยู่” เดวิดบอกกับเด็กหนุ่มเมื่อเห็นว่าหลังจากที่พนักงานต้อนรับประกาศเสร็จ ทุกคนก็พากันกลับเข้าไปในเรือ

 

“ได้ครับ งั้นพวกเราไปกันเลยก็ได้ครับ” แค่ออกมาดูวิวแค่นี้ก็ทำให้เขารู้สึกพึงพอใจมากแล้ว การเดินทางไปยังลินโด้ใช้เวลาประมาณสองวันกว่าจะข้ามทวีปเอซาเนียได้ ระหว่างนี้พวกเขาก็คงต้องนอนเอาแรงกันเสียหน่อย และยังไม่นับเรื่องโซนเวลาที่จะทำให้เกิดอาการเจ็ทแลค หรืออาการที่ร่างกายปรับจังหวะเวลาให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ที่มีโซนเวลาต่างกันไม่ได้

 

เพื่อไม่ให้เกิดอาการเหล่านี้พวกเขาจึงจำเป็นที่จะต้องปรับพฤติกรรมและเวลาการพักผ่อนให้เข้ากับเขตเวลาใหม่ให้เร็วที่สุด ดังนั้นตอนนี้พวกเขาก็ควรที่จะกลับไปยังห้องของตนเองและเริ่มปรับพฤติกรรมตนเอง ซึ่งตอนนี้พวกอาเชอร์เองก็กลับห้องของตนเองเรียบร้อยแล้วเช่นกัน

 

พนักงานต้อนรับเดินออกมาจากด้านในตัวเรือ เพื่อตรวจความเรียบร้อยอีกครั้ง และเธอก็พบหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังยืนตากลมอย่างสบายอารมณ์อยู่เพียงคนเดียว ในขณะที่ผู้โดยสารคนอื่นกลับไปยังห้องพักของตนเองกันหมดแล้ว

 

“เอ่อ ผู้โดยสารคะ อีกเดี๋ยวเราอาจจะปะทะกับเมฆฝน รบกวนผู้โดยสารกลับเข้าห้องด้วยนะคะ”

 

“โอ้! ขอบคุณค่ะ พอดีฉันชอบที่จะสูดอากาศบนนี้น่ะค่ะ เดี๋ยวแป๊บนึงก็จะกลับเข้าห้องแล้วล่ะค่ะ” เป็นเพราะเธอคลุมใบหน้าเอาไว้ทำให้พนักงานต้อนรับผู้นี้มองหน้าของนางไม่ถนัดนัก แต่จู่ ๆ เธอก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ และเหมือนมีเสียงกระซิบบางอย่างดังขึ้นในหัวของเธอว่า ไม่ควรที่จะเซ้าซี้ผู้โดยสารคนนี้

 

“ถ้าอย่างนั้น หากมีอะไรให้ช่วยเหลือ ผู้โดยสารสามารถแจ้งพวกเราได้เลยนะคะ”

 

หญิงสาวผู้นั้นทำแค่เพียงยิ้มมุมปากเท่านั้นและไม่ได้กล่าวอะไรต่อ ก่อนที่พนักงานต้อนรับสาวผู้นั้นจะเดินกลับเข้าไปด้านในเรือ จนกระทั่งตอนนี้ เธอก็ยังคงรู้สึกขนลุกไม่หาย

 

“เห้อ อะไรกันเนี่ย...” เธอรำพึงรำพันของตนเองเบา ๆ ก่อนที่เพื่อนพนักงานของเธอจะเรียกให้เธอไปช่วยขนของสำหรับกับบริการผู้โดยสาร และเธอก็ลืมไปเสียสนิทเลยว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น...

 

ทางฝ่ายหญิงสาวที่ถูกเตือนนั้นเธอไม่ได้ไหวติงแต่อย่างใด นอกจากมองดูกลุ่มเมฆฝนที่หล่อนเห็นอยู่ไกล ๆ

 

“จะให้รีบเข้าห้องทำไมล่ะ ในเมื่อความสนุกยังไม่เริ่มเลย” น้ำเสียงของเธอย์อกเย็นผิดปกติ และมองดูเมฆดำที่ปล่อยกระแสสายฟ้าออกมาจากตัวมัน

 

“เห็นทีคราวนี้ คงต้องใช้ความสามารถที่มีทั้งหมด ออกมาอย่างจริงจังแล้วละ นายน้อยแห่ง ซาจิทารัส!” เมื่อเธอคำราม เสียงฟ้าร้อง ฟ้าผ่าก็ดังสนั่นราวกับตอบรับคำที่เธอเอยไปเมื่อครู่ และเธอก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่งก่อนที่เต้นรำไปมาบนดาดฟ้าเรือเหาะอย่างอารมณ์ดี ผิดกับสภาพอากาศที่กำลังปั่นป่วนจากลมพายุโดยสิ้นเชิง

“อ่าว ทุกคนหลับกันแล้วเหรอเนี่ย...” อาเชอร์ลุกขึ้นมานั่งบนเตียงในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น เขามองดูนาฬิกาพกของเขา นี่มันเพิ่งจะหัวค่ำเอง หรือว่าทุกคนกำลังปรับตัวให้เข้ากับโซนเวลาอย่างที่พวกเขาเคยบอกเด็กหนุ่มหรือเปล่าก็ไม่ทราบ

 

เปรี้ยง!!!

 

เสียงฟ้าผ่าทำให้อาเชอร์สะดุ้งขึ้นมา นี้เรือเหาะกำลังผ่านพายุเหรอเนี่ย สงสัยคงจะหลบไม่พ้นสินะ อาเชอร์ขยี้ตาตัวเองเล็กน้อยเพื่อให้ตื่นขึ้น จู่ ๆ ก็ตื่นมาแบบนี้มันทำให้เขารู้สึกอยากเข้าห้องยังไงไม่รู้สิ

 

เมื่อคิดได้ดังนั้นเด็กหนุ่มก็ลุกจากเตียงและออกจากห้องเพื่อไปเข้าห้องน้ำ

 

อ่า...โล่งแฮะ

 

หลังจากที่เสร็จสิ้นธุระตัวเอง เด็กหนุ่มก็ปิดประตูห้องน้ำและกำลังจะเดินกลับไปยังห้องนอนต่อ แต่ยังไม่ทันที่จะเดินกลับ เขาก็ได้ยินเสียงน้ำหยดในห้องน้ำ

 

นี้เขายังไม่ได้ปิดก๊อกน้ำอีกเหรอ?

 

อาเชอร์ตัดสินใจเดินกลับเข้าไปดูที่ก๊อกน้ำตรงอ่างล้างหน้าอีกครั้งและลองบิดก๊อกน้ำดู

 

ก็ปิดแล้วนิ...

 

ทว่าเสียงน้ำหยดก็ไม่ได้หยุดลงแต่อย่างใด เพราะเสียงน้ำหยดนั้นมันดังมาจากอ่างอาบน้ำที่อยู่ตรงมุมห้อง อาเชอร์มั่นใจว่าก่อนที่เมเทียจะออกจากห้องน้ำ นางจะเช็กทุกอย่างให้แน่ใจทุกครั้งว่าไม่มีอะไรเปิดค้างอยู่ และนางก็อาบน้ำเป็นคนสุดท้ายด้วย

 

เสียงหยดน้ำยังคงดังขึ้นเรื่อย ๆ จนอาเชอร์เริ่มรู้สึกไม่ดี เขาจึงบิดกลอนประตูเพื่อจะออกจากที่นี่

 

เปิดไม่ได้...

 

เด็กหนุ่มมั่นใจว่าเขาไม่ได้กดล็อกกลอนประตู และไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงเปิดประตูไม่ได้ และทันใดนั้นตรงอ่างอาบน้ำนั้นก็ทำให้เขาหัวใจเต้นผิดจังหวะ เมื่อน้ำที่ไหลออกนอกอ่างมานั้นเป็นเลือด

 

ไม่เอา...ไม่เอาแล้ว

 

อาเชอร์พยายามจะบิดกลอนประตูอีกครั้ง แต่มันก็ไม่มีทีท่าว่าจะเปิดออกสักที จนกระทั่งเลือดมันเอ่อล้นออกมาจากอ่างอาบน้ำ และก็มีมือของใครคนหนึ่งจับขอบอ่าง

 

เด็กหนุ่มแทบจะไม่เหลือสติอีกต่อไปแล้วเมื่อเห็นมือของใครบางคนแตะขอบอ่าง เขาเขย่ากลอนประตู ทุบประตู และตะโกนเรียกให้ช่วยอย่างบ้าคลั่ง

 

“ช่วยผมด้วย ช่วยอยู่ในนี้!”

 

แต่เหมือนไม่มีใครได้ยินสักคน ก็เจ้าของมือก็เคลื่อนตัวเข้าหาเด็กหนุ่มอย่างรวดเร็ว โดยที่หน้าของเขาอยู่ห่างจากอาเชอร์เพียงแค่คืบ

 

“แกคิดว่าจะหนีฉันพ้นเหรอ!”

 

และสิ่งสุดท้ายเด็กหนุ่มจำได้ ก็คือเสียงหัวเราะอันบ้าคลั่งของชายคนนั้น และสภาพของชายคนนั้นที่เลือดอาบทั้งตัว

 

“ไม่!!!” อาเชอร์สะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ทำเอาเมเทียที่อยู่ด้านนอกห้องรีบวิ่งเข้ามาดู

 

“อาเชอร์! เป็นอะไรหรือเปล่า?” เธอรีบเข้าไปโอบไหล่ของเด็กหนุ่ม ตอนนี้เขาหอบหายใจถี่ หน้าตาดูหวาด ๆ

 

“ฝันร้ายเหรอ?” อาเชอร์พยักหน้าแทนคำตอบ ทำให้เมเทียกอดเขาและก็ลูบหลังเขาเบา ๆ “ไม่เป็นไรแล้วนะ” เสียงของเมเทียทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด

 

โชคดีที่หลังจากสะดุ้งจากฝันร้ายครั้งนี้ เขาไม่เจอข้อความใด ๆ บนผนังห้องอีก แต่พอนึกย้อนกลับไปตอนที่เขาฝัน ชายคนนั้นเขาพูดว่ายังไงนะ?

 

แกคิดว่าจะหนีฉันพ้นเหรอ...

 

แค่นึกถึงคำพูดของชายคนนั้น เขาก็ขนลุกซู่ขึ้นมา เหมือนน้ำเสียงอันบ้าคลั่งนั้นยังดังก้องในหัวของเขาอยู่เลย

 

และแล้วเด็กหนุ่มก็นึกเอะใจขึ้นมา คำว่า แกคิดว่าจะหนีฉันพ้นเหรอ มันฟังดูแปลก ๆ นี้อาจจะหมายความว่า ชายคนนั้นกำลังเด็กหนุ่มมา ไม่ใช่สิ น่าจะหมายความว่า มีคนกำลังตามเขามาตังหากล่ะ

 

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว รีบไปอาบน้ำแต่งตัวเถอะ ตอนนี้พนักงานต้อนรับน่าจะเอาอาหารเช้ามาเสิร์ฟให้แล้วล่ะ”

 

“ครับ ป้าเมเทีย...” พูดถึงห้องน้ำเขาก็ยังขนลุกไม่หาย ทำไมชายคนนั้นจะต้องเข้าไปแช่เลือดในอ่างอาบน้ำด้วยนะ แล้วแบบนี้เขาจะกล้าอาบน้ำในอ่างอาบน้ำไหมเนี่ย!

 

สักพักเด็กหนุ่มก็ออกมาพร้อมกับชุดผ้ายีนของตน ที่ใช้เวลานานนั้นไม่ใช่เพราะอะไร เขาทำใจอยู่นานกว่าที่อาบน้ำในอ่างอาบน้ำได้ พอได้แช่น้ำอุ่นเสียหน่อยมันก็ช่วยให้เขาผ่อนคลายลง

 

“อาหารเช้ามาแล้วค่ะ” เสียงของพนักงานต้อนรับดังขึ้น ทำให้อาเชอร์ที่อยู่ที่ห้องส่วนกลางเป็นคนไปรับ ตอนนี้เมเทียกำลังดูแลเลออสที่กำลังเมาเรืออยู่ในห้องพักของเขา ส่วนดร.เดวิดก็ขึ้นไปดูสภาพอากาศบนดาดฟ้าของเรือ

 

“อาหารมาแล้วครับ” เด็กหนุ่มเคาะที่ห้องของเลออส เขาก็ได้ยินเสียงของเลออสตอบกลับมาว่า เดี๋ยวออกไป ด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่นัก

 

เด็กหนุ่มเดินกลับมาเปิดกล่องอาหารเช้าของเขา กลิ่นหอมของมันช่างกระตุ้นกระเพาะอาหารของเขาเรียกร้องที่จะทานมันเสียจริง เด็กหนุ่มจึงไม่รอเลออสและเมเทียออกมาจากห้อง และเลือกที่จะจัดการกับอาหารเช้าของตน

 

“อาหารเช้ามาแล้วเหรอ?” เป็นเดวิดที่เดินเข้าห้องมา หลังจากสำรวจสภาพอากาศเสร็จแล้ว

 

“ครับดอกเตอร์ เขาเพิ่งมาเสิร์ฟเมื่อกี้นี้เอง”

 

เดวิดเดินไปนั่งข้าง ๆ อาเชอร์แล้วหยิบกล่องอาหารเช้าของตนเองมา ทั้งเดวิดและอาเชอร์ยังคงได้ยินเสียงโอ้กอ้ากของเลออสอยู่ ซึ่งนั้นก็อาจจะเดาได้ว่า อาการน่าจะยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่

 

“เห้อ ให้ตายสิ เป็นนักรบซะเปล่า พอเมาเรือแล้วหมดสภาพ” เมเทียเดินออกมาจากห้อง ปล่อยให้เลออสได้พักผ่อน เธอป้อนยาแก้เมาเรือไปให้อีกเม็ดแล้ว คาดว่าพอถึงลินโด้แล้วน่าจะอาการดีขึ้น

 

“คงต้องให้เขาพักผ่อนก่อนแหละครับ เมื่อคืนนี้เขาก็แทบจะไม่นอนเลย” เดวิดเองก็แทบจะไม่ได้นอนเหมือนกัน เพราะว่าต้องลุกขึ้นมาดูแลคนเมาเรือแทบทั้งคืนเช่นกัน

 

“ทีตอนที่เข้าโชซอนมาไม่เห็นมีอาการแบบนี้เลย ทีงี้แหละบ่นปวดหัวมาตลอดทาง”

 

“เขาน่าจะไม่ได้ขึ้นเรือเหาะมานานละมั้งครับท่านนักเวท”

 

เมเทียบ่นอยู่แป๊บนึงก่อนที่จะไปนั่งที่โต๊ะส่วนกลางเพื่อแกะกล่องอาหารเช้าของเธอ ทั้งหมดเพิ่งทานอาหารเช้าไปได้ไม่นาน ก็มีเสียงประกาศของกัปตันเรือดังขึ้น

 

“ผู้โดยสารทุกท่าน ทางเราจะต้องทำการเทียบท่าที่ท่าเรือเหาะเมืองโคโลนิญ่า เขตอิทธิพลจักรวรรดิราซิยา อันเนื่องมาจากเกิดเหตุขัดข้องทางเทคนิคที่ตัวเครื่องยนต์จ่ายพลังงานของเรือเหาะ ทางเราก็อภัยในความไม่สะดวกมา ณ ที่นี้ด้วย ขอบคุณครับ”

 

การลงจอดฉุกเฉินที่ท่าเรือเหาะเมืองโคโลนิญ่าทำเอาผู้โดยสารหลาย ๆ คนแสดงความไม่พอใจค่อนข้างชัดเจน แต่ถ้าทางกัปตันเรือเหาะยังตัดสินใจที่จะเดินทางต่อ ทั้ง ๆ ที่ลูกเรือมาแจ้งเขาว่าเกิดเหตุขัดข้องที่เครื่องยนต์จ่ายพลังงานของเรือเหาะ หากไม่ตรวจสอบให้ถี่ถ้วน พวกเขาคงได้เรือล่มกลางมหาสมุทรที่ขวางกั้นระหว่างทวีปยูโรเปียนกับทวีปเอซาเนียแน่ ๆ ฉะนั้นเพื่อความปลอดภัยของทุกคน กัปตันจึงตัดสินใจที่จะหยุดเทียบท่า แล้วเช็กเรือเหาะให้แน่ก่อนที่จะเดินทางข้ามทวีปดีกว่า

 

การตรวจเช็กเครื่องยนต์ น่าจะกินเวลาไปประมาณหลายชั่วโมง กว่าที่จะพบสาเหตุว่ามันเกิดจากอะไร ดังนั้นพวกอาเชอร์จึงตัดสินใจที่จะออกมาเดินเล่นที่เมืองท่าโคโลนิญ่าแทนที่จะนั่งอยู่ในห้องเฉย ๆ และเลออสเองก็ถือโอกาสออกมาสูดอากาศด้านนอกด้วย

 

“เห้อ...แบบนี้ดีกว่าอยู่บนเรือเยอะเลย” เลออสนั่งตรงม้านั่งในบริเวณนั้น เขาสูดอากาศเข้าปอดเต็มที่ การอุดอู้อยู่แต่ในห้อง เป็นสิ่งที่เขาไม่ชอบเอาเสียเลย

 

“เธอก็เคยนั่งเรือเหาะมาแล้วไม่ใช่หรือไงน่ะเลออส ทำไมหนนี้ถึงเมาเรือได้ล่ะ”

 

“โธ่ มันตั้งกี่ปีมาแล้วล่ะเมเทีย แถมเรือเหาะเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วมันก็ไม่เร็วอะไรขนาดนี้นา” เมื่ออาการเมาเรือเริ่มหายไป ชายวัยกลางคนก็เริ่มกลับมาสนทนาตามปกติอย่างที่เขาเคยเป็น

 

อาเชอร์เริ่มสังเกตผู้คนในเมืองตามนิสัยส่วนตัวของเขา ผู้คนที่นี่ดูคล้าย ๆ กันกับชาวตะวันออกและชาวตะวันตกผสมกัน นั้นเป็นเพราะว่า เมื่อก่อนบริเวณแห่งนี้เป็นที่ของชนเผ่าเร่ร่อนที่ใช้ชีวิตบนหลังม้าซะส่วนใหญ่ พวกเขามักจะใช้ม้าซึ่งเป็นพาหนะคู่ใจไล่ต้อนฝูงสัตว์ครั้งละจำนวนมาก ๆ และเป็นชนกลุ่มที่เชี่ยวชาญการต่อสู้ด้วยธนูอีกกลุ่มหนึ่ง

 

ต่อมาเมื่อเทคโนโลยีก้าวไกลขึ้น จักรวรรดิราซิยาที่เป็นมหาอำนาจจากทวีปยูโรเปียนก็ได้แผ่ขยายอิทธิพลมาครอบครองในแผ่นดินนี้ พวกเขายังเคยคิดที่จะวางแผนขยายอาณาเขตของจักรวรรดิไปจรดชายแดนของต้าชิงทางตะวันออก แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะไม่มีใครสามารถทนอากาศที่หนาวเหน็บสุดขั้วในป่าเหมันต์ได้ แม้แต่พวกต้าชิง หรือพวกโชซอนที่อยู่ติดกับชายขอบป่าเหมันต์เองก็ไม่เคยขึ้นไปสำรวจที่ป่าเหมันต์เลยแม้แต่ครั้งเดียวซึ่งจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าป่าเหมันต์มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ในนั้นหรือไม่

 

สาเหตุที่ได้ชื่อว่าป่าเหมันต์นั้นก็เพราะว่า มันเป็นที่ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะหนาตลอดทั้งปี ราวกับว่าไม่เคยมีฤดูร้อนเกิดขึ้นที่นี่เลย ดังนั้นจึงไม่แปลกที่พวกคนโบราณจะเรียกสถานที่แห่งนี้ว่า ป่าเหมันต์ และจักรวรรดิราซิยาก็ไม่เคยที่ฝ่าเขตป่าเหมันต์ไปเลยแม้แต่ครั้งเดียว ฉะนั้นจึงทำให้เกิดเขตอิทธิพลของจักรวรรดิราซิยาในทางตะวันตกทวีปเอซาเนียแห่งนี้

 

เมื่อมีผู้อพยพจากตะวันตกเข้ามาผสมผสานของชนเร่ร่อนที่อยู่มาแต่ดั้งแต่เดิมของที่นี่ จึงทำให้เกิดการหล่อหลอมเป็นวัฒนธรรมใหม่ขึ้นมา และมันก็ทำให้ที่นี่มีเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวเช่นกัน

 

“เห้อ ว่าแต่ที่นี่มันมีอะไรกินบ้างเนี่ย” เลออสมองซ้ายมองขวาหวังที่จะหาอะไรกินในท่าเรือแห่งนี้ อาหารที่ทางเรือเหาะจัดเตรียมเอาไว้ให้ป่านนี้น่าจะเย็นจนจืดชืดไปหมดแล้ว เขาอยากทานอะไรที่มันอุ่น ๆ มากกว่าในเวลานี้

 

“แถวนี้น่าจะมีร้านอาหารนะครับท่านองครักษ์ ถ้ายังไงเราลองหาดูก่อนไหมครับ? ระหว่างนั้นผมจะลองส่งข้อความบอกท่านคิงสตันด้วยครับว่าพวกเรายังอยู่ที่โคโลนิญ่า”

 

“อืม นั้นสินะ ดีเลย ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไปหา...เฮ้ย! อะไรเนี่ย!” เลออสอุทานออกมาเมื่อตอนนี้เกิดแผ่นดินไหวจนพวกเขาล้มเซไปเซมา

 

“แผ่นดินไหวเหรอเนี่ย!”

 

“ไม่ใช่แน่ ๆ เลออส ฉันรู้สึกได้ถึงพลังเวทมนตร์ที่รุนแรงมาก นี้น่าจะเป็นสาเหตุของแผ่นดินไหวมากกว่าเหตุการณ์ธรรมชาติ” เมเทียกล่าวและเรียกคทาเวทมนตร์ขประจำตัวของเธอออกมา

 

ตอนที่เมเทียบอกว่าสัมผัสได้ถึงพลังงานเวทมนตร์ขั้นรุนแรง สายตาของเด็กหนุ่มไปเห็นหญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนตรงกลางถนนโดยไม่ไหวติงอะไร หล่อนสวมชุดคลุมสีดำทั้งตัว หนำซ้ำยังปกปิดใบหน้าอีก มีเพียงปากของเธอเท่านั้นที่กำลังแสยะยิ้มให้อาเชอร์เห็นโดยตรงหน้าเขา

 

นั้นไง เธอต้องเป็นสาเหตุของเรื่องนี้แน่!

 

แต่ยังไม่ทันที่อาเชอร์จะตะโกนบอกทุกคน หญิงสาวผู้นั้นก็หายไปจากจุดนั้นเสียแล้ว และมันก็ถูกแทนที่ด้วยสัตว์ประหลาดตัวมหึมาที่มีทั้งหัวสิงโต หัวแพะ และส่วนหางที่เป็นงูกำลังขู่ฝ่อ ๆ มาทางพวกเขา

 

“คิเมียร่า! ในท่าเรือเนี่ยนะ ล้อเล่นกันหรือเปล่า” เลออสถึงกับตะโกนออกมาเสียงดัง ในเมืองท่าเช่นนี้ไม่ควรจะมีสัตว์ประหลาดประเภทนี้ออกอาละวาดได้

 

คิเมียร่า คือสัตว์ประหลาดที่มีร่างกายกำยำและรวมสัตว์ร้ายสามชนิดด้วยกัน อันได้แก่ ส่วนหัวถึงหน้าอกเป็นสิงโต ส่วนหลังและกลางลำตวเป็นแพะ ซึ่งกลางหลังของมันมีหัวแพะยื่นออกมาด้วย และส่วนหางของมันเป็นอสรพิษ และพิษของมันก็ร้ายแรงกว่างูธรรมดาหลายเท่าตัว

 

“ทุกคนระวังตัวกันด้วยนะครับ” เดวิดเอ่ยกับทุกคน และเจ้าสัตว์ประหลาดหัวสิงโตนั้นคำรามออกมา ทำเอาผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างตื่นตระหนกและวิ่งหนีเอาตัวรอด และสายตาของมันก็หันขวับมาทางพวกเขา อสุรกายยักษ์นั้นจ้องเขม็งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

 

 

to be continued...........................

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา