Sasoric Thieves Guild

-

เขียนโดย Sasoric_Yukari

วันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2563 เวลา 12.33 น.

  7 chapter
  1 วิจารณ์
  4,934 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 13.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) Palentè the Liberian.

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          หลังจากวันที่มาหารือกับซาโซริ พวกฮาบาริ วาเลนเซียร์และยูนะได้นำสินค้าของโซฟานอเรียไปขายที่เวียร์เรสเบิร์ก ที่กิลด์จึงเหลือเพียงผม ซาโซริและวาเรีย บางวัน เธอก็สั่งให้ผมไปหางานที่พอจะทำกันได้สามคนมาทำฆ่าเวลารอพวกที่เหลือกลับมา ส่วนมากก็เป็นงานถล่มรังโจรเล็ก ๆ น้อย ๆ ในเมือง และแล้ว ในช่วงปลายเดือนตุลาคมที่อุณหภูมิเริ่มต่ำลงอย่างรู้สึกได้ เหล่าคาราวานแห่งกิลด์ซาโซริคก็กลับมาได้อย่างปลอดภัย กลับมาพร้อมโคล่าสามลัง สินค้าอื่น ๆ และกำไรที่เหลืออยู่จำนวนหนึ่ง นับว่าเป็นการเดินทางที่ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างมาก ซาโซริอนุญาตให้แบ่งโคล่าไปกินกันคนละสองขวด แล้วให้ฮาบาริ ซาวาริและวาเลนเซียร์นำโคล่าที่เหลือไปหาเช่าพื้นที่รายวันขายในตลาด ส่วนพวกที่เหลือ รวมถึงผม ซาโซริมีงานที่คุ้นเคยให้ทำ ยาวเป็นหางว่าว... มีทั้งถล่มรังโจรทั้งในและนอกเมือง แต่เนื่องด้วยเรามีเกวียนแค่เล่มเดียว และพวกฮาบาริต้องนำไปใช้ขนของสำหรับค้าขาย ซาโซริคิดว่ายังไม่เหมาะนักที่จะซื้อเกวียนใหม่อีกเล่ม อย่างไรก็ตาม เธอซื้อม้าเพิ่มสำหรับตัวเธอเอง ผม อาราลิและเอยาบิ เป็นม้าราคาถูก ที่สีและรูปลักษณ์ไม่สวยนัก แต่ก็ใช้งานได้ดี ผมกับซาโซริยังไม่เคยขี่ม้ามาก่อน แต่ก็ไม่มีใครแก่เกินกว่าจะเรียนรู้ ส่วนวาเรียและยูนะมีม้าอยู่แล้ว อย่างไรเสีย ซาโซริก็บ่น ๆ ถึงค่าฝากดูแลม้าออกมา อืม น่าปวดหัวแทนเหมือนกัน รวมแล้ว ตอนนี้เรามีม้าทั้งหมดแปดตัว ที่ซื้อใหม่สี่ ของพวกวาเรียอีกสามและม้าที่ใช้ลากเกวียนอีกสอง เราไม่มีคอกม้าเป็นของตัวเอง ก็จึงต้องนำม้าไปฝากให้คอกม้าของเมือง แม้ค่าฝากแต่ละตัวจะไม่มากนัก แต่ถ้าคูณด้วยแปด มันก็ไม่ใช่ตัวเลขที่จะมองข้ามไปได้เลย เมื่อรูปแบบของกระบวนทัพเปลี่ยนไป ซาโซริก็จึงเปลี่ยนรูปแบบและหน้าที่ของพวกเราใหม่ ซาโซริและผมเป็นชุดเข้าตีแรก มีหน้าที่บรรลุเป้าหมายของภารกิจ วาเรียและยูนะเป็นชุดเข้าตีสอง สนับสนุนการเข้าตีและอาละวาดดึงความสนใจ อาราลิกับเอยาบิเป็นฝ่ายสนับสนุน คอยดูแลม้าระหว่างที่พวกกลุ่มเข้าตีกำลังทำหน้าที่ของตัวเอง ทุกครั้งที่การเข้าตีของเราบรรลุเป้าหมาย ซาโซริจะส่งสัญญาณให้ฝ่ายสนับสนุนเข้ามาขนของมีค่าขึ้นม้าเท่าที่พอจะหาได้แล้วรีบชิ่ง โดยหลักแล้ว ผมก็ไม่ต้องสู้เท่าไหร่ แค่ยืนคุ้มกันแล้วเป็นหูเป็นตาให้ซาโซริ คุมตัวเชลย มองหาของมีค่าแล้วเก็บใส่กระเป๋าให้ไว สัปดาห์เดียว เราก็ถล่มรังโจรไปเป็นสิบแห่ง แต่มีครั้งหนึ่ง ในรังโจรที่ถูกใช้เป็นคลังเก็บของ เมื่อเราบุกเข้ามา ก็พบว่าภายในเต็มไปด้วยสินค้าของกิลด์พ่อค้ากิลด์หนึ่ง ผมเห็นสัญลักษณ์กิลด์อยู่ที่กล่อง มันดูคุ้นตาแต่จำไม่ได้ว่ากิลด์นี้ชื่ออะไร อย่างไรเสีย หลังจากที่เราสังหารพวกโจรนั้นจนเหี้ยน ซาโซริก็สั่งให้เราทำลายลังสินค้าที่ว่านั้นทั้งหมด ผมฟาดขวานใส่กล่องที่ว่านั่น กล่องไม้แตกออก เผยสิ่งที่อยู่ภายในออกมา เป็นขวดเหล้าจำนวนมาก ดูเหมือนจะเป็นเหล้าเถื่อนที่แอบขายกัน อาราลิแสดงความดีใจออกมาทันทีที่เห็นขวดเหล้ามากมายในกล่อง เขากำลังจะเก็บมันเท่าที่จะขนไปได้ดังเช่นทุกครั้ง แต่คราวนี้ ซาโซริหยุดเขา และสั่งให้ทำลายพวกมันทุกขวด อย่าให้เอาไปกินหรือขายต่อได้แม้แต่ขวดเดียว พวกเราก็จึงพังลังสินค้าออก ทุบขวดเหล้าเหล่านั้นจนไม่เหลือ ซาโซริระเบิดโกดังสินค้าของพวกเขาทิ้งอย่างไม่เสียดาย เกิดเป็นทะเลเพลิงที่ผลาญสินค้ามูลค่าหลายแสนที่อยู่ในนั้นจนสิ้น แม้เราจะกลับมามือเปล่า แต่ซาโซริก็จ่ายค่าแรงให้พวกเราเยอะเป็นพิเศษ เธอดูมีความสุขกับความสำเร็จของภารกิจในครั้งนี้มากกว่าทุกที อย่างไรเสีย ผลของการบุกทำลายรังโจรที่ใช้เป็นแหล่งเก็บสินค้านี้ ก็ตามมาหาเราในเร็ววัน

 

          ต้นเดือนพฤศจิกายนที่หนาวเหน็บ ผมไปหางานที่กระดานจ้างงานตามปกติ แต่แล้ว ผมก็เห็นใบงานชุดหนึ่ง ที่แปะอยู่ด้านบนสุด ด้วยกระดาษสีเข้ม ดูเป็นจุดสังเกตชวนให้มองเป็นอย่างแรก มันคือใบประกาศจับเป็นหรือตายพร้อมภาพร่างและรายละเอียดของผู้ร้าย มันไม่ได้มีชื่ออย่างชัดเจน เพียงแค่อธิบายรูปพรรณสัณฐาน ซึ่ง... บังเอิญเป็นสมาชิกกิลด์ซาโซริคทั้งหมดที่ไปถล่มรังโจรที่ใช้เก็บเหล้าเถื่อน รวมถึงผมด้วย

 

“จับเป็นหรือตาย โจรชั่วบุกทำลายแหล่งเก็บสินค้าของกิลด์พ่อค้าบาซาริค”

 

ผมมองสัญลักษณ์กิลด์ที่อยู่ในประกาศนั้นก็นึกออกในทันที อืม... ว่าแต่ชื่อกิลด์คุ้น ๆ นะ ในใบประกาศจับนั้น มีตัวเลขรางวัลอยู่ ขุนโจรคนต่าง ๆ ที่ถูกตั้งค่าหัว ราคาก็จะอยู่ที่ว่ามีความสำคัญเท่าไร ก่อการไปเยอะแค่ไหน โดยมากก็จะอยู่ที่ 50 ถึง 200 เหรียญโซเรียน และสูงสุดที่ผมเคยเจอมา อยู่ที่ 1780 เหรียญโซเรียน ของผม อาราลิกับเอยาบิอยู่ที่ 100 เหรียญโซเรียนต่อคน ก็เยอะใช้ได้ อืมรู้สึกภูมิใจยังไงก็ไม่รู้ วาเรียกับยูนะอยู่ที่ 400 เหรียญโซเรียน และซาโซริ อยู่ที่ 4500 เหรียญ โอ้โห... เยอะที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาเลย ดูท่าคงจะแค้นกันน่าดู เห็นท่าไม่ดี ผมก็จึงออกมาจากสหภาพกิลด์พ่อค้า ไปหางานที่สหภาพกิลด์นักรบและศาลากลางแทน แต่ทั้งสองที่นั้นก็มีใบประกาศจับ ผมก็จำเป็นต้องกลับสำนักงานมือเปล่า

 

          ซาโซริที่เห็นผมกลับมามือเปล่าก็เอ่ยถามขึ้นมา ผมก็จึงเล่าสิ่งที่เห็นให้เธอฟัง แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ตกใจอะไรมาก เธอสั่งให้ผมรีบไปหาพวกฮาบาริและวาเรียเพื่อเรียกประชุมด่วน ระหว่างทางก็รู้สึกได้ว่ามีสายตาหลายคู่จับจ้องมายังผม ทันทีที่กลับมายังสำนักงาน ก็พบว่าซาโซริในสภาพพร้อมรบกำลังนั่งรออยู่ที่โต๊ะ ซึ่งเธอก็เปิดประชุมในทันทีที่พวกเราไปถึง เธอให้เลือกระหว่างให้ทุกคนมาอยู่ที่สำนักงาน หรือจะหนีไปกบดานอยู่นอกเมืองสักพัก จนกว่าจะถอนใบประกาศจับออกได้ เธอให้พวกเราหารือกันก่อนที่เธอจะตัดสินใจ ฮาบาริรีบแจงสถานการณ์ของตนออกมาทันที เนื่องด้วยสินค้าที่นำมาจากเวียร์เรสเบิร์กยังเหลืออยู่เป็นจำนวนไม่น้อย เขาจึงอยากขอให้เธออนุญาตให้พวกเขาไปค้าขายดังเดิม เนื่องจากธุรกิจกำลังไปได้ดี กำลังสร้างเครือข่ายกับทั้งลูกค้าและพ่อค้าคนอื่น ๆ คงไม่ดีแน่ ถ้าต้องเสียโอกาสนี้ไป พวกเขาเองไม่มีหมายประกาศจับ ก็จึงไม่จำเป็นต้องกักตัวแต่แรกอยู่แล้ว และการที่จู่ ๆ หายตัวไป ก็อาจจะทำให้คนอื่นสงสัยได้ ซาโซริฟังแล้วก็อนุญาตให้พวกเขาไปขายของดังเดิมได้ เธอให้พวกฮาบาริทั้งสี่คนและวาเลนเซียร์ไปอยู่ที่บ้านได้ ถ้ามีคำสั่งอะไร เธอจะฝากผมไปอีกที ส่วนวาเรียและยูนะ ซาโซริให้ใช้ห้องว่างที่เหลือของชั้นหนึ่งเป็นห้องนอนและเก็บของ เพราะเคยเป็นอาคารสำนักงานมาก่อนสินะ ห้องถึงได้เยอะขนาดนี้ นี่ยังไม่รวมชั้นสองกับห้องใต้ดินที่ยังไม่ได้ใช้อีกนะ มองการณ์ไกลใช่เล่นแฮะ ผู้หญิงคนนี้

 

          เวลาผ่านไปได้สามวัน พวกฮาบาริยังคงขายของได้อย่างราบรื่น ไม่มีเหตุการณ์แปลก ๆ หรือเรื่องน่าสงสัยอะไรเกิดขึ้น เมื่อเหตุการณ์ดูสงบกว่าที่คาด ซาโซริก็จึงอยากออกไปตรวจตราข้างนอกสำนักงานด้วยตัวเอง ด้วยเหตุนี้ ซาโซริจึงใส่ชุดไปรเวทที่ดูมีความเป็นผู้หญิงค่อนข้างสูง รวบหางม้าสั้นดูแปลกตา ถอดผ้าปิดตาออก เผยให้เห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ด้านในเป็นครั้งแรก แต่มันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ผมคิด นัยน์ตาขวาของเธอเป็นสีขาว ดูเหมือนมันจะถูกทำลายจนไม่สามารถมองเห็นได้ แล้วสวมแว่นตา ส่วนผม ก็ใส่ชุดแบบคนชนบท เราทั้งคู่ออกมาจากสำนักงาน แล้วออกไปเดินเล่นในเมืองเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมต่อไป มิน่าล่ะ ทำไมเวลาออกอาละวาด เจ๊แกถึงได้ใส่ชุดทหารเต็มยศ เพื่อให้มันเป็นจุดเด่น เพราะในใบประกาศจับ รายละเอียดรูปพรรณที่อธิบายถึงเจ๊แกก็ไม่ได้ละเอียดอะไรมากอยู่แล้ว เน้นไปที่ชุดทหารกับปืนเสียมากกว่า พอออกมาเดินในชุดไปรเวทแล้วเปลี่ยนทรงผมนิดหน่อยก็เนียนได้แล้ว ขนาดผมที่เป็นคนใกล้ชิดยังแทบจำไม่ได้ แต่กระนั้นเธอก็ไม่ได้ออกมามือเปล่า ไม่ ซาโซริที่ผมรู้จักไม่เคยมีวินาทีไหนที่ปลอดอาวุธในมือ เธอเอาปืนสั้นที่เคยให้ผมไว้กลับไปพกติดตัว ส่วนผมก็มีขวานคู่ใจที่ไม่ค่อยได้ใช้ อืม จะว่าไปก็เหมือนคุณหนูออกมาเดินเล่นกับข้ารับใช้เลยนะ? ซาโซริเดินมายังหน้าสหภาพกิลด์พ่อค้า มองดูป้ายประกาศจับของตัวเองและลูกน้อง มองดูงานอื่น ๆ แล้วก็มองเข้าไปด้านในอาคาร ก่อนจะเดินออกมา ไม่พูดไม่จาอะไร ผมก็จึงเดินตามเจ๊แกโดยไม่ถามอะไรออกมา จุดหมายต่อมา สหภาพกิลด์นักรบ ตามคาด เธอมองกระดานจ้างงาน ที่ก็ยังคงมีประกาศจับของเราแปะอย่างโดดเด่น ต่อด้วยกระดานจ้างงานของศาลากลางเมือง และเช่นกัน ที่ยังคงมีประกาศจับของเราอยู่ แต่ที่นี่ งานจับโจรดูเหมือนจะเยอะกว่าสองที่ที่ผ่านมา มันล้นกระดานเสียจนแทบจะติดทับใบประกาศจับของเราไป ไม่รู้ว่าควรจะดีใจรึเศร้าดี

 

“ถล่มไปตั้งขนาดนั้น แต่ก็ไม่มีทีท่าจะลดลงเลยสินะ” ซาโซริบ่นพึมพำออกมา

 

“ไม่รู้ผุดมาจากไหนเยอะแยะนะ? ”

 

“นั่นสินะ...” ซาโซริบ่นออกมาแล้วเดินต่อ หลังจากเดินดูรอบ ๆ เมืองจนสาแก่ใจ ซาโซริก็กลับมายังสำนักงาน สั่งให้ผมไปบอกกับฮาบาริ ว่าให้มาหารือกับเธอหลังจากขายของเสร็จแล้ว ขณะที่เธอกำลังค่อย ๆ แกะยางมัดผมออก อืม ดูเซ็กซี่ดีจังแฮะ

 

          ในช่วงเย็นที่ท้องฟ้าเริ่มที่จะมืดเร็ว เป็นสัญญาณของฤดูหนาวที่คืบคลานเข้ามาอย่างเป็นทางการ ฮาบาริโดยมีวาเลนเซียร์ตามมาคุ้มกันก็มาถึงสำนักงาน ซาโซริแจงคำสั่งใหม่ให้แก่เขา เนื้อความคืออนุญาตให้อาราริและเอยาบิออกไปช่วยงานได้ เนื่องจากในใบประกาศจับ รายละเอียดของเขาไม่มีอะไรโดดเด่นมาก ก็ไม่น่าจะถูกตกเป็นเป้าหมายได้ ได้ยินดังนั้น ฮาบาริก็ยิ้มดีใจออกมา ดูท่าจะเป็นห่วงเพื่อนเอามาก ๆ ซาโซริกล่าวเสริมถึงเรื่องที่จะอนุญาตให้เขานำเสนอแผนการค้า ถ้าหากได้ข้อมูลแหล่งสินค้าที่น่าสนใจ ก็ให้เตรียมข้อมูลมานำเสนอให้ซาโซริ ถ้าหากโน้มน้าวเธอได้ดีพอ เธอก็จะพิจารณาออกทุนให้ ฮาบาริได้ยินก็ยิ้มหน้าบานออกมา ก้มหัวขอบคุณซาโซริเสียยกใหญ่ ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างออก แล้วเปิดกระเป๋า หยิบของบางอย่างออกมาแล้วยื่นให้ซาโซริ มันคือแผ่นกระดาษเก่า ๆ ที่ดูเหมือนจะถูกพับเอาไว้นานแล้ว นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบออกมาอย่างภูมิใจว่ามันคือ “แผนที่เหมืองแร่ร้างต้องคำสาป” ที่ภายในมีผลึกเวทมนตร์เต็มไปหมด เขาแลกมันมาด้วยเงิน 300 เหรียญโซเรียน จากพ่อค้าคนสนิท ทีแรก ซาโซริก็มองฮาบาริด้วยสายตาเย็นชา ทำเอาฮาบาริหมดความมั่นใจลงไปฮวบ แต่เขาก็ตั้งหน้าตั้งตานำเสนอซาโซริต่ออย่างตั้งใจ ฮาบาริเล่าว่าหนึ่งในคนงานของพ่อค้าคนนี้เคยเป็นคนงานเหมืองเก่า คนในสายงานเหมืองแร่ในภูมิภาคนี้ต่างรู้กันดี ว่าเหมืองแห่งนี้มีคำสาปหรือ” อะไรบางอย่าง” ที่ซ่อนอยู่ใต้กับดักอันเป็นผลึกเวทมนตร์ชิ้นโต ๆ ราคางาม ๆ ที่มีมากมายเก็บไม่หวาดไม่ไหว ซึ่งตัวพ่อค้าคนนั้น ก็ลงทุนเดินทางไปดูด้วยตาตัวเอง ชะเง้อมองส่องไฟเข้าไปดูด้านในก็เห็นผลึกเวทสะท้อนแสงแวววาวระยิบระยับเต็มไปหมด แต่หนึ่งในแสงที่สะท้อนกลับมานั้น เป็นแก้วตาของอสูรร้ายที่จ้องมองกลับมาอย่างอาฆาตมาดร้าย ก็ทำให้ตัวพ่อค้าผู้นั้นจำต้องถอดใจ แต่เนื่องด้วยความเป็นพ่อค้าและนักแผนที่เก่า เขาก็ได้ทำแผนที่ของเหมืองแห่งนั้นเอาไว้ เผื่อว่าจะได้เอามาขายให้ใครก็ตามที่บ้าพอจะไปเหยียบที่นั่น หรือในชื่อที่ผู้คนท้องถิ่นเรียกกันว่า “เหมืองต้องสาปแห่งหุบเขาบาเคียร่า” ตามตำนานของโซยูเรี่ยน หุบเขาแห่งนี้เชื่อกันว่าเป็นจุดพำนักที่พระแม่แห่งสายลม ยูมิ ว่ากันว่าพระแม่จะขึ้นไปยืนอยู่บนจุดที่สูงที่สุดของภูเขาแล้วคอยส่งกระแสลมให้ไหลเวียนไปทั่วทั้งทวีป อ้างอิงตามตำนาน ถ้าที่แบบนี้จะมีผลึกเวทเยอะ มีคำสาปหรืออะไรแปลก ๆ มันก็พอจะเป็นไปได้ล่ะนะ ฮาบารินำแผนที่ออกมากางให้ซาโซริดู นั่งลากนิ้วชี้ ๆ จุดต่าง ๆ ในแผนที่อยู่ครู่ หน้าตาเคร่งเครียด วาเรียเองก็มาช่วยดูแผนที่ด้วย และบอกกับเธอว่าจุดดังกล่าวเป็นหุบเขาบาเคียร่าจริง และตำนานดังกล่าวก็เป็นไปตามที่ฮาบาริว่า และกล่าวเสริมว่าไปลองดูก่อนก็ไม่เสียหาย “ไหน ๆ เราก็ออกไปหางานในเมืองไม่ได้ ลองดูงานนี้เสียหน่อยก็ไม่เสียหายนะ ดีกว่ากบดานไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีจุดหมาย” ผมกล่าวเสริม

“ถ้างั้นก็ดี” ซาโซริพูด ก่อนจะหันไปมองฮาบาริ “อยากไปด้วยมั้ยล่ะ? ” เธอเอ่ยถามกับเขา

“จริง ๆ ก็อยากไปเห็นที่นั่นด้วยตาตัวเองขอรับ แต่เกรงว่าเพื่อให้คนอื่น ๆ เห็นว่าพวกผมเป็นพ่อค้าธรรมดา ผมขออยู่แนวหลังแล้วตีหน้าซื่อว่าขายแผนที่ไปแล้วดีกว่า” ฮาบาริพูดแล้วยิ้ม ๆ

“อืม ก็ดี พวกนายก็รักษาภาพลักษณ์นั้นไว้ แต่ก็อย่าลืมเสียล่ะ ว่าตัวเองคือสมาชิกของกิลด์นี้” ซาโซริพูดแล้วมองฮาบาริ

“บุญคุณที่ท่านรับพวกเรามาดูแลและให้โอกาสได้ทำงานนี้ กระผมและพวกจะไม่มีวันลืมขอรับ” ฮาบาริพูดแล้วก้มหัวให้ซาโซริ

“หลังจากนี้ พวกนายสี่คนก็ขายของไปเหมือนเดิม ส่วนวาเลนเซียร์กลับมาอยู่สำนักงาน เราจะเตรียมตัวออกเดินทาง” ซาโซริหยิบแผนที่นั้นไปม้วนแล้วเก็บใส่กระเป๋า “ความชอบนี้เป็นของนาย ฮาบาริ ไม่ว่ามันจะออกมาดีหรือไม่ อย่างไรเสีย ถ้าเราไม่กลับมาภายในสามเดือน นายก็เป็นอิสระจากชื่อซาโซริคได้เลย พวกเราคงจะตายไปแล้ว” ซาโซริพูดแล้วยิ้มให้ฮาบาริ ก่อนจะปิดประชุม ได้ยินดังนั้นฮาบาริก็หน้าเสียเล็กน้อย แต่วาเลนเซียร์ก็วางมือบนบ่าเขาแล้วช่วยปลอบไม่ให้ชายผู้รับความชอบผู้นี้สติแตก ส่วนผม.. ได้ยินเจ๊พูดแบบนี้ มันก็รู้ว่าเจ๊แกแหย่เล่น แต่ก็รู้สึกเสียวสันหลังชอบกล

 

          วันต่อมา ซาโซริก็ออกไปธุระข้างนอกด้วยชุดไปรเวท พกดาบของเธอกับปืนสั้นที่ให้ผมยืมไปด้วย ทิ้งเงินไว้จำนวนหนึ่งให้ผมไว้ซื้อข้าวให้ทุกคน พวกวาเรียนั่งอยู่ด้านหลังสำนักงาน นำอาวุธของตนออกมาตรวจสอบความพร้อมและทำความสะอาด อืม... จะว่าไป ผมก็ไม่ค่อยได้ทำความสะอาดขวานตัวเอง ก็เลยขอร่วมวงด้วย ซึ่งพวกเขาก็ยินดี ผมนั่งลับคมอยู่ครู่หนึ่ง วาเลนเซียร์ที่เห็นว่าผมทำไม่ถูกก็เข้ามาสอนและทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ผมก็กล่าวขอบคุณกับเขาไป ดูเหมือนเขาจะไม่มีความรู้สึกด้านลบอะไรต่อผมแล้ว รู้สึกดีจริง ๆ ที่ได้รับการยอมรับ ในช่วงบ่าย ซาโซริก็กลับมาพร้อมข้าวส่วนของตัวเองและของกินเล่นสำหรับพวกเรา เป็นเวลาเดียวกันกับที่พวกเรากลับเข้ามาด้านในสำนักงาน ซาโซริที่กำลังกินข้าวอย่างหิวโหยชี้ให้พวกเรากินขนมที่เธอวางไว้บนโต๊ะได้ และบอกว่าจะประชุมกันหลังเธอกินข้าวเสร็จ พวกเราก็เลยไปนั่งที่โต๊ะประชุม กินขนมรอไปพลาง ๆ หลังเธอกินข้าวเสร็จแล้ว ซาโซริก็นำปืนพร้อมเครื่องมือมาวางตรงหน้าโต๊ะ นั่งลงแล้วเริ่มแกะปืนกลมือ นี่จะประชุมไปแกะปืนไปจริงเหรอ?

“หลังเลิกประชุม ยูนะกับยูคาริไปเตรียมเสบียงสำหรับเดินทาง วาเรียไปหาซื้อยารักษา ยาต้านพิษแล้วก็ยาเสริมพลังเพิ่มเติม วาเลนเซียร์ไปซื้ออาหารม้า แล้วก็ไปตลาด หารือกับฮาบาริ ว่ามีอะไรที่คิดว่าน่าซื้อติดไว้ขณะออกเดินทางบ้าง” ซาโซริพูดก่อนจะผละมือออกจากเครื่องมือแล้วก้มไปหยิบกระเป๋าขึ้นมาวางบนโต๊ะแล้วเปิดออก หยิบของที่อยู่ภายใน เธอวางมันลงข้าง ๆ กระเป๋า แล้วไถมันไปให้แต่ละคน มันคือขวดแก้วใสขวดเล็ก ๆ ที่ปิดไว้แน่นด้วยจุกไม้ ภายในเป็นน้ำยาสีฟ้าอ่อน ๆ “ยาดึงพลังเวท ช่วยให้พวกนายดึงเอาพลังเวทในตัวออกมาใช้ได้ง่ายขึ้นในชั่วเวลาหนึ่ง เก็บเอาไว้ให้ดีแล้วอย่าทำแตกล่ะ ราคาไม่ใช่ถูก ๆ ” ซาโซริคุ้ยกระเป๋า หยิบถุงเงินถุงใหญ่ออกมาแล้วแจกจ่ายให้พวกเราพร้อมกับแจงงบประมาณของสิ่งที่เธอให้พวกเราซื้อ และอีกคนละ 200 เหรียญ สำหรับให้แต่ละคนไปซื้อของของตัวเองเพิ่มเติม เป็นจำนวนเงินไม่น้อยเลยทีเดียว เงินจำนวนนี้สามารถซื้อดาบกับโล่อย่างดีได้ชุดนึงเลย ดูเหมือนซาโซริจะกังวลกับงานคราวนี้มาก ๆ ถึงได้ลงทุนขนาดนี้ หลังจากเธอสั่งปิดประชุม พวกเราก็ออกไปซื้อของตามคำสั่งที่ได้รับ

 

          ในตลาดขนาดใหญ่ที่ประตูเมืองทิศใต้ที่ผู้คนยังคงจอแจกันเต็มตลาดแม้ว่าจะเป็นบ่ายแก่ ๆ แล้ว เจ๊ยูนะพาผมเดินไปดูร้านอาหารแห้งและวัตถุดิบประกอบอาหาร เธอเดินไปเทียบราคาตามร้านต่าง ๆ พิจารณาคุณภาพสินค้า ก่อนจะตัดสินใจซื้อของแต่ละอย่างกับร้านที่ของคุณภาพดี ราคาสมเหตุสมผล ไม่ว่าจะเป็นขนมปังก้อน ชีส สารพัดเนื้อตากแห้ง ไส้กรอก แฮม เครื่องเทศ เครื่องปรุงรสและอื่น ๆ ที่ผมก็ไม่รู้ว่าคืออะไร โชคดีที่ยูนะมองการณ์ไกล เอาม้าของเธอมาด้วย เราจึงซื้อของทั้งหมดได้ในคราวเดียว ไม่ต้องเทียวไปเทียวมาหลายรอบ

“คุณยูนะเนี่ยดูของพวกนี้เก่งจังเลยนะครับ” ผมหาเรื่องคุยกับเธอ

“เพราะต้องคอยช่วยพวกที่โบสถ์ทำอาหารอยู่บ่อย ๆ เรื่องเข้าครัวกับจ่ายตลาดน่ะ ฉันเก่งไม่แพ้ฝีมือธนูหรอกนะ” เธอหันมาพูดแล้วยิ้มให้ผมอย่างอบอุ่น ดูเป็นพี่สาวที่น่าพึ่งพามาก ๆ

“เห? อย่างงี้ก็น่าจะทำอาหารเก่งสินะครับ? ”

“ก็ทำได้หลายอย่างนั่นล่ะ พวกเรานักรบของศาสนจักรน่ะกินเพื่อให้อยู่รอด เพราะงั้นฉันจึงเรียนรู้การนำวัตถุดิบต่าง ๆ เท่าที่มีหรือที่เจอมาทำอาหารกิน ก็พูดไม่ได้หรอกนะว่ามันจะอร่อย แต่อย่างน้อย ฉันก็รับประกันได้ว่าอาหารของฉันก็ไม่มีรสชาติที่แย่แน่นอน” เธอพูดออกมาด้วยความมั่นใจ

“แม่ครัวสายลุยสินะครับ ถ้าไม่ใช่ของที่แปลกมากก็น่าลองจัง”

“เดินทางด้วยกัน เดี๋ยวก็ได้ลองชิมฝีมือฉัน รอลิ้มรสได้เลย” เธอพูดแล้วยิ้มอย่างมั่นใจออกมา หลังจากนั้นเราก็คุยอะไรกันไปเรื่อยจนกลับมาถึงสำนักงาน ผมกับยูนะช่วยกันขนของเข้าไปเก็บในสำนักงาน เธอแยกไปเก็บม้ากับหาซื้อของส่วนของเธอ ผมเองก็เช่นกัน ที่คิดว่าจะไปหาซื้ออะไรติดตัวเสียหน่อย ผมเดินไปมาในเมืองจนค่ำ กว่าจะกลับมายังสำนักงานพร้อมด้วยข้าวของพะรุงพะรัง ซึ่งซาโซริที่รออยู่ก็มองค้อนผมนิด ๆ ก่อนจะถามว่าผมได้อะไรมาบ้าง ซึ่งผมก็นำกระเป๋าสัมภาระใบใหม่มาวางบนโต๊ะ เอาของด้านในออกมาให้เธอดูทีละชิ้น ซึ่งซาโซริก็นั่งมองอย่างสนใจ

“ออกเดินทางตอนนี้มันต้องหนาวมากแน่ ๆ ผมก็เลยซื้อเสื้อโค้ตมา” ผมพูดแล้วกางเสื้อโค้ตสีน้ำตาลอ่อนออกให้เธอดู มันหนามาก หนักมาก น่าจะกันหนาวได้ดี “กับหมวกขนสัตว์... ผ้าพันคอ รองเท้าบูตกันหนาว ผ้าห่ม พลุส่งสัญญาณ ไส้กรอก แฮม ช็อกโกแลตกับผงโกโก้ กาต้มน้ำกลางแจ้ง...” ผมเอาของจากกระเป๋าออกมาให้เธอดูจนหมด ซาโซริหลุดขำออกมาเล็กน้อยตอนที่ได้เห็นของที่ผมซื้อมา

“ทำไมล่ะ? ” ผมเอ่ยถาม มองเธออย่างไม่พอใจ

“นายนี่ซื้อของได้ไร้สาระดีนะ” ซาโซริพูดแล้วยิ้ม แล้วชี้ไปที่มุมหนึ่งของห้อง ซึ่งสัมภาระเต็มไปหมด และไม่น่าใช้ของที่ผมหรือพวกวาเรียซื้อมา

“อะไรรึนั่น? ”

“ของใช้สำหรับการเดินทาง ที่ฉันไป [เบิกนอกบัญชี] มาได้น่ะ ทั้งเสื้อโค้ต เต็นท์ หม้อสนามสำหรับทำอาหาร กระติกน้ำแล้วก็อาหารสนามอีกคนละชุด”

“อ้าว งี้ที่ซื้อมาก็ชนกันเลยสิ..” ผมพูดออกไปอย่างเสียดาย

“ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ นายก็เลือกเอาซะ ว่าจะใส่ตัวไหน อีกตัว ถ้าติดใจก็เอาไปด้วยก็ได้”

“อะไรจะพะรุงพะรังขนาดนั้น”

“เหมาะกับนายดีนี่” เธอพูดแล้วก็หัวเราะออกมา จะว่าไป ตัวผมในตอนนี้ก็ใส่เสื้อกันหนาวอยู่สะพายกระเป๋าข้างทั้งซ้ายและขวา ก็ดูรุงรังอย่างเจ๊แกแซวจริง ๆ นั่นล่ะนะ ระหว่างที่ผมกำลังสำรวจตัวเอง พวกวาเรียก็กลับมาพอดี ดูเหมือนพวกเขาจะไปซื้อของด้วยกันมา ของเพียบเชียว แต่สิ่งนึงที่สะดุดตาที่สุดก็คงจะเป็นหอกของเจ๊ยูนะ เธอบอกมาเผื่อไว้เป็นอาวุธสำรอง หลังจากที่ทุกคนมากันครบ ซาโซริก็แจกเครื่องสนามที่เบิกมาให้ทุกคนไว้ใช้ตอนเดินทาง ก่อนจะพาพวกเราไปกินข้าวที่โรงเตี๊ยมเป็นการเรียกขวัญกำลังใจ กินกันเงียบ ๆ นั่งแยกโต๊ะกัน เพื่อไม่ให้เป็นจุดสังเกต ในตอนนี้ ผมก็รู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะชินกับหางม้าสั้นของซาโซริแล้ว เช้ามืดของวันต่อมา พวกเราไปเอาม้าของตัวเองที่คอกกลับมาที่สำนักงาน นำสัมภาระของตัวเองที่เตรียมไว้มาใส่หลังม้า แล้วก็ออกเดินทางหลังจากนั้น เอาล่ะ การผจญภัยครั้งใหม่ของผมได้เริ่มขึ้นแล้ว น่าตื่นเต้นจริง ๆ

 

          ท่ามกลางที่ราบนอกเมืองโซฟานอเรีย พวกเราควบม้าออกไปยังทิศตะวันตก ไปตามถนนเก่าที่ปูด้วยหิน ผ่านป้ายบอกทางเก่า ๆ ที่ตัวอักษรจางจนอ่านไม่ออก ผ่านซากโบราณสถานที่ผุพังไปตามกาลเวลา ผ่านหมู่บ้านเล็ก ๆ ริมทาง ซึ่งพวกเราก็แวะกินข้าวเช้ากันที่นั่น แม้หน้าตาของอาหารจะดูจืด ๆ ไม่มีสีสันน่ากินอะไร แต่ก็เป็นรสชาติที่น่าจดจำ มื้อแรกของการผจญภัยเชียวนะ! หลังมื้อเช้า ซาโซริก็ขอซื้อวัตถุดิบสำหรับทำอาหารเพิ่ม ไถ่ถามข่าวคราวแล้วก็เดินทางต่อ ชุดทหารเต็มยศของเธอทำเอาผู้ใหญ่บ้านถึงกับต้องเกรงใจ น่าเกรงขามจริง ๆ พวกเราเดินทางกันต่อจนมาถึงช่วงบ่าย ซาโซริก็สั่งให้วาเลนเซียร์เอาม้าไปผูกไว้กับต้นไม้แล้วป้อนหญ้ากับแครอทให้พวกมัน ส่วนผมกับยูนะก็ก่อกองไฟ ซาโซรินำแกลลอนน้ำมันขนาดเล็กที่มาด้วย สำหรับช่วยในการจุดไฟ แต่จะใช้ในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น พวกเรานั่งดื่มชา พักผ่อนกันในยามบ่าย ให้พวกม้าได้หยุดพัก ต้องบอกเลยว่าชาของยูนะ เป็นชาที่รสชาติละมุนมาก ๆ เราพักดื่มชากันราว ๆ ครึ่งชั่วโมง ซาโซริก็สั่งให้ผมเก็บกิ่งไม้เผื่อเอาไว้ใช้คราวหน้า ก่อนจะสั่งให้ออกเดินทางต่อ เมื่อพระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าไปทุกที เราก็จำเป็นจะต้องหยุดพัก ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่ตั้งตระหง่านอย่างโดดเดี่ยวในที่ราบอันแสนกว้างใหญ่ ผมกับยูนะช่วยกันก่อกองไฟท่ามกลางลมหนาวที่เริ่มพัดแรงขึ้น ซาโซริส่งเสาเหล็กแท่งยาวแท่งหนึ่งให้วาเลนเซียร์พร้อมกับค้อน ให้เขาตอก ใช้เสานั้นเป็นที่ผูกม้า มันดูท่าจะหนักและแข็งแรงน่าดู ไม่น่าหลุดได้หรอกมั้ง? ยูนะต้มสตูโดยใช้ผักและเนื้อสัตว์ที่ซื้อมาจากหมู่บ้านที่เราแวะ ระหว่างนั้น ซาโซริก็สอนผมกับวาเรียกางเต็นท์และวิธีปักสมอบก มันเป็นเต็นท์ขนาดใหญ่ เราตั้งเต็นท์สองหลัง หลังหนึ่งของพวกวาเรีย อีกหลังของผมกับซาโซริ และสัมภาระที่อยู่บนหลังม้า เมื่อกางเต็นท์เสร็จ ยูนะก็ทำมื้อเย็นเสร็จพอดี พวกเราก็จึงมานั่งล้อมวง กินสตูกับขนมปังและแฮม “อื้ม รสชาติดีจริง ๆ ด้วย” ผมเอ่ยออกไปเมื่อได้ชิมคำแรก ยูนะหลังจากได้ยินก็ยิ้มออกมา หลังมื้อเย็นจบลง ก็ดูเหมือนแสงตะวันก็ลาลับไปพร้อมกัน เช่นเดียวกับความหนาวเหน็บที่ทวีความรุนแรงขึ้น ยูนะก็จึงนำผลของต้นฟัวโค่อบแห้งออกมาให้พวกเรา เมื่อกินเข้าไปแล้วจะช่วยให้ทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น น่าแปลกประหลาดมาก ๆ ที่มันช่วยให้เราอบอุ่นได้เพียงนี้ พวกเราคุยกันรอบกองไฟต่ออีกเล็กน้อย ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปพักผ่อน ซาโซริมองไปยังพวกม้าก็เกิดสงสาร แล้วฝากให้วาเลนเซียร์นำผลฟัวโค่ไปให้พวกมันกินด้วย ก็หวังว่ามันจะช่วยได้นะ..

 

          เช้าวันต่อมา ซาโซริปลุกให้ผมตื่นมารับแสงตะวันในยามเช้าที่หนาวเหน็บ เนื่องจากไม้ที่ใช้เป็นฝืนหมดไปแล้ว ซาโซริก็จึงให้เราเก็บข้าวของแล้วออกเดินทางต่อ ไปหาที่กินมื้อเช้าเอาดาบหน้า แสงตะวันสาดไปทั่วทั้งพื้นที่ เกิดเป็นภาพสวย ๆ ตรงหน้าที่ผมคงไม่มีวันได้เห็นอีกชั่วชีวิต โชคดีที่ในช่วงสาย เราพบหมู่บ้านที่อยู่ตีนภูเขา เราก็จึงแวะกินมื้อเช้าที่นั่น หาซื้อเสบียงและหาไม้เชื้อไฟมาเพิ่มและออกเดินทางกันต่อ แวะพักเมื่อตะวันใกล้ลับฟ้าและออกเดินทางในรุ่งสาง มันเป็นอยู่อย่างนี้ราว ๆ หนึ่งอาทิตย์ เราก็มาถึงยังจุดหมาย หุบเขาบาเคียร่า ที่เหลือก็แค่ต้องหาให้เจอ ว่าเหมืองต้องคำสาปที่ว่านั่นมันอยู่ตรงไหน โชคดีที่ด้านหลังแผนที่มีข้อความเขียนรายละเอียด รวมไปถึงภาพร่างที่ค่อนข้างละเอียดของด้านหน้าเหมือง รวมไปถึงจุดสังเกตต่าง ๆ พวกเราใช้เวลาอยู่พักใหญ่ แต่ในที่สุดก็พบจนได้ พอคิดถึงความเป็นความตายที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าจะดีใจได้มั้ยที่พบมัน ซาโซริสั่งให้ตั้งแคมป์ใกล้ ๆ กับหน้าเหมือง นำม้าไปผูกไว้กับต้นไม้ใกล้ ๆ นำสัมภาระไปเก็บในเต็นท์ นำตะเกียงน้ำมันออกมาจุด แล้วส่งดวงหนึ่งมาให้ผม อีกดวงให้ยูนะ “พร้อมแล้วนะ? ” ซาโซริพูดแล้วมองหน้าแต่ละคน “ดี! ไปลุยกันเลย” เธอพูด ก่อนจะนำพวกเราเข้าไปด้านใน

 

          พวกเราเดินเข้ามาในถ้ำที่เป็นเหมืองร้างแห่งนี้ได้ไม่นาน ก็เห็นแสงระยิบระยับไปทั่วทั้งทะเลแห่งความมืดเบื้องหน้าเรา เป็นแสงที่แร่โลหะสะท้อนแสงตะเกียง ไม่ใช่ผลึกเวทแต่อย่างใด ซาโซรินำพาพวกเราเดินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ มีวาเรียอยู่ข้างหน้าสุด ตั้งโล่เตรียมพร้อมรับการปะทะใด ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ ต่อมาเป็นซาโซริที่ถือปืนกลมือมองไปรอบ ๆ เพื่อประเมินสถานการณ์ ต่อมาเป็นผมที่คอยถือตะเกียงให้ซาโซริ คอยหันตะเกียงไปทางนั้นทีทางนี้ที แล้วแต่เธอจะสั่ง วาเลนเซียร์และยูนะตามหลังมาติด ๆ คอยเฝ้าระวังด้านหลังให้พวกเรา ภายในนี้มีโครงไม้และข้าวของต่าง ๆ ที่เป็นเครื่องบ่งบอกว่าเคยมีใครเข้ามาภายในนี้ พยายามจะขุดแร่ภายในเหมือง แต่... ดูจากกระดูกที่กระจัดกระจายไปทั่วพื้น ก็ชวนให้รู้สึกหวาดหวั่นไม่น้อย อา.. อยากกลับบ้าน หลังจากเดินคดเคี้ยวลึกเข้าไปเรื่อย ๆ แสงสะท้อนจากแร่ก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ และจู่ ๆ ผมก็เห็นเข้ากับแสงสะท้อนหนึ่งที่ดูแปลกไปจากแสงอื่น ผมสะกิดแล้วชี้ให้ซาโซริหันไปมอง เธอสั่งให้ผมหันตะเกียงเข้าไปใส่ทิศนั้น เพื่อให้เห็นได้ดีขึ้น เธอจ้องมันอยู่ครู่หนึ่งก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนจะผลักให้ผมเดินเข้าไปใกล้ ๆ แสงสะท้อนแปลก ๆ นั้นโดยมีเธอเดินตามไปข้างหลัง เมื่อยิ่งเข้าไปใกล้ แสงจากตะเกียงก็ช่วยให้เห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในความมืด มันคือผลึกเวทมนตร์ของจริง ขนาดราว ๆ กำมือ เป็นขนาดที่ใหญ่มาก ๆ และขายได้ราคาดีมาก ๆ เช่นกัน แค่มูลค่าของเจ้านี่ก้อนเดียว แม้จะหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ซาโซริลงทุนไป พวกเราก็ยังคงได้กำไรมหาศาล ซึ่งซาโซริอันเป็นผู้ลงทุน เป็นปลื้มเอามาก ๆ ที่ได้พบขุมทรัพย์ก้อนนี้ เธอรีบแซะมันออกด้วยมีดปลายปืนแล้วเก็บใส่กระเป๋าอย่างดี แต่การผจญภัยในครั้งนี้ก็ยังไม่สิ้นสุด และคงจะอีกยาวนานนัก กว่าที่มันจะถึงบทสรุป หลังจากที่ซาโซริแซะผลึกเวทก้อนนั้นออกมา เสียงประหลาดหลายเสียงก็ดังกึกก้องซ้อนกันไปทั่วทั้งเหมือง ซาโซริรีบดึงตัวผมกลับมาเข้ากลุ่ม ผมยื่นตะเกียงออกไป หวังให้แสงของตะเกียงช่วยให้เราเห็นอะไร ๆ ได้ดีขึ้น มีเสียงของอะไรบางอย่างกำลังเข้ามา มันคือโครงกระดูกที่ใส่ชุดเกราะ ถืออาวุธหลากชนิดเข้าถาโถมโจมตีเราอย่างไม่เกรงกลัว ซาโซริสั่งให้วาเลนเซียร์ออกมาอยู่แนวหน้า แล้วเข้าโจมตีด้วยความขวานสองมือ โชคดี ที่ภายในเหมืองมันค่อนข้างกว้าง วาเลนเซียร์ก็จึงสามารถอาละวาดได้อย่างเต็มที่ ผมได้ยินเสียงของอะไรบางอย่างขยับมาจากด้านหลัง เมื่อหันไปก็พบว่าเป็นพวกโครงกระดูกที่เคยนอนเกลื่อนอยู่เมื่อครู่ ได้ลุกขึ้นมาสู้กับเราแล้ว ผมไม่รอช้าที่จะบอกกับซาโซริ เธอยื่นมือมารับตะเกียงจากผม แล้วสั่งให้ผมกับยูนะคอยคุ้มกันหลังให้ เมื่อเธอไม่ได้อนุญาตให้ลุยได้เต็มเหนี่ยวเหมือนวาเลนเซียร์ พวกเราก็จึงยืนคุมเชิง รอพวกมันเข้ามาแล้วสวนกลับ ยูนะเปลี่ยนมาใช้หอก คอยรักษาระยะ ส่วนผมคอยจัดการศัตรูที่เข้ามาใกล้ แต่ไม่ว่าผมจะฟันไปเท่าไหร่ วาเลนเซียร์จะอาละวาดไปขนาดไหน พวกมันก็สามารถที่จะประกอบร่างได้ใหม่ แม้จะฟันกระดูกให้แตกออก มันก็เชื่อมกันได้ใหม่อย่างไม่น่าเชื่อ ซาโซรินิ่งประเมินสถานการณ์อยู่ครู่สั้น ๆ มองหน้าทีหลังทีก็ออกคำสั่งให้พวกเราฝ่าเข้าไปภายในให้ได้ แม้จะฟังดูแล้วชวนงง แต่วาเลนเซียร์ก็อาละวาดเปิดช่องให้พวกเราฝ่าไป วาเรียวิ่งนำ คอยปัดศัตรูที่ยังเหลือให้กระเด็นออกจากทาง ตามไปด้วยซาโซริ ผม ยูนะและวาเลนเซียร์ปิดท้าย

 

          ภายในเหมืองมืด ๆ ที่แคบลงเรื่อย ๆ พวกเราวิ่งเข้ามาได้อย่างราบรื่น พวกโครงกระดูกไม่ตามพวกเรามา ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณที่ไม่ดีเลยแม้แต่น้อย ซาโซริคืนตะเกียงให้ผมถือ เก็บปืนกลมือแล้วเอาดาบออกมาใช้แทน เมื่อเห็นว่าพวกโครงกระดูกไม่ตามมา ซาโซริก็สั่งให้พวกเราค่อย ๆ เคลื่อนไปข้างหน้าแทน รอบตัวเราเต็มไปด้วยแสงวิบวับของโลหะที่สะท้อนแสงตะเกียง มีแสงแบบเดียวกับผลึกเวทมนตร์สะท้อนมาบ้าง แต่ซาโซริก็ไม่สนใจมัน สั่งให้เดินหน้าต่อไป

“ทำไมยังสั่งให้เข้ามาอีกล่ะ ก็เห็นแล้วนี่ว่าเราต่อกรอะไรพวกโครงกระดูกนั่นไม่ได้เลย” ผมเอ่ยถามออกไป รอจังหวะถามมาตั้งแต่เธอออกคำสั่งแล้ว

ซาโซริหันมามองผม “แต่ก็ทำอะไรเราไม่ได้นี่ ศัตรูแค่นี้น่ะ ยังไม่ใช่ทางตันหรอก อย่าห่วงน่า ฉันคิดดีแล้ว” ซาโซริพูดออกมาอย่างมั่นใจ

ทันใดนั้น จู่ ๆ ก็มีเสียงแปลก ๆ ดังขึ้นหลายเสียงซ้อนกัน มันไม่ใช่เสียงของโครงกระดูก เป็นเสียงที่น่าหวาดหวั่นอย่างที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน หางตาผมไปสะดุดเข้ากับแสงสะท้อนแสงหนึ่ง เมื่อหันไปมองก็พบว่ามันดูเหมือนเป็นผลึกแก้วขนาดใหญ่ เอ๊ะ ทำไมมันดูสะท้อนแสงแบบแปลก ๆ เอ๊ะ ทำไมลวดลายมันขยับได้? ผมตะโกนออกมาอย่างตกใจกลัวสุดขีดเมื่อพบว่าผลึกก้อนใหญ่ที่เห็นเข้า จริง ๆ แล้วเป็นลูกตาของอะไรบางอย่าง ซาโซริและคนอื่น ๆ หันมามองผม และเมื่อเห็นผมชี้ไปด้านหน้า ก็มองตามมา ก็ดวงตาของเจ้านั้นเข้า ซาโซริก็จึงสั่งให้ตั้งกระบวน ให้ผมคอยส่องไฟดูเจ้านั่นและให้ยูนะคอยสอดส่องมุมอื่น ๆ สั่งให้ทั้งวาเรียและวาเลนเซียร์ระวังการโจมตีไว้ ส่วนตัวเธอยกดาบขึ้นมาตั้งท่า ดึงพลังเวทสีเขียวออกมา แสงสว่างของมันช่วยให้เห็นอะไรโดยรอบได้ดีขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่สว่างขนาดให้เราเห็นตัวศัตรูได้ ซาโซริคำรามออกมาขณะเหวี่ยงดาบปลดปล่อยคลื่นพลังเวทเข้าใส่ศัตรู คราวนี้แสงจากคลื่นเวทมนตร์สว่างมากพอจะทำให้เห็นรูปร่างของสัตว์ประหลาดนั้น มันมีรูปร่างเหมือนตะขาบยักษ์ หน้าตาคล้ายมนุษย์จนน่าขนลุก ตามตัวหุ้มเกราะที่ดูคล้าย ๆ กระดูกที่งอกขึ้นมาดูราวกับเป็นภูเขา มีขาเป็นปล้องแบบปู เสียงประหลาดที่พวกเราได้ยินคือเสียงเดินของมัน เมื่อคลื่นเวทเข้าปะทะใส่ลำตัวของมัน มันก็ยิ่งโกรธมากขึ้น พุ่งเข้าโจมตีใส่เราด้วยฟันที่เหมือนกับปากแมลง วาเรียพุ่งเข้ากระแทกหยุดการโจมตีไว้ด้วยโล่ โดยมีวาเลนเซียร์เข้าฟาดขวานจากด้านข้าง เมื่อดูแล้วว่าไม่น่าจะโค่นมันลงได้ ซาโซริก็พุ่งเข้าใส่ แทงดาบเวทมนตร์ของเธอ ทะลวงปากของมันไปทะลุออกที่ปล้องด้านหลัง มันร้องโหยหวนออกมาเสียงดังขณะที่เธอคว้านด้านใน พลิกดาบขึ้นแล้วเฉือนกะโหลกมันออกจากกัน ดูเหมือนมันจะตายลงไปแล้ว แต่ยังไม่ทันที่เราจะได้พักหายใจ เสียงของพวกโครงกระดูกก็ดังมาจากด้านหลัง ดูท่าว่าจะตามมาทันแล้ว ซาโซริก็จึงสั่งให้เราหนีลึกเข้าไปด้านใน จะมีอะไรรออยู่ก็ไม่อยากจะจินตนาการเลย นี่เหรอ คิดดีแล้ว ให้ตายสิ!

 

          พวกเราเดินมาจนพบเข้ากับแสงสีน้ำเงินที่รอดออกมาจากด้านหลังก้อนหินขนาดใหญ่ตรงหน้าทำให้รู้ได้เลยว่าหลังก้อนหินนี้ ต้องมีอะไรอยู่เป็นแน่ แต่ว่ามันจะคืออะไร? ศัตรู? พวกเรามิอาจรู้ได้ ซาโซริสั่งให้วาเรียค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้ ๆ ก้อนหินนั้น ดูเหมือนมันจะมีทางเล็ก ๆ ให้อ้อมหินนั้นไป แน่นอนว่าแสงสีน้ำเงินนั้นสลัวพอให้เราพอเห็นพื้นและผนังของเหมือง ซาโซริเป็นกังวลว่าจะเป็นกับดัก หันมาถามพวกเราหาอาสาสมัครที่จะก้าวไปข้างหน้าก่อน เธอพูดกับพวกเราตรง ๆ ว่าไม่มั่นใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า วาเรียอาสาเป็นคนแรกที่จะยอมเสี่ยง เขาค่อย ๆ เดินอ้อมหินนั้นเข้าไป ซาโซริสั่งให้เขารายงานทุกอย่างที่ได้เห็นหรือกำลังทำ ไม่ให้เงียบ เพื่อที่จะรู้ได้ว่าเขากำลังอยู่หรือจากเราไปแล้ว วาเรียค่อย ๆ เดินอย่างระวังไปเรื่อย ๆ เขาคอยรายงานให้พวกเราฟังด้วยเสียงเรียบ ๆ ที่จริงจัง แต่แล้ว เขาก็อุทานออกมาด้วยความตกใจ พลอยพาพวกเราใจหายไปด้วย ซาโซริรีบตะโกนถามว่าเขาเป็นอะไรรึเปล่า แต่สิ่งที่เขาตอบกลับมามีเพียงว่า “รีบตามมาเถิดครับ” ทีแรก ซาโซริเกิดสงสัย ว่าเขาอาจจะโดนกับดักสะกดจิตอะไรให้หลอกล่อพวกเราไปโดนด้วยหรือเปล่า แต่วาเรียยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าเขายังมีสติดี เธอก็จึงยอมเชื่อแล้วเดินตามเข้าไปก่อนคนเดียว และเธอก็เงียบไป แล้วสั่งให้พวกเราตามเข้ามา ความกลัวของผมพุ่งขึ้นสุดขีด แต่ก็ต้องเดินตามเข้าไป ผมอยู่หน้าสุด มียูนะที่จับไหล่ผมเสียแน่น ดูเหมือนเธอก็คงจะกลัวไม่ต่างจากผมนัก แต่แล้ว สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในหินก้อนนั้นก็คือถ้ำขนาดใหญ่ ที่มีเมืองร้างอยู่ด้านล่าง ตรงหน้าของพวกเราเป็นบันไดสำหรับให้เดินลงไปยังเมืองร้างแห่งนั้น ภายในถ้ำมีผลึกประหลาดที่ส่องแสงออกมาเอง เป็นแสงสีน้ำเงินและฟ้า มีอยู่ทั่วไปหมด จนทำให้เรามองเห็นสิ่งที่ผมว่าไปได้อย่างถนัดตาแม้ว่ามันจะไม่ได้สว่างอะไรมากมาย “ไม่อยากจะเชื่อ..” ซาโซริอุทานออกมา ผมและคนอื่น ๆ เองก็คิดแบบเดียวกัน ใครมันจะไปคิดว่าจะมีเมืองร้างซ่อนอยู่ภายในเหมือง ผังของเมือง ดูคร่าว ๆ ก็เหมือนเป็นคล้าย ๆ ไม้กางเขน จุดที่เรายืนอยู่เป็นปลายด้านยาว เมื่อมองตรงไปเรื่อย ๆ ก็จะเห็นจตุรัสอันเป็นจุดตัดของสี่แยก และที่หัวกางเขนนั้น มีบันไดขึ้นไปยังสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ จะบอกว่าเป็นปราสาทก็ไม่น่าใช่ น่าจะเหมือนคฤหาสน์เสียมากกว่า? อย่างไรเสีย ก็คงเป็นที่พำนักของเจ้าของที่นี่เสียละมั้ง? ซาโซริพาเราเดินลงบันไดไป เข้าไปสู่เมืองร้างที่มหัศจรรย์แห่งนี้ เมื่อเดินเข้ามาภายในเมืองร้างแห่งนั้น เสียงเพลงจากหีบเพลงไขลานก็ดังขึ้นมา ไม่มีใครรู้ว่ามันมาจากไหน แต่รู้ได้ทันที ว่ามันต้องไม่ใช่สัญญาณที่ดีแม้แต่น้อย ทันใดนั้น พวกโครงกระดูกนับร้อยก็ออกมาจากตามบ้านเรือน ซาโซริรีบสั่งให้พวกเราหยุดเคลื่อนไหว แต่พวกโครงกระดูกนั้นก็ไม่ได้พุ่งเข้าโจมตีเราอย่างที่กลัว พวกมันออกมายืนเรียงแถวทั้งซ้ายและขวา ซาโซริเห็นท่าไม่ดี หันไปมองด้านหลังก็เห็นว่ากองทัพโครงกระดูกมาปิดทางไว้แล้ว แต่ก็ยืนนิ่ง ไม่มีทีท่าว่าจะเข้าโจมตีเรา อย่างไรก็ตาม เส้นทางที่เราเหลือ มีเพียงเส้นทางไปสู่คฤหาสน์ที่ผมเห็นเมื่อก่อนหน้านี้

“ถ้าต้องตายในที่ที่พระเจ้าทอดทิ้งอย่างนี้ ฉันก็ขอโทษด้วยละกันนะ” ซาโซริหันมาพูดแล้วมองพวกเราด้วยสายตาที่อ่อนล้า ก่อนจะเดินนำไปสู่คฤหาสน์แห่งนั้น อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดล่ะนะ ผมหันไปมองหน้าคนอื่น ๆ ก็เห็นว่าพวกเขาเองก็คงรู้สึกไม่ต่างจากผมนัก ทั้งหวาดหวั่น ระส่ำระสายและอยากออกจากที่นี่โดยเร็ว การที่ได้เห็นทั้งวาเรียและวาเลนเซียร์ที่ดูเป็นผู้ชายใจแข็ง ไม่หวั่นเกรงต่ออะไรง่าย ๆ ยังถึงกับแสดงความหวาดกลัวออกมา ก็ยิ่งตอกย้ำว่าที่นี่มันน่าสะพรึงกลัวเพียงใด แต่กระนั้น พวกเราก็ข่มใจเอาไว้ แล้วเดินตามซาโซริไป

 

          เมื่อเดินขึ้นมาจนถึงด้านหน้าคฤหาสน์ ประตูบานใหญ่ก็เปิดออกเองอย่างช้า ๆ ราวกับว่ากำลังเชื้อเชิญให้เราเข้าไป ภายในเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ที่มีร่องรอยของการต่อสู้เต็มไปหมด ตรงหน้าเป็นบันได ที่ด้านบนคือหญิงสาวในชุดผ้าแบบโบราณ ที่หัวมีสิ่งที่คล้ายมงกุฎครอบอยู่เหนือหัว ตรงกลางของมงกุฎนั้นมีมณีสีขาวที่ส่องแสงออกมาเล็กน้อยอยู่ตรงกลาง

“พวกเจ้ามาเยือนที่นี่มีประสงค์อันใดรึ? ” เธอพูด ขณะค่อย ๆ เดินลงมา

“ไม่ใช่คุณรึ? ที่เชิญให้เราขึ้นมาหาถึงนี่” ซาโซริตอบกลับไป ก่อนจะส่งสัญญาณให้พวกเราตั้งแนวพร้อมป้องกัน วาเลนเซียร์กับวาเรียยืนอยู่แนวหน้า ผมยืนอยู่ด้านหน้าซาโซริกับยูนะ

“หึ.. เดินดุ่ม ๆ เข้ามาในพื้นที่ของข้า ส่งพวกโครงกระดูกไปไล่ก็ไม่ยอมหนี ปราบตะขาบภูผาได้อย่างง่ายดาย วิ่งฝ่าเข้ามาถึงด้านในขนาดนี้ ข้าก็เลยอยากฟังความต้องการของพวกเจ้าเสียหน่อย” สิ้นเสียงหญิงสาวปริศนาผู้นั้น เสียงประหลาดก็ดังก้องไปทั่วทั้งห้องโถง “เจ้าคงไม่คิดว่าที่แห่งนี้จะมีผู้อารักขาน้อยถึงเพียงนั้นหรอก ใช่มั้ย? ” เธอพูดเสริมขึ้นมา เสียงที่ว่านั่น ก็คงจะเป็นเสียงพวกสัตว์ประหลาดที่เหลือสินะ น่าขนลุกชะมัดเลย ถ้าพุ่งเข้ามาพร้อมกัน มีหวังคงจะรอดยาก

“หยุดพวกมันไว้เพื่อที่จะคุยพวกเราละสิ? เป็นเจ้าบ้านที่ใจดีจังนะ” ซาโซริแหย่กลับไป เก่งจริง ๆ ที่ยังกล้าเล่นลิ้นกับคนที่ถือไพ่เหนือกว่าได้อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวขนาดนี้

“เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามของข้านะ? ” เธอพูดย้ำออกมา ก่อนที่จะก้าวเท้าลงขั้นสุดท้าย มายืนระดับเดียวกับพวกเรา เมื่อได้ดูใกล้ ๆ ก็ยิ่งชัด ว่าชุดที่เธอใส่มันเหมือนแบบที่เคยเห็นในหนังสือนิทาน พวกตำนานสมัยสงครามเทพเจ้าทั้งหกอะไรเทือกนั้น ดูท่าว่าจะไม่ใช่คนธรรมดาจริง ๆ ล่ะนะ ยิ่งน่ากลัวขึ้นไปอีก

“เราได้ยินมาว่าที่นี่มีผลึกเวท ก็จึงมาเพื่อเก็บมันกลับไป” ซาโซริพูดไปอย่างไม่มีปกปิด

“อืม.. ข้าเห็นแล้วล่ะ ผลึกเวทเม็ดใหญ่ที่เจ้าดึงออกมา แต่เจ้าก็ยังไม่ยอมกลับไปนี่ เพราะอะไร? ”

“เพราะแค่นี้มันไม่พอน่ะสิ” ซาโซริตอบกลับไปอย่างฉะฉาน

หญิงสาวผู้นั้นนิ่งไปครู่หนึ่ง “งั้นรึ? ถ้าก็นึกว่าจะมีคำตอบที่น่าสนใจกว่านี้เสียอีก” เมื่อเธอพูดเสร็จ เธอก็ยกมือทั้งสองขึ้นเล็กน้อย กางมือออก ก็มีมีดสั้นมาอยู่ในมือของเธอทั้งสองข้าง

“ขอโทษด้วยนะ แต่เพื่อทำการใหญ่ เศษผลึกแค่นี้น่ะ มันไม่พอหรอก” ซาโซริพูดก่อนจะยื่นปืนกลมือมาให้ผมถือแทน ชักดาบออกมาตั้งท่าเตรียมรบอย่างไม่มีออมแรง “ยูคาริ ฉันจะเชื่อว่าเธอใช้มันเป็นก็แล้วกันนะ ระวังอย่าให้ยิงโดนพวกเดียวกันล่ะ” เธอหันมาสั่งแล้วยิ้มให้กับผม หญิงสาวผู้แข็งแกร่งคนนั้นกำลังหวั่นเกรง ยื่นปืนกลมือสุดหวงมาให้ผมใช้แทน หันไปใช้ดาบเวทมนตร์ในทันที อาวุธที่ถ้าไม่จวนตัวก็จะไม่ใช้อันนั้น กลับหยิบขึ้นมาใช้ในทันทีอย่างไม่ลังเล ดูท่าว่าเธอพร้อมที่จะทุ่มทุกอย่างที่มีในคราวเดียว ผมเองก็ต้องทำตัวให้มีประโยชน์ เพื่อตอบสนองความคาดหวังนั้นของเธอให้ได้ ผมกำปืนกลมือไว้แน่น เล็งไปหาศัตรู รอจังหวะจากซาโซริ

“อืม.. ค่อยเป็นคำตอบที่น่าสนใจหน่อย” เธอพูด ก่อนจะเริ่มตั้งท่า ยกมีดสั้นในมือขวาขึ้นมาชูแนบหน้า ปิดตาซ้ายไว้ เหลือเพียงตาขวาที่จ้องเราเขม็งขณะที่เกร็งมือซ้ายหันปลายมีดทิ่มลงพื้น เมื่อเห็นว่าผมเล็งปืนเข้าใส่ หญิงสาวคนนั้นก็มองมายังผม เป็นแววตาที่แทบจะกระชากวิญญาณผมออกจากร่างไปเคี้ยวเล่นยังไงอย่างงั้น แค่จ้องอย่างเดียว ก็ทำเอาหวาดกลัวได้ นี่มันศัตรูคนละระดับชัด ๆ ดูท่างานนี้น่าจะตายละวา ยูคาริเอ๊ย...

“จะไม่พอใจที่เราเข้ามาฉกของมันก็เข้าใจได้ล่ะนะ แต่ฉันจะตายอยู่ที่นี่ไม่ได้ จะให้กลับไปมือเปล่าเองก็คงจะไม่ได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้น ขอโทษด้วยละกันนะ คุณเจ้าของบ้าน” ซาโซริพูดแล้วชูดาบขึ้นเล็กน้อย มันเรืองแสงสีเขียวมาออก สว่างกว่าตอนที่ใช้เมื่อครู่นี้อีกแฮะ

“นามของข้าคือพาเลนเต้ คาเทราส วลาคริส ผู้พิทักษ์หอสมุดแห่งยาเดอริน ผู้รุกรานเอ๋ย จงรับมือ!” เธอพูดสะบัดมือขวาออกไปด้านข้าง เกิดเป็นใบมีดเรืองแสงสีน้ำตาลหุ้มอยู่รอบมีดสั้นในมือขวา พุ่งเข้าใส่ซาโซริอย่างดุดัน วาเลนเซียร์ขวางเอาไว้ เหวี่ยงขวานเข้าใส่พาเลนเต้เข้าสุดแรง แต่เธอเพียงยกมีดสั้นในมือขวาขึ้นมารับก็หยุดการโจมตีได้อย่างชะงัก วาเลนเซียร์ถูกแรงสะท้อนของแรงเหวี่ยงผลักออกจนล้มลงไป เห็นท่าไม่ดี วาเรียก็ตั้งโล่พุ่งเข้าใส่พาเลนเต้หมายกระแทกให้เธอกระเด็นออก และอีกครั้ง เธอกันเอาไว้ได้เพียงแค่มีดสั้นในมือขวาเล่มเดียว ก่อนจะกดมือผลักวาเรียออกให้พ้นทาง อะไรจะพลังมหาศาลปานนั้น ซาโซริกะจังหวะที่พาเลนเต้ผลักวาเรียออก แล้วพุ่งเข้าใส่หมายแทงพาเลนเต้ให้สิ้นใจ แต่เธอก็มองออกได้ง่าย ๆ พาเลนเต้ผละมือจากโล่ของวาเรียมาเบนวิถีดาบของซาโซริออกได้ในเสี้ยววินาทีที่เธอพุ่งเข้าใส่ ผมเองยังมองแทบไม่ทัน แต่พาเลนเต้คนนั้นก็ปัดมันออกได้อย่างง่ายดาย ซาโซริที่เสียจังหวะเข้าทำไปแล้วก็ตกเป็นเป้า ผมก็จึงยิงปืนกลมือเข้าใส่พาเลนเต้ไปชุดหนึ่ง ทำลายจังหวะสังหารของพาเลนเต้ให้เธอจำต้องถอยออกไป ส่วนซาโซริก็ล้มลงเพราะทรงตัวไม่อยู่และลุกขึ้นมาได้ในเวลาอันสั้น โห ไอ้ปืนนี่มันถีบแรงกว่าที่คิดแฮะ อันตราย ๆ เกือบจะคุมไม่อยู่ซะแล้ว

“อย่างนั้นแหละ ยูคาริ” ซาโซริพูดออกมา ขณะคว้าดาบลุกขึ้นสู้ต่อ เธอหันไปมองวาเรียกับวาเลนเซียร์ที่ยืนคุมเชิงอยู่ใกล้ ๆ “พวกนายกินยานั่นซะ ฉันจะคุ้มกันให้” เธอพูดก่อนจะก้าวออกไปด้านหน้า ยกดาบขึ้นแล้วเหวี่ยงลงพื้น เกิดเป็นคลื่นพลังเวทสีเขียวอ่อนพุ่งเป็นเส้นยาว ๆ เข้าใส่พาเลนเต้ เธอเบิกตาเล็กน้อยเมื่อได้เห็นคลื่นพลังเวท ยกมีดสั้นในมือซ้ายขึ้นมา เกิดเป็นม่านเวทมนตร์รอบตัวของเธอ ปัดการโจมตีของซาโซริไปทางอื่น

“ไม่ได้เห็นมนุษย์ถือครองมันมาเกือบจะห้าสิบปีแล้ว อาวุธเวทมนตร์เนี่ย หึหึ น่าสนใจจริง ๆ ” พาเลนเต้พูดแล้วก้มตัวลงตั้งท่าพร้อมโจมตี พุ่งเข้าใส่ซาโซริแต่ก็ถูกหยุดไว้ด้วยสองพี่น้องวาเรียและวาเลนเซียร์ที่กินยาดึงพลังเวทและยาเสริมพลังอื่น ๆ เข้าไป ทำให้มีกำลังมากพอที่จะสกัดพาเลนเต้ได้

“หึ! น่าสมเพช” พาเลนเต้ที่ยังคงใช้มีดสั้นทั้งสองมือรับการโจมตีของทั้งสองคนนั้นได้อย่างสบายพูดออกมาด้วยท่าทีที่ไม่สบอารมณ์นัก ถ่วงเวลาให้ซาโซริได้ควักยาส่วนของตัวเองออกมาดื่ม

“ไม่น่าเชื่อว่าต้องได้ใช้จริง ๆ ด้วยนะ” เธอพึมพำออกมาขณะดึงจุกไม้ออกแล้วยกซดมันรวดเดียวหมดหลอด เธอกินยาดึงพลังเวทและยาเสริมพลังรวมแล้วสี่หลอด ทันทีที่เธอดื่มยาเสร็จ ก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่พาเลนเต้สลัดสองคนนั้นหลุด ไม่รอให้เสียโอกาส ซาโซริเป็นฝ่ายพุ่งเข้าใส่พาเลนเต้อีกครั้ง ฟาดดาบที่มีพลังเวทสีเขียวอยู่เต็มเปี่ยมเข้าใส่ เป็นอีกครั้งที่พาเลนเต้รับการโจมตีไว้ได้ แต่ก็ต้องรับด้วยมีดสั้นทั้งสอง เพื่อที่จะหยุดการโจมตีของซาโซริอยู่ เมื่อเห็นว่าตนเป็นฝ่ายได้เปรียบ ซาโซริก็กระหน่ำโจมตีเข้าใส่พาเลนเต้อย่างบ้าคลั่ง พวกวาเรียเองก็พยายามหาจังหวะเข้าทำ ส่วนผมกับยูนะก็ได้แต่ยืนคุมเชิง ไม่กล้ายิงเข้าใส่เพราะกลัวจะโดนพวกเดียวกัน ผมสังเกตได้ถึงรังสีบางอย่างที่แผ่ออกมาจากตัวของวาเรียและวาเลนเซียร์ ของวาเรียเป็นสีน้ำตาลจาง ๆ ส่วนวาเลนเซียร์เป็นสีแดง ไม่จางเท่าของวาเรีย แต่ก็ไม่ได้สว่างเท่าของซาโซริ นี่สินะ ฤทธิ์ของยาดึงพลังเวท

 

          พาเลนเต้รับรู้ได้ถึงพลังที่เอ่อล้นของพวกเขา แม้จะรู้ว่าเป็นเพียงพลังชั่วคราวที่แค่รอเวลาครู่หนึ่งมันก็หมดฤทธิ์ แต่ก็เกรงว่าดีไม่ดีอาจจะพลาดท่าเสียก่อน เธอก็จึงผละตัวถอยออกจากพวกซาโซริ คงจะถอยออกไปรักษาระยะถ่วงเวลาละสิ? ใครจะไปยอม ผมกับยูนะกระจายกันออกไปคุมเชิงคนละทิศ ทันทีที่พาเลนเต้ออกห่างจากพวกซาโซริเมื่อไหร่ เราก็โจมตี แม้เธอจะหลบหรือปัดการโจมตีเราได้ แต่นั่นก็ทำให้เธอเสียจังหวะ เสียสมาธิ เปิดโอกาสให้พวกซาโซริเข้าโจมตีต่อ แต่อย่างไรเสีย พาเลนเต้ก็ไม่สิ้นท่าลงได้โดยง่าย เธอนำปลายด้ามมีดสั้นมากระแทกกัน เกิดเป็นคลื่นอากาศอัดพวกซาโซริเสียจนกระเด็น

“เป็นแค่มนุษย์แท้ ๆ ต้องขอชมเชยที่บีบให้ข้าต้องเอาจริงได้” พาเลนเต้พูดแล้วแสยะยิ้มออก ชูมีดสั้นทั้งสองมาไขว้กันด้านหน้า ยิงคลื่นพลังเวทสีขาวออกมาหลายชุดเข้าใส่ซาโซริ ซึ่งวาเรียก็เข้ามาขวาง ตั้งโล่ป้องกัน แต่แล้วเวทมนตร์ที่ดึงออกมาใช้ก็หมดลง ทำให้เขารับการโจมตีเข้าไปเต็ม ๆ วาเรียล้มลง แม้จะไม่มีบาดแผลอะไรแสดงออกมา แต่พวกเราก็รับรู้ได้ในทันทีว่าเขาบาดเจ็บสาหัสเป็นแน่ ซาโซริรีบสั่งให้ยูนะรีบเข้ามาพาตัววาเรียออกไป สั่งให้วาเลนเซียร์ช่วยถ่วงเวลาให้ ซึ่งเขาก็พุ่งเข้าโจมตีใส่พาเลนเต้อย่างดุเดือด ระหว่างที่วาเลนเซียร์ถ่วงเวลาให้ ซาโซริก็หยิบยาอีกหลอดมาดื่ม มันเป็นยาสีน้ำเงินเข้มก่อนจะตั้งท่า ตั้งสมาธิดึงพลังเวทของตัวเองออกมา

“ยูคาริ วางปืนฉัน ถือขวานขึ้นมาแล้วกินยาซะ ถ้าวาเลนเซียร์พลาดท่าเมื่อไหร่ก็เข้าไปถ่วงเวลาให้ฉันด้วย” ซาโซริสั่งด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น

“อะ.. อืม” ผมยอมวางปืนตามที่เธอบอก กินยาดึงพลังเวทแล้วถือขวานเดินมายืนอยู่ข้างหน้าซาโซริ ผมไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่บ้าง ไม่กล้าหันไปมองเธอ ได้แต่จดจ้องการต่อสู้ของวาเลนเซียร์กับพาเลนเต้ตรงหน้า ในใจกลัวจนแทบจะบ้าตาย แต่ก็ต้องพยายามข่มใจเอาไว้ให้ได้ และแล้ว วาเลนเซียร์ก็เสียท่า ยิ่งสู้นานฤทธิ์ของยาก็ยิ่งสลายไป พลังมากมายที่เคยมีก็หายไป พาเลนเต้ก็จึงหยุดขวานเขาได้ด้วยมีดสั้นเล่มเดียว แล้วแทงเขาด้วยมีดสั้นอีกเล่ม ทะลวงชุดเกราะของเขาราวกับมันเป็นแค่กระดาษ เมื่อวาเลนเซียร์ล้มลง ผมก็ตะโกนเรียกกำลังใจออกมาขณะวิ่งเข้าใส่พาเลนเต้ ผมเหวี่ยงขวานเข้าใส่เธอ ซึ่งเธอก็สกัดมันได้โดยง่ายด้วยมีดสั้นเล่มเดียว เมื่อมายืนใกล้ ๆ ขนาดนี้ ผมก็ได้เห็นเต็ม ๆ ว่าพาเลนเต้นั้นน่ากลัวเพียงใด เธอง้างมีดสั้นในมืออีกข้าง หมายจะแทงผม ซึ่งผมก็หลบได้หวุดหวิด แต่ก็เพราะต้องพยายามเบี่ยงหลบไว ๆ ผมก็จึงเสียหลักแล้วล้มลง ในวินาทีที่พาเลนเต้จะปลิดชีวิตผม คลื่นพลังเวทสีเขียวเข้มก็พุ่งเข้าใส่พาเลนเต้ แม้มันจะติดม่านพลังแล้วแฉลบไปทางอื่น แต่ก็ทำให้พาเลนเต้ผละออกจากผมได้ ผมก็จึงรีบลุกขึ้น อาศัยจังหวะที่พาเลนเต้หันไปมองต้นทางของการโจมตีนั้น รีบดึงวาเลนเซียร์ออกมาจากตรงนั้น เขายังคงมีสติอยู่ เป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก ๆ “อย่าพึ่งตายเชียวนะ” ผมพึมพำกับเขาเบา ๆ พยายามพูดกับเขา ให้ยังคงมีสติอยู่

“ไม่รู้ว่าเจ้าได้อาวุธชิ้นนั้นมาได้ยังไง แต่ดูท่าพลังแค่นั้นน่ะ คงไม่เหมาะจะถือมันหรอกนะ” พาเลนเต้พูดก่อนจะชูมีดสั้นไขว้กันหันใส่ซาโซริ

“ใช่ คนอย่างฉันน่ะ ไม่เหมาะถือโซยูริสเล่มนี้หรอก” ซาโซริตอบกลับไป ก่อนจะง้างดาบไปข้างหลัง เตรียมพร้อมโจมตี

“หือ? ” พาเลนเต้ได้ฟังสิ่งที่ซาโซริตอบกลับมาก็ชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่พูดอะไรต่อ โจมตีใส่ซาโซริด้วยคลื่นพลังเวทสีขาวหลายชุด

ซาโซริคำรามออกมา คลื่นพลังเวทที่ใบดาบลุกโชนเป็นแสงสีเขียวเข้ม แต่ในวินาทีก่อนที่เธอเหวี่ยงเพื่อปลดปล่อยคลื่นพลังเวท ผมก็สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงบางอย่างได้ คลื่นพลังพวกนั้น จู่ ๆ ก็ถูกกลืน เปลี่ยนไปเป็นสีม่วงเข้ม เมื่อซาโซริเหวี่ยงดาบ คลื่นพลังเวทสีม่วงก็พุ่งเข้าปะทะกับคลื่นพลังเวทสีขาวของพาเลนเต้ และแล้วสิ่งที่ยากจะเชื่อก็เกิดขึ้นตรงหน้าของผม คลื่นเวทสีม่วงของซาโซริกลืนกินเวทสีขาวของพาเลนเต้จนสิ้น มันพุ่งเข้าใส่พาเลนเต้ที่มีม่านพลังเวทคอยคุ้มครองเธออยู่ แต่คลื่นเวทสีม่วงนี้กลับไม่สะท้อนไปทางอื่นแบบคราวของเวทสีเขียว มันกลับปกคลุมม่านพลังนั้นแล้วทะลุเข้าใส่พาเลนเต้ เธอตกใจเบิกตาโพลงออกมาแล้วหลบได้อย่างหวุดหวิดในวินาทีที่มันจะปะทะกับเธอ หลังจากยิงคลื่นเวทสีม่วงนี้ออกไป ซาโซริก็ค่อย ๆ ล้มลงนอนกับพื้น ผมรีบวิ่งเข้าไปหาเธอ ซาโซริล้มหมดสติไปทั้งที่ยังลืมตาอยู่ เลือดกำเดาค่อย ๆ ไหลออกมาทางจมูก ผมนึกขึ้นได้ว่าในตัวมียารักษา ก็รีบคุ้ยมันออกมา แล้วรีบป้อนมันให้ซาโซริ แต่กรอกเข้าปากเธอได้ ซาโซริที่หมดสติไปก็ไม่สามารถกลืนมันลงไป ระหว่างที่ผมกำลังกระวนกระวาย ก็มีมือมาแตะที่หน้าผากของซาโซริ เมื่อหันไปมองก็เห็นว่าเป็นพาเลนเต้ ผมที่ตกใจก็ตะโกนออกมา พยายามดึงมือเธอออกจากซาโซริ ปกป้องนายหญิงที่สิ้นท่าอย่างสุดความสามารถ

“ใจเย็นสิ ข้าไม่ได้จะฆ่าพวกเจ้าเสียหน่อย” พาเลนเต้พูดอย่างใจเย็น ขณะที่ค่อย ๆ ทำอะไรบางอย่าง ที่มือของเธอข้างที่แตะตัวซาโซริเรืองแสงออกมาเล็กน้อย

“ไม่ได้คิดจะฆ่า? แล้วเมื่อครู่นี้มันอะไรกันล่ะ? ”

“ก็ดูพวกเจ้าท่าทางจะพอมีฝีมือ ข้าเองก็เลยอยากจะเล่นด้วย”

“เล่น? ” ผมพูดออกมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง หันไปมองยูนะที่กำลังค่อย ๆ ลากวาเลนเซียร์เข้าไปหาวาเรียที่ลุกมานั่งดื่มยาได้แล้ว ก่อนจะหันกลับมามองพาเลนเต้ “เล่นแบบถึงตายเนี่ยนะ? ”

พาเลนเต้หลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อย “ไม่งั้นมันจะไปสนุกอะไรล่ะ หืม? ” ไม่ทันไร ซาโซริก็ได้สติขึ้นมา เธอตกใจที่คนแรกที่เธอเห็นเป็นพาเลนเต้ แต่ผมก็พยายามอธิบายว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว

“อยากชนะน่ะ ข้าไม่ว่าหรอก แต่กินยาเกิดตัวแบบนี้จะสิ้นใจก่อนนี่สิ แถมยังกินยาแรงเสียด้วย ผลข้างเคียงระดับนี้น่ะ ถึงจะให้มนุษย์ที่ชำนาญตำรับยาเวทมนตร์ที่สุดมารักษาก็ช่วยเจ้าไม่ได้หรอกนะ จงดีใจเสียเถอะ ที่รอดมาได้” พาเลนเต้พูดแล้วลุกขึ้นยืน มองไปยังสองพี่น้องวาเรียและวาเลนเซียร์ที่อากาศดีขึ้นแล้ว “พวกเจ้าคงไม่ต้องการความช่วยเหลือจากข้าแล้วล่ะ ดีใจด้วยนะ ที่มีนายดี หายาชั้นดีไว้ให้บริวารรักษาตัวเสียด้วย” เธอพูดก่อนจะหันมามองซาโซริ “มาสิ” เธอพูดแล้วมองซาโซรินิ่ง ๆ

“ทำไมถึงไว้ชีวิตพวกเราล่ะ? ” ซาโซริที่ผมกำลังช่วยพยุงให้ลุกขึ้น เอ่ยถามออกมา

“ข้าก็กำลังจะพาพวกเจ้าไปคุยด้วยนี่ไงล่ะ” พาเลนเต้พูด แล้วเดินขึ้นบันไดนำไป ในหัวของผมตอนนี้เต็มไปด้วยความสับสนและคำถามมากมายที่อยากจะได้คำตอบ ก็คงมีแต่จะต้องไปคุยกับเจ๊แกล่ะนะ

 

          พาเลนเต้พาเราเดินลึกเข้าไปด้านในของคฤหาสน์ เปิดประตูบานหนึ่งออก ก็พบว่าภายในมีบันไดที่พาเราลงสู่ชั้นล่าง เธอพาเราเดินลงมาเรื่อย ๆ ที่ด้านล่างนั้น เป็นโถงทางเดินยาวสุดลูกหูลูกตาที่ไม่รู้ว่าที่ปลายทางนั้นจะมีอะไรอยู่ พาเลนเต้พาพวกเราเดินจนมาถึงหน้าห้องหนึ่ง เมื่อเปิดเข้าไปก็พบว่าเป็นห้องรับแขกที่มีเครื่องเรือนราวกับเป็นบ้านของมนุษย์ทั่วไป

“นั่งเสีย ข้าจะไปเอาชามาให้” พาเลนเต้พูด ก่อนจะออกจากห้องไป ซาโซริที่ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดีก็ตัดสินใจตามน้ำไป นั่งลงที่โซฟาไม้ ผมเองก็นั่งข้าง ๆ เจ๊แก พวกวาเรียนั่งฝั่งตรงกันข้าม รอเจ้าของบ้านกลับมา ซึ่งไม่นาน พาเลนเต้ก็กลับมาพร้อมถาดแก้วน้ำชาตามจำนวนคน เธอวางมันลงที่โต๊ะด้านหน้าพวกเรา ก่อนจะหยิบไปแก้วหนึ่ง แล้วนั่งที่หัวโต๊ะ

“ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าคงจะมีคำถามมากมาย ข้าก็เช่นกัน” พาเลนเต้พูดแล้วยกแก้วชาขึ้นมาจิบก่อนจะพูดต่อ “ตามที่เจ้าได้ถามค้างไว้ ว่าทำไมข้าถึงไม่ฆ่าพวกเจ้าเสีย เพราะข้ารู้สึกสนใจพวกเจ้านิดหน่อย ไม่ว่าจะจุดประสงค์จริง ๆ ที่เจ้ามาที่นี่ หรือดาบเวทมนตร์ที่เจ้ามี มันทำให้ข้าอยากที่จะรู้คำตอบ ข้าเองก็ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายที่จะเอาชีวิตพวกเจ้าอยู่แล้ว ก็แค่อยากจะรู้ว่าฝีมือของพวกเจ้ามีเท่าไหร่ คู่ควรกับอาวุธชิ้นนั้นหรือไม่”

“ฉันบอกแล้วนี่ ว่ามาที่นี่เพื่อผลึกเวทมนตร์ แค่นั้นจริง ๆ เราไม่รู้ว่าภายในเหมืองจะมีเมืองร้างหรืออะไรซ่อนอยู่” ซาโซริพูดแล้วจ้องตาพาเลนเต้เขม็ง

“ถ้างั้นก็จงบอกมาเสีย ว่าเจ้าต้องการผลึกเวทมนตร์ไปทำไม เจ้าพูดว่า เพื่อทำการใหญ่ เศษผลึกแค่นี้น่ะ มันไม่พอหรอก เจ้ากล้าเรียกผลึกเวทขนาดเท่ากำมือว่าเศษ แสดงว่าเจ้าต้องการผลึกเวทจำนวนมหาศาลไปทำอะไรบางอย่าง นั่นล่ะที่ข้าสนใจ อีกเรื่องก็ดาบเวทมนตร์ของเจ้า ถ้าจะช่วยเล่าถึงที่มาของมันให้ข้าฟังอย่างละเอียด ก็จะยินดีมาก”

ซาโซรินิ่งไป ก้มหน้าลงพูดอะไรไม่ออก ดูเหมือนจะอึดอัดที่จะพูดมันออกมา แต่จะว่าไป มันก็เป็นคำถามที่น่าสนใจจริง ๆ นั่นล่ะนะ พวกเราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเจ๊ซาโซริหรือสิ่งที่เจ๊ตั้งใจจะทำจริง ๆ เลย ผมและพวกวาเรียต่างก็นิ่งรอฟังคำตอบไม่ต่างจากพาเลนเต้ที่กำลังจิบชาอย่างสบายใจอยู่

“ดาบเล่มนี้น่ะ ชื่อโซยูริส ฉันได้ให้สัญญาไว้กับเจ้าของดาบเล่มนี้ ว่าจะยอมแลกชีวิตที่เหลืออยู่เพื่อสังหารคนคนหนึ่งให้จงได้ เขาคือคนที่สังหารเหล่าสหายของฉัน ทำลายความหวังและสันติสุขที่เราเพียรสร้างกันมาและเป็นคนที่พรากสิ่งสำคัญในชีวิตของฉันไป คนคนนั้นเป็นผู้ชำนาญเวทมนตร์ มีพลังและฝีมือในระดับที่เกินกว่าที่คนธรรมดาอย่างฉันจะเอื้อมถึง ฉันเคยเรียนรู้มาว่าผลึกเวทมนตร์คือต้นกำเนิดของพลังที่ฉันพอจะนำมาใช้ได้ ถึงจะยังไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรก็เถอะ แต่ก็พยายามรวบรวมให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อที่สักวันจะใช้มันเพื่อโค่นคนคนนั้นลงให้ได้” ซาโซริพูดเสร็จก็ยกแก้วชาขึ้นมาจิบ ก้มหน้าลงด้วยแววตาเศร้าสร้อยราวกับกำลังจะร้องไห้

“ขอข้าลองตรวจสอบมันเสียหน่อยได้รึไม่? ” พาเลนเต้ยื่นมือมา แต่ก็รอให้ซาโซริอนุญาตก่อน ซึ่งเธอก็พยักหน้าแล้วส่งดาบของเธอให้กับพาเลนเต้ เธอรับดาบไปตรวจสอบ หลับตาลง ผลึกเวทที่อยู่ที่มงกุฎฉายแสงออกมาเล็กน้อยขณะที่เธอกำลังใช้พลังเวทวิเคราะห์ เธอใช้เวลาอยู่ราว ๆ สิบนาทีก็ลืมตาออกมา

“รู้รึไม่ว่าอาวุธเวทมนตร์น่ะ ซึมซับกระแสเวทมนตร์ต่าง ๆ ที่มันเคยสัมผัสด้วยเข้าไปในผลึกเวทด้วย ราวกับว่าเป็นความทรงจำของอาวุธก็มิปาน ข้าพอรับรู้เรื่องราวของโซยูริสเล่มนี้แล้ว” พาเลนเต้พูดแล้วยื่นดาบคืนซาโซริไป

“เอาล่ะ ข้าพอเข้าใจเรื่องราวของเจ้าแล้ว ว่าแต่เจ้าพวกนี้ล่ะ? ” พาเลนเต้ถามต่อ แล้วมองมาที่พวกเรา

“พวกเราคือกิลด์โจรแห่งซาโซริค ก่อตั้งโดยฉันเพื่อที่จะกวาดล้างพวกโจรที่คุกคามสันติสุขของชาวเมือง นั่นก็คือเหตุผลที่เราเอาไว้บอกใคร ๆ ล่ะนะ จริง ๆ แล้วก็เป็นข้ออ้างในการปราบโจรหาเงินเฉย ๆ นั่นล่ะ” ซาโซริพูดความจริงออกมาจนหมดเปลือก เฮ้ย สรุปแล้วเหตุผลจริง ๆ ที่สร้างกิลด์คืองี้สินะ? ผมได้ยินเสียงวาเลนเซียร์หลุดขำออกมาเล็กน้อย เมื่อหันไปมองก็เห็นว่าเขาพยายามหุบยิ้มอยู่

“อืม... งั้นพวกเจ้าก็คือสมาชิกกิลด์ละสิ? ” พาเลนเต้พูดแล้วชายตามองพวกเราทีละคน

“เจ้านี่คือยูคาริ คนรับใช้อันดับหนึ่งของฉัน ส่วนพวกนั้นคือวาเรีย วาเลนเซียร์และยูนะ นักรบแห่งศาสนจักรที่ยึดมั่นอุดมการณ์ที่จะสู้เพื่อปกป้องสุจริตชนจากโจรชั่ว” ซาโซริพูดแนะนำตัวทุกคนกับพาเลนเต้ “ส่วนฉัน ซาโซริ หัวหน้ากิลด์” เธอพูดแล้วยิ้มบาง ๆ ออกมาอย่างผ่อนคลาย

“ก็ดูเป็นกลุ่มคนที่ไม่ได้แย่อะไร ถ้าเทียบกับพวกคนกลุ่มอื่น ๆ ที่เคยย่างกรายเข้ามาที่นี่ บางพวก เห็นแค่โครงกระดูกนั่นก็กลัวหัวหดหนีไป บางพวกก็ดูใจสู้ดี แต่ท่าดีทีเหลว บางพวก ข้าอุตส่าห์ให้การต้อนรับแต่ก็มารยาทแย่เกินกว่าจะรับไหว และบางพวกที่ใช้เหตุผลด้วยไม่ได้ หลายต่อหลายคน ที่ต้องสังเวยชีวิตให้กับเมืองร้างแห่งนี้แล้วกลายเป็นกองทัพโครงกระดูกให้ข้าไว้ใช้ไล่แขกไม่พึ่งประสงค์” พาเลนเต้พูดจบ พวกเราก็ตกใจเบิกตาโพลง หันไปมองเธออย่างหวาดหวั่น “...ข้าบอกไปแล้วนี่ ว่าไม่ได้หมายชิงชีวิตพวกเจ้า” พาเลนเต้พูดออกมา เมื่อเห็นว่าเรามีท่าทีที่หวั่นกลัว ได้ยินดังนั้น พวกเราก็โล่งอก

“จริงสิ แล้วผลึกเวทก้อนนี้ล่ะ จะเอาคืนไปรึเปล่า” ซาโซริเอ่ยถามออกมา

“เรื่องนั้นน่ะ ข้าอยากจะทำพันธสัญญากับพวกเจ้าเสียหน่อย”

“พันธสัญญา? ”

“ใช่ ผลึกเวทก้อนนั้นน่ะ เชื่อข้าเถอะ ว่าไม่ว่าศัตรูของเจ้าจะเป็นใคร มันก็มากกว่าคำว่าเพียงพอแล้ว ที่เจ้าบอกว่าผลึกเวทในอาวุธเวทมนตร์เป็นแหล่งกำเนิดพลังเวท นั่นก็มีส่วนถูกอยู่ แต่ปัจจัยสำคัญน่ะ คือตัวผู้ใช้ต่างหาก ถึงแม้ว่าพวกเจ้าจะยังดึงพลังออกมาไม่ได้มากนัก แต่ก็มีคุณสมบัติที่ดีพอที่อยู่ เพราะฉะนั้น ข้าจะมอบผลึกเวทก้อนนั้นให้ พร้อมกับจะช่วยเหลือในเรื่องอาวุธเวทมนตร์ให้กับพวกเจ้า โดยแลกกับการที่เจ้าต้องพาข้ากลับไปด้วย ในฐานะสมาชิกของกลุ่มของพวกเจ้า”

“หา!? ” ซาโซริอุทานออกมาเสียงดัง “เธอต้องการอะไรกัน? ”

“ข้าสนใจในสิ่งที่พวกเจ้าทำ แล้วก็อยากไปเห็นด้วยตาตัวเองว่าสังคมมนุษย์ของพวกเจ้าในยุคนี้เป็นอย่างไรกันบ้าง ครั้นจะไปเดินดูเอาเองมันก็ไม่ได้ความเสียเท่าไหร่ ถ้าได้พวกเจ้าช่วยก็คงจะได้เห็นในมุมที่ไม่คาดคิด ก็น่าสนใจดี”

“ไม่ได้คิดจะแฝงมาทำลายเมืองพวกเราหรอกใช่มั้ย? ” ซาโซริพูดแล้วขมวดคิ้ว จ้องเขม็งไปทางพาเลนเต้

พาเลนเต้ขำออกมาเล็กน้อย “ถ้าข้าจะทำอย่างนั้น ข้าไม่จำเป็นต้องแอบแฝงให้เสียเวลาหรอก”

“ฉันมีข้อแม้ว่าห้ามขัดขวางกับสิ่งที่เราทำกันแม้แต่น้อย การตัดสินใจทั้งหมดเป็นของฉันที่เป็นหัวหน้ากิลด์ ฉันยอมรับเรื่องที่เธอเก่งและมีความรู้มากกว่า แต่ที่นี่ฉันคือหัวหน้า ถ้ายอมรับข้อนี้ได้ ฉันถึงจะยอมรับ”

“ข้าให้สัญญาจะไม่ขัดขวางกับกิจวัตรของพวกเจ้า”

“ถ้าเช่นนั้นก็ตกลง” ซาโซริยื่นมือไปหาพาเลนเต้ ซึ่งเธอก็จับมือกับเธอ เป็นอันว่าเจรจาเสร็จสิ้น

“จริงสิ ข้าจะมอบผลึกนั่นให้ก็จริง แต่ก็ให้แค่ก้อนใหญ่นั่นก้อนเดียว ผลึกชิ้นอื่น ๆ ข้าไม่ให้นะ แล้วก็ห้ามเอาผลึกเวทมนตร์ไปขายเด็ดขาด อย่าแลกกับสิ่งล้ำค่าขนาดนั้นเพียงเพื่อมูลค่าสมมุติอย่างเงินตราเด็ดขาด” พาเลนเต้พูดออกมา สังเกตว่าซาโซริมอาการแปลก ๆ ออกมา “นี่คิดจะเอาไปขายจริง ๆ รึ? ข้าละเชื่อเลย” พาเลนเต้มีแววตาที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย

“แค่คิดจะขอพวกเศษ ๆ ไปขายเอาทุนคืนน่ะ การเดินทางครั้งนี้ลงทุนไปเยอะ” ซาโซริพูดแล้วหัวเราะแห้ง ๆ

“สิ่งล้ำค่าย่อมมีราคาของมันเสมอ ไม่ใช่ทุกคนที่ยอมจ่ายแล้วจะได้มันไปหรอกนะ จงยินดีเถอะ เจ้าน่ะได้มันไปในราคาที่ถูกกว่าคนอื่นเสียด้วยซ้ำ”

“คิดเสียว่าลงทุนก็แล้วกันนะ” ผมพยายามปลอบเจ๊แก ซาโซรินิ่งไป ดูท่าจะเสียความรู้สึกน่าดู

“ข้าจะไปเตรียมตัวเสียหน่อย ทำตัวกันตามสบายนะ แต่ก็อย่ามือบอนล่ะ” พาเลนเต้พูดแล้วลุกขึ้น เดินออกจากห้องนั้นไป

“จะทำอย่างไรต่อดีครับ? ” วาเรียเอ่ยถามด้วยความร้อนใจกับซาโซริ

“ก็คงต้องพาเธอกลับไปด้วย แลกกับผลึกเวทชิ้นโตนี่ ฉันคิดว่าเธอน่าจะไว้ใจได้ ถ้าจะฆ่าพวกเรา คงไม่จำเป็นต้องให้การต้อนรับแล้วนั่งพูดคุยกันแบบนี้หรอก แม้จะน่าห่วงว่ามีแผนอะไรกันแน่ก็เถอะ”

“ราวกับว่าเจ๊แกคอยจับตาดูพวกเรามาตั้งแต่เข้าถ้ำมายังไงอย่างงั้น เมื่อเห็นว่าน่าสนใจก็ต้อนให้เข้ามาหา” ผมพูดเสริมไป

“นั่นสินะ เอาเถอะ อย่างไรเสีย ก็มีแต่ต้องตามน้ำไปล่ะนะ” ซาโซริพูดแล้วยกชาขึ้นมาซดจนหมด “ในการต่อสู้ครั้งนี้ ทุกคนได้สัมผัสแล้ว ว่าเวทมนตร์เป็นพลังที่มหัศจรรย์แค่ไหน ดูเหมือนพวกเราต้องยกระดับทั้งอาวุธและกลยุทธ์กันเสียหน่อยแล้วล่ะนะ” ดูเหมือนชาวกิลด์ซาโซริคจะได้รับการยกเครื่องชุดใหญ่ ถ้ารอดกลับเมืองไปได้น่ะนะ

 

          ครู่ต่อมา พาเลนเต้ก็กลับมาตัวเปล่า เห? ไหนบอกว่าไปเตรียมตัว ไหนสัมภาระ? พาเลนเต้ให้พวกเรามายืนใกล้ ๆ เธอร่ายเวทชุดหนึ่ง ที่พื้นก็มีวงเวทปรากฏขึ้น แล้วจู่ ๆ ทุกอย่างก็สว่างวาบขึ้นมา แล้วจู่ ๆ พวกเราพร้อมกับพาเลนเต้ก็มาโผล่ที่ด้านหน้าถ้ำ นั่นเป็นประสบการณ์เคลื่อนย้ายในพริบตาครั้งแรกของผม แล้วไม่รู้ว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายด้วยหรือเปล่า ซาโซริยืนงงอยู่ครู่หนึ่งก็สั่งให้เดินทางกลับ ดูเหมือนว่าการเดินทางครั้งนี้จะได้แค่ผลึกเวทก้อนเดียวจริง ๆ กับสมาชิกกิลด์ (?) คนใหม่ เนื่องจากเรามีม้าแค่ห้าตัว เจ๊พาเลนเต้ก็จึงต้องนั่งซ้อนใครไปสักคน ซึ่งคนคนนั้นก็เป็นผม เจ๊แกนั่งหันข้าง ขาทั้งสองอยู่ฝั่งเดียวกัน ไม่ได้นั่งคร่อมแบบพวกเรา คงจะเพราะติดกระโปรงละมั้ง? อย่างไรก็ตาม พาเลนเต้ใช้มือซ้ายเกาะผมเสียแน่น ดูท่าคงจะกลัวตกอยู่เหมือนกัน เราเดินทางกันไปเรื่อย ๆ ค่ำไหนนอนนั่น ใช้เวลาอาทิตย์เศษ ๆ ก็กลับมาถึงโซฟานอเรียได้อย่างปลอดภัย (?) ในช่วงบ่ายแก่ ๆ ซาโซริให้วาเลนเซียร์แยกตัวไปแจ้งข่าวกับพวกฮาบาริ เมื่อพวกเราไปถึงสำนักงาน ก็ทยอยขนสัมภาระลง ซาโซริให้วาเรียกับยูนะนำม้าไปฝากที่คอก ส่วนตัวเธอและผมจะไปจัดสรรห้องพักให้พาเลนเต้ เนื่องจากที่ชั้นหนึ่งไม่เหลือห้องว่างแล้ว ก็จะเหลือชั้นสองและห้องใต้ดินที่ใช้เก็บของ ซาโซริให้เธอเลือกซึ่งพาเลนเต้ก็เลือกชั้นสอง ก็สมเหตุสมผล เพราะห้องใต้ดินก็ไม่ต่างจากที่ที่เธอเคยอยู่เสียเท่าไหร่ แถมเหม็นอับอีกต่างหาก ก็คงไม่น่าอยู่เสียเท่าไหร่ ห้องของเธอเป็นห้องแรกที่อยู่บนชั้นสอง มีหน้าต่างมองออกไปข้างนอก พอให้เห็นวิวของเมืองได้เล็กน้อย เหมาะดี กับคนที่อยากมาเที่ยวชมสังคมมนุษย์ แม้ว่าห้องนั้นจะไม่มีเครื่องเรือนใด ๆ แต่พาเลนเต้ก็ไม่มีปัญหา เธอบอกว่าจะนำมาเองในภายหลัง ซาโซริให้กุญแจสำรองของประตูสำนักงาน แต่เธอก็บอกว่าไม่จำเป็น จะอย่างไรผมก็ไม่รู้เหมือนกัน เย็นวันนั้น ซาโซริพาเราชาวกิลด์และพาเลนเต้ไปกินข้าวร่วมกันที่โรงเตี๊ยม พวกฮาบาริให้ความสนใจเธอมาก ยิงคำถามต่าง ๆ มากมาย ซึ่งพาเลนเต้ก็ตอบอย่างตรงไปตรงมา พาเลนเต้มองทุกอย่างรอบตัวอย่างสนใจ ใช้ส้อมจิ้มลองชิมอาหารจานนั้นจานนี้อย่างละนิดละหน่อย เมื่อซาโซริถามว่าทำไมกินน้อย เธอก็ตอบกลับว่าตัวเธอเองนั้นไม่จำเป็นต้องกินอาหาร ที่กินก็เพื่อลองชิมให้รู้รสชาติเท่านั้น ไม่ใช่คนธรรมดาจริง ๆ นะ... ซาโซริก็ให้การต้อนรับสมาชิกกิลด์คนใหม่อย่างอบอุ่น โดยหวังว่าจะช่วยสร้างความประทับใจให้กับพาเลนเต้ได้บ้าง ไม่มากก็น้อย ก็หวังว่าเจ๊แกจะไม่เบื่อแล้วฆ่าเราทิ้งหรอกนะ?

 

เฮ้อ... รอดไปได้อีกวัน

 


 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา