กลับมา..หารัก

-

เขียนโดย wangruk

วันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 เวลา 21.55 น.

  3 ตอน
  0 วิจารณ์
  2,408 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 00.50 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) บทนำ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ภายในบ้านหลังใหญ่ที่เงียบสงัด ธีร์วัฒน์ สะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย เสียงที่ดังมาจากชั้นล่าง เด็กชายรู้ดีว่าเสียงที่ได้ยิน คือเสียงพ่อกับแม่ที่กำลังมีปากเสียงกัน เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก

เนตรนภาเพิ่งกลับมาหลังจากออกไปสังสรรค์กับเพื่อนตั้งแต่หัวค่ำ หญิงสาวในชุดเกาะอกสั้นสีดำ เผยให้เห็นผิวขาวนวลเนียน ใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางยิ่งทำให้ ดวงหน้าสวยดูโดดเด่น แม้ในยามนี้ ที่เธอกำลังหงุดหงิดผู้เป็นสามี

"เลิกวุ่นวายกับฉันสักที ฉันจะไปไหนกับใคร มันก็ไม่ใช่เรื่องของคุณ"

"ผมทำดีที่สุดเพื่อคุณ เพื่อเรามาตลอด ทำไมคุณถึงทำแบบนี้"

"งั้นก็ทำต่อไปซิ จะมาเรียกร้องเอาอะไร"

ประวัฒน์รู้ดีว่าภรรยาของเขาเป็นคนสวย และยังสาว ไม่แปลกที่เธอจะยังอยากสนุกกับชีวิต ในตอนแรกที่เริ่มคบกัน คนรอบข้างเขาต่างคัดค้าน เพราะอายุและนิสัยที่ต่างกันเกินไป เขาอยู่ในวัยทำงานที่กำลังพิสูจน์ฝีมือในฐานะประธานของโรงพยาบาลธิติเวช ส่วนเธอที่อยู่ในวัยสาว รักอิสระ และชอบการสังสรรค์ ถึงอย่างนั้นเขาก็เชื่อว่า ความรักของเขาและเธอจะทำให้ทุกอย่างหลอมรวมกันได้

"ผมขอร้อง เลิกยุ่งกับผู้ชายคนนั้นเถอะนะ กลับมาหาลูก กลับมาหาผม" สายตาและนํ้าเสียงที่เต็มไปด้วยความอ้อนวอน ดูเหมือนจะไม่มีผลต่อผู้เป็นภรรยาเลย

เขารับรู้ว่าภรรยาที่เขารักและไว้ใจมาตลอด กำลังมีคนอื่น สำหรับเขา ไม่ว่าเธอจะทำอะไร เขายอมได้ เพราะอย่างน้อยเธอก็ยังได้ชื่อว่าเป็นภรรยาและแม่ของลูก แต่การนอกใจนั้น สำหรับเขามันมากเกิน มากเกินจะรับไหว

"ไม่! ฉันไม่เลิก ถ้าคุณรับไม่ได้ ก็หย่ากับฉันซะ เพราะฉันก็ทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน ส่วนลูก คุณไม่ต้องห่วง ฉันไม่เอามันไปด้วยหรอก มันเป็นของคุณ"

สายตาที่มั่นใจ นํ้าเสียงที่ไม่ลังเลของคนตรงหน้า ทำให้หัวใจของเขาแทบสลาย ผู้เป็นภรรยาเดินขึ้นห้องนอน โดยไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมามอง

อีกฝั่งหนึ่งของบ้าน ธีร์วัฒน์ได้ยินทุกอย่าง แม้นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้ยิน พ่อกับแม่มีปากเสียงกัน แต่ครั้งนี้ดูจะหนักที่สุด เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ผู้เป็นแม่ขอหย่ากับพ่อ เด็กชายได้ยินทุกอย่างชัดเจน รวมถึงตัวเขาที่ไม่เป็นที่ต้องการของแม่ เด็กชายรู้ดีว่าแม่ไม่เคยรักเขา ทุกครั้งที่เขาเข้าหาแม่ แม่มักจะดุ และตวาดใส่เขาแรงๆ เขาเป็นลูกที่แม่ไม่อยากให้เกิด ลูกที่แม่ไม่ยอมรับ ลูกที่เป็นตัวถ่วงชีวิตและความสุข หากชีวิตแม่ไม่มีเขาก็คงจะดีกว่านี้

 

ในตอนเช้าวันหนึ่ง ธีร์วัฒน์ตื่นขึ้นมาพร้อมเสียงผู้หญิงคนหนึ่ง ที่เขาจำได้ดีว่าเป็นเสียงของเนตรนภา เขารีบลุกจากเตียง และวิ่งลงมาข้างล่าง ภาพที่เขาเห็นคือ เนตรนภากำลังลากกระเป๋าใบใหญ่ขึ้นรถไปกับผู้ชายคนหนึ่งที่หน้าบ้าน ส่วนประวัฒน์ นั่งอยู่ในห้องรับแขก ท่าทีที่ดูสิ้นหวังนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นจากผู้เป็นพ่อ

"แม่ แม่ แม่ครับ อย่าไป อย่าไป" เด็กชายตะโกนสุดเสียงเท่าที่เด็กคนหนึ่งจะทำได้ เขาวิ่งไปพร้อมกับรถที่ถูกขับออกไปแล้ว ธีร์วัฒน์วิ่งตามรถคันนั้น แต่ยิ่งวิ่งก็ยิ่งไกลออกไป

เขาทั้งวิ่งทั้งตะโกนเรียกแม่ไปพร้อมกัน นํ้าตาที่เริ่มรินไหลเป็นสาย รถคันนั้นไปแล้ว ลับตาเขาไปแล้ว เขาล้มลงพร้อมกับคำถามมากมายที่หลั่งไหลเข้ามา ทำไมแม่ต้องทิ้งเขากับพ่อไป เขาไม่ดีตรงไหน แม่ถึงไม่เคยสนใจเขาเลย เด็กชายได้แต่คิดอยู่อย่างนั้นและรอว่าซักวัน แม่จะกลับมา

เพียงไม่นานหลังจากประวัฒน์หย่ากับเนตรนภา ประวัฒน์ก็เริ่มทรุดหนักจากโรคหัวใจที่เขาเป็นมาหลายปี เขาต้องเข้าออกโรงพยาบาลอยู่บ่อยครั้ง ในขณะที่ประวัฒน์นอนอยู่ที่โรงพยาบาล ธีร์วัฒน์ก็มักจะเก็บเสื้อผ้ามานอนเฝ้าเขาเสมอ

“ธีร์” ประวัฒน์เรียกลูกชายของตนที่กำลังนั่งทำการบ้านอยู่ข้างๆ เขา

“ครับ”

“ธีร์คิดถึงแม่มั้ย” คำถามของประวัฒน์ทำให้ธีร์วัฒน์หน้าเสีย

“ไม่ครับ ผมไม่คิดถึง” เด็กชายตอบเสียงแข็ง

“ทำไมล่ะลูก”

“เพราะแม่ทำให้พ่อต้องเข้าโรงพยาบาล ทำให้พ่อป่วย” คำตอบของลูกชายทำให้ผู้เป็นพ่อต้องรีบอธิบาย

“ไม่ใช่เพราะแม่หรอก พ่อป่วยอยู่ก่อนแล้วต่างหาก” ธีร์วัฒน์ดูจะไม่ได้สนใจคำพูดของประวัฒน์

“ธีร์ สัญญากับพ่อนะว่าลูกจะไม่โกรธแม่ ถ้าแม่กลับมา ลูกต้องดูแลแม่”

แม้ธีร์วัฒน์จะได้ยินทุกคำของพ่อ แต่เขาก็ไม่สนใจ เพราะเขาจะไม่สนใจแม่อีกแล้ว ต่อให้แม่กลับมา เขาก็จะไม่สน

ประวัฒน์รู้ดีว่าลูกชายเป็นคนฝังใจ เวลาที่รัก ธีร์วัฒน์ก็จะรักมาก แต่เวลาที่เกลียดก็จะไม่มีอะไรเปลี่ยนใจเขาได้

 

ประตูรั้วใหญ่ของโรงเรียนถูกเปิดออก เหล่าผู้ปกครองต่างก็เริ่มทยอยเข้าไปเพื่อรอรับเด็กนักเรียนที่กำลังจะเลิกเรียนในอีกไม่ช้า วิทย์ เลขาคนสนิทของประวัฒน์กำลังยืนรอลูกชายของเจ้านายผู้มีพระคุณยิ่งของเขาอย่างใจจดใจจ่อ ไม่นานเด็กชายที่เขากำลังรอ ก็เดินออกมาจากอาคารเรียน ซึ่งเด็กชายมองเห็นเขาพอดี จึงรีบวิ่งมาหาด้วยความคุ้นเคย

ส่วนใหญ่วิทย์จะเป็นคนมารับธีร์วัฒน์เสมอ เนื่องจากประวัฒน์จะยุ่งอยู่กับงานจนไม่มีเวลา ก็จะต้องเป็นหน้าที่วิทย์ที่จะต้องคอยดูแลธีร์วัฒน์แทน เหมือนอย่างวันนี้ที่วิทย์จะต้องพาเด็กชายไปหาผู้เป็นพ่อที่โรงพยาบาล เมื่อมาถึงโรงพยาบาล ธีร์วัฒน์ขอขึ้นไปหาพ่อก่อน เพราะประวัฒน์ดูเหมือนจะถูกดึงตัวไว้เพื่อคุยเรื่องงาน วิทย์เห็นว่าธีร์วัฒน์คุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างดี จึงไม่ห่วงอะไร

เมื่อธีร์วัฒน์กำลังจะเข้าห้องไปหาผู้เป็นพ่อ เขาก็ได้ยินเสียงใครสักคนดังออกมาจากห้อง ทำให้เด็กชายรีบวิ่งเช้าไป ก็พบว่า มีผู้ชายตัวใหญ่คนหนึ่งกำลังคุยกับพ่อ ธีร์วัฒน์จำผู้ชายคนนี้ได้ เขาคือผู้ชายที่แม่นั่งรถไปด้วยวันนั้น

“เมียมึงผลาญเงินกูจนหมดแล้วก็หนีไป เพราะฉะนั้นมึงต้องรับผิดชอบ” ชายร่างใหญ่เริ่มกระชากคอเสื้อประวัฒน์ที่กำลังนอนอยู่บนเตียง ทำให้เด็กชายต้องมาฉุดร่างนั้นไม่ให้ทำอะไรผู้เป็นพ่อ

“อย่าทำอะไรพ่อนะ”

“เฮ้ย อะไรของมึงเนี่ย ปล่อยนะโว้ย” ผู้ชายคนนั้นสะบัดตัวหนี ทำให้ร่างเด็กชายกระเด็นลงไปกับพื้น

“ธีร์ ออกไปลูก อย่าเข้ามา” ประวัฒน์พยายามห้ามลูกชาย แต่ดูเหมือนธีร์วัฒน์จะไม่ฟัง เขาลุกขึ้นมารั้งร่างนั้นอีก จนชายตัวใหญ่โมโห จึงหันมาทางเขาพร้อมมือใหญ่ฟาดลงไปที่ใบหน้าเด็กชายอย่างเต็มแรง ธีร์วัฒน์กระเด็นตามแรงตบลงไปกระแทกกับพื้น

“หยุดนะ อย่าทำอะไรลูกฉัน!” ประวัฒน์เห็นว่าลูกชายถูกทำร้าย จึงลุกจากเตียงเพื่อเข้ามาห้ามชายร่างใหญ่ แต่ดูเหมือนหัวใจของเขาจะไม่เป็นใจ ทันทีที่ลุกจากเตียง เขาก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอก ร่างของประวัฒน์ทรุดลงไปกับพื้นทันที เป็นเวลาเดียวกันกับที่วิทย์ เลขาคนสนิท เข้ามาในห้องพอดี คนตัวใหญ่เห็นว่าเหตุการณ์เริ่มบานปลาย จึงรีบวิ่งหุนหันออกไปจากห้อง วิทย์จึงรีบเรียกหมอ พร้อมกับโทรศัพท์หาฝ่ายรักษาความปลอดภัยให้จับตัวผู้ชายที่เพิ่งวิ่งออกไปจากห้อง ธีร์วัฒน์ที่ยังคงมึนกับแรงตบ พยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นมา และวิ่งมาหาพ่อของเขาที่เหมือนจะไม่ได้สติไปแล้ว

“พ่อ พ่อครับ” เสียงเรียกของเขาดูเหมือนจะไม่ได้ทำให้คนที่นอนอยู่ตื่นขึ้นมา

ประวัฒน์เสียชีวิตในคืนนั้น หลังจากที่คณะแพทย์พยายามช่วยชีวิตประวัฒน์อย่างเต็มที่ ธีร์วัฒน์นั่งรออยู่หน้าห้องฉุกเฉินด้วยใจที่หวังว่าพ่อจะไม่เป็นอะไร แต่เมื่อวิทย์บอกว่าพ่อของเขาจากไปแล้ว เด็กชายรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบแตกสลาย เขาไม่มีพ่ออีกแล้ว พ่อคนเดียวของเขา พ่อที่เขารักและรักเขาที่สุดจากไปแล้ว เขาไม่เหลือครอบครัวอีกแล้ว ชีวิตของเขาต่อจากนี้ต้องเดินต่อด้วยตัวเอง

 

 

ท่ามกลางมหานครนิวยอร์ก ดินแดนที่ไม่เคยหลับใหล สถานที่ที่ผู้คนมากมายใฝ่ฝัน ชั้นบนสุดของตึก เพนท์เฮาส์ที่ดูหรูหราและกว้างขวางนั้นช่างดูกว้างเกินไปสำหรับเขา ธีร์วัฒน์ ธิติปกรณ์ หรือคนทั่วไปรู้จักเขาในชื่อนายแพทย์ธีร์ วัตสัน

นายแพทย์หนุ่มผู้มีอนาคตไกล ผู้เป็นหนึ่งในทีมแพทย์รักษามะเร็งที่โรงพยาบาลชื่อดังในนิวยอร์ก งานวิจัยที่ได้รับการยอมรับในวงกว้าง ทำให้เขาประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย

ชายหนุ่มร่างสูง นั่งอ่านเอกสารรายงานอาการของผู้ป่วยซํ้าไปซํ้ามา คิ้วหนาเข้มที่กำลังขมวด ริมฝีปากได้รูปที่ถูกเม้มไว้ บ่งบอกว่ามันกำลังจะทำให้เขาสติแตก

หลังจากกลับมาจากโรงพยาบาล ธีร์วัฒน์ก็ได้แต่คลุกอยู่แต่ในห้องทำงาน เขามักจะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในห้องนี้มากกว่าห้องอื่น ห้องทำงานที่เต็มไปด้วยหนังสือแพทย์ ผนังถูกปิดไปด้วยรูปแผนผังร่างกายมนุษย์ โซฟาตัวยาวที่เป็นที่นอนประจำของเขาและโต๊ะทำงานที่ไม่มีที่ว่างให้สิ่งแปลกปลอมนอกจากคอมพิวเตอร์กับเอกสารกองโต ที่บัดนี้เขาก็ยังจดจ่ออยู่กับมันจนไม่รู้เลยว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว

เสียงโทรศัพท์แจ้งเตือนข้อความ ทำให้ธีร์วัฒน์ต้องละจากเอกสารตรงหน้า มือใหญ่ควานหาโทรศัพท์บนโต๊ะอย่างเร่งรีบ เพราะคิดว่าโรงพยาบาลอาจจะมีเคสฉุกเฉิน

‘ตอนนี้โรงพยาบาลกำลังเปิดศูนย์รักษาโรคมะเร็ง อาอยากให้ธีร์กลับมาช่วยงานที่นี่ อารู้ว่าธีร์ยุ่ง แต่ถ้าว่างแล้วโทรกลับหาอาด้วย’ ข้อความถูกส่งมาจากอาวิทย์ ที่ตอนนี้เป็นประธานของโรงพยาบาลธิติเวช

หลายครั้งที่อาวิทย์พยายามเกลี้ยกล่อมเขาให้กลับไปรับตำแหน่งประธานที่เขามีสิทธิ์โดยสมบูรณ์ แต่เขาก็ปฏิเสธกลับไปทุกครั้ง นั่นเพราะเขาไม่สนใจงานบริหาร อีกทั้งเขาก็ไม่อยากกลับไปในที่ที่มีความทรงจำในวัยเด็กอีกแล้ว สายตาคมฉายแววเศร้าเพียงครู่ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นแววตาเย็นชา เขาถอนหายใจ พร้อมกับเอนหลังพิงเก้าอี้ ด้วยความรู้สึกอ่อนล้าเต็มที

ตั้งแต่ผู้เป็นพ่อจากไป การอยู่ในบ้านหลังใหญ่คนเดียวมันช่างเงียบและเหงาเกินไป เขาจึงตัดสินใจที่จะย้ายมาอยู่ที่นี่ เขาไม่เหลือครอบครัวอีกแล้ว ไม่มีแล้ว แม้ในวันตายของพ่อ แม่ก็ไม่แม้แต่จะมางานศพ เขาเองก็ไม่รู้ว่าความรู้สึกที่มีต่อแม่มันเปลี่ยนจากความรักเป็นความเกลียดตั้งแต่เมื่อไหร่ เขารู้แค่ว่า 20 ปี ที่แม่ทิ้งเขากับพ่อไป มันช่างนานเหลือเกิน นานจนเขาไม่เหลือความรักให้แก่ผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว ผู้หญิงคนนั้นใจร้าย ไม่สมควรที่จะเป็นแม่ของเขาเลย เขาไม่คิดจะกลับไปอีก ทั้งบ้านและโรงพยาบาล เขายกให้อาวิทย์เป็นคนดูแลทั้งหมด

"อาวิทย์ ผมธีร์"

"ธีร์หรอ อาดีใจที่หลานโทรมานะ เป็นยังไงบ้าง ช่วงนี้งานยุ่งหรอ" เสียงทุ้มใจดีเจือรอยยิ้มของผู้ชายในสายที่เขาคุ้นเคยดี

"ครับ ผมได้ข้อความแล้ว ผมไม่สะดวกทำงานนี้ หวังว่าอาจะเข้าใจ" คำตอบที่ชัดเจน ไม่อ้อมค้อม ทำให้คนฟังหน้าเปลี่ยนสี

"ธีร์ ฟังอานะ อาอยากให้ธีร์รับงานนี้ในฐานะหมอที่เก่ง และมีความสามารถ ไม่ใช่เพราะสถานะของธีร์" นํ้าเสียงของปลายสายที่จริงจังทำให้เขาต้องหยุดฟัง

"ที่นี่ต้องการหมอที่เก่งและมีประสบการณ์แบบธีร์ มาเป็นหัวหน้าทีมแพทย์"

ธีร์วัฒน์ได้แต่เงียบ ไม่มีคำพูดใดๆ เพราะไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร เขาก็ไม่มีวันกลับไป เขารู้ดี ไม่ว่าเขาจะกลับไปด้วยสถานะอะไร อดีตที่เจ็บปวดของเขาก็ไม่มีวันหายไป

คำติฉินนินทา คำพูดมากมายที่คนรอบข้างพูดและมองมาที่เขา เขายังจำได้ดี ในงานศพของพ่อ ทุกคนที่มางาน ล้วนแล้วแต่พูดถึงแม่ แม่ที่มีชู้ แม่ที่ทิ้งลูก แม่ที่เป็นต้นเหตุให้พ่อตาย แม่ที่น่ารังเกียจ เพราะแม่ ผู้หญิงคนนั้นคนเดียว

"อย่างน้อยก็ลองเอากลับไปคิดดู อาพูดในฐานะประธานของโรงพยาบาลที่อยากได้หมอ

แบบธีร์มาร่วมงาน" เหตุผลของปลายสาย ทำให้ชายหนุ่มเริ่มอึดอัด

"แค่นี้นะครับ ผมมีงานต้องทำ" เขารีบตัดบทและกดวางสายทันที แล้วหันกลับมาสนใจกับ

กองเอกสารตรงหน้าอีกครั้ง อย่างน้อยมันก็ช่วยให้เขาไม่ต้องฟุ้งซ่าน

 

เสียงนาฬิกาปลุก ทำให้เขาตื่นขึ้นมา หลังจากที่ได้นอนไปเมื่อ 3 ชั่วโมงที่แล้ว ร่างสูงลุกจากโซฟาที่ประจำ เพื่อเริ่มทำกิจวัตร อย่างที่ทำทุกวัน

เขามักจะวิ่งก่อนไปทำงานทุกวัน เพราะอย่างน้อยการวิ่งก็ทำให้เขามีเวลาให้ร่างกายบ้าง แต่ถึงอย่างนั้น ชายหนุ่มก็มักจะฟังการบรรยายเคสอาการป่วยของผู้ป่วยไปด้วยในระหว่างวิ่ง อย่างน้อยก็เพื่อทบทวนตัวเองก่อนไปทำงาน

วันนี้มีประชุมคณะแพทย์เกี่ยวกับการผ่าตัดมะเร็งตับของผู้ป่วยชาวจีน ที่บินมารักษาที่นี่ เขาหวังอย่างยิ่งว่าจะได้เป็นแพทย์ผู้ช่วยการผ่าตัดในครั้งนี้ หลังจากที่เขาทุ่มเทอ่านรายงานอาการของผู้ป่วยรายนี้มาเป็นอาทิตย์

ภายในห้องประชุมของโรงพยาบาล บรรยากาศที่ตึงเครียด และกดดัน เนื่องจากเคสนี้มีความเสี่ยงสูง เพราะฉะนั้นการเลือกแพทย์เข้าร่วมในการผ่าตัดครั้งนี้จึงสำคัญอย่างยิ่ง และเป็นก้าวสำคัญของทีมแพทย์ทุกคน

หลังจากการประชุมจบลง ศาสตราจารย์แพทย์ผู้นำผ่าตัดต้องเป็นผู้พิจารณาเลือกแพทย์ผู้ช่วยในการผ่าตัดด้วยตัวเอง ด้วยเหตุผลนั้นทำให้ธีร์วัฒน์ก้าวเท้ายาวออกมาจากห้องประชุม ด้วยท่าทีรีบเร่ง สีหน้าที่เคร่งขรึม ผมดำหนาที่ถูกเซตอย่างเรียบร้อยยิ่งทำให้เขาดูน่าเกรงขาม ร่างสูงในเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสแล็คดำพอดีตัว สวมทับด้วยเสื้อกาวน์ ทำให้ชายหนุ่มดูสูงใหญ่กว่าคนอื่น

"ผมอยากเข้าร่วมผ่าตัดครั้งนี้ครับ ศาสตราจารย์" ศาสตราจารย์แพทย์ เจมส์ ซิลลี่ ผู้ซึ่งรับหน้าที่แพทย์ผู้นำผ่าตัด

ในวัยอาวุโสเงยหน้าขึ้นมาจากเอกสารการประชุม ตามเสียงที่เขารู้ดีว่าเป็นใคร นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่แพทย์หนุ่มหุนหันเดินเข้ามาในห้องทำงานของเขาโดยไม่เคาะประตู

"ผมไม่แปลกใจเลยที่เป็นคุณ" แพทย์ผู้มีอายุมองแพทย์หนุ่มอย่างเอ็นดู

เขารู้ดีว่าธีร์ หนึ่งในลูกศิษย์ของเขานั้นชอบการผ่าตัดที่ยากและท้าทาย ตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษา ธีร์ก็มักทำให้เขาประหลาดในอยู่เสมอ ทั้งความมั่นใจ ความขยัน ความอดทน ความไม่กลัวการผิดพลาด แม้กระทั่งความเย็นชา ลูกศิษย์ผู้นี้ไม่เคยอ่อนไหวกับผู้ป่วยหรือญาติผู้ป่วยเลยสักครั้ง ไม่เคยเอาความรู้สึกมาใช้ในการทำงาน มักตัดสินใจด้วยข้อเท็จจริงและเหตุผล ตรงไปตรงมากับผู้ป่วยเสมอ

"ผมอ่านรายงานเคสของคนไข้คนนี้ทั้งหมดแล้ว ผมคิดว่า.." แพทย์หนุ่มยังพูดไม่ทันจบ ศาสตราจารย์ก็ยกมือขึ้นเชิงว่าให้หยุด

"พอก่อน ผมรู้ว่าคุณศึกษาเคสนี้มาอย่างดี แต่ตอนนี้ผมมีเรื่องอื่นต้องคุยกับคุณ"

"เรื่องอะไรครับ" นํ้าเสียงของธีร์วัฒน์ดูหงุดหงิด เพราะบ่อยครั้งที่ต้องถูกผู้เป็นอาจารย์ขัดก่อนพูดจบ

"นั่งก่อนซิ" ศาสตราจารย์ผายมือเชิญแพทย์หนุ่มให้นั่งลง พร้อมกับเปิดอีเมลฉบับหนึงขึ้นมา

"ผมได้รับอีเมลนี้ตั้งแต่เมื่อวาน" แพทย์หนุ่มเพ่งดู จึงรู้ว่ามันคือคำเชิญร่วมงานกับศูนย์การรักษามะเร็งของโรงพยาบาลธิติเวช

ธีร์วัฒน์นิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา

"ทำไมหรอครับ" เขาถามด้วยนํ้าเสียงที่เรียบเฉย

"ผมอยากให้คุณไปที่นั่น"

"ทำไมครับ หมอในแผนกนี้มีตั้งหลายคน ทำไมผมต้องไป" นํ้าหนักของเสียงนั้นหนักขึ้น จนเกือบจะตะโกน ใบหน้าที่ขาวจัดก็เริ่มมีสีแดง

"ผมพิจารณาแล้วว่าคุณเหมาะสมที่สุด ทั้งความสามารถและประสบการณ์ แล้วอีกอย่าง คุณเป็นคนไทยคนเดียวที่นี่ ถ้าผมส่งคนอื่นไป คงมีอุปสรรคทางภาษา"

นัยน์ตาคมกริบของแพทย์หนุ่มฉายแววขุ่นเคืองอย่างชัดเจน จนคนที่นั่งตรงข้ามต้องอธิบายอย่างใจเย็น

"คุณฟังผมนะ ผมไม่รู้ว่าทำไมคุณถึงไม่พอใจขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ มันเป็นโอกาสที่ดี ดีกว่าการเข้าร่วมผ่าตัดครั้งนี้ด้วยซ้ำ"

ดูเหมือนคำพูดนั้นจะไม่ได้ผล แพทย์หนุ่มยังคงจ้องมองอย่างขุ่นเคือง

"ผมรู้ว่าคุณเป็นมืออาชีพ และไม่เคยเอาความรู้สึกมาใส่ในงานเลยสักครั้ง ถ้าคุณลองพิจารณาดีๆ งานนี้เป็นประโยชน์ต่อคุณมาก ทั้งตำแหน่งที่คุณจะได้รับ อำนาจการตัดสินใจ และเคสการรักษาที่มันส่งผลดีกับงานวิจัยของคุณ"

ชายหนุ่มมีท่าทีสงบลง แววตาเปลี่ยนเป็นสับสนและครุ่นคิด จริงอย่างที่ศาสตราจารย์พูด นี่ถือเป็นโอกาสที่ดีในสายงานเขา อย่างน้อยเขาก็ได้มีเคสการรักษามะเร็งที่เพิ่มขึ้นหรืออาจเจอเคสที่ยากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าเขาจะมีอำนาจในการตัดสินใจมากกว่าที่นี่ และมันจะส่งผลดีต่องานวิจัยของเขาในอนาคต พอคิดมาถึงตรงนี้ ธีร์วัฒน์ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าการไปที่นั่นมันจะเป็นประโยชน์ต่อตัวเขาจริงๆ

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา